โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 4 ทีเด็ดขอทานแห่งมดีนะฮ์, มุ่งสู่นครมักกะฮ์)
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555 (วันที่ 12 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
วันนี้ในโรงแรมที่เราอยู่ มีหุจญาจญ์ชาวอินโดนีเซียเพิ่งถึงมาใหม่อีก 3 คันรถบัสใหญ่ จึงทำให้มีกระเป๋าเดินทางกองพะเนินในห้องโถงชั้นล่างจนถึงเที่ยงกว่าจะขนขึ้นห้องพักกันหมด ...
ส่วนพวกเราเอง พรุ่งนี้หลังจากนมาซซุฮ์รี่และรับประทานทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ก็มีโปรแกรมเดินทางไปมักกะฮ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พอเสร็จจากนมาซวันศุกร์แล้ว พวกเราที่เป็นผู้ชายต่างคนต่างก็จัดกระเป๋ากันอย่างสนุกสนานและไม่เครียดอะไรนัก เนื่องจากสิ่งของที่พวกผู้ชายซื้อกันที่นครมะดีนะฮ์มีเพิ่มเติมไม่กี่ชิ้น ต่างจากฝ่ายผู้หญิงทั้ง 4 คนที่ซื้อเสื้อและสิ่งอื่นๆเพิ่มเติมกันเยอะแยะจนล้นกระเป๋าทำให้จัดกระเป๋าเองไม่ลงตัว ร้อนถึงฝาละมีของแต่ละอนงค์ต้องไปช่วยจัดการให้ จึงเรียบร้อย ...
พอสี่ทุ่ม พวกเราก็ช่วยกันขนย้ายกระเป๋าทั้งหมดลงไปกองไว้ที่ห้องโถงชั้นล่างของโรงแรม เพราะหากจะขนย้ายกันพรุ่งนี้ตอนเช้าหรือตอนเที่ยงก่อนออกเดินทางเกรงจะมีปัญหาเรื่องการแย่งกันใช้ลิฟท์ ซึ่งนี่คือความรอบคอบของพวกเรา ...
วันนี้ทั้งวัน เรารู้สึกตัวว่าโดนหวัดเล่นงานเขาแล้ว เพราะมีน้ำมูกใสๆไหลตลอดเวลา แถมมีอาการเจ็บคอและไอด้วย คิดว่าสาเหตุคงเนื่องมาจากไม่ได้กินน้ำร้อนต่อเนื่องเหมือนปีก่อนๆที่พวกเราหุงข้าวกินกันเองและสามารถต้มน้ำร้อนได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงต้องใช้บริการยามายบาซินกินแก้เจ็บคอ แต่ไม่สามารถลดน้ำมูกได้ ...
บังสันและน้องแอก็มีอาการอย่างเดียวกัน โดยเฉพาะบังสันเสียงแหบเป็นเป็ดเทศไปเลย
ก่อนนอน เราขอยาลดน้ำมูกจากน้องแอมากินเม็ดหนึ่ง แล้วนอนหลับสนิทจนถึงเวลา 03.20 น. อันเป็นเวลาตื่นตามปกติของพวกเรา ...
วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555(วันที่ 13 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
พอรู้สึกตัวจากนอนก็รู้สึกทันทีว่า อาการหวัดของเราค่อยทุเลาลง ไม่มีอาการเจ็บคออีกและน้ำมูกก็เกือบจะหยุดสนิท ...
ผู้ที่จะเดินทางไปมักกะฮ์วันนี้นอกจากพวกเราแล้ว ก็มีแซะฮ์อื่นๆอีกหลายกลุ่ม บางกลุ่มก็ขนสัมภาระตามหลังเราลงไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่บางกลุ่มก็ยังเฉยๆอยู่ ...
ตอนเก้าโมงเช้าเราลงมานั่งเฝ้าของที่ห้องโถงชั้นล่างของโรงแรม เพราะเกรงสัมภาระของพวกเราซึ่งแม้จะตั้งแยกจากกลุ่มที่จะออกเดินทางก่อนพวกเราก็จริง แต่พวกกรรมกรขนของประจำรถมันไม่รู้หรอกว่าของใครคือของใคร ...
