โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 7 เจอผู้ร่วมอุดมการณ์เก่าๆ, วิสัยทัศน์การเมืองพ่อค้าพม่า)
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 21 เดือนซุลเกาะดะฮ์)
นมาซซุบห์เช้านี้ เราขึ้นไปนมาซบนลานชั้นสามของมัสญิดซึ่งบันไดเลื่อนถูกเปิดให้ใช้วันนี้เป็นวันแรก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ขึ้นไปนมาซหนาตาพอสมควร ...
หลังจากทานข้าวต้มรองท้องตอนเช้าแล้ว คอลิดก็โทรศัพท์มาชวนไปซื้อกับข้าวที่ตลาดนากาช่านอกเมืองตามที่นัดหมายกันไว้เมื่อวาน ค่ารถแท็กซี่ยังไม่แพงมากนัก ไปกลับแค่เที่ยวละ 20 รียาลเท่านั้น ...
นากาช่าเป็นตลาดปลาสดและตลาดผักสดอยู่ทางทิศตะวันตกไม่ห่างจากนครมักกะฮ์เท่าไหร่ ถ้าเป็นเส้นทางตรงคิดว่าคงไม่เกิน 6-7 กิโลเมตรกระมัง ...
ตลาดนากาช่าแห่งนี้ ถ้าพูดเรื่องราคาสินค้าก็เรียกได้ว่าทุกอย่างดีไปหมด เสียอย่างเดียวคือสกปรกมาก พื้นทางเดินเป็นน้ำคลำสีดำคล้ำส่งกลิ่นเหม็นชวนคลื่นไส้ ขนาดกลับมาถึงบ้านเอารองเท้าแช่ผงซักฟอกแล้วถูด้วยแปรงตั้งนานยังไม่หายเหม็นเลย ...
เราไปกัน 5 คน เป็นคอลิดกับซอลิหะฮ์ภรรยาและเพื่อนอีกหนึ่งคน ส่วนเราชวนน้องเซนไปช่วยหิ้วกับข้าว ต่างเลือกซื้อกับข้าวกันอย่างสนุกโดยเฉพาะปลากะบอกตัวโตๆที่ราคาเพียงกิโลกรัมละ 14 ริยาลหรือประมาณ 116 บาทเท่านั้น ปลาอื่นๆก็ราคาถูกกว่าที่ซื้อในร้านที่มักกะฮ์ทั้งสิ้น ผักสดทุกชนิดก็ราคาถูกกว่าที่มักกะฮ์เช่นเดียวกัน ...
เราซื้อทั้งผักและปลา หมดเงินไป (บวกกับค่าแท็กซี่ที่แชร์กับคอลิดคนละหนึ่งเที่ยวแล้ว) รวมทั้งสิ้น 183 ริยาล หรือประมาณ 1525 บาท ...
แต่กับข้าวที่ซื้อมาทั้งผักทั้งปลา เชื่อว่าใช้กินได้ไม่ต่ำกว่า 4-5 วันเป็นอย่างน้อย ถือว่าเกินคุ้ม ...
กับข้าวมื้อเที่ยงวันนี้ มีแกงส้มปลากะบอกสดตัวอ้วนและโตขนาดท่อนแขนเด็ก 4-5 ตัว รสชาติหวานมันเป็นตัวชูโรง จึงน่าจะเรียกได้ว่า เป็นกับข้าวมื้ออร่อยที่สุดสำหรับพวกเราทุกคนตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามักกะฮ์มา ...
แม้กระทั่งน้องโล่ยซึ่งปกติจะทานข้าวน้อยกว่าเพื่อน แต่มื้อนี้กินไปแค่สามจาน เอ๊ย สองจานเอง ...
ตอนสาย ฟัยซอลหรือญิบ น้องของฮารูนมาบอกว่า พรุ่งนี้สิบโมงเช้า จะนำพวกเราไปเที่ยวและช็อปปิ้งกันที่ญิดดะฮ์ ให้พวกเราเตรียมตัวกันให้พร้อม ...
ตอนสาย ฟัยซอลหรือญิบ น้องของฮารูนมาบอกว่า พรุ่งนี้สิบโมงเช้า จะนำพวกเราไปเที่ยวและช็อปปิ้งกันที่ญิดดะฮ์ ให้พวกเราเตรียมตัวกันให้พร้อม ...
แต่พอบ่ายสองโมง ฮารูนก็โทรมาขอผลัดไปเป็นวันพฤหัสแทนด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งพวกเราก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด คือจะเป็นวันไหนก็ได้ ขอให้ได้ไปเที่ยวก็แล้วกัน ...
