โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 12 ต้นร้ายปลายดี, มายากลอาหรับที่เรายังจับไม่ได้)
วันจันทร์ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 6 เดือนซุลหิจญะฮ์)
หลังนมาซซุบห์เช้าวันนี้ เห็นรถบัสนับเป็นสิบๆคันที่เดินทางเข้านครมักกะฮ์มาตั้งแต่เมื่อคืนจอดอยู่เต็มไปหมด บ่งบอกความหมายว่าจำนวนผู้เดินทางมาทำหัจญ์ชุดสุดท้ายจากต่างชาติของปีนี้ได้มาถึงพร้อมกันหมดแล้ว เพื่อจะเริ่มต้นเดินทางไปมินากันตั้งแต่วันพรุ่งนี้และมะรืนนี้เป็นต้นไป ...
ทีมพวกเราทุกคนก็คงไม่แตกต่างกับคนอื่นๆเท่าไร คือเริ่มต้นจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมไปพักมินากันอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้นเพราะนี่คือสิ่งที่พวกเรารอคอยมาร่วมเดือนกว่าแล้ว ยกเว้นเราคนเดียวที่ยังไม่ได้จัดอะไรเลยเนื่องจากรู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องนำอะไรไปบ้าง ค่อยจัดเอาพรุ่งนี้ก็ทันถมเถไป ...
สิ่งที่พวกเราเน้นกันเป็นพิเศษก็คืออาหารสำเร็จรูปประเภทปลากระป๋อง, เนื้อเค็มทอด, น้ำพริกมะขาม เป็นต้น เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเตือนให้รู้ว่า เรื่องอาหารจัดเลี้ยงที่มินาเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของหุจญาจญ์ทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่ทานอาหารยากหรือเลือกอาหารจะมีปัญหามากที่สุด ซึ่งอาหารสำเร็จรูปดังกล่าวข้างต้นจะเป็นตัวช่วยได้มาก และในปีนี้น้องๆของเราได้จัดเตรียมอาหารประเภทนี้มาอย่างเหลือเฟือ ...
การนมาซอัศรี่ในมัสญิดญะฟาลีย์วันนี้ คนเบียดอัดกันแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋องตราหัวม้าลาย จนขนาดเวลาสุญูดจะก้มลงเฉยๆตามปกติเหมือนทุกวันไม่ได้ ต้องเบี่ยงตัวลงไปถึงจะก้มได้ และตอนขณะสุญูดไหล่ของแต่ละคนยังเกยกันจนต้องเบี่ยงตัวนิดๆเช่นเดียวกัน ...
ยิ่งตอนมาซมัคริบที่มัสญิดหะรอมยิ่งแล้วใหญ่ ปกติเมื่อ 5-6 วันที่ผ่านมาพวกเราจะออกจากบ้านเวลาประมาณ 17.30 น. คือก่อนอะซานครึ่งชั่วโมงและนมาซกันบนลานหลังคาห้องน้ำเป็นประจำซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร ...
แต่วันนี้ เมื่อมาถึงลานด้านหน้าห้องน้ำประมาณ 50 เมตรก็เห็นคนยืนออกันด้านหน้าห้องน้ำเต็มไปหมดแล้ว ด้านบนคงไม่ต้องพูดถึง เราจึงให้น้องหมัดขึ้นไปดูลาดเลา เพียงครู่เดียวก็ลงมาโบกมือไล่ให้พวกเราถอยหลังกรูดมาหาที่นมาซกันที่ลานกว้างหน้าห้องน้ำซึ่งก็มีคนแน่นเช่นเดียวกัน ...
พอนมาซเสร็จลุกขึ้นยืนดูด้านหลัง ปรากฏว่าจำนวนผู้นมาซคืนนี้ครอบครอง "ลานจอดรถ" บริเวณเยนเนอร์รัลเดิมทั้งหมด(คืนนี้รถทุกคันถูกห้ามเข้ามาในบริเวณหะรอม) และยังแผ่ขยายมาถึงทางเข้าชะอับอามิรฺ ระยะทางจากห้องน้ำมาคิดว่าน่าจะเกินกว่าครึ่งกิโลเมตร ..
กลับจากนมาซอิชาอ์เพียงครู่เดียว ฟัยซอลหรือญิบ ตัวแทนเจ้าของบริษัทฯก็มาแจ้งว่า ทางมักตับร่นเวลานำรถบัสมารับพวกเราไปมินา จากเดิมที่บอกว่าหลังนมาซมัคริบพรุ่งนี้มาเป็นหลังนมาซอัศรี่แทน ...
วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 7 เดือนซุลหิจญะฮ์)
ระหว่างเดินไปนมาซซุบห์ที่มัสญิดหะรอมเช้าวันนี้ พอผ่านเชิงเขาตรงที่เราเคยบอกว่าเหมือนบั้นท้ายไดโนเสาร์หมอบ และเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดสูงของส่วนคล้ายบั้นท้ายที่ติดกับถนนโดยมีกำแพงปูนซีเมนต์กั้นตั้งฉากตลอดแนว และด้านบนกำแพงก็มีราวเหล็กต่อเนื่องเป็นพืด ...
ปรากฏว่าสิ่งที่เรามองเห็นบนราวเหล็กกั้นเหล่านั้นในเช้าวันนี้ก็คือ สีขาวโพลนเป็นชิ้นๆของสิ่งที่มองผาดๆจากเบื้องล่างเหมือนผ้าอ้อมเด็กหรือมิฉะนั้นก็แผ่นยางพารา ถูกตากขึงไว้เต็มไปหมดตลอดแนวราวเหล็กนั้น ...
นั่นคือผ้าเอี๊ยะห์รอมของอาคันตุกะจากประเทศใกล้ๆที่เพิ่งเดินทางมาถึงทางรถยนต์จำนวนมหาศาล โดยพวกเขาไม่ประสงค์จะเช่าที่พักใดๆทั้งสิ้น ทว่ากลับยึดครองด้านบนภูเขาลูกนี้ไว้ทั้งหมด เพื่อใช้เป็นที่พักกิน, นอน, และถ่ายแบบครบวงจร...
ส่วนด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นลานด้านหน้าห้องน้ำ, ลานด้านบนห้องน้ำที่เคยเป็นที่นมาซของผู้คนจำนวนแสนที่ไม่อยากจะเบียดเสียดขึ้นไปนมาซบนอาคารมัสญิด ณ บัดนี้ก็เต็มไปด้วยกระเป๋าและสัมภาระของอาคันตุกะพวกนี้ที่ยึดเป็นที่นอนกันระเกะระกะไม่มีระเบียบเต็มไปหมดเช่นเดียวกัน โดยไม่แคร์และไม่สนใจกับความรู้สึกของผู้ที่เคยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่นมาซอยู่ทุกวันแม้แต่น้อย ...
แม้กระทั่งเมื่อนมาซซุบห์เสร็จแล้ว อาคันตุกะพวกนี้ก็ยังนั่ง(หรือส่วนมากก็นอนต่อ)กีดขวางทางเดินแบบทองไม่รู้ร้อน ไม่ยอมลุกให้ผู้อื่นเดินผ่านออกมาได้เลย เว้นแต่ต้องเดินข้าม ไม่ว่าข้ามเท้า, ข้ามลำตัว หรือแม้กระทั่งข้ามหัวของพวกเขาออกมาก็ตาม ...
เพื่อนฝูงคนไทยเลือดร้อนบางคนแอบมากระซิบกับเราว่า ถ้าไม่ติดกับกำแพงของคำว่าซอบัรฺแล้ว สิ่งที่เขาอยากจะทำที่สุดขณะเดินผ่านพวกนี้ออกมาก็คือ ...
เหยียบ! ...
ประมาณ 9 โมงเช้า แซะฮ์ยูซุปจากภูเก็ตก็มาตามให้ไปช่วยอบรมและให้คำแนะนำแก่หุจญาจญ์เรื่องการวางตัวขณะพักที่มินา, มุซดะลิฟะฮ์และขณะทำหัจญ์ เพราะพวกเขาแม้จะมีประสบการณ์พอสมควรในเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีหลายอย่างเช่นกันที่เขายอมรับว่าขาดความสังเกตหรือจดจำรายละเอียดเหมือนเรา ...
เราใช้เวลาอบรมหุจญาจญ์เหล่านั้นประมาณชั่วโมงครึ่งจึงกลับห้องพัก ...
ตอนเย็น พวกเรานั่งในห้องพักรอรถมารับจนเลยเวลาอัศรี่ก็แล้ว, เลยเวลาอิชาอ์ก็แล้ว รถยังไม่มาตามนัด จึงต้องนมาซมัคริบและอิชาอ์กันในห้องพัก ระหว่างนั่งรอรถ เราใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการจัดสัมภาระ โดยนำเอาเสื้อผ้าทั้งหมดที่เป็นส่วนเกิน - คือไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว - จัดลงกระเป๋าใบใหญ่จนหมดสิ้น ซึ่งก็หมายความว่ากระเป๋าใบนี้เมื่อถึงวันกำหนดเดินทางกลับบ้าน เราก็สามารถหิ้วขึ้นรถได้ทันที ...