ตอนเก้าโมงเช้าเราลงมานั่งเฝ้าของที่ห้องโถงชั้นล่างของโรงแรม เพราะเกรงสัมภาระของพวกเราซึ่งแม้จะตั้งแยกจากกลุ่มที่จะออกเดินทางก่อนพวกเราก็จริง แต่พวกกรรมกรขนของประจำรถมันไม่รู้หรอกว่าของใครคือของใคร ...
หลังจากนมาซซุฮ์รี่เสร็จและรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็อาบน้ำครองชุดเอี๊ยะห์รอม เสร็จสรรพก็หิ้วกระเป๋าใบเล็กลงมาห้องโถงชั้นล่างก็พบว่า สัมภาระของพวกเราทั้งหมดรวมทั้งของแซะฮ์ซอบะรีย์สตูลซึ่งไปรถคันเดียวกับพวกเรา ถูกขนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว และนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เราเห็นรถบริการของอาหรับมาถึงก่อนเวลานัดหมาย คือเวลา 14.00 น. ...
ระหว่างที่ทุกคนขึ้นนั่งบนรถรอเวลารถออกเดินทาง ก็มีสตรีผิวดำวัยกลางคนนางหนึ่งขึ้นมาขอซอดะเกาะฮ์เงินจากหุจญาจญ์ที่อยู่บนรถ แต่ระหว่างแกกำลังเดินขอเงินอยู่นั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ขอทานคนนั้นจึงควักโทรศัพท์มือถือซึ่งดูออกว่าราคาแพงระยับขึ้นมาคุยกับใครก็ไม่รู้เฉยเลย สักพักก็เดินขอเงินต่อ...
แต่คราวนี้ไม่มีใครให้แกอีก เพราะขนาดขอทานยังมีโทรศัพท์ราคาแพงกว่าผู้ให้นี่ ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ...
พอเวลา 14.30 น. รถก็ออกเดินทางจากนครมะดีนะฮ์ มุ่งหน้าสู่นครมักกะฮ์ เมื่อรถวิ่งลงใต้ไปตามเส้นทางประมาณ 25 นาทีก็เลี้ยวแวะจอดที่มีกอต - คือซุลหุลัยฟะฮ์ - เพื่อให้พวกเราเนียตทำอุมเราะฮ์กัน ...
แต่เนื่องจากใกล้ถึงเวลานมาซอัศรี่เต็มทีแล้ว คนขับชาวอียิปต์ที่มีอัธยาสัยดีและท่าทางมีอารมณ์ขันพอตัวก็อนุญาตให้พวกเรารอต่อไปจนได้นมาซอัศรี่ที่นั่น จึงเดินทางออกจากซุลหุลัยฟะฮ์เมื่อเวลา 16.20 น. ...
ระหว่างที่รถวิ่งไป เราก็นั่งหลับมั่งตื่นมั่งไปตลอดทาง จนรถแวะจอดข้างทางเมื่อเวลาสองทุ่มเพื่อให้พวกเราลงนมาซมัคริบและอิชาอ์รวมกัน จากนั้นจึงออกเดินทางต่อไปท่ามกลางแสงเดือนสุกสกาวอร่าม จนถึงนครมักกะฮ์เมื่อเวลาเที่ยงคืนพอดี ...
โรงแรมที่พักคราวนี้ก็เป็นโรงแรมเดิมที่เราเคยมาพักเมื่อปีที่แล้ว และชั้นที่พักก็ยังเป็นชั้น 4 เหมือนเดิมอีก แถมคนรับใช้ประจำโรงแรมส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนชุดเดิมที่สนิทสนมกับเราดี จึงช่วยบริการขนกระเป๋าขึ้นห้องพักเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ...