นมาซอัศรี่วันนี้เราไปนมาซที่มัสญิดญะฟาลีย์ใกล้บ้านซึ่งมีผู้นมาซแน่นมาก พออิกอมะฮ์เสร็จและเรากำลังตักบีรอตุ้ลเอี๊ยะห์รอมตามอิหม่าม ก็มีใครไม่รู้มายืนเบียดแทรกข้างๆจนเราต้องยืนตัวลีบเพื่อแบ่งเนื้อที่ซึ่งคับแคบอยู่แล้วให้เขา ...
เราตักบีรฺเสร็จแล้ว ก็ได้ยินเขากล่าว “อุศ็อลลีย์ ...................” เบาๆ ...
ได้ยินแค่นี้ ก็นึกรู้ทันทีว่า เป็น "แนวร่วมเก่าๆและสหายเก่าๆ" ของเราแน่ๆเลย ...
สิ้นคำว่า อุศ็อลลี แป๊บหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงกล่าว “อัลลอออออออออออ .......” โดยลากเสียงคำว่า "ลออออออ...." ยาว แต่ยังหาที่ลงให้ “ฮุอักบัรฺ” ไม่ได้ ต้องปล่อยมือลงแล้วยกขึ้นใหม่พร้อมกล่าว “อัลลอออออออ ....” อีก แต่ก็ค้างเติ่งอยู่แค่นั้นอีก เป็นอย่างนี้อยู่ 6 ครั้ง ...
ครั้งที่เจ็ด จึงเพิ่งกล่าว “ฮุอักบัรฺ” ได้ลงตัว แสดงว่าเพิ่งเนียตติด ขณะที่อิหม่ามกำลังจะก้มลงรุกั๊วะอฺพอดี ...
แบบนี้ถึงไม่ติดก็ต้องติด เพราะถ้าขืนยังเนียตไม่ติดอีก มีหวังตกหลังอิหม่ามหนึ่งรอกอะฮ์แน่ๆ ...
ตอนเที่ยง สะริขอหลานสาวทำขนมอะไรมาฝากนะ .. อ้อ ข้าวเปียกเหนียวดำน้ำกะทิมาให้เป็นของหวานหลังอาหารเที่ยง ...
ส่วนตอนดึกหลังนมาซอิชาอ์แล้ว นาเซร์เพื่อนอีกคนนำเนื้อแพะพร้อมกระดูกซี่โครงแพะที่เพิ่งผ่านการเชือดชนิดสดๆร้อนๆมาให้อีกประมาณ 6 กิโลกรัม ...
เมื่อผนวกกับปลาต่างๆที่เราซื้อมาจากตลาดนากาช่าเมื่อตอนเช้าและใส่ตู้เย็นไว้ ก็หมายความว่าสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ พวกเรามีกับข้าวชั้นดีกินกันอย่างอิ่มหมีพีมันแน่นอน ...
วันจันทร์ ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 22 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
เช้ามืดหลังนมาซซุบห์บนลานชั้นสามของมัสญิดหะรอมเสร็จ ก็โทรศัพท์ไปหาน้องเล็กภรรยาที่บ้านอันเป็นกิจวัตรประจำวัน พอรู้ว่าอยู่สบายดีก็หมดห่วง ...
ตอนสายหลังจากทานข้าวยำรองท้องเรียบร้อย น้องๆก็ชวนเราไปแลกเงินและไปเที่ยวแถวๆกุบูรฺมะอฺลาซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของมัสญิดหะรอมประมาณหนึ่งกิโลเมตรกว่าๆ แต่อย่างว่าพอเที่ยวก็ต้องมีการช็อปปิ้งติดตามมาด้วย น้องๆหมดเงินไปคนละหลายร้อยรียาลเหมือนกัน ...
แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรเลยนอกจากกลับมาบ้านพักแล้วก็เลยไปซื้อมะพร้าวขูดหยาบๆอบแห้งหนึ่งกิโลกรัมราคา 15 รียาลที่ร้านเพื่อนสนิทชาวอินโดนีเซียเพื่อใช้แกงเนื้อแพะเป็นกับข้าวมื้อเที่ยง ก่อนกลับเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านยังแถมมะเขือม่วงลูกใหญ่ให้มาอีกประมาณ 3 กิโลกรัม เรียกว่า ช่วงนี้เรารับเละเรื่องของฟรีหรือของแถม ...
ตอนเที่ยง บังสันซึ่งมีอาการไอเรื้อรังมาตั้งแต่เพิ่งเดินทางถึงมักกะฮ์ใหม่ๆและน้องแอซึ่งมีอาการเป็นหวัดไม่ยอมหาย ภรรยาของทั้งสองคนจึงตัดสินใจพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลไทยซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้านพักเท่าไหร่ สักพักก็กลับมาพร้อมยาแก้ไข้แก้หวัดคนละหนึ่งถุงหิ้วขนาดกลาง ...
