ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
ถาม
อัสลามูอาลัยกุม อาจารย์ มีบทความที่มีการส่งมาทางไลน์ ไม่ทราบว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่เนื้อหามันช่างอัตถรส และสุดซึ้งมากค่ะ จึงโพสต์มาให้อาจารย์อ่านดู
>>>เนื้อนี้ฮาล้าลสำหรับฉันแต่ฮารอมสำหรับท่าน
อุลามาใหญ่ท่านหนึ่ง คือ อับดุลเราะห์มาน อัล มัรวาซี อัล มุบารอก อัล ฮันซาลี ท่านเป็นอุลามาที่โด่งดังมากที่มักกะห์ เรื่องมีอยู่ว่า ในครั้งหนึ่งหลังจากทีท่านทำฮัจย์แล้ว ท่านได้นอนพักและหลับไป ในความฝันท่านได้เห็นมลาอิกะห์ 2 องค์ลงมาจากฟากฟ้า ท่านได้แอบได้ยินการสนทนาของมลาอิกะห์ทั้งสอง
“คนที่มาทำฮัจย์ในปีนี้มีจำนวนเท่าไหร่กัน”
“7 แสนคน”
“มีกี่คนที่อัลเลาะฮ์ทรงรับผลบุญการทำฮัจย์ของเขา”
“ไม่มีสักคนเดียว”
การสนทนานั้นทำให้อับดุลเราะห์มานสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“อะไรกันนี่ คนเหล่านี้เดินทางมาด้วยระยะทางไกล จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยความยากลำบาก ผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ แต่ความพยายามทั้งหลายของพวกเขานั้นสูญเปล่า” แม้จะอยู่ในความหวาดกลัว แต่เขาก็ทันได้ยินเรื่องของมลาอิกะห์เรื่องที่สอง
“แต่ว่ายังมีอยู่คนหนึ่งเขาไม่ได้ไปทำฮัจย์ แต่ว่าอัลเลาะฮ์ทรงรับการทำฮัจย์ของเขา และบาปของเขาทั้งหมดได้รับการอภัย ด้วยกับบาร่อกัตของชายคนนี้ ทำให้ญามาอะห์ฮัจยีทั้งหมดที่ไปในปีนั้นได้รับการยอมรับจากอัลเลาะฮ์”
ทำไม ? จึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามันเป็นความประสงค์ของอัลเลาะฮ์
“ใครหรือ คือ ชายคนนั้น”
“เขาคือ ซาอิ๊ด บิน มุฮาฟะห์ ช่างเย็บรองเท้าที่เมือง ดามชิก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอุลามานั้นก็ได้ตื่นขึ้น เมื่อกลับจากฮัจย์เขาไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่เขาได้เดินทางไปยังเมืองดามชิก ซีเรีย
เมื่อไปถึงที่นั่นเขารีบไปหาบ้านของช่างเย็บรองเท้าในความฝันของเขาทันที ที่ชานเมืองเขาได้พบกับช่างเย็บรองเท้าคนหนึ่ง แต่งตัวมอมแมม
“ท่านชื่อ ซาอิ๊ด บิน มุฮาฟะห์ใช่หรือไม่”
“ใช่ แล้วท่านเล่าเป็นใคร ?”
“ฉันคือ อับดุลเลาะห์ บิน มุบารอก”
“ซาอิ๊ดเกิดความตกใจมาก “ท่านคืออุลามาที่โด่งดัง ทำไมท่านจึงมาหาฉัน”
อุลามานั้นรู้สึกไม่รู้จะเริ่มตรงไหน แต่ในที่สุดเขาก็ได้เล่าความฝันของเขานั้นให้ฟัง
“ฉันอยากรู้ อะไรคือสิ่งที่ท่านได้ทำ จนกระทั่งเหมาะสมที่ท่านได้รับฮัจย์มับรู๊ต”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ไม่นานนักซาอิ๊ดก็นึกได้
“ทุกๆปี ทุกๆช่วงเวลาฮัจย์ ฉันมักจะได้ยินเสียง ...ลับบัยกะ อัลลอ ฮุมมะ ลับบัย...”
ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเสียงมันทำให้ฉันร้องไห้ “โอ้ อัลเลาะฮ์ ฉันคิดถึงมักกะห์ โอ้ อัลเลาะฮ์ ฉันคิดถึงกะบะห์ ได้โปรดอนุญาตให้ฉันได้ไปทำฮัจย์ด้วยเทอญ”
ด้วยสาเหตุนั้นเองเป็นเวลานับสิบๆปี ทุกวันฉันได้เก็บรวบรวมเงินทีละนิดจากงานเย็บรองเท้าของฉัน สุดท้ายฉันเก็บเงินได้ 350 ดิรฮัม เพียงพอที่ฉันจะไปทำฮัจย์
“แต่ว่าท่านได้ล้มเลิกมัน”
“ใช่”
“เกิดอะไรขึ้น ?”
ภรรยาของฉันตั้งครรภ์และแพ้ท้อง ในตอนที่ฉันจะเดินทาง ภรรยาของฉันแพ้ท้องมากและต้องการสิ่งหนึ่ง
“บัง ฉันได้กลิ่นอาหารที่หอมเหลือเกิน บังช่วยไปตามหากลิ่นนั้น แล้วหาว่าใครเป็นคนทำอาหาร กลิ่นมันช่างหอมน่าเอร็ดอร่อยเหลือเกิน บังช่วยขอเขามาให้ฉันสักถ้วยหนึ่ง ฉันอยากทานมันจริงๆ”
กลิ่นอาหารนั้นมาจากบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง ที่นั่นฉันได้พบหญิงหม้ายคนหนึ่งและลูกๆ 6 คนของนาง
ฉันจึงได้บอกแก่นางว่าภรรยาของฉันแพ้ท้องและอยากกินอาหารจากอาหารที่ท่านกำลังทำอยู่ ขอฉันหน่อยได้ไหม แม้เพียงสักนิดก็ยังดี แม่หม้ายนั้นนิ่งเงียบ จนฉันต้องย้อนบอกความต้องการของฉันอีกครั้งหนึ่ง
สุดท้ายนางได้กล่าวว่า “ไม่ได้หรอกท่าน” “ฉันขอซื้อได้ไหม แม้ว่าราคาจะสูงเท่าใดก็ตาม”
“อาหารนี้ไม่ใช่สำหรับขาย ท่าน” แม่หม้ายนั้นน้ำตาเริ่มไหล ฉันได้ถามนางว่า ทำไม ?
“นางได้ร้องไห้และกล่าวว่า นี่คือเนื้อที่ฮาล้าลสำหรับฉัน แต่มันฮารามสำหรับท่าน”
ในใจของฉันคิดว่า “อย่างไรกันหรือ ฮาล้าลสำหรับนาง แต่ว่าฮารามสำหรับฉัน ทั้งๆที่เราก็เป็นมุสลิมเหมือนกัน ฉันจึงได้ถามนางไปอีกครั้งว่า ทำไมหรือ”
นางตอบว่า
“ฉันและลูกไม่ได้ทานอาหารมาหลายวันแล้ว ที่บ้านนี้ไม่มีอาหาร วันนี้ฉันได้ไปพบลาตัวหนึ่งนอนตายอยู่ ฉันจึงได้ตัดเนื้อบางส่วนมา”
“สำหรับฉันแล้ว มันคือเนื้อที่ฮาล้าล เพราะว่าถ้าฉันไม่กินมันแล้ว ฉันคงต้องตายเพราะความหิว แต่สำหรับท่านเนื้อนี้มันคือฮารอม”
เมื่อฉันได้ยินเรื่องเล่าของหญิงหม้ายนี้ ฉันได้ร้องไห้ และฉันได้รีบกลับไปบ้าน
ฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาฟัง เธอร้องไห้
สุดท้ายฉันจึงได้ปรุงอาหารที่บ้านแล้วนำไปให้กับนาง
“นี่คืออาหารสำหรับท่าน”
และเงินอีก 350 ดิรฮัมที่ฉันเก็บไว้เพื่อไปทำฮัจย์นั้น ฉันขอมอบให้ท่าน
“จงใช้เงินนี้เพื่อเธอและครอบครัว เป็นทุนทำการค้า เพื่อที่เธอและลูกๆจะได้ไม่หิวอีกต่อไป”
โอ้ อัลเลาะฮ์ นี่แหละ คือ ฮัจย์ของฉัน….
