โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 8 พิสูจน์รอบฎอว้าฟ, ปรัชญาของคนไม่มีอะไรยาไส้)
วันพุธ ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 24 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
นมาซซุบห์เช้านี้ เรานำบังสันขึ้นไปนมาซบนลานชั้นสามของมัสญิดอีก บรรยากาศดีมากๆ คือไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป ...
ระหว่างนั่งรอเวลานมาซ เราแหงนดูบนท้องฟ้าก็มองเห็นเดือนเสี้ยวรูปเคียวหนาๆแขวนห้อยอยู่ที่กิ่งฟ้าด้านตะวันออก บ่งบอกสัญลักษณ์ของการใกล้สิ้นสุดเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ...
พอนมาซเสร็จและเดินออกมาถึงลานซะอฺแอของชั้นสาม มองลงมายังลานกว้างลิบๆเบื้องล่างก็มองเห็นภาพลักษณ์ประทับใจอีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้เราหวนนึกถึงคำพูดเชิงเปรียบเทียบของเพื่อนคนหนึ่งที่เดินทางมาทำหัจญ์พร้อมเราเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วว่า ...
“ขาวสะพรั่งเต็มลาน .. เหมือนเห็ดนาบานในยามเช้าหน้าฝน” ยังไงยังงั้น ...
นั่นคือ ภาพของฝูงชนจำนวนมหาศาลภายใต้เครื่องแต่งกายสีขาวสะอาดหรืออาจจะมีชุดสีดำแซมบ้างประปรายที่นมาซเสร็จแล้วแต่ยังมิได้แยกย้ายกันกลับที่พัก เต็มลานกว้างหน้ามัสญิดหะรอมนับปริมาณเป็นหมื่นๆคน ดูแล้วไม่รู้จะบรรยายยังไงถูก ...
กลับมาถึงที่พัก ทางบริษัทก็สั่งให้เราเก็บเงินจากหุจญาจญ์ลูกทีมของเราคนละ 50 รียาล เพื่อเป็นค่ารถบัสไปเที่ยวญิดดะฮ์วันพรุ่งนี้ซึ่งถือว่าถูกกว่าปีที่แล้วที่เก็บไปคนละ 60 รียาล ...
ราคาดังกล่าวนี้ รวมทั้งค่าอาหารมื้อเที่ยงหนึ่งมื้อด้วย ...
หลังนมาซมัคริบที่ลานชั้นสามเสร็จ เราปรึกษากับน้องเซน, น้องข้อดี้, น้องหมัดและน้องโล่ยว่า จะลองเดินเวียนรอบลานฏอว้าฟชั้นสามดูสักหนึ่งรอบดีไหม เพื่อทดสอบดูว่าจะกินเวลาสักเท่าไรโดยให้บังสันกับน้องแอนั่งเฝ้าโยงประจำที่เพราะทั้งสองคนสุขภาพยังไม่เต็มร้อยนัก ...
เมื่อคืนที่ผ่านมา เราลองจับตาดูชายผู้หนึ่งที่แต่งกายเปรี้ยวจี๊ด เรียกว่าจำง่ายกว่าเพื่อนก็แล้วกัน .. เดินฏอว้าฟบนลานนี้แหละ ...
ปรากฏว่าพี่แกใช้เวลาฏอว้าฟ เฉลี่ยสิบกว่านาที ต่อหนึ่งรอบ ...
เราก็อยากจะทดลองด้วยตนเองมั่ง ว่างั้นเถอะ ...
เมื่อทุกคนตกลง ทุกอย่างก็ผ่านฉลุย ...
พวกเราเดินกันแบบสบายๆ ไม่ช้าและไม่รีบจนเกินไป ผลลัพธ์ก็ออกมาตรงกับที่สำรวจไว้เมื่อคืน คือฏอว้าฟหนึ่งรอบใช้เวลา 11 นาทีพอดี ...
เดินเสร็จ เมื่อยังไม่ถึงเวลานมาซอิชาอ์ ก็ต้องนั่งแหงนดูท้องฟ้าตามระเบียบ ...