ตอนหัวค่ำเสร็จจากนมาซมัคริบที่ลานด้านหน้ามัสญิดหะรอมแล้วก็เลยถือโอกาสนั่งเล่นอยู่ที่นั่นคนเดียวพักหนึ่ง พอมองย้อนกลับมาทางด้านหลัง จึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า บนยอดเขาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมัสญิดฯ ซึ่งมีหน้าผาตัดชัน 90 องศาสูงประมาณ 20 เมตรขนานกับถนนใหญ่เป็นแนวยาวตลอด ส่วนสูงของลูกเขามองเผินๆลักษณะคล้ายไดโนเสาร์นอนหมอบตะคุ่มตัวทอดบั้นท้ายและส่วนหางลงมาจรดปากทางถนนซอยไปสู่ย่านชะอับอามิรฺ...
ปรากฏว่าบนยอดเขาซึ่งในอดีตเคยมีตึกสูงเต็มไปหมด ขณะนี้กลายเป็นที่โล่งเตียนไปเรียบร้อยแล้วเพราะตึกทุกหลังบนเขานั้นถูกทลายจนราบเรียบ และมีรถเครนขนาดใหญ่หลายคันกำลังปรับพื้นที่อยู่อย่างขะมักเขม้น ฝุ่นคลุ้งตลบไปหมดทั้งยอดเขา ..
ตอนหัวค่ำเสร็จจากนมาซมัคริบที่ลานด้านหน้ามัสญิดหะรอมแล้วก็เลยถือโอกาสนั่งเล่นอยู่ที่นั่นคนเดียวพักหนึ่ง พอมองย้อนกลับมาทางด้านหลัง จึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า บนยอดเขาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมัสญิดฯ ซึ่งมีหน้าผาตัดชัน 90 องศาสูงประมาณ 20 เมตรขนานกับถนนใหญ่เป็นแนวยาวตลอด ส่วนสูงของลูกเขามองเผินๆลักษณะคล้ายไดโนเสาร์นอนหมอบตะคุ่มตัวทอดบั้นท้ายและส่วนหางลงมาจรดปากทางถนนซอยไปสู่ย่านชะอับอามิรฺ...
ปรากฏว่าบนยอดเขาซึ่งในอดีตเคยมีตึกสูงเต็มไปหมด ขณะนี้กลายเป็นที่โล่งเตียนไปเรียบร้อยแล้วเพราะตึกทุกหลังบนเขานั้นถูกทลายจนราบเรียบ และมีรถเครนขนาดใหญ่หลายคันกำลังปรับพื้นที่อยู่อย่างขะมักเขม้น ฝุ่นคลุ้งตลบไปหมดทั้งยอดเขา ..
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 23 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
วันนี้ตอนเช้า หมอนัดน้องแอไปพบที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพราะต้องการตรวจเลือดดูอาการให้แน่ชัดว่า เป็นเบาหวานกำเริบหรือเป็นอะไร ...
ตอนสาย น้องโล่ย, น้องหมัด, บังสันและน้องเซนมาชวนเราไปช็อปปิ้งอีก น้องโล่ยใจดีอนุญาตให้เราเลือกซื้อเสื้อโต้ปใส่เองตัวหนึ่งโดยกำหนดราคาไว้ที่ร้อยกว่ารียาล แต่เราดันซื้อมา 2 ตัว .. ทว่าราคารวมเพียง 60 รียาลเท่านั้น (ตัวละ 30 รียาล) ...
ตั้งใจว่า เสื้อหนึ่งจากสองตัวนี้ เราจะใส่ขึ้นเครื่องบินตอนกลับบ้านให้น้องโล่ยภูมิใจ ...
ขอบใจน้องโล่ยมากๆคะร้าบ ...
พอไปเลือกซื้อเสื้อกันที่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากร้านเดิมมากนัก ปรากฏว่าลูกจ้างในร้านคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวพม่า(อาจจะเป็นโรฮิงยาก็ได้) ร่างเล็กผิวขาว อายุอยู่ในวัยกลางคน พูดไทยกลางชัดเปรี๊ยะแถมเฉียบแหลมมากๆ คือ พอพวกเราต่อราคาทีไรแกบอกว่า ราคาที่ต่อนั่นแหละคือราคาต้นทุนที่ทางร้านซื้อมา .. ทุกที ...
จะอย่างไรก็ตาม พวกเราก็ซื้อของในร้านแกเยอะแยะเพราะชอบใจที่พูดกันรู้เรื่องดีกว่าร้านอื่น เราเองก็ซื้อเสื้อไปฝากหวานใจที่บ้านตัวหนึ่ง เป็นเสื้อคลุมยาวสีดำผ้าญี่ปุ่นราคาแค่ 115 รียาลเอง (หนอย พูดมาได้แค่ 115 รียาลเอง แต่ตอนจ่ายเงินทำไมต้องยืมเงินน้องโล่ยล่ะ? .. คำตอบ เพราะตัวเองมีเงินไม่พอนะซี แหะ แหะ) ...