อ้อ ตอนหัวค่ำ ฮารูนมาบอกว่าเด็กนักเรียนมะดีนะฮ์จะขอยืมหม้อต้มน้ำร้อนใบใหญ่ของเราเพื่อนำไปมินาด้วยซึ่งเราก็ยินดี เพราะเราก็จะได้มีน้ำร้อนดื่มตลอดโดยไม่ต้องหิ้วเอง ...
พอเวลา 22.30 น. ฮารูนก็มาตามพวกเราที่ห้องว่ารถมาแล้ว พวกเราจึงรีบไปขึ้นรถ แต่พอไปถึงมินาก็เกิดปัญหา เพราะเต็นท์ที่พักที่เรา, ฟัยซอลและซอบะรีย์มาจองไว้วันก่อนบางส่วนถูกยึดครองโดยบริษัทอัล-อัสลัม และส่วนที่เหลือก็ถูกดึงผ้าพรมที่ปูรองพื้นออกไปหมดสิ้น จึงเกิดเจี๊ยวกันใหญ่ สุดท้ายทางมักตับก็ต้องจัดเต็นท์พักให้พวกเราใหม่ใกล้กับที่เดิม โดยเต็นท์หลังใหม่นี้กว้างขวางกว่าหลังเดิมอีก เข้าตำราต้นร้ายปลายดี
วันพุธ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 8 เดือนซุลหิจญะฮ์)
วันนี้ เป็นวันตัรฺวิยะฮ์ .. เป็นวันที่ผู้ทำหัจญ์ทุกคนจะต้องเริ่มต้นตั้งเจตนาทำหัจญ์และเดินทางไปพักแรมที่มินาดังที่พวกเรากำลังกระทำอยู่ ...
ตอนสายหลังทานอาหารเช้าที่ทางมักตับจัดให้รองท้องเรียบร้อยแล้ว เราชวนน้องเซน, น้องหมัดและน้องโล่ยรวมเป็น 4 คน ออกไปเดินเล่นข้างนอกทางเพื่อเซอร์เวย์หรือสำรวจเส้นทาง เพื่อให้ทุกคนรู้เส้นทางไปขว้างญัมเราะฮ์กันก่อนที่จะถึงเวลาขว้างจริงมะรืนนี้ ...
พอไปถึงปากอุโมงค์ลอดใต้ภูเขา เส้นทางไปสู่ญัมเราะฮ์ซึ่งเมื่อก่อนจำได้ว่ามีเพียง 2 อุโมงค์ คืออุโมงค์ขาไปซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือและขากลับซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ ...
แต่ที่เห็นคราวนี้กลับมีเพิ่มเป็น 3 อุโมงค์ ซึ่งยังดูไม่ออกว่า อุโมงค์ไหนคืออุโมงค์ที่ถูกเจาะเพิ่มขึ้นมาใหม่ ...
เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งนั่งเฝ้าปากอุโมงค์อยู่ชี้มือให้พวกเราเดินเข้าไปทางอุโมงค์กลางซึ่งเราคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเส้นทางขากลับเดิม แต่พอเดินเข้าไปข้างใน พบว่ามีความแปลกใหม่เกิดขึ้น โดยมีการตัดถนนกว้างประมาณ 15 เมตรเชื่อมระหว่างอุโมงค์กลางที่เราเดินอยู่ กับอุโมงค์ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเป็นช่วงๆ
พอเดินพ้นจากปากอุโมงค์ซึ่งเมื่อก่อนจำได้ว่าจะต้องผ่านสะพานลอย จากนั้นก็จะเป็นถนนกลางแจ้งลาดต่ำไปทางด้านขวาก่อนแล้วเลี้ยวซ้ายสู่ญัมเราะฮ์ที่สอง ...
แต่ที่เห็นคราวนี้ข้างหน้าเราห่างออกไปประมาณ 350 เมตรกลายเป็นปากอุโมงค์ใหม่ต่อเนื่องกับอุโมงค์ที่เราเพิ่งจะโผล่ออกมา ซึ่งแสดงว่าเพิ่งถูกขุดเจาะเมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะสังเกตเหมือนเบ้าก่อสร้างต่างๆยังเก็บไม่หมดเลย และเมื่อปีก่อนๆอุโมงค์นี้ก็ยังไม่มี จึงเดินเข้าไปตามอุโมงค์ใหม่นี้ซึ่งมีความยาวพอๆกับอุโมงค์ที่เราผ่านมาแล้ว ...
