โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 10 ทีใครทีมัน, ไซเรนท์แห่งเดียวในโลกที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร)
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555
หลังนมาซซุบห์เช้านี้ ยังไม่มีข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องเดือนเสี้ยวว่า เมื่อคืนนี้เห็นหรือไม่เห็น ...
ทุกสิ่งทุกอย่างยังเงียบเป็นเป่าสาก ...
แต่นาศิรฺ ลูกของ อ.อิสมาแอล หรือครูแอปากพยูนบอกว่า ดูอินเตอร์เน็ตเมื่อวานประมาณเกือบบ่ายสามโมงของประเทศซาอุฯ(แต่ตรงกับเวลามัคริบในประเทศไทย) ช่องยาตีมทีวีเมืองไทย มีตัววิ่งรายงานว่าทางประเทศสอุดีอาระเบียได้กำหนดให้วันพุธ ที่ 17 ตุลาคม เป็นวันที่ 1 เดือนซุลหิจญ์ ทั้งนี้นาศิรฺบอกว่า ประเทศซาอุฯได้กำหนดวันดังกล่าวโดยอาศัยการคำนวณดาราศาสตร์ของมหาลัยอุมมุลกุรอซึ่งพวกเขายึดถือเป็นหลักมานานแล้ว ...
ตอนเที่ยง โทรศัพท์ไปหาหะบีบุลลอฮ์ลูกชายซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากสงขลาเมื่อวาน หะบีบุลลอฮ์บอกว่า ดูจากอินเตอร์เน็ตแล้ว แจ้งว่า ทางประเทศสอุดีอารเบียประกาศว่าไม่มีการเห็นเดือนเสี้ยวเมื่อคืนที่ผ่านมา ...
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะอาศัยการคำนวณดาราศาสตร์หรืออาศัยการดูเดือนเสี้ยว วันวุกู้ฟหรือวันอะรอฟะฮ์ปีนี้ก็จะเป็นวันพฤหัสบดี ที่ 25 ตุลาคม และวันอีดิ้ลอัฎหาอ์ปีนี้ก็จะตรงกับวันศุกร์ ที่ 26 ตุลาคม ...
ตอนนมาซอัศรี่ เรานั่งติดกับชายผิวดำสนิทปานนิลคนหนึ่ง ก็คุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เราสังเกตมานานแล้วว่า คนผิวดำส่วนใหญ่เจียมตัวและนิสัยสุภาพ เวลาจะเดินข้ามคนที่กำลังนั่ง พวกเขาจะค้อมตัวขอผ่านทางคล้ายคนไทยเราเหมือนกัน ...
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราภูมิใจขณะนั่งติดกับเขาคนนี้ก็คือ มันทำให้เรานึกถึงหะดีษบทหนึ่งที่ท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อันมีข้อความเป็นปรัชญาว่า ...
اُنْظُرُوْا إلَى مَنْ هُوَ أَسْفَلُ مِنْكُمْ، وَلاَ تَنْظُرُوْا إلَى مَنْ هُوَ فَوْقَكُمْ ...........
“จงมองดูผู้ที่ด้อยกว่าพวกท่าน(แล้วพวกท่านจะสบายใจ) อย่าไปมองดูผู้ที่เหนือกว่าพวกท่าน (เพราะจะทำให้พวกท่านจะไม่สบายใจ) ........”
(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
ที่ว่าภูมิใจก็เพราะเมื่อนั่งติดกันแล้วลองเทียบดูระหว่างเรากับเขา - มือต่อมือ, แขนต่อแขน, เท้าต่อเท้า - แล้วทำให้รู้สึกว่าผิวของเราขาวขึ้นหลายกิโลขีด เรียกว่าขาวขึ้นจนไม่น่าเชื่อ ต่างกับตอนอยู่ที่บ้าน(เมื่อเทียบกับผู้อื่น) เป็นคนละเรื่องเลย ...
เอ๊ะ! แล้วหะดีษบทนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องผิวดำ-ผิวขาวตรงไหน หือ ? ...
วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 1 เดือนซุลหิจญะฮ์)
ตอนสายวันนี้ กำนันหีมหลานชายและแซะฮ์ของเขาคือหะยีหมีด บ่อตรุ เดินทางมาเยี่ยมพวกเราถึงห้องพักพร้อมนำกล้วยหอมหวีใหญ่มาฝากด้วย นั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่งจึงลากลับ ...
การเลือกซื้อกับข้าว 2-3 วันที่ผ่านมานี้เรานำแม่ครัวไปเลือกหากับข้าวเอง ส่วนเราทำหน้าที่เป็นผู้ควักกระเป๋าจ่ายตังอย่างเดียว ก็ดีไปอีกแบบ เพราะไม่ต้องมัวไปนั่งนึกว่า วันนี้จะซื้ออะไรมาแกงดีหว่า .. เหมือนทุกวันที่ผ่านมา ...
หลังตะวันลับขอบฟ้าวันนี้ ถือเป็นวันข้างขึ้น 2 ค่ำของเดือนซุลหิจญะฮ์ตามปฏิทินจันทรคติของอาหรับซึ่งจะนับกลางคืนก่อนกลางวัน ดังนั้นพอนมาซมัคริบเสร็จ เราจึงแหงนดูขอบฟ้าด้านตะวันตกเพื่อมองหาว่าจันทร์เสี้ยวจะสามารถมองเห็นหรือไม่ ..
แรกๆก็ไม่เห็นอะไร แต่หลังจากมองหาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นจันทร์เสี้ยววงบางเฉียบสีขาวซีดลอยอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ๆหออะซานคู่ ซึ่งถ้าไม่สังเกตจริงๆจะมองไม่เห็นเนื่องจากถูกบดบังด้วยแสงกล้าจากสปอร์ตไลท์บนเสาสูงใกล้ตำแหน่งปรากฏของเดือนเสี้ยวนั้น ...
