โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 9 ทฤษฎี + ทฤษเดา )
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 27 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
จันทร์เสี้ยวข้างแรมแก่ยามใกล้รุ่งคืนนี้ มีลักษณะบางเหมือนคิ้วนางและลดต่ำลงมากแล้ว อีกสองวันก็จะได้ทราบกันว่า เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ปีนี้มียี่สิบเก้าหรือสามสิบวัน และวันวุกู้ฟปีนี้จะตรงกับวันที่เท่าไร ...
นั่นก็หมายความว่า เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องโทรศัพท์ไปแจ้งข่าววันอีดแก่พรรคพวกที่เมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นน้องเล็ก, ลูกบ่าว, พี่หมูน, น้องดัม, น้องอี, น้องฝีน, น้องอุษา, เสนาะ และคนอื่นๆอีก ..
.
ระหว่างที่นั่งรอนมาซซุบห์บนลานหลังคาห้องน้ำ นาศิรฺลูกชายของอ.อิสมาอีล อะห์มัด หรือครูแอปากพะยูน ก็แจ้งข่าวแก่เราว่า เมื่อวานนี้มีหุจญาจญ์ชาวไทยคนหนึ่งจากจังหวัดตรัง อายุ 55 ปีเป็นลมเสียชีวิตตอนเที่ยงวันที่ลานด้านหน้ามัสญิด ...
.
ระหว่างที่นั่งรอนมาซซุบห์บนลานหลังคาห้องน้ำ นาศิรฺลูกชายของอ.อิสมาอีล อะห์มัด หรือครูแอปากพะยูน ก็แจ้งข่าวแก่เราว่า เมื่อวานนี้มีหุจญาจญ์ชาวไทยคนหนึ่งจากจังหวัดตรัง อายุ 55 ปีเป็นลมเสียชีวิตตอนเที่ยงวันที่ลานด้านหน้ามัสญิด ...
ตอนบ่ายหลังนมาซซุฮ์รี่แล้ว เราไปเยี่ยมอับดุลรอชิด สมานตระกูล ลูกเขยของเราซึ่งนำน้องสาวคืออัสมาอ์ มาทำหัจญ์ร่วมกับบริษัทดานากรุ๊ปแห่งกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของบริษัทนี้ คือคุณวราภรณ์ นุดนาบี ก็สนิทสนมกับเราดี ...
ปรากฏว่าโรงแรมที่พักของบริษัทดานากรุ๊ปเป็นโรงแรมระดับมาตรฐานกว่าที่พักของเรา แต่จุดด้อยกว่าเราก็คือแม้จะเป็นโรงแรมระดับมาตรฐานกว่า ทว่าที่ตั้งกลับอยู่ห่างไกลกว่าและอยู่สูงกว่าที่พักของเรามาก ต้องเดินขึ้นบันไดไป 42 ขั้นกว่าจะถึงระดับถนนที่ตั้งโรงแรม แบบนี้หุจญาจญ์ที่สูงอายุมีหวังกระอักแน่ๆ ...
ขากลับ ทั้งอับดุลรอชิดและอัสมาอ์ก็ตามมาเยี่ยมพวกเรายังที่พักด้วย ...
ตอนเรากลับมาถึงที่พัก ทราบว่าน้องแอเพียงคนเดียวซึ่งไปนมาซที่มัสญิดหะรอมยังไม่กลับมาอันเป็นเรื่องผิดปกติจากทุกๆวัน ทำให้พวกเราใจไม่ดีไปตามๆกันเพราะน้องแอมีโรคประจำตัวอยู่เกรงจะเป็นลมเป็นแล้งโดยไม่มีใครรู้จัก แถมบัตรคล้องคอก็ไม่ได้เอาติดตัวไปด้วย แต่ก็หวังในแง่ดีว่าน้องแอคงขี้เกียจเดินฝ่าแดดกลับบ้านจึงถือโอกาสนอนเล่นที่มัสญิดเพื่อรอนมาศอัศรี่เสียเลย ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะหลังนมาซอัศรี่น้องแอจึงเดินกลับมาบ้านพักตามปกติ ...
