โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 14 ห่วยตามเคย, บังหมูดอย่าหนักแรงนัก)
วันอาทิตย์ ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 12 เดือนซุลหิจญะฮ์)
วันนี้สังเกตเห็นว่า ช่วงเช้ามืดก่อนนมาซซุบห์ ห้องน้ำรวมที่มินาทุกห้องมีผู้ใช้บริการมากเป็นพิเศษ ขนาดบางห้องต้องรอคิวกันถึง 10 กว่าคนก็มี ...
ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ มีบางคนที่ยังไร้เดียงสา (ไม่อยากใช้คำว่าเห็นแก่ตัว) เข้าไปอาบน้ำในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้แทนที่จะรีบเข้าไปทำธุระส่วนตัวที่จำเป็นจริงๆ ปล่อยให้ผู้รอคิวข้างนอกหลายต่อหลายคน ยืนหนีบขาบิดตัวหน้าเขียวหน้าแดงอย่างน่าเวทนาเพราะประตูหลังกำลังถูกข้าศึกจากภายในโจมตีจนป้อมค่ายจวนแตกอยู่รอมร่อแล้ว ...
ตอนสายเวลาเก้าโมงเช้าเป็นต้นไปจนก่อนเที่ยง ต้องตอบปัญหาต่างๆภายในเต็นท์ตามปกติ ...
หลังนมาซซุฮ์รี่ น้องเส็น แสงอารีแห่งลำไพลเจ้าของบริษัทอัล-บะรอกัตก็มาเชิญให้ไปบรรยายในเต็นท์ของพวกเขาอีก เราใช้เวลาบรรยายอยู่เกือบ 2 ชั่วโมงก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะหุจญาจญ์ทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ...
แต่มาเสียท่าตอนบรรยายเสร็จ ทางเจ้าภาพเขายกกาแฟเย็นเจี๊ยบมาให้ดื่ม ทั้งๆที่เราไม่ยอมแตะต้องน้ำเย็นตลอดมาตั้งแต่เดินทางถึงมะดีนะฮ์วันแรก เนื่องจากรู้ดีว่ามันแสลงกับโรคหวัด - โดยเฉพาะหวัดที่มักกะฮ์ - มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ...
ตอนเย็น นำน้องๆไปขว้างญัมเราะฮ์ทั้งสามเป็นวันที่สอง คราวนี้เราไม่ได้นำธงประจำราชสำนัก เอ๊ย ธงเครื่องหมายดอกจันทร์ประจำทีมไปด้วย เพราะทุกคนจดจำเส้นทางทั้งขาไปและขากลับได้คล่องแล้ว ...
พอกลับมาถึงเต็นท์ที่พัก บังสันก็บอกว่า เมื่อตะกี้นี้ หมีนหลานชายของเราอีกคนที่เป็นชาวบ่อตรุ แต่ตอนนี้พำนักอยู่ที่เก้าเส้งสงขลาและได้ทุน อบจ. เดินทางมาทำหัจญ์ด้วย ได้มาเยี่ยมแต่ไม่เจอเราจึงฝากเงินไว้ให้ 1000 บาทแล้วกลับไป ...
ขอพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จงประทานความดีให้กับหลานมากๆเถิด อามีน ...
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 13 เดือนซุลหิจญะฮ์)
ถ้าเป็นการซื้อหวย เราก็เก็งถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า อาหารเช้ามื้อสุดท้ายที่ทางมักตับ 86 จัดเลี้ยงพวกเราที่มินาต้องเป็นข้าวต้ม ...
แล้วก็เป็นข้าวต้มจริงๆ แต่ห่วยตามเคย .. คือเป็นข้าวต้มเฉยๆไม่มีไก่หรืออะไรทั้งสิ้น แถมยังมีปริมาณน้อย .. คือสาบานได้ว่าไม่เกิน 10 ช้อนโต๊ะ ...
