โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนจบ)
หะดีษบทนี้, จากกระแสนี้ -- ตามหลักวิชามุศฏอละฮ์หะดีษ -- ก็ดังที่ท่านอัล-อัลบานีย์กล่าวไว้ คือเป็นหะดีษมุอฺฎ็อล .. หมายถึงหะดีษซึ่งผู้รายงานของมันขาดหายไป 2 คนหรือมากกว่านั้น จากตอนกลางสายรายงาน จึงถือเป็นสายรายงานที่เฎาะอีฟ ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วในกระแสที่ 5 ....
แต่นักวิชาการฟิกฮ์และนักวิชาการอุศูลฯ จะเรียกหะดีษลักษณะนี้ว่า หะดีษมุรฺซัล
ตามปกติ หะดีษมุรฺซัลจะอ้างเป็นหลักฐานได้หรือไม่นั้น นักวิชาการหะดีษจะมีทัศนะขัดแย้งกันเป็น 9 ทัศนะด้วยกัน .. ซึ่งสรุปก็คือนักวิชาการส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับหะดีษมุรฺซัลเป็นหลักฐาน เว้นแต่มันได้รับการสนับสนุนจากหะดีษกระแสอื่นที่มีสายรายงานต่อเนื่องเท่านั้น ...
แต่นักวิชาการหะดีษที่มีชื่อเสียงหลายท่าน อาทิเช่น ท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน, ท่านอะลีย์ บินอัล-มะดีนีย์ เป็นต้นกล่าวว่า ถ้าเป็นที่รับรู้ (หรือมั่นใจ) ว่าผู้รายงานหะดีษมุรฺซัลนั้น จะไม่รายงานหะดีษมุรฺซัลเว้นแต่ "จากผู้ที่เชื่อถือได้" เท่านั้น ก็ให้ยอมรับหะดีษมุรฺซัลของเขามาเป็นหลักฐานได้ ..ซึ่งท่านอัล-อะลาอีย์ก็กล่าวยอมรับว่า ทัศนะนี้น่าจะมีน้ำหนักมากที่สุดและเป็นกลางที่สุดในปัญหานี้ยิ่งกว่าทัศนะอื่นๆ ...
(จากหนังสือ “อัต-ตัดลีซ ฟิลหะดีษ” ของท่านมิซฟิรฺ บินฆ็อรฺมุลลอฮ์ หน้า 19)
เมื่อพิจารณาดูตามคำอธิบายข้างต้น หะดีษมุรฺซัลของท่านอิหม่ามมาลิก เรื่องการให้ยึดถือกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์บทนี้ ก็สามารถนำอ้างเป็นหลักฐานได้ เพราะมีเงื่อนไขครบถ้วนทั้ง 2 ประการคือ ...
1. ได้รับการสนับสนุนจากกระแสอื่นที่มีสายรายงานต่อเนื่อง (คือกระแสที่ 6 ที่ผ่านมาแล้ว) ...
2. ท่านอิหม่ามมาลิก ได้รายงานหะดีษบทนี้มาจากผู้ที่เชื่อถือได้ - คือท่านเษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์ - ดังจะได้กล่าวต่อไป ..
สถานภาพหะดีษมุรฺซัลในหนังสือ "อัล-มุวัฏเฏาะอ์" ของท่านอิหม่ามมาลิก
ท่านอัส-สะยูฏีย์ได้กล่าวว่า ...
مَا مِنْ مُرْسَلٍ فِى الْمُوَطَّأِ إِلاَّ وَلَهُ عَاضِدٌ أَوْ عَوَاضِدُ،........ فَالصَّوَابُ إِطْلاَقُ أَنَّ الْمُوَطَّأَ صَحِيْحٌ لاَ يُسْتَثْنىَ مِنْهُ شَيْئٌ ...
“ไม่มีหะดีษมุรฺซัลในหนังสืออัล-มุวัฏเฏาะอ์ (ของท่านอิหม่ามมาลิก)บทใด เว้นแต่มันจะต้องมีหลักฐานสนับสนุนหนึ่งบทหรือหลายบทเสมอ ..... ที่ถูกต้องนั้นจึงสามารถกล่าวได้โดยปราศจากข้อแม้ว่า แท้จริง (หะดีษมุรฺซัล)ในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอฺ” เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ ไม่มียกเว้นแม้แต่บทเดียว” ...
