โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 3 ปรัชญาจากศิษย์เก่า และ .. ความฉลาดของผู้ขายของในห้าง)
วันอังคาร ที่ 25 กันยายน 55 (ตรงกับวันที่ 9 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์)
ตอนเช้าหลังจาก 8 โมงเช้า รถของมหาลัยมะดีนะฮ์ 2 คันก็มารับพวกเราที่เป็นหุจญาจญ์ของบริษัทอัล-จาซีร่าโดยเฉพาะไปเยี่ยมชมมะชาอิรฺแห่งนครมะดีนะฮ์ โดยมุ่งไปมัสญิดกุบาอ์ก่อน ...
ที่มัสญิดกุบาอ์ เราเจอกับกำนันหีม บ่อตรุซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของเราและเดินทางมาทำหัจญ์กันกลุ่มใหญ่พร้อมกับยีหมีด โต๊ะอิหม่ามมัสญิดบ่อตรุ หลังจากคุยกันครู่หนึ่ง หีมก็สัญญาว่าตอนเย็นจะไปเยี่ยมเราที่บ้านพัก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปขึ้นรถ ...
ออกจากมัสญิดกุบาอ์ รถก็นำพวกเราไปเยี่ยมชมสวนอินทผลัมที่อยู่ใกล้กับภูเขาอุหุดซึ่งมีร้านขายอินทผลัมชนิดต่างๆและขนมหวานหลากหลายชนิดอยู่ใกล้กัน จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดามุสลิมะฮ์เป็นอย่างมาก สภาพของหลายคนตอนนั้นจึงไม่ต่างอันใดกับการปล่อยแพะเข้าสวนผัก ...
จึงมิใช่เรื่องแปลกที่กว่าจะหลุดออกมาจากร้านค้าได้ก็เสียเวลาไปเกือบชั่วโมง ...
จากนั้น ก็ไปต่อยังภูเขาอุหุดสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอิสลามอีกแห่งหนึ่ง และเสียเวลาอยู่ที่นั่นประมาณ 40 นาทีรถก็นำไปเยี่ยมชมสถานที่พิมพ์อัล-กุรฺอานของนครมะดีนะฮ์ ...
อีกครู่หนึ่งจึงกลับที่พักก่อนเวลานมาซซุฮ์รี่ประมาณ 20 นาทีเท่านั้น ...
ที่สุดแสนเจ็บปวดก็คือ พอกลับถึงโรงแรมและเข้าไปในห้องพักก็พบว่า ท่อน้ำประปาในห้องน้ำเกิดหลุดขณะพวกเราไม่อยู่ในห้อง คงจะเป็นเพราะสกรูต่อสายยางมีสภาพเก่าแก่เต็มทีจนสนิมกัดขาด น้ำประปากำลังไหลพุ่งอย่างแรง ดีแต่ระบบระบายน้ำทำงานดี มิฉะนั้นน้ำคงไหลบ่านองพื้นห้องนอนแน่ๆ ...
น้องหมัดจึงจัดการปิดวาล์วระงับน้ำที่กำลังไหลพุ่งอย่างแรงนั้นให้ยุติลง แต่ก็หมายถึงพวกเราจะใช้ชักโครกของห้องน้ำไม่ได้อีก ...
พวกเราจึงรีบไปยังมัสญิดก่อนแล้วใช้บริการห้องน้ำหน้ามัสญิดกันชั่วคราว พอนมาซเสร็จและกลับมารับประทานอาหารที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจึงไปแจ้งให้ทางโรงแรมทราบซึ่งทางโรงแรมก็ดีใจหาย รีบส่งเจ้าหน้าที่มาแก้ไขให้ในเดี๋ยวนั้นเลย ...
มิฉะนั้นพวกเราก็คงต้องใช้บริการห้องน้ำมัสญิดกันหลายวันแน่นอน ...
ตอนเย็น กำนันหีมก็มาเยี่ยมตามสัญญา และนั่งคุยกันอยู่นานพอสมควร เพราะทุกคนในทีมของเราก็ล้วนเป็นญาติสนิทของเขาทั้งสิ้น ...
จนเกือบค่ำกำนันหีมก็ลากลับไปที่พักของเขาซึ่งอยู่ห่างจากมัสญิดเกือบหนึ่งกิโลเมตร ...
