อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

ความทรงจำจากหัจญ์ปีฮ.ศ. 1433 (พ.ศ. 2555) ตอนที่ 11



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

(ตอนที่ 11 สิ้นแซะฮ์มาลิกีแห่งบริษัทดีเจริญหัจญ์)

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 3 เดือนซุลหิจญะฮ์)

ตอนไปนมาซซุบห์ที่มัสญิดหะรอมทุกเช้ามืดประมาณตีสี่หรือตีสี่ครึ่ง ต้องเดินผ่านตึก 15-16 ชั้นหลังสุดท้ายที่ยืนตระหง่านสูงที่สุดในละแวกบนเนินเขาใกล้ปากทางเข้าชะอับอามิรฺ สภาพของมันถูกตัดน้ำตัดไฟมาหลายวันแล้วจึงดูมืดและซึมเซาเหมือนนักโทษประหารที่ปลงตกและรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วว่า คงจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน เนื่องจากมีรถขุดคันหนึ่งกำลังขุดเซาะฐานของมันอย่างขะมักเขม้นเพื่อให้มันเอนล้มลงมาอย่างสงบที่สุดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อันเป็นการยุติบทบาทของมันอย่างถาวร หลังจากที่ได้รับใช้ชาวมักกะฮ์และหุจญาจญ์ที่มาเช่ามันเป็นที่พักช่วงเทศกาลหัจญ์ในหลายรอบสิบปีที่ผ่านมา ...
ตอนเช้า มีแซะฮ์บางคนที่ยังคาใจเรื่องหลักฐานของสิ่งที่เราอธิบายไปเมื่อคืน(คงนึกว่าเรายกเมฆละมั๊ง) จึงขึ้นมาขอดูหลักฐานชัดๆจากตัวบทหะดีษและสายรายงานของมันที่มีบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คของเรา จึงต้องเปิดโน้ตบุ้คให้ดูพร้อมอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับหะดีษบทนั้น, พร้อมทั้งชี้แจงประวัติผู้รายงานแต่ละท่านของหะดีษนั้นให้ทราบอย่างละเอียดจนหายสงสัย ...
ตอนสาย ชวนน้องเซนไปหาซื้อกับข้าว ก็เจอปลาจาระเม็ดตัวโตเกือบ 2 กิโลเข้าอีก แม้จะยังขยาดไม่หายจากปลาจาระเม็ดเน่าวันก่อน แต่ดูแล้วคราวนี้น่าจะเป็นปลาสด อย่างน้อยก็สดกว่าวันก่อนแน่ๆ จึงซื้อมาหนึ่งตัวราคา 50 กว่ารียาล ...
ตอนสิบโมงเช้า ฟิฏรี่ก็โทรศัพท์มาจากญิดดะฮ์ บอกว่าพรุ่งนี้ตนเองกับลูกสาวจะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว หลังจากที่เคลียร์ปัญหาเรื่องบัญชงบัญชีของบริษัทต่างๆที่กะลีม สามีชาวปากีสถานของตนผู้วายชนม์ไปเมื่อปีกลายและมีหุ้นส่วนอยู่ด้วยหลายบริษัทจนลงตัวเกือบหมด โดยนัดพบกับลูกชายอีกคนที่กรุงเทพฯก่อนจะเดินทางไปบ้านที่นครศรีธรรมราชต่อไป ส่วนลูกสาวก็คงจะนิกาห์กับคู่หมั้นชาวปากีสถานซึ่งเป็นญาติฝ่ายสามีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ...
เกือบเที่ยง น้องแอกับน้องข้อดี้ สองสามีภรรยาที่มีอาการเป็นหวัดเรื้อรังและไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็กลับมา น้องข้อดี้เล่าว่าที่โรงพยาบาลมีคนไข้ร่วม 600 คน จนหมอต้องสั่งเบรกเพราะตรวจไม่ทัน และตนยังเจอติกะหลานสาวของเราซึ่งไปมีครอบครัวอยู่ที่อำเภอเทพา จังหวัดสงขลาและเดินทางมาทำหัจญ์เป็นครั้งที่สองอีกด้วย ติกะสั่งฝากมาบอกว่า ปีหน้าจะให้ลูกทั้งสองคนของตนเดินทางมาทำหัจญ์พร้อมเราด้วย ก็อัลหัมดุลิลลาฮ์ ...
วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 4 เดือนซุลหิจญะฮ์)
เมื่อวานบังสันมีอาการไอระคายคอตลอดเวลา ต้องไปให้หมอที่โรงพยาบาลจิ้มยาให้เข็มหนึ่ง กลับมารู้สึกค่อยยังชั่วขึ้น แต่เมื่อคืนก็มีอาการไออยู่อีก เราต้องให้ยาอมแก้ไอไปทดลองอมดูกล่องหนึ่งเผื่อจะช่วยได้บ้าง ...