(จากหนังสือ “ตันวีรุลหะวาลิก” ของท่านอิหม่ามอัส-สะยูฏีย์ เล่มที่ 1 หน้า 6) ...
ท่านอิบนุอับดุลบัรรฺ กล่าวว่า ...
مُرْسَلاَتُ مَالِكٍ كُلُّهَا صَحِيْحَةٌ مُسْنَدَةٌ!
“บรรดาหะดีษมัรฺซัล(ทั้งหมด) ของท่านอิหม่ามมาลิก เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์, (เพราะ)มีการรายงานอย่างต่อเนื่อง(จากกระแสอื่น) ...
(จากหนังสือ “ตันวีรุลหะวาลิก” เล่มที่ 1 หน้า 38) ...
วิเคราะห์เชิงลึกหะดีษนี้จากการบันทึกของท่านอิหม่ามมาลิก
นอกจากการยอมรับความถูกต้องของนักวิชาการบางท่านต่อหะดีษมุรฺซัลของอิหม่ามมาลิกในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” ดังกล่าวมาแล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาจากการรายงานหะดีษบทนี้ของท่านอิหม่ามมาลิกก็คือ คำกล่าวของท่านที่ว่า ...
بَلَغَنِىْ أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ ... : (มีรายงานมาถึงฉันว่า ท่าน นบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า .............................. )
คำว่า بَلَعَنِىْ (มีรายงานมาถึงฉัน) มิใช่เป็นการกล่าวอ้างถึงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมลอยๆหรือโดยพลการ แต่แสดงว่าหะดีษบทนี้ก็ “มีสายรายงาน” ของมัน เหมือนกับหะดีษบทอื่นๆด้วย เพียงแต่ท่านมิได้ระบุมันเท่านั้น ...
ท่านอิบนุอับดิลบัรรฺกล่าวว่า ท่านอิหม่ามมาลิกได้รายงานหะดีษในลักษณะข้างต้นนี้ (คือพูดว่า “มีรายงานมาถึงฉัน” หรือ “ผู้ที่เชื่อถือได้ กล่าวกับฉัน” โดยไม่มีการระบุสายรายงานไว้ด้วย)ในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” ของท่านรวม 61 หะดีษ, และทุกๆหะดีษก็ล้วนมี “สายรายงานที่ต่อเนื่องจากกระแสอื่น” มายืนยันทั้งสิ้น นอกจากเพียง 4 หะดีษเท่านั้น ...
(จากหนังสือ “อัซ-ซุรฺกอนีย์ฯ” เล่มที่ 1 หน้า 14, และหนังสือ “ตันวีรุลหะวาลิก” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ เล่มที่ 1 หน้า 6) ...
และสี่หะดีษที่ว่านี้ ก็ไม่ปรากฏมีหะดีษเรื่องกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์รวมอยู่ด้วย
ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ...
1. ท่านอิหม่ามมาลิกได้รับรายงานหะดีษเรื่อง ให้ยึดถือกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์ บทนี้มาจากใคร ? ...
2. เพราะเหตุใดท่านอิหม่ามมาลิกจึงไม่ยอมระบุสายรายงาน .. หรือผู้ที่รายงานหะดีษนี้ต่อท่าน ? ...
คำตอบจากคำถามข้อแรก
เราได้รับทราบมาแล้วจากหะดีษกระแสที่ 6 ว่า สายรายงานของหะดีษกระแสที่ 6คือ ท่านอับดุลลอฮ์ บินอับดุลลอฮ์ อบีย์อุวัยส์ ได้รายงานมาจากท่านเษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์, จากท่านอิกริมะฮ์, จากท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ! ...
และ ท่าน “เษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์” ผู้รายงานจากกระแสที่ 6 นี้ ก็เป็น "ครู" ผู้ถ่ายทอดหะดีษหลายบทให้แก่ท่านอิหม่ามมาลิกและแก่ท่านอับดุลลอฮ์ อบีย์อุวัยส์ ...