ระยะนี้เราสังเกตดูท้องนภากาศยามค่ำของนครมักกะฮ์มาหลายคืนแล้ว รู้สึกฉงนใจว่า ทั้งๆที่ไม่มีก้อนเมฆหรืออะไรบดบังเลย แต่ทำไมหนอท้องนภายามรัตติกาลที่นี่จึงดูอึมครึมและหม่นหมอง ...
เรียกได้ว่าท้องฟ้าราตรีที่นครมักกะฮ์ขาดสีสันเพราะสิ้นไร้ความแจ่มจรัสแห่งนวลแสงพราวพรายของมวลหมู่ดาริกาโดยแท้ (แหวะ สำนวนชวนคลื่นไส้) ...
ดูแห้งแล้ง .. อ้างว้าง .. หดหู่ .. ว้าเหว่ .. สิ้นหวัง .. .. หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเฉกเช่นผู้ที่ทอดอาลัยในชีวิต เหลือเพียงความตายเป็นทางออกสุดท้าย ...
ทำให้คิดถึงคำพูดเชิงปรัชญาของใครคนหนึ่งขึ้นมาจับใจ ...
ใครคนนั้น กล่าวเอาไว้ว่า ...
A dark night, a single star is better than nothing
แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆว่า ...
“ในราตรีที่มืดมิด, มีดาวเพียงดวงเดียวก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย” ...
แปลอีกทีก็มีความหมายว่า ...
“มีความหวังอยู่บ้าง แม้จะริบหรี่, เลือนลาง, และน้อยนิดเพียงใด ยังดีกว่าไม่มีความหวังเสียเลย” ...
ช่างเป็นปรัชญาปลอบใจคนสิ้นหวังและหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตได้ดีแท้ ...
หลังนมาซอิชาอ์คืนนี้เป็นคืนแรกที่ไม่มีการประกาศนมาซญะนาซะฮ์ ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีให้เห็นไม่บ่อยนักสำหรับที่มัสญิดหะรอมแห่งนี้ ...
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 25 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
ขึ้นไปนมาซซุบห์บนลานชั้นสามตามปกติ แม้บนลานจะมีการเบียดเสียดเยียดยัดกันมากขึ้นบ่งบอกสัญลักษณ์ว่ามีผู้คนเพิ่มเติมมาเยอะแยะ แต่ดูยังไงก็ยังน้อยกว่าหุจญาจญ์เมื่อปีที่ผ่านมาอยู่ดี ...
เพราะที่ลานบนหลังคาห้องน้ำซึ่งปีที่แล้วในระยะเวลาเดียวกันนี้ จะมีคนนมาซเต็มพื้นที่เหมือนกับลานอื่นๆรอบมัสญิดแล้ว แต่ปีนี้ยังดูโหรงเหรงบางตาเหลือเกิน ...
ระหว่างนั่งรอเวลานมาซซุบห์ ลองโทรฯไปหาลูกชายคือหะบีบุลลอฮ์ เห็นบอกว่ากำลังอยู่ที่สนามบิน แต่ไม่ยักบอกว่าเป็นดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ เพื่อรอขึ้นเครื่องบินนำครอบครัวไปพักผ่อนที่สงขลาสัก 5-6 วัน ...
เมื่อตอนหัวค่ำ ท้องฟ้าราตรีที่นี่มองไม่เห็นดวงดาวเลย แต่หลังนมาซซุบห์เช้านี้และเดินออกมานอกมัสญิด เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านตะวันออกก็มองเห็นดาวดวงหนึ่งเปล่งประกายสุกปลั่งท่ามกลางท้องนภาที่เริ่มสดใสเรืองรองจากแสงอรุณรุ่งและหมู่นกพิราบที่เริ่มบินว่อนออกหากิน ...
ดาวดวงนี้ อยู่เยื้องด้านหลังเดือนเสี้ยวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือนิดๆห่างประมาณเกือบ 2 ศอก จะใช่ดาวรุ่งหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่ที่แน่ๆก็เห็นมีแค่ดวงเดียวเท่านั้น
เวลา 09.30 น. รถที่นัดไว้ 2 คันก็มารับพวกเราประมาณหนึ่งร้อยคนเดินทางไปทัศนาจรญิดดะฮ์กัน หลายคนมีท่าทางตื่นเต้นแต่เราเฉยๆเพราะไปเสียจนชาชินแล้ว ...
