โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 6 ลา .. ลา .. ลา)
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 18 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
ขณะที่กำลังนั่งรอนมาซซุบห์ที่มัสญิดหะรอม ก็ได้มีโอกาสคุยกับหุจญาจญ์จากอยุธยาคนหนึ่งซึ่งนั่งใกล้กันชื่ออิหม่ามชาญ นัยว่าเป็นญาติกับอิหม่ามอิดริสแห่งมัสญิดอัต-ตักวา หลานเขยของเราที่บ้าน ...
อิหม่ามชาญเล่าให้ฟังว่า มาทำหัจญ์ปีนี้ลำบากมากในเรื่องที่พักอาศัยซึ่งคับแคบชนิดอยู่กันห้องละ 4 คนโดยไม่มีที่ว่างพอจะให้นั่งคุยอะไรกันได้เลย ห้องครัวสำหรับทำกับข้าวรวมก็ไม่มี พวกแซะฮ์ภาคกลางที่นำหุจญาจญ์มาจำนวนมากต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเฉลี่ยลูกทีมออกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อทำกับข้าวกินกันเอง ...
ฟังดูแล้วรู้สึกว่าทีมของเรายังโชคดีมากที่มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครันไม่ขาดตกบกพร่องเลย ห้องนอนแต่ละห้องก็มีห้องน้ำในตัว และแม้จะเป็นห้องนอนรวมชนิด 4 เตียงเหมือนกันก็ยังมีเนื้อที่กลางห้อง กว้างขวางเพียงพอที่จะนั่งกินข้าวร่วมกันทั้ง 9 คนได้โดยไม่ถึงกับเบียดเสียดอะไรนัก ...
แต่ก็ใจหายที่หลังจากนี้อีกไม่นานคือประมาณเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ทราบว่าตึกทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมัสญิดหะรอมไปจนจดสะพานลอยที่เรียกกันว่า บริเวณชาอับอามิรฺ - ทั้งหมด - รวมทั้งตึกหรือโรงแรมหลังนี้และมัสญิดญะฟาลีย์ด้วย ก็จะถูกทุบทิ้งเช่นเดียวกัน ...
เวลา 7.50 น. หลังจากทานข้าวเหนียวกับปลาร้ารองท้องกันเรียบร้อย (ตอนนี้ใกล้เป็นคนอีสานเข้าไปเต็มทีแล้วเพราะนำคนอีสานพลัดถิ่นที่อดข้าวเหนียวไม่ได้มา 4 คนคือน้องหมัด, น้องโล่ย, น้องเซนและน้องข้อดี้) รถบัสที่ตกลงเหมากันไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็มารับพวกเราทั้งสามแซะฮ์ รวมหุจญาจน์ทั้งหมด 35 คนไปเที่ยวชมมะชาอิรฺหรือสถานที่ทำหัจญ์ที่สำคัญ คือ มินา, มุซดะลิฟะฮฺและอะรอฟะฮ์ และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์คือ ภูเขาษูรฺที่ท่านนบีย์กับท่านอบูบักรฺใช้หลบภัยจากการตามล่าของพวกมุชริกกุเรช และถ้ำหิรออ์แห่งญะบัลนูรฺที่ท่านศาสดาใช้เป็นสถานที่ปลีกวิเวกก่อนถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูต ...
การไปเยี่ยมมะชาอิรฺครั้งนี้ก็ไม่แตกต่างกับทุกปีที่ผ่านมา คือจะลงจากรถไปสัมผัสญัมเราะฮ์หรือสถานที่ขว้างก้อนกรวดก็ไม่ได้ ยกเว้นที่อะรอฟะฮ์ซึ่งอนุญาตให้พวกเราลงไปสัมผัสกับบริเวณใกล้เคียงกับญะบัลเราะห์มะฮ์ได้นานเกือบชั่วโมง ...
ที่นี่ มีเรื่องน่าตกใจที่สุดก็คือ มีหุจญาจญ์หลายคนถูกอาหรับนักต้มตุ๋นที่ประดับประดาอูฐจนสวยงามแล้วนำมาตื๊อแกมเคี่ยวเข็ญให้ขึ้นขี่หลังอูฐของมัน จากนั้นก็รีบจูงอูฐให้เดินหนีและถ่ายภาพเอาไว้อย่างรวดเร็วหลายภาพโดยหุจญาจญ์เหล่านั้นไม่รู้เรื่อง(เพราะพูดอาหรับไม่ได้) เสร็จแล้วก็นำภาพถ่ายเหล่านั้นมาเรียกเก็บเงินในลักษณะขู่เข็ญกรรโชกจากหุจญาจญ์ที่ตกเป็นเหยื่อของมันไปเป็นจำนวนมากน้อยต่างกัน ...