เมื่อท่านอับดุลลอฮ์ อบีย์อุวัยส์ ได้รายงานหะดีษบทนี้มาจากท่านเษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์ ...
จึงไม่มีข้อสงสัยใดๆที่ท่านอิหม่ามมาลิกซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง, เป็นพี่เมีย และเป็นเพื่อนสนิทของท่านอบีย์อุวัยส์ และเป็นศิษย์ของท่านเษาร์ บินซัยด์ ด้วย จะต้องได้รับรายงานหะดีษบทเดียวกันนี้มาจากท่านเษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์เช่นเดียวกัน ...
ถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง เราก็จะได้อีกสายรายงานหนึ่งดังนี้ ...
ท่านอิหม่ามมาลิก, ได้รายงานจากท่านเษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์, ได้รายงานจากท่านอิกริมะฮ์, ได้รายงานจากท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. .. จากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่กล่าวว่า ..
تَرَكْتُ فِيْكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوْا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا، كِتَابَ اللهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ
“ฉันได้ละไว้ในหมู่พวกท่าน 2 ประการ ซึ่งพวกท่านจะไม่หลงทางตราบใดที่พวกท่านยึดมั่นในสองประการนี้ (นั่นคือ) กิตาบุลลอฮ์ (อัล-กุรฺอ่าน) และซุนนะฮ์ (แบบอย่าง) แห่งนบีย์ของพระองค์” ...
สายรายงานนี้ (ตามข้อสันนิษฐานนี้) ถือว่าเป็นสายรายงานที่ถูกต้อง ปราศจากข้อบกพร่องใดๆทั้งสิ้น ..
และท่านอิหม่ามมาลิกก็จะถูกเรียกตามหลักวิชามุศฏอลาห์หะดีษว่า เป็น مُتَابِعٌ ของท่านอับดุลลอฮ์ อบีย์อุวัยส์ .. คือ เป็นผู้รายงานหะดีษนี้มาจากท่านเษาร์ .. สอดคล้องกับรายงานของท่านอับดุลลอฮ์ อบีย์อุวัยส์ ...
คำตอบจากคำถามข้อที่ 2
ปัญหาข้อที่สองต่อมามีอยู่ว่า ถ้าท่านอิหม่ามมาลิกได้รับรายงานหะดีษนี้มาจากท่านเษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์จริง และท่านซัยด์ก็เป็นผู้รายงานที่เชื่อถือได้ ...
ทำไมท่านอิหม่ามมาลิกจึงต้องรายงานหะดีษนี้ในลักษณะมุรฺซัล โดยไม่ยอมระบุสายรายงานนี้(ดังที่ผมตั้งข้อสัณนิษฐานไว้) ในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” ของท่าน ? ...
คำตอบก็คือ เพราะท่านเษาร์ ได้รายงานหะดีษบทนี้มาจากท่านอิกริมะฮ์! ...
ผมได้อธิบายพร้อมหลักฐานที่ผ่านมาแล้วซึ่งบ่งชี้ว่า ท่านอิหม่ามมาลิกรังเกียจท่านอิกริมะฮ์ว่าฝักใฝ่อยู่กับพวกคอวาริจญ์! .. ถึงขนาดไม่ยอมเอ่ยถึงหรือรายงานหะดีษบทใดจากท่านอิกริมะฮ์เลยในหนังสือ “อัล-มุวัฏเฏาะอ์” ของท่าน, นอกจากเพียงบทเดียวในเรื่องหัจญ์ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิหม่ามมาลิกจึงยอมรายงานหะดีษนี้ในลักษณะมุรฺซัลด้วยคำว่า “มีรายงานมาถึงฉัน, จากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” แทนที่จะพูดว่า “ฉันได้รับฟังมาจากท่านเษาร์ บินซัยด์ อัด-ดีลีย์, ซึ่งรายงานมาจากอิกริมะฮ์, จากท่านอิบนุอับบาส, จากท่านอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม” !...