การเดินทางไปญิดดะฮ์คราวนี้รู้สึกว่า ผู้จัดจะวางแปลนการท่องเที่ยวผิดขั้นตอนนิดหน่อย คือนำหุจญาจญ์ไปช็อปปิ้งที่ศูนย์การค้าก่อนเป็นอันดับแรก แถมยังเสียเวลาอยู่ที่นั่นนานมากจนถึงเวลาบ่ายโมงครึ่งจึงได้ออกเดินทางต่อไปมัสญิดครึ่งบกครึ่งน้ำริมทะเลแดง ...
ที่ศูนย์การค้าปีนี้รู้สึกว่า พวกเราไม่ค่อยมีใครซื้อสินค้ากันมากเท่าไร สู้ปีกลายไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะสินค้าเกือบทุกอย่างในศูนย์การค้าใหญ่ล้วนเป็นของแท้มีราคาแพงมาก (แม้จะถือว่าถูกมากเช่นกันหากเทียบกับที่เมืองไทย) แต่หุจญาจญ์ที่มาเที่ยวส่วนใหญ่ก็เป็นคนแก่และเป็นชาวบ้านธรรมดาๆจึงสู้ราคากันไม่ค่อยไหว ...
เราเองซื้อกระเป๋าหิ้วมาใบหนึ่งเพื่อฝากน้องเล็กที่บ้าน ราคาก็พอรับได้คือ 130 รียาล ส่วนบังสันซื้อกางเกงยีนยี่ห้อลีวายส์ของอเมริกาไปฝากยูโส้ป-สุดาหนึ่งตัว ราคา 150 รียาล ...
อาหารมื้อเที่ยงของพวกเราวันนี้ กว่าทางฝ่ายจัดบริการจะขนมาให้ที่มัสญิดครึ่งบกครึ่งน้ำก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมง หลายคนบ่นว่าหิวจนแสบไส้ แต่เราก็เข้าใจในปัญหาของฝ่ายจัดบริการดี เพราะผู้ใช้บริการนำเที่ยวปีนี้มีมากเกินคาดหมาย แถมระหว่างที่กำลังขนอาหารมาส่ง รถขนอาหารยังดันติดอุบัติเหตุรถคันหน้าชนกันเสียอีก ...
กว่าพวกเราจะเดินทางออกจากมัสญิดครึ่งบกครึ่งน้ำก็ล่วงเข้าห้าโมงเย็น จากนั้นรถก็นำพวกเรามาเที่ยวต่อยังตลาดเก่าของเมืองญิดดะฮ์ ที่นี่เราซื้อถุงเท้าชนิดดี(แต่ราคาถูก)มาหลายคู่ รถเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินพอดีจนคนขับรถแสดงอาการหงุดหงิด ...
จุดอ่อนในการจัดทัศนาจรรวมกลุ่มลักษณะนี้ ที่เจอบ่อยหรือทุกครั้ง .. หากจะพูดตำหนิกันแบบนิ่มๆก็คือ มีบางคนยังไร้เดียวสาและไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น .. คือจะปล่อยให้กลุ่มคนที่มาในรถคันเดียวกันส่วนใหญ่นั่งคอยอยู่ในรถนานเป็นชั่วโมงๆ ตนเองเดินเอ้อระเหยลอยชายดูสินค้าแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนมารถส่วนตัวที่นึกจะกลับเมื่อไหร่ก็ได้ แถมบางครั้งก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย ...
เพราะฉะนั้นจึงมิใช่เรื่องแปลกที่คืนนี้กว่าพวกเราจะกลับถึงบ้านพักก็เป็นเวลาเกินสี่ทุ่มแล้ว ...