และตามที่ตัวแทนของมักตับ (สำนักงานบริการภาคสนามของซาอุฯ)แจ้งกับทางบริษัทฯเมื่อคืนหลังจากประชุมกันแล้ว ทางมักตับจะจัดรถมานำพวกเราไปมินาในวันอังคาร ที่ 23 ตุลาคมค่ำลงหลังนมาซมัคริบ โดยพวกเราได้คิวที่ 19 จากทั้งหมด 24 คิวด้วยกัน ซึ่งคิวรถคันแรกจะเริ่มขนหุจญาจญ์เวลาเย็นหลังนมาซอัศรี่เป็นต้นไป ...
อ้อ ที่อยู่ของพวกเราที่มินาปีนี้คือมักตับที่ 86 และเท่าที่ทราบมีหุจญาจญ์อยู่รวมกันในมักตับนี้ประมาณ 2500 กว่าคน ...
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 2 เดือนซุลหิจญะฮ์)
หลังนมาซซุบห์เสร็จ ขณะกำลังเดินกลับจากมัสญิดหะรอมพร้อมประชาชนจำนวนแสนหรือหลายแสนคนเต็มพืดบนท้องถนน ก็มีรถตำรวจคันหนึ่งวิ่งช้าๆส่งเสียงขอทางมาจากด้านหลัง ซึ่งประชาชนต่างก็หลีกทางให้โดยดี ...
ที่เห็นแปลกก็คือ ถ้าเป็นรถตำรวจบ้านเราวิ่งขอทางแบบนี้ รับรองว่าจะต้องอวดเบ่งโชว์ความเป็นจ้าวถนนด้วยการเปิดหวอหรือไซเรนท์จนชาวบ้านชาวช่องหูแทบแตกและวิ่งหลบหลีกกันกระเจิดกระเจิงแน่ๆ ...
แต่เสียงขอทางของรถตำรวจจราจรมักกะฮ์ จะมีเสียงดัง ป๊อกๆ, ป๊อกๆ, ป๊อกๆ เป็นจังหวะ เหมือนใครเอาจวักไปเคาะกะลามะพร้าวยังไงยังงั้น ...
ก็ฟังดูเท่น่ารักและเก๋ดีไปอีกแบบ ...
ประมาณสามโมงเช้า ฮารูนและส่าริขอหลานสาวก็มารับพวกเราทั้งหมดไปเที่ยวที่ศูนย์การค้าใหญ่อันเลื่องชื่อที่สุดของนครมักกะฮ์ คือบินดาวูดซึ่งอยู่ใต้หอนาฬิกาใหญ่ของมัสญิดหะรอม พวกเราแทบทุกคนเลือกซื้อของที่ถูกใจไปฝากคนทางบ้านคนละชิ้นสองชิ้น เราเองก็ได้นาฬิกาข้อมือ 2 เรือนเป็นเงิน 630 รียาลไปฝากคนที่บ้านเช่นเดียวกัน
ตอนกลับจากศูนย์การค้าก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว และก่อนออกจากที่พักมาช่วงสามโมงเช้าก็ไม่ได้จัดเตรียมกับข้าวอะไรไว้เลย ดังนั้นอาหารมื้อเที่ยงเราจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการไปซื้อไก่หมุนมา 2 ตัว แต่ถูกทางร้านขูดรีดราคาอย่างเจ็บแสบ เพราะมันคิดราคาถึงตัวละ 24 รียาล ...
ทั้งๆที่ตอนเราเพิ่งมาถึงมักกะฮ์ใหม่ๆยังจำได้แม่นยำว่ามันขายแค่ราคาตัวละ 20 รียาล เท่านั้น ...
เออ ทีใครก็ทีใคร เอ็งอย่าไปหาดใหญ่บ้างก็แล้วกัน เอ็งไปเมื่อไหร่จะยุพรรคพวกที่เปิดร้านขายอาหารให้ขายเอ็งจานละ 400 บาทเลยเอ้า ...
ประมาณสามทุ่ม อะลีย์กุ๊กของอาหารบุฟเฟต์ชั้นล่างก็นำข้าวต้มอาหรับ มีใส่นมสดและเนื้อแพะชิ้นโตๆพร้อมเครื่องเคียงบางอย่างด้วย มาเลี้ยงพวกแซะฮ์ของบริษัทอัล-จาซีร่าบนชั้นดาดฟ้าชั้น 4 อันเป็นลานตากเสื้อผ้าของพวกเรา รสชาติแปลกแต่ก็อร่อยดี โดยเฉพาะกับเราซึ่งเป็นคอข้าวต้มประเภทมืออาชีพอยู่แล้ว ...
กินข้าวต้มเสร็จพวกแซะฮ์ทั้งหมดก็ปรึกษาหารือและกำหนดแผนการทำหัจญ์ที่กำลังจะมาถึงในอีก 3-4 วันข้างหน้า ในการนี้เพื่อความรอบคอบก็มีการถกเถียงและอภิปรายเรื่องหลักฐานบางอย่างของการทำหัจญ์ตามซุนนะฮ์ ซึ่งก็มีบางปัญหาที่พวกแซะฮ์แทบทุกคนไม่เคยรับรู้ข้อมูลมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องกลับมาครองชุดเอี๊ยะห์รอมใหม่สำหรับผู้ที่มิได้ฏอว้าฟอิฟาเฎาะฮ์ก่อนตะวันตกดินในวันที่ 10 นั้น ซึ่งเราต้องทำหน้าที่อธิบายหะดีษและชี้แจงข้อสงสัยและข้อโต้แย้งของพวกแซะฮ์หลายคนจนถึงเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันไปหลับนอน ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น