เวลาบ่ายสองโมง ทางมักตับ 86 ก็ส่งรถบัสคันใหญ่มารับเจ้าของบริษัทหัจญ์ทั้งหมดเกือบยี่สิบคนที่อยู่มักตับนี้รวมทั้งบริษัทอัล-จาซีร่าของเราและบริษัทอัล-บะรอกัตของน้องเส็น แสงอารีแห่งลำไพล และอนุญาตให้แต่ละบริษัทนำแซะฮ์ไปได้บริษัทละ 2 คนซึ่งบริษัทอัล-จาซีร่าได้นำเรากับซอบะรีย์แซะฮ์จากสตูลเป็นตัวแทนของแซะฮ์ในบริษัททั้งหมดไปคูลาดเลาด้วย ...
จุดแรกที่รถนำพวกเราไปดูคือที่อะรอฟะฮ์อันเป็นสถานที่วุกู้ฟ ...
สภาพที่พักชั่วคราวของพวกเรา - คือเข้าพักตั้งแต่เดินทางมาถึงในตอนกลางวันจนตะวันตกดินเพื่อขอดุอาต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. - ที่อะรอฟะฮ์นี้ อยู่ในขั้นดีน่าพอใจ เพราะอยู่ใกล้กับห้องน้ำ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ...
ที่มุซดะลิฟะฮ์ก็เช่นเดียวกัน ทั้งจุดจอดลงจากรถและจุดรอขึ้นรถอยู่ใกล้ห้องน้ำทั้งสองด้านและทั้งสองจุดนั้นก็ไม่ห่างกันนัก ...
จุดสุดท้ายที่รถนำพวกเรามาดูลาดเลาก็คือที่มินา (แต่คนอาหรับคงจะเรียก “มุนา” เพราะเห็นเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Muna) ที่พักของพวกเราที่มินาปีนี้ดีกว่าเมื่อปีที่แล้ว เพราะอยู่ใกล้ปากอุโมงค์เส้นทางไปขว้างญัมเราะฮ์มากกว่าปีกลายประมาณ 300 เมตร ห้องน้ำซึ่งถือเป็นหัวใจของการพักที่มินาก็อยู่ใกล้ๆด้วยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ...
ขากลับ รถเสียเวลาที่ในอุโมงค์ก่อนถึงที่พักเกือบชั่วโมง เพราะติดสองเด้ง คือติดทั้งไฟแดงหน้าอุโมงค์และติดรถข้างหน้าชนกันในอุโมงค์พอดี จึงกลับถึงบ้านพักเมื่อเวลาสองทุ่มครึ่ง ...
กลับถึงที่พักและกินข้าวปลาอาหารเสร็จก็มีนักเรียนไทยจากมหาลัยมะดีนะฮ์ 5-6 มาเยี่ยมและพูดคุยสอบถามเรื่องวิชาการโดยเฉพาะเรื่องหะดีษอยู่พักใหญ่ จนห้าทุ่มกว่าๆนักเรียนพวกนั้นจึงลากลับไป ...
วันอาทิตย์ ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 5 เดือนซุลหิจญะฮ์)
วันนี้ไม่มีโปรแกรมอะไร จึงนอนอ่านตำราเล่นที่ห้องพักตั้งแต่เช้ายันสาย เสร็จแล้วลงไปเยี่ยมเพื่อนฝูงรุ่นน้องที่ชั้นล่างจึงทราบข่าวว่า เมื่อคืนนี้แซะฮ์มาลิกีย์จากประเทศไทย (เป็นเจ้าของบริษัทหัจญ์ดังแห่งกรุงเทพมหานคร ชื่อบริษัทดีเจริญหัจญ์)มีประวัติเป็นโรคหัวใจมาก่อน ล้มลงหัวฟาดพื้นในห้องน้ำเสียชีวิต มัยยิตของเขาผ่านการนมาซที่มัสญิดหะรอมแล้วเมื่อใกล้รุ่งหลังนมาซซุบห์ที่ผ่านมา ...
เหตุการณ์นี้ซ้ำรอยกับปีกลาย เมื่อแซะฮ์จากสตูลที่เป็นเพื่อนสนิทของเรา คือจูและฮ์ซึ่งมีประวัติเป็นโรคหัวใจเช่นเดียวกัน ล้มลงที่ถนนกลางทางระหว่างเดินกลับจากประชุมกลางดึกและเสียชีวิตห่างจากบ้านพักตนเองประมาณร้อยกว่าเมตรเท่านั้น ...
ตอนเย็นขณะเดินไปนมาซอัศรี่ที่มัสญิดหะรอม ระหว่างทางเจอเด็กผู้ชายสี่คนวัยไล่เลี่ยกันประมาณ 12-13 ปีเดินมาด้วยกัน ทุกคนมีผ้าสามเหลี่ยมพันคอคล้ายผ้าพันคอลูกเสือแต่เป็นสีเขียว ด้านหลังเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า กัมพูชา ...
นี่จึงเป็นครั้งแรกและปีแรกที่เราเห็นคนเขมรเดินทางมาทำหัจญ์ ...
กลับจากนมาซอัศรี่ใกล้จะถึงบ้านพัก เจอเม็ดฝนโปรยปรายบางๆเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามักกะฮ์ปีนี้ และพอเวลา 17.00น. ขณะพวกเราทั้งหมดเตรียมตัวจะเดินทางไปนมาซมัคริบที่มัสญิดหะรอม ปรากฏว่าฝนก็เทกระหน่ำลงมา แม้จะไม่หนักมากแต่พวกเราก็ไม่สามารถเดินทางไปนมาซที่มัสญิดหะรอมตามที่ตั้งใจได้ ท้องฟ้าก็มืดมิดไปหมด จึงต้องนมาซมัคริบและอิชาอ์กันที่บ้านพัก ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น