โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 13 อนิจจาราโด้, เหตุการณ์ระทึกขวัญท้ายอุโมงค์เส้นทางสายมักกะฮ์ - มีนา)
วันพฤหัส ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันนี้ตรงกับวันที่ 9 เดือนซุลหิจญะฮ์ .. เป็นวันวุกู้ฟที่อะรอฟะฮ์ ...
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว รถก็มารับพวกเราเดินทางออกจากที่พักที่มินาเมื่อเวลา 7.35 น. มุ่งสู่อะรอฟะฮ์ และเดินทางถึงอะรอฟะฮ์เมื่อเวลา 8.00 น ...
ตั้งแต่เวลา 9.00 น.เป็นต้นไป ต้องทำหน้าที่ตอบสารพันปัญหาเรื่องหัจญ์แก่หุจญาจญ์ของบริษัทอัล-จาซีร่าทั้งหมดจนเกือบเที่ยงจึงหยุดพักรับประทานอาหารกัน ...
เวลา 12.05 น. ให้ อ.ร่อหีม ศรีวิรัตน์ทำหน้าที่อ่านคุฏบะฮ์วันอะรอฟะฮ์ในเต็นท์ของพวกเราประมาณครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วเราก็ทำหน้าที่เป็นอิหม่ามนำหุจญาจญ์ทั้งหมดในเต็นท์นมาซรวมระหว่างซุฮ์รี่และอัศรี่ในเวลาซุฮ์รี่ตามซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
จากนั้นจึงเป็นเวลาขอดุอาของหุจญาจญ์ทุกคนต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่จนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จึงเดินทางออกจากอะรอฟะฮ์ด้วยรถยนต์ตามคิวของแต่ละบริษัท ย้อนเส้นทางกลับสู่มุซดะลิฟะฮ์ต่อไป ...
ช่วงที่ยังพักอยู่ที่อะรอฟะฮ์ หุจญาจญ์จากภูเก็ตคนหนึ่งทำนาฬิการาโด้เรือนทองที่เพิ่งซื้อมาสดๆร้อนๆจากมะดีนะฮ์ราคาประมาณ 23000 กว่าบาท ตกหล่นในโถส้วมเฉยเลย จะเขี่ยยังไงก็เอาขึ้นมาไม่ได้ เจ้าของได้แต่บ่นอุบอิบด้วยความเสียดาย...
นาฬิการาโด้ราคาแพงเรือนนั้นจึงกลายเป็น "ฮะดียะฮ์" หรือของขวัญล้ำค่าให้แก่โถส้วมที่อะรอฟะฮ์ด้วยประการฉะนี้ ...
พอเดินทางถึงมุซดะลิฟะฮ์และนมาซรวมระหว่างมัคริบกับอิชาแล้ว พวกเราเกือบทุกคนต่างสาระวนกับการเก็บก้อนหินเพื่อไปขว้างญัมเราะฮ์ที่มินา ทั้งๆที่รู้ดีว่าการเก็บก้อนหินไปจากมุซดะลิฟะฮ์นี้ไม่ใช่ซุนนะฮ์ และเราก็มิได้ปฏิบัติในฐานะมันเป็นซุนนะฮ์ดังความเข้าใจของบางคน แต่เนื่องจากการยอมรับสภาพความจริงว่า ก้อนหินที่มินาเดี๋ยวนี้หายากพอๆกับการหาปลาโคบมันในอ่าวไทยปัจจุบัน ...
ต่อจากนั้นก็เป็นเวลานอนพักผ่อนเพื่อเดินทางกลับมินาต่อไป ...
วันศุกร์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 10 เดือนซุลหิจญะฮ์)
วันนี้ คือวันอีดิ้ลอัฎหาอ์ของมุสลิมทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ...