นี่คือ “ความเป็นไปได้” (และมีโอกาสสูงถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วย) จากข้อสันนิษฐานหรืออีกนัยหนึ่ง จากการวิเคราะห์ของผมต่อ “สายรายงาน” ของหะดีษบทนี้ที่ท่านอิหม่ามมาลิก "ละ" ไว้ .. และ “เหตุผล” ที่ท่านอิหม่ามมาลิกได้รายงานหะดีษบทนี้ในลักษณะมุรฺซัลดังกล่าวมาแล้ว ...
แต่ผมก็ไม่ยืนยันหรอกว่า การวิเคราะห์นี้จะถูกต้อง ...
ถ้ามันถูกต้องจริง ผมถือว่า นั่นคือทางนำของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ...
แต่ถ้าผิดพลาด ก็เกิดจากความรู้น้อยของผมเอง วัลลอฮุ อะอฺลัม ...
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด .. ก็สามารถกล่าวได้ว่า หะดีษจากคำสั่งของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่ใช้ให้พวกเรายึดมั่นต่อกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์บทนี้ ...
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด .. ก็สามารถกล่าวได้ว่า หะดีษจากคำสั่งของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่ใช้ให้พวกเรายึดมั่นต่อกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์บทนี้ ...
เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ แน่นอน ...
ไม่ใช่เป็นหะดีษเฎาะอีฟ .. ดังการวิเคราะห์ในเว็บไซด์ของชีอะฮ์ข้างต้น ...
ยิ่งไปกว่านั้น “ความหมาย” ของหะดีษบทนี้ก็สอดคล้องและตรงกันกับพระดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ในโองการที่ 59 จากซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์ที่ว่า ...
فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِىْ شَيْئٍ فَرُدُّوْهُ إِلَى اللهِ وَالرَّسُوْلِ إِنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُوْنَ بِاللهِ وَالْيَوْمِ اْلآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيْلاً
“เมื่อพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องใด ก็จงนำมันกลับไปยังอัลลอฮ์และรอซู้ล หากพวกเจ้ามีศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์จริง ดังกล่าวนี้คือสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง” ...
คำว่า “กลับไปยังอัลลอฮ์” ก็คือ กลับไปยังกิตาบุลลอฮ์ ...
และคำว่า “กลับไปยังรอซู้ล” ก็คือ กลับไปยังซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ล ...
นี่คือหลักฐานจากอัล-กุรฺอ่านที่แสดงให้เห็นถึง “ความสำคัญ” และ“ความสัมพันธ์” ที่แยกกันไม่ออกระหว่างอัล-กุรฺอ่านกับซุนนะฮ์ ...
ผมไม่เคยเจอโองการบทใดเลยที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จะทรงดำรัสว่า “เมื่อพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องใด ก็จงนำมันกลับไปยังอัลลอฮ์และอะฮ์ลุลบัยต์(ของรอซู้ล)” ..
ยกเว้นข้อความจากหะดีษบทหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่อง อัษ-ษะเกาะลัยน์ (ภาระหนัก 2 อย่าง) คือ “กิตาบุลลอฮ์และอะฮ์ลุลบัยต์” ของท่านรอซู้ลฯ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งชีอะฮ์อ้างว่า เป็นหลักฐานเรื่องให้ยึดมั่นในอัล-กุรฺอ่านและวงศ์วารของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแล้วจะไม่หลงทาง ...
ทว่า .. หะดีษ “อัษ-ษะเกาะลัยน์” ที่ว่านี้ แม้จะเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ แต่ความหมายและข้อเท็จจริงก็เป็นคนละเรื่องกับความเข้าใจของชีอะฮ์ และก็ไม่ขัดแย้งอันใดเลยกับหะดีษที่สั่งให้ยึดมั่นในกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์บทนี้ ...
หากมีเวลา – อินชาอัลลอฮ์ – ผมจะเขียนวิเคราะห์หะดีษอัษ-ษะเกาะลัยน์ให้อ่านกันอีก ...
อ. มะห์มูด (ปราโมทย์) ศรีอุทัย
(อบู อัล-ฮาบีบ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น