อย่างเบาะๆก็อาจจะโดนไปแค่ 100 ริยาล แต่บางคนโดนหนักกว่านั้น คือถูกกรรโชกเอาเงินไปร่วม 2000 ริยาลก็มี โดยสิ่งที่ได้มาก็เพียงภาพถ่ายบนหลังอูฐ 9-10 ภาพเท่านั้น ...
วิธีที่จะป้องกันจากอาหรับเลวๆพวกนี้ก็คือ ไม่ว่ามันจะเดินตามตื๊อหรือเคี่ยวเข็ญหรือดึงแขนอย่างไรก็ต้องใจแข็งและอย่าไปสนใจมันเป็นอันขาด ให้ปัดมือมันแล้วพูดห้วนๆกับมันว่า ลา .. ลา .. ลา (ลา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงขนมลาทอดในงานบุญเดือนสิบของคนพุทธเมืองนคร แต่เป็นคำปฏิเสธ แปลว่า ไม่!) .. แล้วพวกมันก็จะหลีกไปเอง ...
ตอนเย็นหลังนมาซอัศรี่ บังสันสั่งให้เรานำเงินไทย 5000 บาทไปแลกเป็นเงินอาหรับให้ ...
ปัญหาก็คือร้านรับแลกเงินแถวใกล้ๆบ้านพักเมื่อปีกลายประมาณ 4-5 ร้าน มาปีนี้ถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว เราจึงนึกไม่ออกว่าจะไปแลกเงินที่ไหนดี ...
ปัญหาก็คือร้านรับแลกเงินแถวใกล้ๆบ้านพักเมื่อปีกลายประมาณ 4-5 ร้าน มาปีนี้ถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว เราจึงนึกไม่ออกว่าจะไปแลกเงินที่ไหนดี ...
นึกขึ้นมาได้ว่า ทางผ่านไปย่านญุมัยซะฮ์ซึ่งเป็นที่พักครั้งมาทำหัจญ์พร้อมพี่หมูนและยูโส้ป-สุดา มีร้านรับแลกเงินอยู่ร้านหนึ่ง แต่มันไกลเหลือเกินคือสองกิโลเมตรกว่า ทว่าก็จำเป็นเพราะบังสันไม่มีเงินริยาลของอาหรับเหลืออยู่อีกแล้ว จึงต้องเดินไปยังร้านที่ว่า แต่พอไปถึง พบว่าร้านรับแลกเงินดังกล่าวก็เลิกกิจการไปแล้วเช่นเดียวกัน ...
เราต้องเดินกลับอย่างมึนงงเหมือนไก่ตาแตกว่า แล้วอาตมาจะไปหาร้านรับแลกเงินที่ไหนอีกละหว่า เพราะเดินไกลถึงขนาดนี้แล้วยังหาร้านแลกเงินไม่เจอสักร้านเดียว ..
บังเอิญขากลับเราเดินมาอีกด้านหนึ่งของมัสญิดญินอันเป็นด้านที่ติดกับถนนใหญ่ก็เจอร้านรับแลกเงินเข้าร้านหนึ่งพอดี ...
เราดีใจเหมือนลิงได้มะม่วงก็ไม่ปานจึงรีบนำเงิน 5000 บาทนั้นไปแลก ได้มา 590 ริยาล ขาดทุนจากการแลกที่มะดีนะฮ์ไปตั้ง 10 ริยาล แถมยังต้องเดินไกลที่สุดตั้งแต่ริแลกเงินมา คือไปกลับเกือบ 6 กิโลเมตร ...
หลังนมาซมัคริบ เรานำน้องหมัด, น้องโล่ย, น้องเซน, น้องแอ และน้องข้อดี้ทั้งสองลงไปรอนมาซอิชาอ์ชั้นใต้ดินของมัสญิดหะรอม ปรากฏว่าทุกคนชอบอกชอบใจไปตามๆกัน เพราะมีแอร์คอนดิชั่นเย็นเฉียบ ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่บนลานซะอฺแอชั้นสองที่นั่งกันประจำทุกคืน ...
น้องโล่ยบอกว่า รู้ว่าสบายยังงี้ก็ลงมาเสียตั้งนานแล้ว ไม่ทนร้อนอยู่บนชั้นสองหรอก ...
เป็นงั้นไป น้องเรา ...
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 19 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
วันนี้ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน ตอนแรกคิดว่าโน้ตบุ้คเครื่องนี้คงจะต้องว่างงานไปหนึ่งวันแหงๆ ...
แต่พอกินข้าวยำรองท้องตอนเช้าเสร็จ สะริขอหลานสาวของเรากับแฟนคือฮารูนซึ่งทำงานอยู่กงสุลไทยที่ญิดดะฮ์ก็มาเยี่ยมพวกเรายังที่พัก จึงมีเรื่องนั่งคุยกันอยู่นานพอสมควร ...
ฮารูนเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่ปีนี้ทางประเทศซาอุฯ ไม่ยอมให้โควต้าหุจญาจญ์เพิ่มแก่ประเทศใดรวมทั้งประเทศไทยด้วย ก็เพราะต้องการซ่อมแซมมัสญิดหะรอมประการหนึ่ง และประชากรที่อาศัยอยู่ในมักกะฮ์เองปีนี้แทบไม่ออกไปไหนเลยอีกประการหนึ่ง
หุจญาจญ์จากต่างประเทศปีนี้จึงคาดว่า ไม่น่าจะเกินสองล้านคน ...
และผู้ที่จะเดินทางมาทำอุมเราะฮ์ในเดือนเมษายนปีหน้าก็คงหมดโอกาสเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลเดียวกัน .. คือทางการซาอุฯ จะปิดนครมักกะฮ์ในช่วงนั้นเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงมัสญิดหะรอม จึงงดวีซ่าอุมเราะฮ์ให้บุคคลภายนอกเดินทางเข้ามาทั้งหมดตั้งแต่หลังหัจญ์จนถึงเดือนรอญับหรือประมาณเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ...
และถ้าเป็นอย่างที่ว่านี้ เราเองและพรรคพวกเกือบยี่สิบคนที่นัดหมายกันว่า จะเดินทางมาทำอุมเราะฮ์ในเดือนเมษายนปีหน้าอันเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนของเราปิดเทอม จึงอาจจะหมดโอกาสลงด้วยประการฉะนี้ อินชาอัลลอฮ์ ...
และถ้าเป็นอย่างที่ว่านี้ เราเองและพรรคพวกเกือบยี่สิบคนที่นัดหมายกันว่า จะเดินทางมาทำอุมเราะฮ์ในเดือนเมษายนปีหน้าอันเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนของเราปิดเทอม จึงอาจจะหมดโอกาสลงด้วยประการฉะนี้ อินชาอัลลอฮ์ ...
กับข้าวมื้อเที่ยงและมื้อค่ำของเราวันนี้ค่อนข้างหรูหรา(สำหรับบางคน) เพราะเราซื้อเนื้อแกะติดกระดูกมาต้มซุป และพวกเราบางคนก็ชอบเนื้อแกะ จึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ แต่มีบางคนเช่นน้องแอที่ไม่กินเนื้อแพะและเนื้อวัวซึ่งเราไม่ทราบมาก่อน จึงต้องเปิดปลากะป๋องที่เตรียมไว้ใช้ที่มินาให้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ...
หลังจากฮารูนและสะริขอกลับไปไม่นาน อะฉะกับมุหัมมัดก็มาเยี่ยมอีกพร้อมทำเต้าส่วนมาฝากด้วย เราจึงมีของหวานพิเศษหลังอาหารเที่ยง ซึ่งวันนี้อะฉะนั่งคุยกับเราเป็นการส่วนตัวนานกว่าทุกครั้งที่มาเยี่ยม จนหลังจากนมาซวันศุกร์แล้วจึงลากลับไป ...
ในการนมาซวันศุกร์ เช็คสุดัยซ์ทำหน้าที่อ่านคุฏบะฮ์และเป็นอิหม่ามเอง ซึ่งท่านเช็คฯอ่านคุฏบะฮ์ที่หนึ่งใช้เวลา 15 นาทีและคุฏบะฮ์ที่สองเพียง 7 นาทีเท่านั้น ...
วันเสาร์ ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 20 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
แม้จะมีหุจญาจญ์เดินทางถึงมาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูแล้วรู้สึกว่าปีนี้น่าจะมีคนมาทำหัจญ์น้อยกว่าปีที่แล้วในระยะเวลาเดียวกัน ...
วันนี้ก่อนเที่ยง ตอนแรกนัดกับ อ.คอลิดว่าจะไปหาซื้อกับข้าวประเภทปลาสดผักสดราคาถูกกันที่ตลาดนากาช่านอกเมือง แต่เอาเข้าจริงแม่ครัวของเราก็เอาไก่อัดแข็งซึ่งเราซื้อใส่ตู้เย็นสำรองไว้ มาแช่น้ำเตรียมผัดเผ็ดเรียบร้อยแล้ว จึงขอผลัดกับคอลิดว่า ค่อยไปนากาช่ากันเช้ามืดวันพรุ่งนี้ก็ได้ ...
วันนี้ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากนมาซมัคริบซึ่งปกติท่านเช็คสุดัยซ์จะทำหน้าที่เป็นอิหม่ามมาตลอดตั้งแต่วันจันทร์ ที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่วันนี้ท่านคงไม่อยู่หรือคงจะไม่ใช่เวรของท่านก็ได้ จึงให้ผู้อื่นทำหน้าที่อิหม่ามมัคริบแทนท่าน ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น