วันพุธ ที่ 26 กันยายน 55 (วันที่ 10 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์) ...
ตอนเช้าหลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็อบรมลูกทีมของเราในเรื่องทำหัจญ์, ทำอุมเราะฮ์และเรื่องอื่นๆอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ถือโอกาสไปเดินเล่นแถวร้านขายหนังสือและก็บังเอิญไปเจอกับน้องหีม (อ.ร่อหีม ศรีวิรัตน์) ซึ่งเดินทางมาเครื่องบินลำเดียวกันและนำภรรยาออกมาเดินช็อปปิ้งเช่นเดียวกัน ...
น้องหีมจะซื้ออะไรบ้างเราไม่รู้ แต่เราถือโอกาสซื้อแผ่นเอ็มพี 3 เสียงอ่านอัล-กุรฺอานทั้งเล่มของเช็คสุเดซที่คุณเหรียม สงขลาฝากซื้อไปเปิดให้คุณพ่อฟัง ...
คุณเหรียมฝากเงินมาตอนแรก 1000 บาท แต่กลัวจะไม่พอเลยให้เพิ่มมาอีก 500 บาท รวมเป็นเงิน 1500 บาท ...
เงินฝากตั้ง 1500 บาทแต่ค่าแผ่นเอ็มพีสามแผ่นหนึ่ง ราคาเพียง 84 บาทเอง ...
ออกจากร้านขายหนังสือ เราไปต่อที่ร้านขายของชำเพื่อนชาวบังคลาเทศเพื่อจะอำลาเขาเดินทางไปมักกะฮ์วันเสาร์นี้ ปรากฏว่าที่ร้านเพื่อน เราเจอชาวไทยหลายคนทั้งผู้หญิงผู้ชายกำลังซื้อกับข้าวกันอยู่ ...
พอเราเอ่ยปากถามสุภาพสตรีคนหนึ่งว่า ซื้อกะพงปลากิโลละเท่าไหร่ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆก็เอ่ยปากถามเราทันทีว่า นี่บังหมูดใช่ไหม ? ...
เราตอบว่าใช่ แล้วปลดผ้าปิดจมูกออก เขาก็กรากเข้ามากอดแล้วถามว่า จำเขาได้ไหม? ...
เรากอดตอบแล้วมองดูหน้าเขา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะคุ้นๆแต่จำชื่อไม่ได้ จึงบอกเขาตามตรงว่าพอจำหน้าได้แต่ขอโทษที่จำชื่อไม่ได้จริงๆ ...
เขาจึงบอกว่า เขาชื่อเลาะฮ์ อยู่สตูลและเป็นลูกศิษย์ของเราสมัยเรียนปอเนาะเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว ...
มิน่า จากกันเกือบ 50 ปีแล้ว เราจะจดจำเขาได้อย่างไร ...
เขาบอกอีกว่าแค่ได้ยินเสียงพูดเขาก็จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของเราที่เคยสอนเขามาทุกวันในอดีตและยังจำได้ไม่ลืม ...
แสดงว่า ตั้งเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา แม้หน้าตาของเราจะเปลี่ยนเป็นหล่อลงนิดหน่อย แต่น้ำเสียงก็ยังคงหนุ่มและหล่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย ฮิ ฮิ ...
เดินเล่นดูสินค้าแถวนั้นจนเกือบเที่ยงจึงกลับมาห้องพัก พรรคพวกชวนออกไปซื้อผ้าชุดเอี๊ยะห์รอมกัน 3 คน 3 ชุด ราคาชุดละ 50 ริยาล (ขาดของน้องแออีกคนหนึ่ง)เสร็จแล้วกลับมาอาบน้ำแต่งตัวไปนมาซซุฮ์รี่กัน ...
สังเกตว่า การรับประทานอาหารบุฟเฟ่ที่โรงแรมจัดให้เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆคือใครขึ้นมาหลังเพื่อน แทบจะไม่มีอะไรเหลือให้กินแถมที่นั่งยังไม่พออีกต่างหาก ...