โรงแรมที่พักคราวนี้ก็เป็นโรงแรมเดิมที่เราเคยมาพักเมื่อปีที่แล้ว และชั้นที่พักก็ยังเป็นชั้น 4 เหมือนเดิมอีก แถมคนรับใช้ประจำโรงแรมส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนชุดเดิมที่สนิทสนมกับเราดี จึงช่วยบริการขนกระเป๋าขึ้นห้องพักเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ...
พวกเราผู้ชาย 4 คนได้พักที่ห้องหมายเลข 402 อันเป็นห้องพักของผู้หญิงที่มาทำหัจญ์พร้อมกับเราเมื่อปีกลาย ส่วนห้องพักเดิมของเรายกให้เป็นที่พักของผู้หญิงสามคนของพวกเรา คือหะวาพี่สะใภ้เรา, ขอดี้ภรรยาของน้องเซน และข้อดี้ภรรยาของน้องแอ ...
ส่วนน้องหมัดกับน้องโล่ย เรายกห้อง 403 อันเป็นห้องเตียงคู่อยู่กันได้แค่สองคนเฉพาะสามีภรรยา สบายแฮไป ...
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จและนั่งพักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้ว พวกเราทั้ง 9 คนในชุดเอี๊ยะห์รอมก็ลงจากที่พักเดินเข้าสู่มัสญิดหะรอมในเวลา 01.30 น. เพื่อฏอว้าฟบัยตุ้ลลอฮ์และซะอฺแอระหว่างเนินซอฟาและเนินมัรฺวะฮ์ต่อไป ...
เนินซอฟาและเนินมัรฺวะฮ์เป็นเนินเขาเตี้ยๆ ปัจจุบันอยู่ติดกับผนังด้านนอกสุดของมัสญิดหะรอม แต่ผู้รู้หรือโต๊ะครูของพวกเราบางคนดันไปเรียกว่า ภูเขาซอฟาและภูเขามัรฺวะฮ์ ...
ดังนั้นชาวบ้านบางคนที่เพิ่งเดินทางมาทำหัจญ์ครั้งแรกและตั้งใจจะไปเดินซะอฺแอระหว่างเนินทั้งสอง เคยกลับไปเล่าให้เราฟังว่า เขาเดินแหงนหน้าหาภูเขาซอฟาและภูเขามัรฺวะฮ์กันแทบแย่ เพราะนึกว่าทั้งสองนั้นเป็นภูเขาสูงตามมโนภาพจากคำพูดของโต๊ะครูที่เขาได้ยินมา แต่ความจริงทั้งสองเป็นเพียงเนินเตี้ยๆไม่ใช่ภูเขาสูงอะไรเลย ...
ออกจากโรงแรมที่พักถึงถนนใหญ่ซึ่งเคยมีร้านขายทองคำ, ขายเสื้อผ้า, ขายนาฬิกา, ขายรองเท้า, ขายไก่หมุนและอื่นหลายคูหาที่อยู่ริมถนนด้านซ้ายมือขาเดินมาจากบ้านพัก ปรากฏว่า ถูกไถราบเรียบเป็นหน้ากลองไปหมดแล้ว เหมือนอีกหลายคูหาย่านนั้นที่กำลังรอเวลาเช่นเดียวกัน ...
พอลงสู่ลานฏอว้าฟ ปรากฏว่าผู้คนค่อนข้างบางตาเนื่องจากพวกเราถือว่าเป็นกลุ่มแรกๆที่เดินทางเข้าสู่มักกะฮ์ การฏอว้าฟคราวนี้แม้จะเดินกันอย่างช้าๆเพราะมีพวกเราบางคนปวดขา แต่เราก็ใช้เวลาฏอว้าฟไปเพียง 35 นาทีเท่านั้น ...
พอลงสู่ลานฏอว้าฟ ปรากฏว่าผู้คนค่อนข้างบางตาเนื่องจากพวกเราถือว่าเป็นกลุ่มแรกๆที่เดินทางเข้าสู่มักกะฮ์ การฏอว้าฟคราวนี้แม้จะเดินกันอย่างช้าๆเพราะมีพวกเราบางคนปวดขา แต่เราก็ใช้เวลาฏอว้าฟไปเพียง 35 นาทีเท่านั้น ...