เพียงแต่ไม่เละยิ่งกว่าโจ๊กเหมือนปีก่อนๆเท่านั้น เรียกว่าพอกล้อมแกล้มไปได้เมื่อผสมกับอุปกรณ์เสริมหรืออาหารสำเร็จรูปที่พวกเราเตรียมมาจากมักกะฮ์แล้ว ...
เสร็จจากอาหารเช้า ตั้งแต่เวลาเก้าโมงครึ่งเป็นต้นไป เราต้องทำหน้าที่ตอบปัญหาศาสนาที่พรรคพวกในเต็นท์ทั้งผู้ชายและผู้หญิงถามมาเป็นการทิ้งทวนวันสุดท้ายจนเกือบเที่ยงจึงยุติ เพื่อเตรียมตัวไปขว้างญัมเราะฮ์กัน ...
เวลา 11.35 น. หลังจากกินอาหารเที่ยงมื้อสุดท้ายอันสุดแสนทารุณเพราะมีแค่ข้าวผัดเฉยๆโดยไม่มีกับอะไรเลย เรานำหุจญาจญ์ของเราทุกคนเดินทางไปขว้างญัมเราะฮ์ทั้งสาม ยกเว้นบังสันกับหะวาพี่สะใภ้ที่ยังมีอาการป่วย ต้องมอบหมายให้เรากับน้องหมัดช่วยขว้างแทน ...
พอออกมานอกเต็นท์ที่พัก เห็นชัดว่าคนแน่นมากตั้งแต่เริ่มเดินออกจากเต็นท์เลยต้องใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งชั่วโมงพอดีจึงถึงญัมเราะฮ์ ...
พอออกมานอกเต็นท์ที่พัก เห็นชัดว่าคนแน่นมากตั้งแต่เริ่มเดินออกจากเต็นท์เลยต้องใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งชั่วโมงพอดีจึงถึงญัมเราะฮ์ ...
ในการขว้างญัมเราะฮ์ก็มีคนแน่นเหมือนทุกวันแต่ไม่ถึงกับยุ่งยากลำบากอะไรเพราะพวกเราทุกคนมีประสบการณ์เพียงพอแล้วจากการขว้างเมื่อสามวันที่ผ่านมา ...
เสร็จจากขว้างญัมเราะฮ์ เราสั่งให้น้องๆทุกคนเดินกลับเต็นท์ที่พักเพื่อเดินกลับเข้ามักกะฮ์ทางรถยนต์พร้อมกับคนอื่นๆในเต็นท์ ส่วนเรา, น้องหมัด, น้องโล่ย รวมสามคนเดินกลับด้วยการเดินเท้า ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาที จึงถึงบ้านพักที่มักกะฮ์เมื่อเวลา 14.20 น. ...
พอถึงมักกะฮ์และเข้าห้องพัก เราโทรฯไปหาสะหรี่ขอหลานสาวที่เต็นท์มินา สะหรี่ขอบอกว่าพวกเราทุกคนที่ตกค้างอยู่ยังไม่ได้ขึ้นรถเดินทางออกมาเลย ...
พอถึงที่พัก เรารีบซักเสื้อผ้าที่หมักหมมอยู่หลายวันก่อนอื่น จากนั้นจึงหุงข้าว แล้วไปซื้อขาไก่ 2 ถุงใหญ่มาต้มและปลาทูอีก 2 ถุงมาทอดเพื่อเป็นกับข้าวแก้ขัดมื้อเย็นนี้สำหรับทุกคน ...
หลังจากนั้น ใกล้ค่ำพวกเราจึงทยอยกันมาถึงทีละ 2-3 คนเพราะมารถคนละคันกัน โดยบังสัน, น้องแอและหะวา มาถึงเป็นชุดสุดท้ายหลังเวลามัคริบอย่างสะบักสะบอม เนื่องจากรถคันที่นั่งมาแอร์เสีย ขณะที่ตนเองก็กำลังป่วยเป็นไข้อยู่ด้วย ...