และ .. ปีนี้ก็เป็นปีแรกที่เราไม่สามารถนมาซซุบห์ที่มุซดะลิฟะฮ์ได้เพราะความจำเป็นบังคับ ทั้งๆที่พวกเราต่างก็พยายามถ่วงเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายแล้ว และเด็กของมักตับคนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกับเราเป็นพิเศษก็ร่วมมือกับเราในการยืดเวลาอย่างเต็มที่แล้วด้วยการยอมเลื่อนคิวกลับของพวกเราจากคิวที่ 6 ให้เป็นคิวสุดท้ายก็ตาม ...
นั่นคือรถยนต์เที่ยวสุดท้ายของมักตับเรา ต้องออกจากมุซดะลิฟะฮ์เมื่อเวลา 04.30 น. ขณะที่เวลานมาซซุบห์ที่นั่นคือเวลา 05.10 น. ...
พวกเราจึงจำเป็นต้องเดินทางออกจากมุซดะลิฟะฮ์ด้วยรถคันสุดท้ายนี้ และถึงที่พักที่มินาเมื่อเวลา 05.05 น. ก่อนอะซานนมาซซุบห์เพียงเล็กน้อย ...
ตอนสาย หุเซ็นกับบุหลัน ลูกเขยและลูกสาวของบังหวันเหล็ม บิล้าลมัสญิดมุสลิมสามัคคีของเราซึ่งนำลูกสาวหน้าตาน่ารักเดินทางมาจากริยาฎ ได้เข้ามาเยี่ยมพวกเราในเต็นท์ที่พัก แล้วก็เลยพักยาวพร้อมกับพวกเราในเต็นท์ด้วย ...
เวลา 14.00 น. เรานำน้องๆทั้งหมดยกเว้นบังสันกับหะวาเดินทางไปขว้างญัมเราะฮ์อะกอบะฮ์หรือญัมเราะฮ์สุดท้ายตามเส้นทางที่ได้สำรวจไปแล้วเมื่อวันก่อนพร้อมกับหุจญาจญ์อื่นๆจำนวนแสน เสร็จแล้วเราให้สะหรี่ขอหลานสาวซึ่งมีประสบการณ์มากที่สุดเพราะอยู่มักกะฮ์มาร่วมยี่สิบปีแล้ว นำน้องๆที่เป็นผู้หญิงทุกคนเดินกลับที่พัก ส่วนเรา, ฮารูนสามีของสะหรี่ขอ, น้องเซน, น้องหมัด และน้องแอรวม 5 คน ตกลงใจเดินเท้าเข้ามักกะฮ์เพื่อฏอว้าฟและซะอฺแอให้เสร็จสิ้นในวันนี้เลย ...
การเดินทางเข้ามาฏอว้าฟในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญหายชนิดไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิตการนำผู้คนเดินทางมาทำหัจญ์ร่วม 5-6 ครั้งที่ผ่านมา ดังกำลังจะเล่าต่อไป ...
พวกเราทั้งห้าคนเดินกันมาอย่างสบายไม่รีบร้อนพร้อมกับประชาชนจำนวนเป็นล้านมุ่งเข้าสู่นครมักกะฮ์ จนเวลาประมาณ 16.40 น. จึงถึงหน้ามัสญิดหะรอม ก่อนอื่นเราเลยไปที่บ้านพักก่อนเพื่อหยุดพักผ่อนให้คลายเหนื่อยล้าจากการเดินเป็นระยะทางไม่ต่ำกว่า 7-8 กิโลเมตร และปรึกษากันว่าจะลงลานฏอว้าฟและลานซะอฺแอเวลาประมาณสองทุ่มหรือหลังจากนมาซอิชาอ์แล้ว เพราะคาดว่า ผู้คนน่าจะบางตากว่าตอนนี้ ...
