โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 5 เรื่องของมองตากูท์ เสื้อยืดยอดฮิตของหุจญาจญ์ไทย)
วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 15 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
หลังนมาซซุบห์ที่มัสญิดหะรอมเสร็จแล้วเดินมาที่วางรองเท้าใกล้เสาใหญ่ริมประตูทางออก ปรากฏว่ารองเท้าของบังสันซึ่งวางซ้อนทับรองเท้าของเราหายไปเสียแล้วพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่ามิใช่หยิบผิด แต่เป็นเจตนาอย่างชัดเจน ...
แสดงว่าคนชั่วนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ไม่สามารถละทิ้งนิสัยชั่วนั้นได้เลย ...
กลับถึงที่พัก เราเดินต่อไปที่ร้านขายกับข้าวแล้วซื้อขาไก่อัดแข็งมา 3 กล่องๆละ 16 ริยาล, ลูกฟักและมะเขือม่วงลูกกลมใหญ่ รวมแล้วหมดเงินไป 62 ริยาล เพื่อมาให้แม่ครัวทำแกงจืดไก่กับลูกฟักและมะเขือชุบไข่ทอดจิ้มน้ำพริกกินเป็นอาหารมื้อเที่ยง ...
ขณะที่แม่ครัวกำลังจะทำกับข้าว อะฉะญาติของเราซึ่งพำนักอยู่ที่มักกะฮ์หลายสิบปีแล้วพร้อมสามีที่เป็นชาวอียิปต์ชื่อมุหัมมัดก็มาเยี่ยมที่ห้องพัก และเพื่อมารับของฝากที่น้องชายและน้องสาวฝากมาให้จากเมืองไทยด้วย มุหัมมัดกับบังสันดูจะคุย - (ไม่รู้เรื่องกันหรอกเพราะพูดกันคนละภาษา) - ถูกคอกันมาก ส่วนพวกผู้หญิงที่เป็นแม่ครัวก็ไปนั่งคุยกับอะฉะ เนื่องจากเป็นญาติสนิทกันกับทุกคนและไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว ...
ตกลงเหลือเราคนเดียวที่ยังโสด จึงต้องรับหน้าที่เป็นพ่อครัวจำเป็นทำแกงจืดไก่กับลูกฟัก และทอดมะเขือชุบไข่ด้วยตัวเองให้ลูกทีมได้รับประทานกัน ...
ก็ไม่รู้ว่าลูกทีมชุดนี้ของเราโชคดีมหาศาลหรือโชคร้ายสุดๆกันแน่ที่ต้องฝืนใจรับประทานกับข้าวด้วยฝีมือ(ที่ไม่เอาไหน)ของเราเป็นครั้งแรก - และชุดแรก - นับตั้งแต่เรานำคนเดินทางมาทำหัจญ์หลายปีแล้ว ...
ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะเราถนัดกิน แต่ไม่ถนัดทำ ...
ทว่า .. น้องๆทุกคนคงกลัวเราเสียหน้า เลยประสานเสียงพร้อมกัน ชมเปาะว่าเราทำกับข้าวอร่อยดีเหลือเกิน ฮิฮิ ...
นมาซซุฮ์รี่วันนี้ คนอื่นไปนมาซที่มัสญิดหะรอมกันเกือบหมด แต่บังสันเดินไม่ค่อยจะไหว เราจึงนำไปนมาซที่มัสญิดญะฟาลีย์(หรือญัฟฟาลีย์) เพราะนอกจากจะใกล้บ้านพักแล้ว ยังมีเก้าอี้บริจาคให้คนปวดเข่าได้นั่งนมาซอย่างเหลือเฟือ ...
ส่วนน้องข้อดี้ที่เป็นไข้เมื่อวาน วันนี้อาการดีขึ้นผิดคาด สามารถเดินเหินไปมัสญิดได้ตามปกติ ...