เราจึงสั่งกำชับลูกทีมทุกคนว่า ทีหลังจะไปไหนมาไหนคนเดียวต้องแขวนบัตรห้อยคอด้วยทุกครั้งเพื่อป้องกันเรื่องสุดวิสัยอันจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทางเจ้าหน้าที่หรือผู้พบเห็นก็จะได้แจ้งกลับมายังบริษัทได้ถูกต้อง ...
นมาซมัคริบคืนนี้ อิหม่ามท่านหนึ่งที่หายหน้าไปนาน โผล่กลับมาเป็นอิหม่ามอีกเป็นคืนแรกนับตั้งแต่เราเดินทางเข้ามามักกะฮ์ในครั้งนี้ ซึ่งอิหม่ามท่านนี้ถูกเพื่อนฝูงของเราบางคนที่มาทำหัจญ์เมื่อปีก่อนๆวิจารณ์การอ่านของท่านว่า แม้น้ำเสียงของท่านจะสดใส แต่ทำนองหรือละฆูของท่านกลับไม่น่าฟังเลย ...
เราเองยอมรับว่า น้ำเสียงของอิหม่ามท่านนี้ถือว่าใช้ได้ แต่เห็นด้วยกับเพื่อนในแง่ที่ว่า เวลาท่านขึ้นเสียงสูงทีไรเป็นเสียความรู้สึกทุกที เพราะเป็นการให้เสียงสูงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่มีจังหวะจะโคน, ขาดจินตนาการยิ่งกว่าอิหม่ามมัสญิดหะรอมทุกท่าน ...
พอๆกับอิหม่ามอีกแก่ท่านหนึ่งที่แม้อ่านฟาติหะฮ์จะไม่ถึงกับเร็ว แต่กลับอ่านซูเราะฮ์เร็วเป็นรถด่วนสายบัตเตอร์เวอร์ธจนฟังแทบไม่ทัน ...
ทว่าก็ไม่แน่นัก อาจมีแฟนคลับบางคนชอบทำนองและลีลาการอ่านของทั้งสองท่านนี้ก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของนานาจิตตังอย่างที่เขาว่ากัน ...
วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 28 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
หลังนมาซซุบห์เช้านี้ เราไม่รีบร้อนกลับบ้านพัก แต่ยังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ลานหลังคาห้องน้ำ เพื่อทำหน้าที่เป็นขงเบ้งดูดาว เอ๊ย ดูเดือนเสี้ยวว่า จะสูงสักแค่ไหน ..
ปรากฏว่า เรานั่งอยู่จนเกือบหกโมงเช้าแล้ว เดือนเสี้ยวก็ยังไม่เห็นโผล่พ้นยอดเขาขึ้นมาสักที เห็นแต่ดาวรุ่งดวงนั้นที่ทอแสงสุกปลั่งอยู่ลิบๆเหนือยอดเขา ...
คืนพรุ่งนี้ (วันจันทร์ ที่ 15) ตอนหัวค่ำเป็นคืนดูเดือนเพื่อกำหนดวันที่ 1 เดือนซุลหิจญะฮ์ตามปฏิทินอาหรับ ถ้าคืนพรุ่งนี้มีการเห็นเดือนเสี้ยวปรากฏที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันตก แสดงว่าวันมะรืนหรือวันอังคาร ที่ 16 ตุลาคมนี้เป็นวันที่ 1 เดือนซุลหิจญะฮ์ และวันอีดิ้ลอัฎหาอ์หรือวันรายาหัจญีปีนี้ ก็จะตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ 25 ตุลาคม ...
แต่ถ้าไม่เห็น วันอีดิ้ลอัฎหาอ์ก็จะตรงกับวันศุกร์ ที่ 26 ตุลาคม ...
เราไม่รู้ว่าตามหลักคำนวณดาราศาสตร์คืนพรุ่งนี้จะมีเดือนเสี้ยวหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็ต้องรอฟังข่าวกันต่อไป ...