พอพ้นปากอุโมงค์อีกที คราวนี้เบื้องหน้าพวกเราห่างออกไปประมาณ 150 เมตรคืออาคารของญัมเราะฮ์ ซึ่งตัวญัมเราะฮ์เองก็คงจะไม่ห่างออกไปมากนัก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนเฝ้าเพื่อป้องกันมิให้คนเดินผ่านเข้าออก ...
พอพ้นปากอุโมงค์อีกที คราวนี้เบื้องหน้าพวกเราห่างออกไปประมาณ 150 เมตรคืออาคารของญัมเราะฮ์ ซึ่งตัวญัมเราะฮ์เองก็คงจะไม่ห่างออกไปมากนัก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนเฝ้าเพื่อป้องกันมิให้คนเดินผ่านเข้าออก ...
แต่ป้ายญัมเราะฮ์ที่เห็นคราวนี้ ไม่ใช่ญัมเราะฮ์ชั้นสองอย่างเคย ...
ทว่าเป็นป้ายญัมเราะฮ์ชั้นสาม! ...
เรางงเป็นไก่ตาแตก เพราะจำได้แม่นยำว่า อุโมงค์ที่เดินเข้ามา ในอดีตมีแค่ตอนเดียว อันเป็นเป็นอุโมงค์ขาออกตอนเดินกลับจากการขว้างญัมเราะฮ์ชั้นสอง ...
แต่ตอนนี้อุโมงค์ที่เราเดินเข้ามากลับมี 2 ตอน และที่ร้ายที่สุดดันมาทะลุออกญัมเราะฮ์ชั้นสามซึ่งสูงกว่าญัมเราะฮ์ชั้นสองมาก ...
มันเป็นไปได้ยังไง ? ...
เพื่อพิสูจน์ความจริง เราไม่ยอมเดินกลับเข้าทางในอุโมงค์เหมือนเที่ยวขามา แต่นำน้องๆทั้ง 3 คนเลี่ยงมาออกทางถนนด้านขวานอกอุโมงค์ซึ่งลาดต่ำลงมาเรื่อยๆประมาณ 1 กิโลเมตรก็เลี้ยวขวาเป็นครึ่งวงกลม ผ่านตึกสูงสีส้มอมชมพูอ่อนซึ่งเราจำได้ว่าเคยผ่านทุกครั้งตอนเดินขากลับจากการขว้างญัมเราะฮ์เมื่อปีที่แล้ว ...
เดินเลยตึกดังกล่าวมานิดหนึ่ง พอเลี้ยวซ้ายอีกทีก็มาทะลุออกหน้าห้องน้ำซึ่งจำได้แม่นยำว่า เป็นทางผ่านขาเดินมาขว้างญัมเราะฮ์ชั้นสองสมัยก่อน ...
ที่จำได้ก็เพราะทุกปีที่ผ่านมา พวกเราเคยมาแวะใช้บริการห้องน้ำนี้เป็นประจำ แล้วถือโอกาสหยุดพักรวมพลกันที่นี่ก่อนเดินเข้าสู่อาคารญัมเราะฮ์ชั้นสองต่อไป ...
เมื่อมาถึงตรงนี้ เส้นทางเดิมๆก็กระจ่างชัดสำหรับเรา ...
จากนั้นเราจึงนำน้องๆกลับที่พัก โดยเดินทวนถนนหน้าห้องน้ำขึ้นไปหาอุโมงค์ที่อดีตคือขาเข้า เพราะเราเคยใช้เส้นทางนี้เดินมาขว้างญัมเราะฮ์ไม่รู้กี่สิบครั้งแล้ว ...
แม้วันนี้จะสามารถเดินกลับมาสู่เส้นทางเดิมที่คุ้นเคยได้ แต่จนบัดนี้ - ขณะที่นั่งเขียนบันทึกนี้อยู่ - เราก็ยังงงไม่หายว่า อาหรับมันซิกแซ็กของมันยังไงจึงสามารถขุดเจาะอุโมงค์ใหม่อีกอุโมงค์หนึ่งให้ต่อเนื่องอย่างกลมกลืนกับอุโมงค์เก่าที่เคยใช้เป็นเส้นทางขาออกจากญัมเราะฮ์ชั้นสองเดิมในอดีต จากนั้นก็เปลี่ยนใหม่ให้เป็นอุโมงค์ขาเข้า แล้วให้ทะลุสู่ญัมเราะฮ์ชั้นสามซึ่งสูงกว่าญัมเราะฮ์ชั้นสองมิใช่น้อย ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น