พอใกล้เวลานมาซอิชาอ์พวกเราก็มุ่งไปลานฏอว้าฟชั้นสามของมัสญิดหะรอมเพราะนึกว่าคนจะไม่แน่นมาก แต่ที่ไหนได้คนกลับแน่นกว่าชั้นล่างเสียอีก และขณะที่พวกเรากำลังเดินหาเส้นทางเข้าสู่ลานฏอว้าฟก็ถูกแทรกถูกเบียดจนเราคนเดียวต้องแตกกระจายออกไปจากกลุ่ม แต่เรามองลงมายังลานฏอว้าฟชั้นล่างสุดที่มีบัยตุ้ลลอฮ์ พบว่าผู้คนในลานฏอว้าฟไม่ได้มากไปกว่าที่เราเคยเผชิญมาหลายสิบครั้งแล้วเลย ...
เราจึงตัดสินใจเดินลงมาฏอว้าฟและสะอฺแอยังลานชั้นล่างเพียงผู้เดียวหลังจากนมาซอิชาอ์เสร็จแล้ว และก็เป็นไปดังคาดคือ แม้คนจะแน่นแต่เราเพียงคนเดียวมีความคล่องตัวสูง จึงใช้เวลาฏอว้าฟเพียง 1 ชั่วโมง 15 นาที และใช้เวลาซะอฺแอทั้งเจ็ดเที่ยวเพียง 55 นาทีเท่านั้น ...
ปรากฏว่าพวกเราอีก 4 คนที่เหลือซึ่งมาเจอกันที่บ้านพักหลังจากฏอว้าฟและซะอฺแอเสร็จ ก็ใช้เวลาฏอว้าฟและสะอฺแอบนชั้นสามเสร็จไล่เลี่ยกันกับเรา ...
หลังจากนั่งพักผ่อนกันชั่วโมงกว่าๆ คืนนั้น พวกเราทั้ง 5 คนก็กัดฟันเดินทางกลับมินาประมาณเที่ยงคืนพร้อมกับผู้คนเป็นแสน เพราะตามกฎต้องกลับไปนอนค้างคืนที่มินา จะนอนค้างคืนที่มักกะฮ์ไม่ได้ ...
พอเดินมาได้เกือบครึ่งทาง คือเลยอุโมงค์เส้นทางสู่มินาออกมานิดหน่อยเหลือระยะทางอีกประมาณ 4 กิโลเมตรกว่าๆก็จะถึงที่พักที่มินา น้องแอบ่นปวดเท้า เราจึงหยุดให้น้องแอนั่งพักผ่อนและนวดเท้า ...
แต่ระหว่างที่ทุกคนนั่งพักและคุยกันเพลิน เผลอแผล็บเดียวหันมาดู ...
ปรากฏว่าน้องแอหายตัวไปเสียแล้ว ! ...
พวกเราตกใจมาก ทีแรกเข้าใจว่าน้องแอคงปวดฉี่หรือแอบไปงีบที่ไหนสักแห่งหนึ่งท่ามกลางฝูงชนที่นอนหลับกันระเกะระกะบริเวณนั้น ...
แต่หลังจากเดินค้นหาและยืนรอกันร่วม 20 นาทีกว่าๆ น้องแอก็ยังไม่กลับ ...
เวลากลางคืน, ในเส้นทางที่ไม่เคยผ่านมาก่อนแม้กระทั่งตอนขามา, ผู้คนแปลกหน้าเป็นหมื่นเป็นแสนแต่พูดจาถามใครไม่ได้เพราะพูดกันคนละภาษา, มีโรคประจำตัวคือเบาหวาน, กำลังปวดขาอย่างแรงจนเดินแทบไม่ไหว ฯลฯ ..
นี่คือ ความหวาดวิตกของพวกเราทุกคน ...
การที่น้องแอจะเดินกลับที่พักที่มินาได้เองน่ะหรือ ? โอกาสมีเพียงหนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่นเท่านั้น เพราะขนาดฮารูนซึ่งอยู่ที่ญิดดะฮ์มาร่วมยี่สิบปีและพูดภาษาอาหรับคล่องยังเดินกลับเองแทบไม่ถูก จนต้องให้เราเป็นผู้นำเดินกลับโดยตลอด ...
แล้วเราจะทำอย่างไรดี ? จะไปตามหาน้องแอได้ที่ไหน ? ...