เราไม่รู้ว่าตามหลักคำนวณดาราศาสตร์คืนพรุ่งนี้จะมีเดือนเสี้ยวหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็ต้องรอฟังข่าวกันต่อไป ...
วันนี้ มีรถบัสขนาดใหญ่จำนวนมาก ขนหุจญาจญ์เข้ามายังนครมักกะฮ์เพื่อรอเวลาทำหัจญ์ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ภายในมัสญิดหะรอมและลานฏอว้าฟจะต้องมีการเบียดเสียดกันแน่นเอี๊ยดอันถือเป็นเรื่องธรรมดาของทุกปีตอนใกล้จะมีการทำหัจญ์ ...
ที่ลานนมาซบนหลังคาห้องน้ำคืนนี้ก็เหมือนกับส่วนอื่นๆของมัสญิดหะรอม ไม่ว่าจะเป็นด้านในหรือด้านนอกมัสญิด เวลานมาซมัคริบและอิชาอ์ ผู้คนดูหนาตายิ่งกว่าทุกคืนที่ผ่านมาอันถือเป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกัน ...
วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 29 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
เช้านี้เราไม่ดูเดือนเสี้ยวแล้ว เพราะรู้ว่าถึงดูก็ไม่เห็น ...
ที่เห็นโดยไม่ต้อง(พิจารณา)ดูก็ดาวรุ่งดวงนั้นแหละ เพราะยังสดใสและสุกสกาวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ...
แต่สิ่งที่เราต้องพิจารณาแทนเดือนเสี้ยวและให้ความสนใจเป็นพิเศษ ณ วันนี้ก็คือ ภูเขาด้านหน้ามัสญิดหะรอม .. ภูเขาลูกที่เราเคยเปรียบเปรยว่า เหมือนบั้นท้ายไดโนเสาร์นอนหมอบตะคุ่มตัวทอดปลายหางไปสู่ปากทางย่านชะอับอามิรฺนั่นแหละ ...
ขณะนี้ บนภูเขาลูกนั้น รถเครนขนาดใหญ่หลายคัน, รถตักดิน, รถขนดินหลายคัน กำลังทำหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้น ...
รถเหล่านั้นขึ้นไปทำอะไรกันบนภูเขาหรือ ? ..
อ๋อ พวกเขากำลังขุดดิน ขนดินกันนะซี! .. ทั้งขุดและขนดินชายเขาด้านใกล้ชะอับอามิรฺจนกลายเป็นที่ราบไปประมาณหนึ่งในสิบห้าส่วนของลูกเขาแล้ว ...
ถ้าจะถามต่อไปว่า พวกเขาขุดภูเขาไปทำไม ? เพื่ออะไร ? ...
คำตอบก็คือ เราก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เท่าที่สอบถามหลายๆคน ต่างมีคำตอบเป็นหลายทฤษฎี (ที่น่าจะเป็น “ทฤษเดา” มากกว่า) ...
บางทฤษฎีบอกว่า เขาต้องการขยายถนน จึงต้องขุดภูเขาด้านหน้าส่วนที่ติดกับถนนให้กว้างขึ้น ...
บางทฤษฎีบอกว่า เขาขุดจุดนั้นให้เป็นที่ต่ำเพื่อรองรับตึกสูงใกล้ๆที่จะถูกถล่มเป็นลำดับต่อไปในเร็ววันนี้ให้เอนล้มลงมาทางด้านนั้น ซึ่งน่าจะใกล้เคียงความจริงที่สุด
บางทฤษฎีบอกว่า เขาจะขุดด้านหน้าของภูเขาทั้งหมดส่วนที่ติดกับถนนให้เป็นที่ราบเพื่อก่อสร้างโรงแรมใหญ่ในอนาคต ...
แต่ทฤษฎีสุดท้ายค่อนข้างหลุดโลกไปเลย .. คือบอกว่ารถเหล่านั้นขุดดิน ขนดินเพื่อทลายภูเขาลูกนั้น .. อาจจะเพียงบางส่วนหรือทั้งลูกยังคาดเดาไม่ได้ .. ให้ราบเรียบเพื่อปรับและขยายพื้นที่บริเวณหน้ามัสญิดหะรอมให้กลายเป็นที่ราบทั้งหมด ...