สำหรับพวกเราซึ่งแต่ละคน -โดยเฉพาะพี่ใหญ่(บังสันพี่ชายเรา) - ล้วนเป็น “นักบริโภค” ตัวยงทั้งสิ้น (อย่าใช้คำว่า ตะกละ กับพวกเราเป็นอันขาด เราหายอมไม่ เพราะเท่ากับมองตัวเราและพรรคพวกในแง่ร้ายเกินไป ฮิฮิ) จึงไม่ต้องห่วง คือจะมาถึงห้องอาหาร .. แม้จะไม่ถึงกับมาก่อนเพื่อนเหมือนวันแรก แต่อันดับก็ไม่เคยหลังท็อปเทนแม้แต่ครั้งเดียว ...
หลังนมาซอัศรี่ พรรคพวกชวนไปแลกเปลี่ยนเงินกันอีกที่ร้านอื่นซึ่งไม่ใช่ร้านที่เราเคยแลกเป็นประจำ ปรากฏว่าเงิน 1000 บาทแลกได้เพียง 119 ริยาล, ขาดไปจากวันแรก 1 ริยาล ...
พวกเราแลกเงินไทย 30000 บาท ได้มาแค่ 3570 ริยาลจึงขาดทุนไปถึง 30 ริยาล ...
ตอนเย็นขณะกำลังซื้อผ้าเอี๊ยะห์รอมให้น้องแออีกหนึ่งผืน ก็เจอกับหุจญาจญ์จากยะลาคนหนึ่งจึงยืนคุยกันพักหนึ่งได้ความว่าเขามาพร้อมกับอดีตศิษย์เก่าของเราสมัยเรียนปอเนาะคือ อุสตาซอุษมาน ดามาเราะฮ์ (แต่เพื่อนๆรวมทั้งเราด้วยชอบเรียกเขาว่า แม โต๊ะฮาดีย์) ...
ตอนหลังอุษมานหรือแมได้ทุนไปเรียนจบปริญญาตรีมาจากกรุงริยาฎเมืองหลวงของสะอุดีอาระเบียและขณะนี้เปิดโรงเรียนสอนลูกศิษย์ลูกหาร่วม 1000 กว่าคนที่ยะลา ..
เราจึงบอกหุจญาจญ์คนนั้น ฝากสล่ามไปถึงแม และสั่งว่าหากแมมีเวลาว่างก็ให้เขามาหาเราที่ห้องพักหน่อย ...
จำได้ว่า เมื่ออุษมานหรือแม โต๊ะฮาดีย์เรียนจบจากมหาลัยริยาฎมาใหม่ๆ เราเจอกับเขาครั้งแรกตอนที่บาบอจัดงานสังสรรค์ศิษย์เก่าที่โรงเรียนตัสดีกียะฮ์จะนะ…
ระหว่างที่นั่งสนทนากันเรื่องความหลังสมัยยังเรียนอยู่ที่นี่ เราลองแสร้งถามแมว่า สิ่งที่เขาเรียนไปจากปอเนาะเดิมและที่เรียนจากมหาลัยริยาฎเหมือนกันหรือไม่ ? ...
แมตอบว่า ไม่เหมือนกันหรอกบัง ...
เราถามว่า มันต่างกันยังไง ? ...
แมบอกว่า ตอนที่เรียนกับบังที่ปอเนาะ เราจะเรียนหนักด้านตำราฟิกฮ์ซึ่งมักเป็นทัศนะของอูละมาอ์ท่านนั้นท่านนี้ แต่ที่เรียนในมหาลัยส่วนใหญ่เป็นตำราอธิบายหะดีษและตัฟซีรฺอัล-กุรฺอาน ...
เราจึงถามต่อไปว่า แล้วแมคิดว่าสิ่งที่ได้รับจากการเรียนที่นี่กับที่โน่น อันไหนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ? ...
เราจึงถามต่อไปว่า แล้วแมคิดว่าสิ่งที่ได้รับจากการเรียนที่นี่กับที่โน่น อันไหนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ? ...
แมมองหน้าเรานิดหนึ่งอย่างชั่งใจแล้วชะงักไม่ตอบ เมื่อเราคะยั้นคะยอ เขาจึงตอบด้วยเราด้วยถ้อยคำที่เรายังจำติดหูไม่ลืมเลือนว่า ...
“เมื่อผมเรียนกับบังที่นี่ เราเรียนจากตำราฟิกฮ์ซึ่งสอนว่า อูละมออ์ท่านนั้นว่าอย่างนั้นอูละมออ์ท่านนี้ว่าอย่างนี้ ...