ต่อจากนั้นก็เดินต่อไปยังลานซะอฺแอที่เนินซอฟาและเนินมัรฺวะฮ์ ซึ่งผู้คนก็บางตาอีกเช่นเดียวกัน พวกเราใช้เวลาเดินซะอฺแอกันเพียงชั่วโมงกว่าๆก็เสร็จเรียบร้อยและกลับไปขลิบผมกัน ณที่พักเมื่อเวลาประมาณ 03.40 น. ของวันใหม่ ...
วันอาทิตย์ ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 (วันที่ 14 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
หลังจากนมาซซุบห์เสร็จแล้ว ก่อนอื่นเราไปยังร้านขายของซึ่งเจ้าของร้านเป็นชาวอินโดนีเซียและสนิทสนมกับเราดีเพื่อหาซื้อกับข้าวมาเตรียมหุงหากันเองเป็นมื้อแรกปรากฏว่าเราโชคดีเจอปลาจาระเม็ดตัวบะเริ่มเทิ่มหลายตัวในร้านรวมทั้งปลากะพงด้วย เราจึงเลือกปลาจาระเม็ดมา 3 ตัวน้ำหนักเกือบ 6 กิโลกรัมและปลากะพงอีกหนึ่งตัวหนักประมาณกิโลครึ่ง รวมทั้งกับข้าวที่จำเป็นอื่นๆ หมดเงินไป 186 ริยาล แล้วนำกับข้าวเหล่านั้นมาใส่ตู้เย็นไว้ ขณะที่พรรคพวกคนอื่นๆทั้งชายและหญิงยังนอนสลบไสลกันอยู่ เพราะเหนื่อยและอ่อนเพลียจากการเดินทางและการฏอว้าฟซะอฺแอกันเกือบทั้งคืน ...
จัดการเรื่องกับข้าวเสร็จ เราก็นอนหลับเป็นตายไปเหมือนกัน ...
อาหารเช้าของพวกเราวันนี้ คือขาวต้มร้อนๆกินกับปลาร้าและเนื้อเค็มแห้ง ...
ส่วนอาหารมื้อเที่ยงในวันนี้ ถือเป็นอาหารมื้อแรกที่ถูกปากของพวกเราอย่างแท้จริง เพราะมีแกงส้มปลากะพงและปลาจาระเม็ดอย่างละหนึ่งตัวรวมกันหม้อใหญ่, น้ำพริกมะขาม, ปลาร้าที่ทอดมาจากบ้านเรียบร้อยแล้วและแตงกวาสดจิ้มน้ำพริก ...
ตอนบ่ายเสร็จจากนมาซซุฮ์รี่ที่มัสญิดหะรอม พอเดินออกมาจากลานด้านหน้าห้องน้ำของมัสญิด ผ่านลานกว้างที่อดีตเคยเป็นตึกเย็นเนอรัลเก่าแล้วมองขึ้นไปบนภูเขาทางด้านขวามือซึ่งเคยเป็นโรงแรมหลายชั้น มีอายุยืนนานมานับสิบๆปี และหุจญาจญ์ชาวไทยก็เคยมาเช่าเป็นที่พักกันทุกปี รวมทั้งท่านจุฬาราชมนตรีอาศิส พิทักษ์คุมพลของเราก็เคยมาเช่าพักเป็นประจำเกือบทุกปีเช่นเดียวกัน ...
มา ณวันนี้ โรงแรมเก่าหลังนั้นก็ถึงแก่กาลอวสานไปเรียบร้อยแล้ว จากภาพที่เห็นมันถอนรากถอนโคนนอนหงายหลังไปพิงกับส่วนสูงของภูเขาอย่างสบายใจ คล้ายกับจะบอกให้ทุกคนที่เดินผ่านได้ประจักษ์ความจริงว่าให้ดูมันเป็นตัวอย่างเถอะ สรรพสิ่งทุกอย่างในพื้นพิภพนี้จะต้องถึงแก่กาลพินาศสักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว ...