ตอนพลบค่ำขณะเดินไปมัสญิดหะรอม เรานำทุกคนแวะไปที่ร้านขายเสื้อมองตากูท์ซึ่งอยู่คนละซอยใกล้บ้านพัก เพื่อสอบถามราคาเสื้อมองตากูท์ที่หลานชายสองคนฝากเงินมาให้ช่วยซื้อ ปรากฏว่าเจ้าของร้านบอก เสื้อมองตากูท์แท้จากฟร้านซ์(ฝรั่งเศส) ราคาตัวละ 280 ริยาล คิดเป็นเงินไทยก็แค่ราคาตัวละ 2352 บาทเอง ..
พูดได้ไงว่า เสื้อมองตากูท์แค่ตัวละ 2352 บาทเอง ...
ทำยังกับว่าเงินสองพันกว่าบาท มีค่าเท่ากับเงินหนึ่งสลึง สองเฟื้องมั๊ง ...
แต่จะถูกจะแพงยังไง วันนี้เรายังไม่ซื้อหรอกเพราะจะรีบไปนมาซที่มัสญิด ...
ก็ขอเรียนข้อมูลให้รับทราบกันนิดหนึ่งว่า เสื้อมองตากูท์ มีอยู่ 3 เกรดด้วยกันคือ เกรดเอหรือของแท้ เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Montagut, ราคาตัวละ 280 รียาล ...
ส่วนเกรดบีซึ่งลอกเลียนแบบ เขียนว่า Montagu (ไม่มีตัว T ข้างหลัง) ราคาตัวละ 90 รียาล ...
สุดท้าย เกรดซีซึ่งโหลยโท่ยที่สุด เขียนว่า Mantogo ราคาตัวละ 15 รียาล ...
และ .. ลูกค้าที่มาอุดหนุนซื้อเสื้อมองตากูท์จากร้านนี้ 99.99 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนไทยคะรับ ...
เพราะฉะนั้น จงอย่าแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าของร้านนี้ พูดภาษาไทยกับคุณได้ ...
เพราะฉะนั้น จงอย่าแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าของร้านนี้ พูดภาษาไทยกับคุณได้ ...
หมายเหตุ .. ราคาที่ผมบอกไปดังกล่าวเป็นราคาของเสื้อมองตากูท์ปีนี้ ...
เพราะฉะนั้น หากปีหน้าหรือปีไหน มาซื้อเสื้อมองตากูท์ได้แพงกว่านี้ ก็อย่าหาว่าผมโกหกก็แล้วกัน ...
ขณะเดินไปมัสญิด พอผ่านเชิงเขาสูงที่เมื่อวานยังมองเห็นตึก 5-6 ชั้นหลังนั้นนอนแอ้งแม้งอยู่แท้ๆ แต่เพียงแค่ข้ามคืนเดียวเท่านั้นก็ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซากแล้ว ...
แสดงว่า ระบบการทำลายซากตึกของอาหรับอยู่ในขั้นดีทีเดียว ...
และนมาซมัคริบค่ำคืนนี้ก็เป็นวันแรกที่ “ขวัญใจตลอดกาล” อย่างเช็คสุดัยซ์หรือเช็คอับดุรฺเราะห์มาน อัส-สุดัยซี่ย์ออกมาทำหน้าที่เป็นอิหม่ามนำนมาซ...
ฟังดูสุ้มเสียงของท่านเช็คฯ แล้วก็ยังไพเราะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย แต่ดูแล้วยังเป็นรองเรานิดหน่อยแค่ 5-4 เอง ฮิฮิ ...
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 16 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
หลังจากนมาซซุบห์เสร็จและออกจากมัสญิดหะรอมวันนี้ เราชวนน้องเซนและน้องแอไปเดินเล่นเพื่อให้ทั้งคู่ได้ชมตลาดซูกุลลัยล์เดิมซึ่งอยู่ใกล้กับศูนย์กลางขายผักผลไม้ของมักกะฮ์ เส้นทางเดินก่อนไปถึงกุโบร์มะอฺลา ...