ก่อนออกจากร้าน เราลองถามแกดูว่าเคยอยู่ที่เมืองไทยกี่ปีและอยู่ที่ไหนบ้าง แกบอกว่าอยู่เมืองไทยมา 20 กว่าปี ทั้งที่กรุงเทพ, ฉะเชิงเทรา, ปัตตานี, ยะลา และพัทลุงก็เคยอยู่มาแล้ว และบอกว่าภาคใต้เดี๋ยวนี้ไม่น่าอยู่เหมือนเมื่อก่อนเพราะมีปัญหามาก ...
ก่อนออกจากร้าน เราลองถามแกดูว่าเคยอยู่ที่เมืองไทยกี่ปีและอยู่ที่ไหนบ้าง แกบอกว่าอยู่เมืองไทยมา 20 กว่าปี ทั้งที่กรุงเทพ, ฉะเชิงเทรา, ปัตตานี, ยะลา และพัทลุงก็เคยอยู่มาแล้ว และบอกว่าภาคใต้เดี๋ยวนี้ไม่น่าอยู่เหมือนเมื่อก่อนเพราะมีปัญหามาก ...
แกยังบอกอีกว่า สมมุติถ้าพวกที่สร้างปัญหาก่อกวนความสงบในภาคใต้ไปเกิดและอยู่ในประเทศพม่าเหมือนแก ก็จะซาบซึ้งดีว่า ประเทศไทยนี่แหละน่าอยู่ที่สุด เพราะเมืองไทยไม่มีการกีดกันเรื่องศาสนาเลย ต่างกับชาติอื่นๆหลายชาติที่แกเคยอยู่มา ...
เแสดงว่าแกมีภูมิรู้และวิสัยทัศน์เรื่องการเมืองอยู่ในขั้นดีทีเดียว ...
วันนี้ตอนเที่ยงอากาศร้อนมาก เราเลยไปนมาซซุฮ์รี่ที่มัสญิดญะฟาลีย์อีก แต่บังเอิญช้าไปหน่อย คือไปมัสญิดตอนที่กำลังมีการอะซาน ปรากฏว่าไปถึงก็แทบไม่มีที่ยืนนมาซเลยทั้งชั้นบนชั้นล่าง สุดท้ายต้องไปยืนเบียดตัวลีบอยู่มุมหนึ่งของชั้นล่างมัสญิดจนนมาซเสร็จและเดินขึ้นมาก็พบว่า มีคนยืนรอนมาซอยู่อีกเพียบหลายสิบคน ...
ขาเดินจากชั้นล่างมัสญิดขึ้นบันไดมาชั้นบน เห็นบังยีฝา (มุศฏอฟา) แซะฮ์อาวุโสแห่งป่าระไม อ.จะนะ กำลังยืนนมาซอยู่กลางขั้นบันไดพอดี จึงถูกคนที่แย่งกันเดินขึ้นบันไดเบียดจนเซไปเซมา ซึ่งบังยีฝาผู้นี้กับเราเคยอยู่ร่วมบริษัทโฮสนีย์เอ็กซ์เพรสมาด้วยกันสมัยหนึ่งก่อนที่บริษัทนี้จะล่มสลายไป และยังเจอคนบ้านเดียวกันคือ ดร.นิรันดร์ พันทรกิจอีกคนหนึ่งด้วย แต่ได้คุยกับทั้งสองคนไม่กี่คำก็วงแตก เพราะคนที่นมาซเสร็จกำลังแย่งกันเดินเบียดออกมาทางประตูอันคับแคบของมัสญิดซึ่งมีอยู่เพียงบานเดียว ขณะที่เราดันไปยืนคุยกันหน้าประตูชนิดขวางทางเดินพอดิบพอดีเสียด้วย ...
ถึงเวลานมาซมัคริบ เรานำน้องๆทุกคน(ยกเว้นบังสันกับน้องแอที่สภาพทางร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์) ขึ้นไปนมาซบนลานโล่งชั้นสามของมัสญิด ทุกคนพอใจในสภาพลานนั้นมากเพราะอากาศดีเหลือเกิน ...
พอนมาซมัคริบเสร็จทุกคนก็รีบไปยืนชะเง้อดูผู้คนที่กำลังฏอว้าฟกันอยู่ที่ลานฏอว้าฟข้างล่างอย่างตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากไม่เคยสัมผัสกับภาพจริงจากมุมสูงอย่างนี้มาก่อนในชีวิต นอกจากเคยเห็นในจอทีวีหรือในภาพถ่ายเท่านั้น ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น