ในที่สุด หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว ก็มีความเห็นตรงกันว่า น้องแออาจมองไม่เห็นพวกเราซึ่งนั่งพักด้านหลังของเขาเพราะคนจำนวนมากยืนบังอยู่ เลยเข้าใจผิดคิดว่าพวกเราคงเดินทางไปก่อนแล้ว จึงออกเดินต่อไปตามลำพังโดยไม่ทราบว่าพวกเรายังคงนั่งคอยเขาอยู่ที่เดิม ...
พวกเราจึงออกเดินทางกลับที่พักที่มินาโดยปราศจากน้องแอร่วมทางมาด้วย ระหว่างทางทุกคนสอดส่องสายตาเผื่อจะเจอน้องแอระหว่างทางแต่ก็ไม่มีใครเห็น ...
พวกเรามีความหวังลมๆแล้งๆเพียงว่า น้องแอคงมาถึงที่พักก่อนพวกเราแล้ว หรือมิฉะนั้นเมื่อไม่เห็นพวกเราและเดินกลับที่พักไม่ถูกก็อาจตัดสินใจเดินกลับไปมักกะฮ์ก็ได้ ...
พวกเราเดินลากขาร่อแร่อย่างเหนื่อยอ่อนมาถึงที่พักที่มินาเมื่อเวลา 02.55 น. บังสันยังไม่หลับ แต่ก็ยังไม่เห็นน้องแอแม้แต่เงา ...
บังสันเองเมื่อรับฟังเหตุการณ์จากคำบอกเล่าของพวกเรา ก็พลอยวิตกกังวลจนนอนไม่หลับไปด้วย ...
ความสังหรณ์และกังวลของทุกคนขณะนี้ตรงกันอยู่จุดหนึ่งคือ น้องแออาจเป็นโรควูบนอนหมดสติอยู่ตรงไหนสักแห่งหนึ่งระหว่างทางเพราะเบาหวานกำเริบก็ได้ ...
เราเอนหลังลงนอนพักด้วยความอ่อนเพลียทั้งร่างกายและสมอง ความคิดวุ่นวายไปหมด แต่ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ถึงตัวเองจะเหน็ดเหนื่อยเพียงไร ถ้าน้องแอยังไม่กลับ เราจะชวนน้องหมัดซึ่งร่างกายแข็งแรงที่สุดเดินเท้าเข้ามักกะฮ์อีกครั้ง เพื่อตามหาน้องแอให้พบ แม้จะเป็นเพียงร่างที่ปราศจากลมหายใจของเขาก็ตาม ...
เวลาประมาณ 03.50 น. ขณะที่เรากำลังเคลิ้มๆอยู่นั้น ก็พลันได้ยินบังสันอุทานเสียงลั่นด้วยความตื่นเต้นว่า “อัลลอฮ์! พวกเรากำลังคิดถึงเอ็งอยู่นี่” ...
เมื่อลืมตาขึ้น เราก็มีความรู้สึกเหมือนถูกผีหลอกเมื่อมองเห็นน้องแอนั่งยิ้มฟันขาวอยู่ใกล้ๆบังสัน โดยไม่มีท่าทีอิดโรยหรือตื่นเต้นตกใจอะไรเลย ...
ความรู้สึกขณะนั้นถ้าเป็นชาวพุทธก็ต้องพูดว่า ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อว่าน้องแอจะกลับมาได้เองเหมือนปาฏิหาริย์เช่นนี้ ...
พวกเรารุมกันซักถามเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นและดีใจจนบอกไม่ถูก น้องแอเล่าว่าช่วงที่นั่งพักกันอยู่ พออาการดีขึ้นเขาก็หันมาบอกพวกเราด้านหลังว่าให้เดินต่อได้แล้ว ...
พวกเรารุมกันซักถามเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นและดีใจจนบอกไม่ถูก น้องแอเล่าว่าช่วงที่นั่งพักกันอยู่ พออาการดีขึ้นเขาก็หันมาบอกพวกเราด้านหลังว่าให้เดินต่อได้แล้ว ...