เดินผ่านหน้าร้านขายไอศกรีม บังสันปรารภอยากจะลองลิ้มรสดูเพราะเห็นเราไปประชาสัมพันธ์เอาไว้มาก จึงไปซื้อมา 2 ถ้วย ถ้วยละ 3 ริยาลให้บังสันและพี่สะใภ้ ทั้งสองกินแล้วชมเปาะว่าอร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ ...
ตอนเย็นเราโทรศัพท์ไปหาฮารูน หลานเขยซึ่งทำงานอยู่ที่กงสุลเมืองญิดดะฮ์ เพื่อถามหาสัมภาระบางอย่างของเรา เช่นหม้อหุงข้าว, เครื่องบดหรือปั่นน้ำพริก, โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระติกใหญ่ต้มน้ำร้อนที่ฝากเขาไว้ตั้งแต่ปีกลาย ...
ฮารูนบอกว่า เขาเอามาวางไว้ให้ในห้องพักของเราเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันศุกร์ ก่อนพวกเราเดินทางมาเสียอีก ...
แต่เราบอกว่าไม่เห็นมีอะไรสักอย่างในห้อง ...
คราวนี้ก็เกิดวุ่นวายนิดหน่อย ฮารูนย้ำว่าให้เราตรวจดูให้แน่ใจอีกที เพราะทั้งหมดที่เราฝากไว้ เขาเอามาวางไว้ให้ในห้องแล้วแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ...
เรามานั่งทบทวนดูก็เกิดเฉลียวใจว่า ตอนเข้ามาในห้องพักครั้งแรกขณะเดินทางมาถึงใหม่ๆพบว่าในห้องพักมีถุงสีดำแบบที่เทศบาลใช้ใส่ขยะวางอยู่ 2 ใบ ลักษณะมีอะไรบรรจุอยู่เต็มซึ่งเราและน้องเซนเข้าใจว่าเป็นขยะที่ผู้พักคนก่อนทิ้งเอาไว้ น้องเซนจึงลากไปวางไว้หน้าประตูห้องลิฟท์ตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อรอให้พนักงานโรงแรมขนไปทิ้ง ...
และเมื่อตอนที่เดินมาขึ้นลิฟท์จะไปนมาซซุฮ์รี่ สาๆว่าถุงดำทั้งสองใบคงยังวางอยู่
เราจึงชวนญิบซึ่งเป็นน้องชายของฮารูนเดินไปดูหน้าห้องลิฟท์ ก็เจอถุงดำที่ว่ายังวางอยู่ทั้งสองใบจริงๆ โชคดีที่พนักงานโรงแรมยังไม่เอาไปทิ้ง จึงแก้เชือกผูกออกดู พบว่าสัมภาระทุกอย่างที่เราฝากเอาไว้ยังอยู่ครบถ้วน จึงรีบโทรศัพท์ไปบอกฮารูนให้รับทราบ เรื่องทั้งหลายแหล่จึงแฮปปี้เอนดิ้ง ...
พอตอนเย็น ข้อดี้ภรรยาของน้องเซนมีอาการเป็นไข้ เราจึงนำไปที่โรงพยาบาลไทยซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากที่พักเท่าไร หมอตรวจแล้วบอกว่าเป็นไทรอยด์อักเสบ จึงให้ยามากินแล้วสั่งให้พักผ่อนมากๆ ...
ตกค่ำ ไอศกรีมที่กินไปเมื่อตอนเที่ยงก็ทำพิษ บังสันซึ่งทำท่าจะพูดจาออกเสียงได้บ้างแล้วหลังจากเสียงแหบมาหลายวัน คืนนี้กลับกลายเป็นเป็ดเทศไปตามเดิมอีก ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น