โอ้ อัลเลาะฮ์ นี่คือ มักกะห์ของฉัน.....
เมื่อได้ยินเรื่องนี้จนจบ อับดุลเลาะฮ์ บิน มุบารอก ก็ไม่สามารถจะกลั้นททของเขาได้อีกต่อไป..cr. พี่น้องผม ราเยส และ ลาหลิม คาน
>>>เนื้อนี้ฮาล้าลสำหรับฉันแต่ฮารอมสำหรับท่าน
อุลามาใหญ่ท่านหนึ่ง คือ อับดุลเราะห์มาน อัล มัรวาซี อัล มุบารอก อัล ฮันซาลี ท่านเป็นอุลามาที่โด่งดังมากที่มักกะห์ เรื่องมีอยู่ว่า ในครั้งหนึ่งหลังจากทีท่านทำฮัจย์แล้ว ท่านได้นอนพักและหลับไป ในความฝันท่านได้เห็นมลาอิกะห์ 2 องค์ลงมาจากฟากฟ้า ท่านได้แอบได้ยินการสนทนาของมลาอิกะห์ทั้งสอง
“คนที่มาทำฮัจย์ในปีนี้มีจำนวนเท่าไหร่กัน”
“7 แสนคน”
“มีกี่คนที่อัลเลาะฮ์ทรงรับผลบุญการทำฮัจย์ของเขา”
“ไม่มีสักคนเดียว”
การสนทนานั้นทำให้อับดุลเราะห์มานสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“อะไรกันนี่ คนเหล่านี้เดินทางมาด้วยระยะทางไกล จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยความยากลำบาก ผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ แต่ความพยายามทั้งหลายของพวกเขานั้นสูญเปล่า” แม้จะอยู่ในความหวาดกลัว แต่เขาก็ทันได้ยินเรื่องของมลาอิกะห์เรื่องที่สอง
“แต่ว่ายังมีอยู่คนหนึ่งเขาไม่ได้ไปทำฮัจย์ แต่ว่าอัลเลาะฮ์ทรงรับการทำฮัจย์ของเขา และบาปของเขาทั้งหมดได้รับการอภัย ด้วยกับบาร่อกัตของชายคนนี้ ทำให้ญามาอะห์ฮัจยีทั้งหมดที่ไปในปีนั้นได้รับการยอมรับจากอัลเลาะฮ์”
ทำไม ? จึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามันเป็นความประสงค์ของอัลเลาะฮ์
“ใครหรือ คือ ชายคนนั้น”
“เขาคือ ซาอิ๊ด บิน มุฮาฟะห์ ช่างเย็บรองเท้าที่เมือง ดามชิก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอุลามานั้นก็ได้ตื่นขึ้น เมื่อกลับจากฮัจย์เขาไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่เขาได้เดินทางไปยังเมืองดามชิก ซีเรีย
เมื่อไปถึงที่นั่นเขารีบไปหาบ้านของช่างเย็บรองเท้าในความฝันของเขาทันที ที่ชานเมืองเขาได้พบกับช่างเย็บรองเท้าคนหนึ่ง แต่งตัวมอมแมม
“ท่านชื่อ ซาอิ๊ด บิน มุฮาฟะห์ใช่หรือไม่”
“ใช่ แล้วท่านเล่าเป็นใคร ?”