จากนั้นตนเองก็ออกเดินทันทีโดยไม่ได้หันมาดูด้วยซ้ำไปว่า พวกเราเดินตามมาแล้วหรือยัง ...
แต่พวกเราทั้งสี่คนยืนยันตรงกันว่า ไม่มีใครได้ยินคำพูดของน้องแอเลยแม้แต่คนเดียว ...
น้องแอเล่าต่อไปว่า ตนเองเดินไปได้พักหนึ่งเมื่อหันกลับมาไม่เห็นมีใครตามมา ตนก็นั่งพักนวดแข้งนวดขารออีกครู่หนึ่ง เมื่อยังไม่เห็นใครอีกจึงเดินย้อนกลับมาที่เดิมแต่ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียวแล้ว ...
เมื่อเป็นอย่างนี้ตนจึงต้องเดินหน้าต่อไปท่ามกลางคนแปลกหน้าจำนวนมาก โดยปฏิบัติตามคำสั่งของเราที่เคยกำชับไว้ว่า ...
“เส้นทางจากญัมเราะฮ์กลับที่พักอย่าไปทางอื่น แต่ให้ยึดถือป้ายบอกเส้นทางที่มีข้อความว่า اَلشُّعَيْبَيْنِ และ اَلْمُعَيْصِمُ ไว้ตลอดแล้วจะถึงที่พักเอง” ...
ซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด ...
เมื่อเดินมาถึงสะพานลอยแห่งหนึ่งหน้าปากอุโมงค์แล้วนั่งพัก เขาก็นึกออกว่านี่คืออุโมงค์ซึ่งเป็นเส้นทางกลับที่พัก และบังเอิญก็เจอคนไทยจากจังหวัดนครศรีธรรมราชชุดหนึ่งกำลังเดินกลับที่พักกันพอดี จึงร่วมเดินทางมาด้วยกันจนถึงที่พักอย่างที่เห็น ...
จำได้ว่า ประโยคเดียวที่เราพูดซ้ำซากไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในคืนนั้นก็คือคำว่า อัลหัมดุลิ้ลลาฮ์, อัลหัมดุลิ้ลลาฮ์ ...
วันเสาร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 11 เดือนซุลหิจญะฮ์)
ตอนเช้าที่มินา ออกไปเดินดูตลาดเปิดท้าย .. เราหมายถึงสินค้าต่างๆที่มีวางขายกลาดเกลื่อนเต็มท้องถนนด้านนอกเต็นท์ที่พักเหมือนกับตลาดเปิดท้ายบ้านเราเป๊ะ ...
เจอนาฬิกาสวยหรูเกินห้ามใจสองเรือนวางขายอยู่ริมถนน เราเป็นโรคแพ้ความสวยอยู่แล้วจึงซื้อมาทั้งสองเรือน ราคาไม่จำเป็นต้องบอกว่าเท่าไรเพราะมันแพง (?) เกินพิกัดจริงๆ (ใครอยากรู้ว่าราคาเท่าไร ให้มากระซิบถามเป็นการส่วนตัวแล้วจะบอก) ...
ตอนนี้บอกใบ้ได้เพียงว่า ตอนที่ซื้อมานั้น ก็ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ถ้านาฬิกาทั้งสองเรือนนี้ใช้ได้เกิน 10 วัน จากนั้นค่อยผูกคอให้แมวก็ถือว่า เกินคุ้มแล้ว ฮิฮิ ...
จากเก้าโมงเช้าเป็นต้นไป ต้องตอบปัญหาศาสนาแก่พรรคพวกในเต็นท์จนเกือบเที่ยงจึงยุติ ...
ตอนเย็น เวลาบ่าย 14.30 น. นำน้องๆทุกคนยกเวนบังสันกับหะวาไปขว้างญัมเราะฮ์ทั้งสาม เสร็จแล้วก็เดินกลับมาถึงที่พักเกือบค่ำแล้ว ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น