วันอังคาร ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 14 เดือนซุลหิจญะฮ์)
หลังจากที่ต้องสัญจรไปเผชิญชตากรรมอันสุดแสนลำเค็ญอยู่ที่มินา 6 วัน ในที่สุดเราก็ได้กลับมาเห็นอภินาฬิกามหายักษ์ที่มัสญิดหะรอมนครมักกะฮ์อีกครั้ง ...
เปล่า .. ก็พูดเล่นไปงั้นเอง การทำหัจญ์ช่วงอยู่ที่มินาก็ใช่ว่าจะลำบากจนเกินไปนัก เดี๋ยวคนไม่เคยไปทำหัจญ์อ่านแล้วจะตกใจเสียเปล่าๆ ...
คนทำหัจญ์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ยึดถือคำโฆษณาของสีทาบ้านยี่ห้อหนึ่งที่ว่า “ศรี(สี)ทนได้ค่ะ” อย่างเดียว ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ...
เมื่อคืนนอนหลับเป็นตายเพราะเพลียหนักจากการเดินเท้ากลับมาเมื่อวาน ...
และ .. เมื่อการทำหัจญ์เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ เราก็รู้สึกเหมือนภาระหนักทุกอย่างจบสิ้นลงด้วย เพียงรอเวลาเดินทางกลับประเทศไทยอย่างเดียว ...
นมาซซุบห์เช้านี้เรายังไม่ได้ไปนมาซที่มัสญิดหะรอม เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนบังสันซึ่งยังมีอาการป่วยเป็นไข้อยู่ ...
หลังนมาซซุบห์ อับดุลรอชิดลูกชาย อ.ชุอีบกลับมาเล่าว่า เมื่อตะกี้นี้ลองสอบถามเจ้าหน้าที่ปอเต็กตึ๊ง เอ๊ย .. เจ้าหน้าที่ประจำรถขนมัยยิตประจำมัสญิดหะรอมดู เพราะเห็นมีการนมาซผู้ตายถึง 2 รอบ ...
เจ้าหน้าที่บอกว่า เช้านี้หลังนมาซซุบห์มีการนมาซให้ผู้ตายที่มัสญิดหะรอมรวมทั้งสิ้น 32 ศพ และเมื่อวานตอนเช้าก็มีการนมาซให้ผู้ตาย 21 ศพ ...
สาเหตุที่มีการตายมากขนาดนี้มิใช่เกิดจากอุบัติเหตุหรืออะไร แต่เป็นพวกหุจญาจญ์ที่สะบักสะบอมกลับมาจากมินาตั้งแต่เมื่อวานนั่นเอง ...
ตอนเที่ยง นาเซร์นำเนื้อแพะจากการเชือดดัมมาให้ประมาณ 5-6 กิโลกรัม อาหารมื้อเที่ยงของพวกเราจึงเป็นแกงแพะ และแกงเลียงบวบกลมที่เราไปซื้อมาเพิ่มเติม ...
ปรากฏว่า นี่เป็นมื้อแรกนับตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านที่เรากินข้าวเพิ่มถึงสองจาน ...
ตอนเย็น เดินไปนมาซมัคริบที่มัสญิดหะรอมพร้อมน้องเซน, น้องหมัดและน้องโล่ย พอผ่านกำแพงกั้นระหว่างถนนกับภูเขา น้องหมัดก็ชี้ให้ดูที่รั้วกำแพงบนภูเขาซึ่งเคยระเกะระกะไปด้วยแผ่นยางพารา เอ๊ย ผ้าเอี๊ยะห์รอมที่ถูกตากขึงไว้ มาวันนี้ปรากฏว่าโล่งเตียน แสดงว่าเจ้าของผ้าเหล่านั้นเดินทางกลับประเทศกันหมดแล้ว ...
คืนนี้เป็นคืน 15 ค่ำตามปฏิทินทางจันทรคติของอาหรับ ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงสกาวทางด้านตะวันออกเหนือยอดเขา ดูสวยงามและโรแมนติกน่าประทับใจชวนเคลิ้มฝันยิ่งกว่าหลายๆคืนที่ผ่านมาตอนอยู่มินา ...