อาหารมื้อค่ำ (ที่ต้องเลื่อนมากินตอนดึก) จึงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการไปซื้อไก่ย่างกับแกงมัสมั่นแพะของอาหรับที่มีขายใกล้บ้าน มาแบ่งกันกินไปอีกมื้อหนึ่ง ...
และคืนนี้กว่าเราจะได้หลับได้นอนก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า เพราะต้องมีภาระที่ต้องทำหลายอย่าง รวมทั้งต้องนั่งพิมพ์บันทึกนี้ด้วย ...
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 26 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
อาหารมื้อเช้าวันนี้ เราชวนน้องข้อดี้แฟนน้องเซนไปเลือกดูกับข้าวที่ร้านเจ้าประจำซึ่งเป็นเพื่อนกัน ปรากฏว่าโชคดีเจอปลาจาระเม็ดเข้าอีก จึงคว้ามา 4 ตัวน้ำหนักรวม 4.5 กก. ราคา กก. ละ 22 รียาลหรือ 183 บาท ถูกกว่าบ้านเราเสียอีก ...
นอกจากนี้ ยังซื้อไก่แช่แข็งตัวใหญ่มาอีก 2 ตัวราคาตัวละ 15 บาท เอ๊ย รียาล .. หมดเงินไปทั้งสิ้นรวม 129 รียาล ...
กับข้าวทั้งหมดนี้ พวกเราเก้าคนใช้กินได้อย่างน้อยก็ 2 วัน ...
แต่ปลาจาระเม็ดเจ้ากรรมที่ว่า พอนำมาแกงส้มเข้าจริงๆเนื้อกลับไม่สด ออกจะเน่าด้วยซ้ำไป จึงทำให้เสียความรู้สึกกันทุกคน รวมทั้งเราผู้ซื้อด้วย ...
พอเวลา 11.00 น.ใกล้เวลานมาซวันศุกร์ แม้เราจะยังอ่อนเพลียและง่วงนอนมากแถมอากาศก็ร้อนจัดอีก แต่ก็ทนเดินไปนมาซที่มัสญิดหะรอม ปรากฏว่าเจอผู้คนนั่งเบียดอัดกันแน่นขนัดไปหมดโดยเฉพาะจากริมประตูทางเข้าเป็นต้นไป เราต้องเดินฝ่าฝูงชนที่นั่งแออัดเหล่านั้นอยู่ครู่ใหญ่จึงทะลุเข้าสู่ด้านในลานซะอแอซึ่งยังมีที่ว่างอีกเยอะแยะ ...
ระหว่างนั่งรอเวลานมาซ ได้ยินเสียงไอและจามประสานเสียงกันดังขรมไปหมดทั้งมัสญิดเหมือนเทศกาลแข่งขันนกกรงหัวจุกบ้านเรา ตัวอิหม่ามเองก็ไม่ใช่ย่อย เห็นแกอ่านคุฏบะฮ์เสียงแหบๆเครือๆ ตอนแรกเข้าใจว่าแกสะอื้นหรือร้องให้เพราะซาบซึ้งในอรรถรสของอัล-กุรฺอานและหะดีษที่ตนเองอ่าน แต่ฟังแล้วไม่ใช่ เพราะได้ยินเสียงแกสูดน้ำมูกฟืดฟาดๆเป็นระยะๆเช่นเดียวกัน ...
คุฏบะฮ์ที่หนึ่งวันนี้ กินเวลาเพียง 10 นาที ส่วนคุฏบะฮ์ที่สอง 7 นาที ...
นมาซมัคริบและอิชาอ์คืนนี้เป็นคืนแรกที่เราได้ขึ้นไปนมาซบนลานหลังคาห้องน้ำ เพราะออกจากบ้านมาช้าไปนิดจนยากที่จะเบียดฝ่าฝูงชนขึ้นไปนมาซบนลานชั้นสามของมัสญิดได้ตามปกติ แต่ก็มีลมโกรกสบาย และที่ลานหลังคาห้องน้ำคืนนี้ก็มีคนนมาซเกือบเต็มพื้นที่เช่นเดียวกัน พวกเราทุกคนก็ล้วนนมาซบนนี้ยังกะนัดกันไว้ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น