แต่ตอนเรียนที่ริยาฎ เขาสอนเราว่า อัลลอฮ์กล่าวไว้อย่างนั้นหรือท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวไว้อย่างนี้ ...
เพราะฉะนั้น ให้บังไปชั่งน้ำหนักเอาเองก็แล้วกัน ระหว่างคำพูดของคนนั้นว่าคนนี้ว่า กับคำพูดของอัลลอฮ์ว่าและรอซู้ลว่า ...
คำพูดของใครจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน” ...
เราจึงไม่ซักถามอะไรแมอีก เพียงแต่นึกในใจว่า อัลหัมดุลิลลาฮ์ ...
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 (วันที่ 11 เดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์)
ข้าวยำอีกแล้วครับท่าน ...
เราหมายถึงอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดเลี้ยงพวกเรา .. หุจญาจญ์จากไทยแลนด์ทั้งหลาย ...
ก็เป็นอย่างที่พวกเราหลายคนคาดการกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่า อาหารเช้ามื้อนี้ต้องเป็นข้าวยำ และก็เป็นข้าวยำจริงๆ ...
ก็เป็นอย่างที่พวกเราหลายคนคาดการกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่า อาหารเช้ามื้อนี้ต้องเป็นข้าวยำ และก็เป็นข้าวยำจริงๆ ...
เก็งแม่นแบบนี้ถ้าเล่นหวยก็คงรวยไม่รู้เรื่อง ...
ช่วงนี้ มีหุจญาจญ์ทั้งจากประเทศไทย, อินโดนีเซีย, ตุรกีและประเทศอื่นๆทั่วโลกเดินทางเข้าสู่นครมะดีนะฮ์ไม่ขาดสาย ทำให้ถนนหนทางคับแคบไปถนัดตา พวกร้านค้าทั้งร้านใหญ่และร้านย่อยต่างขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าไปตามๆกัน ...
ในตอนนมาซทั้ง 5 เวลาขณะพวกเราเดินทางมาถึงวันแรก ผู้คนที่เข้ามานมาซในมัสญิดยังโหรงเหรงบางตาเนื่องจากหุจญาจญ์และคนในมะดีนะฮ์เองยังมีจำนวนไม่มากนัก ...
แต่ .. เพียงสี่ห้าวันให้หลังเท่านั้น ในมัสญิดกลับมีคนนมาซทุกเวลาแน่นเอี๊ยดเหมือนหนังคนละม้วนเลย ...
แต่สิ่งที่เรายังเบาใจอยู่บ้างก็คือ ดูจากทีวีที่มีอยู่ในห้องนอนแล้วรู้สึกว่าที่นครมักกะฮ์ตอนนี้จะมีผู้ไปฏอวาฟบัยตุ้ลลอฮ์ยังไม่มากนัก คิดว่าวันเสาร์มะรืนนี้ที่เราจะเดินทางเข้าสู่มักกะฮ์ในสภาพทำอุมเราะฮ์ คงจะฏอว้าฟและซะอ์แอไม่เบียดเสียดกันมากเกินไป ...
ก่อนเที่ยง บังสันฝากเงินไปแลกอีก คราวนี้เราไปลงทุนเดินไปแลกที่ร้านเจ้าประจำซึ่งสนิมสนมกันดี แม้จะไกลจากที่พักไปนิดก็ตาม ...
ปรากฏว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินที่นี่ยังไม่เปลี่ยนแปลง คือธนบัตรไทย 1000 บาทยังแลกเป็นเงินอาหรับได้ 120 ริยาลเหมือนเดิม ...
พอเดินกลับมาเกือบถึงที่พัก เจอน้องเซน, น้องหมัดกับน้องโล่ยเดินควงกันออกมาจากโรงแรมพอดี ถามไถ่ได้ความว่าจะชวนเราไปซื้อกล้องถ่ายรูปซักอันไว้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก จึงนำทั้งสามคนไปที่ร้านขายกล้องถ่ายรูปซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมที่พัก ...