“ฉันคือ อับดุลเลาะห์ บิน มุบารอก”
“ซาอิ๊ดเกิดความตกใจมาก “ท่านคืออุลามาที่โด่งดัง ทำไมท่านจึงมาหาฉัน”
อุลามานั้นรู้สึกไม่รู้จะเริ่มตรงไหน แต่ในที่สุดเขาก็ได้เล่าความฝันของเขานั้นให้ฟัง
“ฉันอยากรู้ อะไรคือสิ่งที่ท่านได้ทำ จนกระทั่งเหมาะสมที่ท่านได้รับฮัจย์มับรู๊ต”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ไม่นานนักซาอิ๊ดก็นึกได้
“ทุกๆปี ทุกๆช่วงเวลาฮัจย์ ฉันมักจะได้ยินเสียง ...ลับบัยกะ อัลลอ ฮุมมะ ลับบัย...”
ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเสียงมันทำให้ฉันร้องไห้ “โอ้ อัลเลาะฮ์ ฉันคิดถึงมักกะห์ โอ้ อัลเลาะฮ์ ฉันคิดถึงกะบะห์ ได้โปรดอนุญาตให้ฉันได้ไปทำฮัจย์ด้วยเทอญ”
ด้วยสาเหตุนั้นเองเป็นเวลานับสิบๆปี ทุกวันฉันได้เก็บรวบรวมเงินทีละนิดจากงานเย็บรองเท้าของฉัน สุดท้ายฉันเก็บเงินได้ 350 ดิรฮัม เพียงพอที่ฉันจะไปทำฮัจย์
“แต่ว่าท่านได้ล้มเลิกมัน”
“ใช่”
“เกิดอะไรขึ้น ?”
ภรรยาของฉันตั้งครรภ์และแพ้ท้อง ในตอนที่ฉันจะเดินทาง ภรรยาของฉันแพ้ท้องมากและต้องการสิ่งหนึ่ง
“บัง ฉันได้กลิ่นอาหารที่หอมเหลือเกิน บังช่วยไปตามหากลิ่นนั้น แล้วหาว่าใครเป็นคนทำอาหาร กลิ่นมันช่างหอมน่าเอร็ดอร่อยเหลือเกิน บังช่วยขอเขามาให้ฉันสักถ้วยหนึ่ง ฉันอยากทานมันจริงๆ”
กลิ่นอาหารนั้นมาจากบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง ที่นั่นฉันได้พบหญิงหม้ายคนหนึ่งและลูกๆ 6 คนของนาง
ฉันจึงได้บอกแก่นางว่าภรรยาของฉันแพ้ท้องและอยากกินอาหารจากอาหารที่ท่านกำลังทำอยู่ ขอฉันหน่อยได้ไหม แม้เพียงสักนิดก็ยังดี แม่หม้ายนั้นนิ่งเงียบ จนฉันต้องย้อนบอกความต้องการของฉันอีกครั้งหนึ่ง
สุดท้ายนางได้กล่าวว่า “ไม่ได้หรอกท่าน” “ฉันขอซื้อได้ไหม แม้ว่าราคาจะสูงเท่าใดก็ตาม”
“อาหารนี้ไม่ใช่สำหรับขาย ท่าน” แม่หม้ายนั้นน้ำตาเริ่มไหล ฉันได้ถามนางว่า ทำไม ?
“นางได้ร้องไห้และกล่าวว่า นี่คือเนื้อที่ฮาล้าลสำหรับฉัน แต่มันฮารามสำหรับท่าน”
ในใจของฉันคิดว่า “อย่างไรกันหรือ ฮาล้าลสำหรับนาง แต่ว่าฮารามสำหรับฉัน ทั้งๆที่เราก็เป็นมุสลิมเหมือนกัน ฉันจึงได้ถามนางไปอีกครั้งว่า ทำไมหรือ”
นางตอบว่า
“ฉันและลูกไม่ได้ทานอาหารมาหลายวันแล้ว ที่บ้านนี้ไม่มีอาหาร วันนี้ฉันได้ไปพบลาตัวหนึ่งนอนตายอยู่ ฉันจึงได้ตัดเนื้อบางส่วนมา”
“สำหรับฉันแล้ว มันคือเนื้อที่ฮาล้าล เพราะว่าถ้าฉันไม่กินมันแล้ว ฉันคงต้องตายเพราะความหิว แต่สำหรับท่านเนื้อนี้มันคือฮารอม”
เมื่อฉันได้ยินเรื่องเล่าของหญิงหม้ายนี้ ฉันได้ร้องไห้ และฉันได้รีบกลับไปบ้าน
ฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาฟัง เธอร้องไห้
สุดท้ายฉันจึงได้ปรุงอาหารที่บ้านแล้วนำไปให้กับนาง
“นี่คืออาหารสำหรับท่าน”
และเงินอีก 350 ดิรฮัมที่ฉันเก็บไว้เพื่อไปทำฮัจย์นั้น ฉันขอมอบให้ท่าน
“จงใช้เงินนี้เพื่อเธอและครอบครัว เป็นทุนทำการค้า เพื่อที่เธอและลูกๆจะได้ไม่หิวอีกต่อไป”
โอ้ อัลเลาะฮ์ นี่แหละ คือ ฮัจย์ของฉัน….