ปรากฏว่า ที่มาเห็นกับตาขณะนี้ก็คือ อาณาบริเวณนั้นทั้งหมดไม่ว่าตลาดซูกุลลัยล์อันเลื่องชื่อ, ศูนย์ผักผลไม้ ฯลฯ .. กินเขตแดนไปถึงโรงแรมและตึกแถวด้านตะวันออกเฉียงใต้คนละฟากถนนของมัสญิดแมวเดิมที่ปีกลายดูสภาพแล้วยังดีมาก ...
มาบัดนี้ ถูกทลายราบเรียบเป็นหน้ากลองไปหมดแล้ว ...
อนิจจา ทั้งตลาดมุดดะอาเดิม, ตลาดซูกุลลัยน์, ตลาดศูนย์กลางขายผักผลไม้จนได้ชื่อว่าเป็นตลาดหัวอิฐแห่งนครมักกะฮ์, หะละเกาะฮ์ใหญ่สองร้านซึ่งเป็นที่ขายอาหารสดและอาหารแห้งครบวงจรสำหรับหุจญาจญ์ชาวไทย, มาเลเซียและอินโดนีเซีย ...
อนิจจา ทั้งตลาดมุดดะอาเดิม, ตลาดซูกุลลัยน์, ตลาดศูนย์กลางขายผักผลไม้จนได้ชื่อว่าเป็นตลาดหัวอิฐแห่งนครมักกะฮ์, หะละเกาะฮ์ใหญ่สองร้านซึ่งเป็นที่ขายอาหารสดและอาหารแห้งครบวงจรสำหรับหุจญาจญ์ชาวไทย, มาเลเซียและอินโดนีเซีย ...
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น บัดนี้, เดี๋ยวนี้ เหลือเพียงเป็นตำนานไว้ให้ผู้ซึ่งเคยเดินทางมาทำหัจญ์สมัยก่อนได้กล่าวขวัญถึง เพื่อให้ลูกหลานยุคหลังๆได้รับฟังในลักษณะเป็นเพียงแผ่นภาพจากความทรงจำในอดีตเท่านั้น ...
บอกตามตรงว่าอย่าว่าแต่ชาวมักกะฮ์เลย ขนาดเราเองซึ่งเป็นคนต่างถิ่นแท้ๆแต่คุ้นเคยกับสถานที่เหล่านี้มานานแสนนาน - คือทุกปีที่เดินทางมาทำหัจญ์ที่มักกะฮ์ร่วมสิบครั้ง - ก็ยังใจหายเช่นเดียวกัน ...
กลับมาถึงบ้านพักก็ต้องใจหายซ้ำอีกเมื่อบังสันแจ้งว่า สุดาลูกสาวที่ประเทศไทยโทรมาบอกว่า บังดีนญาติอาวุโสของเราซึ่งเป็นเพื่อนซี้ของบังสันและนอนป่วยอยู่นานนับเดือน ได้กลับไปสู่ความเมตตาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. แล้วเมื่อเช้านี้ ...
อินนาลิลลาฮ์ วะอินนา อิลัยฮิรอญิอูน ...
พอกินอาหารเช้ารองท้องเสร็จ บังสันก็ชวนไปร้านขายเสื้อมองตากูท์ทันที พวกเราคนอื่นๆ ไม่ว่าน้องหมัด, น้องโล่ย, น้องเซนและน้องแอก็เดินตามกันมาเป็นพรวน ...
พวกเราซื้อเสื้อมองตากูท์, ทั้งเกรดเอเกรดบีกันหลายตัว, เฉพาะบังสันคนเดียวซื้อมองตากูท์แท้ 4 ตัว ...
เราเองซื้อมองตากูท์แท้ (ตามใบสั่งของหลานที่บ้าน) 2 ตัวด้วย ...
น้องเซน, น้องโล่ยก็ซื้อเสื้อมองตากูท์เกรดบีกันคนละหลายตัว รวมเป็นเงินทั้งหมดแล้วก็เกือบ 3000 ริยาลเหมือนกัน ...