ทั้งสามคนตกลงซื้อกล้องดิจิตอลยี่ห้อแคนนอนมาอันหนึ่งรูปลักษณ์กะทัดรัดและสวยงามดี ราคา 750 ริยาล คิดเป็นเงินไทยเท่าไรก็นำ 8.40 คูณเอาก็แล้วกัน ...
จำได้ว่า มาถึงมะดีนะฮ์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ หลังนมาซทั้ง 5 เวลาไม่เคยขาดการนมาซผู้ตาย เพราะมีผู้ตายทุกเวลานมาซ มากบ้างน้อยบ้าง แต่หลังนมาซอัศรี่วันนี้ ไม่ปรากฏมีคนตายเลย ...
จำได้ว่า มาถึงมะดีนะฮ์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ หลังนมาซทั้ง 5 เวลาไม่เคยขาดการนมาซผู้ตาย เพราะมีผู้ตายทุกเวลานมาซ มากบ้างน้อยบ้าง แต่หลังนมาซอัศรี่วันนี้ ไม่ปรากฏมีคนตายเลย ...
หลังเสร็จจากนมาซมัคริบ ก่อนถึงเวลานมาซอิชาอ์เรานำพรรคพวกไปเดินฆ่าเวลาในห้างหรือศูนย์การค้าหลังมัสญิด แล้วเลยขึ้นไปบนชั้นสองของห้าง ...
ระหว่างเดินชมสินค้าเล่นบังสันเกิดชอบใจเสื้อโต้ป 2 ตัวและต้องการจะซื้อไปฝากคนที่บ้าน จึงใช้ให้เราไปต่อรองราคาดู ...
ในวันนี้เราจึงได้เห็นความฉลาด (หรือโง่ก็ไม่รู้) ของคนขายชาวบังคลาเทศ ...
เสื้อโต้ปแขนยาว คนขายบอกราคา 65 ริยาล เราต่อ 40 ริยาล เขาไม่ยอมขาย เราเสนอครั้งสุดท้ายที่ 45 ริยาล แต่เขาก็ยังไม่ยอมขายอีก บอกขาดตัว 50 ริยาลเท่านั้น ต่ำกว่านั้นขายไม่ได้ ...
เราจึงระงับเสื้อโต้ปแขนยาวเอาไว้ก่อน แล้วหันมาถามราคาเสื้อโต้ปแขนสั้นดู ...
เขาบอกราคาที่ 50 ริยาล เราต่อที่ 30 ริยาล เขาไม่ขายอีก บอกราคาขาดตัวแค่ 35 ริยาล ...
เราจึงปรึกษาบังสันดู บังสันยอมรับเสื้อโตปแขนสั้นที่ 35 ริยาลตามที่ผู้ขายต้องการ แต่ให้ต่อราคาตัวแขนยาวที่ 45 ริยาลให้ได้ เพื่อราคาเสื้อทั้งสองตัวจะได้ลงตัวที่ 80 ริยาล ...
เราต่อรองตามนั้นอยู่พักหนึ่งเขาก็ยังยืนกรานที่จะขายตามราคาเดิมของเขาคือแขนยาว 50 ริยาลและแขนสั้น 35 ริยาล บังสันชักยั๊วะเพราะปกติเป็นคนใจร้อนอยู่แล้วจึงคว้าแขนเราเดินออกจากร้านทันที ...
แต่พอเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว เจ้าของร้านก็เรียกเรากลับเข้าไปอีก ...
คราวนี้คนขายยื่นข้อเสนอใหม่ว่า เสื้อโต้ปแขนสั้นเขายอมลดให้ที่ 30 ริยาล แต่เสื้อโต้ปแขนยาวเขาขอ 50 ริยาลเท่าที่บอกไว้จะเอาหรือไม่ ? ...
คราวนี้คนขายยื่นข้อเสนอใหม่ว่า เสื้อโต้ปแขนสั้นเขายอมลดให้ที่ 30 ริยาล แต่เสื้อโต้ปแขนยาวเขาขอ 50 ริยาลเท่าที่บอกไว้จะเอาหรือไม่ ? ...
ทำไมเราจะไม่เอาล่ะครับ เพราะราคาเสื้อทั้งสองตัวรวมแล้วก็อยู่ที่ 80 ริยาลตามที่เราต่อรองเอาไว้ตอนแรกแล้วเขาไม่ยอมขายนั่นแหละ ...
แปลกดีแฮะ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น