เห็นพระจันทร์แสนสวยคืนนี้แล้วทำให้นึกถึงเพลงบทหนึ่ง(ซึ่งเราก็จำไม่ได้แล้วว่า ได้ยินมาจากไหน) ...
“คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ พระจันทร์ลอยเด่น ดูช่างฮ้อเจ๊าะ ...........................”
เพลงบ้าอะไรก็ไม่รู้ แค่ขึ้นต้นก็กวนประสาทแล้ว ...
วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 15 เดือนซุลหิจญะฮ์)
ไปนมาซซุบห์ที่มัสญิดหะรอมเช้านี้เห็นชัดเจนว่าภายในอาคารมัสญิด ที่นั่งนมาซหลายๆจุดผู้คนบางตาไปเยอะ ...
ประมาณเก้าโมงเช้ากว่าๆขณะที่เรากำลังนั่งพิมพ์ข้อความข้างต้นนี้ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพัก เมื่อลุกขึ้นไปเปิดประตู พบว่าผู้ที่ยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าห้องก็คือ อ.คอลิดจากพัทลุงที่เดินทางมาทำหัจญ์พร้อมกัน และที่ยืนด้านหลังคอลิดก็คือ โส้ป ท่าเสา อดีตศิษย์ของเราสมัยเรียนปอเนาะจะนะด้วยกัน และมาพำนักอยู่ที่มักกะฮ์นานร่วม 40 ปีแล้ว
เมื่อเจอกัน ทั้งเราและโส้ปต่างโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ ...
จากนั้นเราทั้งคู่ต่างก็ซักถามความเป็นอยู่ซึ่งกันและกันด้วยความห่วงไย และนั่งสนทนากันถึงความหลังอย่างออกรสชาติเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ โส้ปจึงลากลับไป ...
จำได้ว่า ในอดีตเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน .. สมัยโส้ป ท่าเสาเพิ่งจะเดินทางมาเรียนต่อที่มักกะฮ์ใหม่ๆ และเราก็เพิ่งเปลี่ยนแนวเป็นซุนนะฮ์ใหม่ๆ ...
ช่วงเทศกาลหัจญ์คราวหนึ่ง เราฝากจดหมายกับคนสงขลาที่เดินทางมาทำหัจญ์ให้โส้ป ท่าเสา .. บอกว่าให้เขาช่วยซื้อหนังสือ “زَادُ الْمَعَادِ” ของท่านอิบนุ้ลก็อยยิมฝากไปให้เราสักชุดหนึ่ง ...
โส้ปก็ดีใจหาย ซื้อหนังสือดังกล่าวฝากไปให้เราหนึ่งชุดจริงๆซึ่งเรายังมีเก็บไว้จนทุกวันนี้ แต่มีเขียนจดหมายสั้นๆไม่กี่คำในเศษกระดาษสอดแทรกไปด้วยว่า ...
“บังหมูดได้หนังสือนี้แล้ว อย่าให้มันหนักแรงนัก” ...
คำว่า “หนักแรง” เป็นภาษาปักษ์ใต้ มีความหมายว่า รุนแรง, หนักข้อ, พูดหรือทำอะไรจนเกินเลยขอบเขตความพอดี .. อะไรทำนองนั้น ...
เจตนารมณ์ของโส้ปก็คือ ปรามไม่ให้เราอาศัยข้อมูลจากหนังสือเล่มนั้น ใช้ความก้าวร้าวรุนแรงในการเผยแพร่ซุนนะฮ์นั่นเอง ...
ดูจากท่าทีและการสนทนากับโส้ปในวันนี้ พอจะมองออกว่าเขาเองขณะนี้ก็เป็นชาวซุนนะฮ์คนหนึ่งเช่นเดียวกัน อัลหัมดุลิ้ลลาฮ์ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น