ตอนจ่ายเงิน เราถามเจ้าของร้านซึ่งพูดภาษาไทยได้กะท่อนกะแท่นว่า ช่วยลดราคาให้บ้างได้ไหมเพราะซื้อกันเยอะแยะตั้งหลายตัว ...
ตอนจ่ายเงิน เราถามเจ้าของร้านซึ่งพูดภาษาไทยได้กะท่อนกะแท่นว่า ช่วยลดราคาให้บ้างได้ไหมเพราะซื้อกันเยอะแยะตั้งหลายตัว ...
เจ้าของร้านบอกว่า ลดไม่ได้เพราะจะเสียราคาและกำไรน้อย แต่เขาก็ยังมอบเสื้อยืดสีเทายี่ห้ออื่น เกรดค่อนข้างดีให้เรามาตัวหนึ่ง ...
ตอนพลบค่ำ ขณะเดินออกจากประตูบ้านพักเพื่อจะไปนมาซมัคริบพร้อมกับน้องๆที่มัสญิดหะรอม ก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งก้าวลงจากรถบัสแล้วยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นคนเคยรู้จักมาก่อน ...
พอเขาหันหน้ามาเต็มตัวก็จำได้ทันทีว่า เขาคืออุษมาน ดามาเราะฮ์ หรือแม โต๊ะฮาดีย์ที่เราพูดถึงวันก่อนนั่นเอง ...
แมเองก็หันมาเห็นเราพอดีเช่นกัน จึงตรงเข้ามากอดกันด้วยความดีใจเพราะไม่ได้เจอกันเกือบยี่สิบปีแล้ว ...
แมดูซูบไปมากเพราะเป็นเบาหวาน เราเดินคุยและถามข่าวคราวซึ่งกันและกันไปพลางขณะเดินไปมัสญิด จนเมื่อถึงมัสญิดหะรอมจึงแยกจากกันไปคนละทาง ...
วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555 (วันที่ 17 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
ตีหนึ่งที่ผ่านมา เราปลุกน้องๆทุกคน(ยกเว้นบังสันที่ไม่สบายและหะวาที่ต้องอยู่เฝ้าบังสัน) ไปฏอว้าฟสุนัตกันที่มัสญิดหะรอม ...
พวกเราใช้เวลาฏอว้าฟไม่นานนัก คือประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เพราะเวลาดึกเช่นนี้ผู้คนส่วนมากยังหลับนอนกันอยู่ เห็นน้องโล่ยบอกว่าตนเองกับน้องหมัดสามารถเดินเข้าไปถึงตัวบัยตุลลอฮ์เลยทีเดียว ...
ตอนเดินออกมาจากมัสญิด เราสังเกตเห็นว่าลานกว้างตรงเยนเนอร์รัลเดิมที่ปีกลายถูกอนุโลมให้เป็นร้านค้าย่อยขายสินค้าทุกชนิดเต็มพืดไปหมด มาปีนี้ร้านค้าย่อยเหล่านั้นถูกรื้อถอนจนเกลี้ยงเพื่อใช้สถานที่เป็นลานสำหรับจอดรถบัสขนาดใหญ่หลายสิบคันหรืออาจจะเป็นร้อยคันซึ่งทำหน้าที่ขนหุจญาจญ์ที่พำนักอยู่นอกเมือง เดินทางเข้ามานมาซที่มัสญิดหะรอมทุกวันทั้ง 5 เวลา ...
ตอนเดินออกมาจากมัสญิด เราสังเกตเห็นว่าลานกว้างตรงเยนเนอร์รัลเดิมที่ปีกลายถูกอนุโลมให้เป็นร้านค้าย่อยขายสินค้าทุกชนิดเต็มพืดไปหมด มาปีนี้ร้านค้าย่อยเหล่านั้นถูกรื้อถอนจนเกลี้ยงเพื่อใช้สถานที่เป็นลานสำหรับจอดรถบัสขนาดใหญ่หลายสิบคันหรืออาจจะเป็นร้อยคันซึ่งทำหน้าที่ขนหุจญาจญ์ที่พำนักอยู่นอกเมือง เดินทางเข้ามานมาซที่มัสญิดหะรอมทุกวันทั้ง 5 เวลา ...