โอ้ อัลเลาะฮ์ นี่คือ มักกะห์ของฉัน.....
เมื่อได้ยินเรื่องนี้จนจบ อับดุลเลาะฮ์ บิน มุบารอก ก็ไม่สามารถจะกลั้นททของเขาได้อีกต่อไป..cr. พี่น้องผม ราเยส และ ลาหลิม คาน
ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม ..
ผมก็ไม่ทราบว่ามันจริงหรือเท็จ แต่ส่วนตัวผม ไม่เชื่อครับ เพราะ
ผมก็ไม่ทราบว่ามันจริงหรือเท็จ แต่ส่วนตัวผม ไม่เชื่อครับ เพราะ
(1) ตอนแรกอ้างว่า อูละมาอ์ใหญ่ท่านนั้นชื่ออับดุรฺเราะห์มาน แต่ตอนหลังบอกว่า ชื่ออับดุลลอฮ์ บินมุบาร็อก ซึ่งเป็นเรื่องของความมั่ว เพราะท่านอับดุรฺเราะห์มานที่เอ่ยชื่อตอนแรก เป็นบุตรชายของท่านอับดุลลอฮ์ สองคนนั้นจึงจึงเป็นลูกกับพ่อ มิใช่เป็นบุคคลเดียวกัน
(2) อ้างว่า ในสมัยของท่านอับดุลลอฮ์ บินมุบาร็อก (ฮ.ศ. 118-181 คือ 1300 กว่าปีมาแล้ว) ผู้เดินทางไปทำหัจญ์มีถึงเจ็ดแสนคน ขณะที่ปี พ.ศ. 2516 คาบ 2517 (คือ 40 ปีที่ผ่านมา) ที่ผมเดินทางไปทำหัจญ์กับเรือนครธน จำได้ว่า ตามที่ทางการซาอุฯออกใบแจ้งมา มีผู้ไปทำหัจญ์ไม่ถึงเจ็ดแสนคนเลย ..
(3) อ้างว่า ผู้ทำหัจญ์ "ทุกคน" ในปีนั้น (?) ไม่มีใครได้รับผลบุญจากหัจญ์เลยแม้แต่คนเดียวซึ่งผมถือว่า เป็นเรื่องเท็จล้วนๆ ..
(4) อ้างว่า ชายผู้นั้นไม่ได้เดินทางไปทำหัจญ์ แต่อัลลอฮ์ทรงตอบรับการทำหัจญ์ของเขา
(5) อ้างว่า การทำหัจญ์ของคนทั้งเจ็ดแสนที่อัลลอฮ์ไม่รับ แต่พระองค์ยอมรับหัจญ์ของพวกเขาเพราะบะรอกัตของชายคนนี้คนเดียว ฯลฯ ...
มันเป็นบทความใช้สอน....และน่าอ่านถึงแม้ทบความนี้จะใช่เรื่องจริงหรือไม่แต่ถ้าคนเรามีวิจารนญาณใช้สมองคิดก็จะทำให้ได้คำตอบหรือความหมายหรือคำสอนจากบทความได้
ตอบลบ