เราไม่เชื่อทฤษฎีนี้ เพราะถ้าเป็นจริงก็เท่ากับประเทศซาอุฯต้องการลบภูเขาด้านหน้ามัสญิดหะรอมลูกนี้ให้เลือนหายไปจากแผนที่ของนครมักกะฮ์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
ตอนกลับจากมัสญิด เราเดินเถลไถลไปตามร้านขายเสื้อผ้า .. ผ่านหน้าร้านเดิมที่มีลูกจ้างเป็นชาวพม่าที่พูดภาษาไทยได้ดีพอๆกับคนไทยคนนั้น บังเอิญเหลือบเห็นหมวกใบหนึ่งสวยดีจึงแวะเข้าไปถามราคา ลูกจ้างพม่าคนนั้นบอก 15 รียาล ...
เราต่อราคาที่ 10 รียาล แกก็เล่นมุกเดิมอีก บอกว่า 10 รียาลคือราคาที่ทางร้านซื้อมา ...
พูดจาหยอกล้อกันอยู่พักหนึ่งเราหันมาถามราคาหมวกใบนั้นอีกที แกก็ยอมให้ที่ 13 รียาล แต่พอเราควักกระเป๋าจะจ่ายเงินให้แก พบว่าเศษเงินในกระเป๋ามีเพียง 12 รียาล ที่เหลือเป็นแบงค์ร้อยและแบงค์ห้าร้อยรียาลทั้งสิ้น จึงเปิดกระเป๋าให้แกดูจะจะ บอกว่าเศษเงินมีแค่นี้ จะเอาไม่เอา ...
แกก็ไม่พูดอะไร รับเงิน 12 รียาลไปแล้วลุกลี้ลุกลนรีบหยิบหมวกใส่ถุงส่งให้เรา บอกว่า ให้เอาหมวกใส่ถุงกางเกงเร็วๆ เดี๋ยวเจ้าของร้านมาเห็นแล้วแกจะถูกดุว่าขายของผิดราคา
อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ เราโชคดีซื้อปลากะพงมาได้ตัวหนึ่งเพื่อแกงส้ม และไก่อัดแข็งตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งมาต้มยำหรือต้มอะไรก็ได้แล้วแต่แม่ครัว ...
ปรากฏว่าปลากะพงตัวนั้น แม้จะเป็นปลาอัดแข็ง แต่ก็สดซิงๆเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากทะเลยังไงยังงั้น ...
เรียกว่าแกงส้มปลากะพงมื้อนี้ ลบรอยแค้นแกงส้มปลาจาระเม็ดเน่าวันก่อนเสียสนิท ...
ส่วนต้มไก่ก็อร่อยไม่แพ้กัน พวกเราบางคนถึงขนาดยกถ้วยไก่ต้มขึ้นซดโฮกๆอย่างเอร็ดอร่อยและสะใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินทางเข้ามักกะฮ์มา ...
ประมาณสามทุ่มครึ่ง ขณะที่เรากำลังตักน้ำใส่หม้อต้มน้ำขนาดใหญ่เพื่อเตรียมน้ำร้อนไว้บริการหุจญาจญ์ของเราเช้าพรุ่งนี้ แม่ครัวที่ทำอาหารบุฟเฟ่ต์เลี้ยงคนชั้นล่างก็ให้เด็กนำก๋วยเตี๋ยวโถใหญ่มาให้ถึงห้องนอน ...
เราจะเรียกลูกทีมให้ลุกขึ้นมาทาน ทุกคนก็หลับหมดแล้ว เหลือเราตื่นอยู่คนเดียว เลยต้องนั่งโจ้มันคนเดียวจนพุงกาง กระนั้นก็ยังเหลืออีกบานเบอะไว้ให้พรรคพวกพรุ่งนี้เช้า ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น