ส่วนร้านค้า - ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงร้านขายอาหารชนิดเดียวกันทุกร้านคือมะตะบะ, ไก่ย่างข้าวหมก และน้ำผลไม้ 6-7 ร้าน - ถูกโยกย้ายข้ามถนนมาอยู่ทางด้านทิศเหนือของจุดเดิม และจุดเดิมที่ว่านี้ อดีตเมื่อปีกลายก็คืออาคารร้านค้าที่เป็นตึกสูงตระหง่านหลายชั้นทันสมัยจำนวนมาก จนสามารถเรียกว่าเป็นศูนย์การค้าได้ไม่เขินปาก ...
ทว่าบัดนี้ ตึกหรือโรงแรมและศูนย์การค้าเหลานั้นถูกรื้อถอนไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซากเช่นเดียวกับตึกอื่นๆในบริเวณเดียวกัน ...
พวกเราแวะซื้อโรตีมะตะบะจากร้านอาหารเหล่านั้นมา 2 แผ่น ราคาแผ่นละ 5 รียาล กับไก่ย่างหนึ่งซีกราคา 12 รียาล มานั่งรับประทานฆ่าเวลาที่บ้านพักเพื่อรอเวลานมาซซุบห์ต่อไป ...
ก่อนถึงเวลานมาซซุบห์ เราโทรศัพท์ไปหาน้องเล็กภรรยา เพื่อสอบถามทุกข์สุขอันเป็นกิจวัตรประจำวันตั้งแต่เดินทางมาถึงซาอุฯ น้องเล็กบอกว่าฝนที่บ้านยังไม่มีทีท่าว่าจะตกเลย แต่ได้ข่าวว่าที่หัวไทรบ้านเกิด ยังพอมีฝนตกบ้างแล้ว ...
อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ ไปซื้อเนื้อวัว 2 ถุงจากร้านเจ้าประจำมาให้แม่ครัวผัดเผ็ดกับถั่ว คราวนี้ได้เนื้อวัวจริงๆเพราะที่ข้างถุงเขียนไว้ว่า لَحْمُ الْعِجْلِ ที่แปลว่า เนื้อวัว, มิใช่เป็นเนื้อวัวของอาหรับอย่างสองปีที่แล้วที่มันเถียงกับเราคอขึ้นเอ็นว่าเป็นเนื้อวัว แต่ข้างถุงเขียนว่า لَحْمُ الْجَامُوْسِ ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า เนื้อควาย ...
หลังนมาซอิชาอ์ เราลองเดินสำรวจร้านค้าย่อยที่สร้างเพิ่มเติมอีก 2 แถวต่อจากร้านขายอาหารที่ไปซื้อมะตะบะมาเมื่อคืน ก็มิใช่เป็นร้านขายเสื้อผ้าหรืออะไรเลย ทว่ายังคงเป็นร้านขายอาหารอีกนั่นแหละ แต่เป็นอาหารประเภทขนมขบเคี้ยวต่างๆ ...
มีอยู่ร้านหนึ่งที่มีไก่หมุนขายด้วย จึงลองเข้าไปสอบถามราคาดู มันบอกว่าไก่หมุนราคาตัวละ 20 รียาล แพงกว่าปีที่แล้วซึ่งราคาตัวละ 16 รียาลเท่านั้น ...
มีอยู่ร้านหนึ่งที่มีไก่หมุนขายด้วย จึงลองเข้าไปสอบถามราคาดู มันบอกว่าไก่หมุนราคาตัวละ 20 รียาล แพงกว่าปีที่แล้วซึ่งราคาตัวละ 16 รียาลเท่านั้น ...
สังเกตว่า ราคาสินค้าทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเสื้อผ้า ปีนี้ทั้งที่มะดีนะฮ์และมักกะฮ์แพงกว่าปีที่แล้วมาก ยกเว้นผักและผลไม้ที่ราคาแพงขึ้นเพียงนิดหน่อย ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น