โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 2 ที่นครมดีนะฮ์)
วันเสาร์ ที่ 22 กันยายน 55
เมื่อคืนพวกเราหลายคนคงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เลยปลุกต่อๆให้ตื่นนอนกันตั้งแต่ตีสาม เราเองก็ต้องตื่นนอนตามพรรคพวกไปด้วย และไปถึงมัสญิดตั้งแต่ตอนตีสามครึ่งซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเราสามารถนมาซตะฮัจญุดได้ครบ 11 ร็อกอะฮ์และอ่านอัล-กุรฺอานได้ 4-5 หน้าก่อนจะมีการอะซานเข้าเวลานมาซซุบห์ ...
อะซานครั้งแรกของนมาซซุบห์อันเป็นอะซานก่อนเวลาของมัสญิดนะบะวีย์เริ่มเมื่อเวลา 04.00 น. และอะซานเข้าเวลานมาซซุบห์จริงเวลา 04.52 น. ...
ส่วนนมาซซุบห์จะกระทำในเวลาประมาณ 05.10 น. ...
พอนมาซซุบห์เสร็จและออกมาจากมัสญิด ก็เห็นร่มซึ่งมีลักษณะสีสันคล้ายดอกผักบุ้งและถูกสร้างไว้รอบลานด้านนอกมัสญิดเพื่อกันแดดในตอนกลางวันแต่จะหุบในตอนกลางคืน กำลังถูกเปิดออกช้าๆด้วยระบบไฮโดรลิกพร้อมกันหมดทุกบาน มองดูแล้วคล้ายๆกับแบ็ทแมนหรืออ้ายค้างคาวในหนังกำลังกางปีกไม่มีผิด ...
ที่น่าสังเกตก็คือ ตอนใกล้จะบานเต็มตัวร่มแถวรอบนอกสุดและในสุดจะบานออกเรียบร้อยก่อนแถวด้านในซึ่งอยู่ต่ำกว่านิดหนึ่ง เพราะปลายร่มทั้งด้านนอกสุดและในสุดแต่ละคันจะเกยซ้อนกันอยู่เล็กน้อยกับคันด้านในทุกแถว จึงบานเต็มที่พร้อมกันไม่ได้ จะทำให้ปลายร่มขัดกันจนหักหรือพับงอได้ ...
ประมาณ 9 โมงเช้าหลังทานอาหารเช้าที่โรงเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมที่พักแล้ว เรานำหุจญาจญ์ของเราทั้งหมดไปซิยาเราะฮ์กุบูรฺท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและซิยาเราะฮ์กุบูรฺบาเกียะอฺ เสร็จแล้วก็นำเงินทั้งของเราเองที่จะต้องใช้จ่ายสามหมื่นบาทและเงินของหลานชาย คือร็อมหลีที่ฝากซื้อนาฬิการาโด้กับเสื้อมองตากูท์อีกสามหมื่นบาท รวมทั้งสิ้นหกหมื่นบาทไปแลกเป็นเงินอาหรับที่ร้านแลกเงินเจ้าประจำของเรา ได้เงินอาหรับมาทั้งสิ้นเจ็ดพันสองร้อยรียาล (เท่ากับเงินไทยหนึ่งพันบาทแลกได้120 รียาล) ซึ่งดีกว่าอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อปีกลายนิดหน่อยที่เงินไทยหนึ่งพันบาทจะแลกเงินอาหรับได้เพียง 117-118 รียาลเท่านั้น ...
ต่อจากนั้น เรานำหุจญาจญ์ของเราบางส่วนไปเที่ยวต่อยังโรงแรม نَجْمَةُ الْعَرَبِ ซึ่งในอดีตเราเคยมาพักที่นี่ถึงสองปีซ้อนสมัยอยู่กับบริษัทจะนะแทรเวลล์ของน้องยา ...
และบริษัทจะนะแทรเวลล์ก็ตกลงเช่าตึกหลังนี้แบบผูกขาดเป็นปีที่สี่ติดต่อกันแล้ว ...
ก่อนอื่นเรานำพรรคพวกไปเยี่ยม “เพื่อน” ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชำชาวบังคลาเทศแถวนั้นที่เราเคยมาซื้อของกินของใช้เป็นประจำจนสนิมสนมคุ้นเคยกัน ...
พอเห็นเราอีกเขาก็แสดงความดีอกดีใจจนออกนอกหน้า กรากเข้ามาทักทายและหยุดคุยสอบถามทุกข์สุขกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลาจากไปพวกผู้หญิงของเราไปหยิบน้ำส้มบ้าง, อื่นๆบ้างและให้เราไปจ่ายเงิน แต่เขาไม่ยอมรับเงินที่เราให้แถมยังหันไปบอกลูกค้าอื่นๆที่อยู่ในร้านว่า เราคือเพื่อนเก่าของเขาเอง ...
พอออกมาจากร้าน บังเอิญทราบจากหุจญาจญ์แถวนั้นว่า ยีเฉมเพื่อนสนิทของเราก็พักอยู่ที่โรงแรมนี้จึงแวะเข้าไปเยี่ยมและนั่งสนทนากันอย่างออกรสเกือบชั่วโมงจึงกลับที่พัก ...
ตอนหัวค่ำหลังจากนมาซมัคริบเสร็จ เราชวนอับดุลรอชิดลูกชายของอ.ฉุอีบซึ่งปีนี้ถูกมอบหมายให้นำคนมาทำหัจญ์แทนพ่อ ไปหาซื้อนาฬิการาโด้ให้ร็อมหลีในศูนย์การค้าด้านหลังมัสญิดฯ และหลังจากเดินเลือกหาอยู่ประมาณสองสามร้าน ก็ตกลงใจซื้อนาฬิการาโด้จากร้านค้าหนึ่งในราคา 2750 รียาล ส่วนเราเองก็เลือกซื้อนาฬิกาโอเรี๊ยนท์รูปทรงเตะตามาหนึ่งเรือนเช่นเดียวกันในราคา 400 รียาล ...
วันอาทิตย์ ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555
ตอนเช้ามืดไปนมาซซุบห์ที่มัสญิด มองดูที่ฝาผนังเห็นเป็นตัววิ่งบอกว่า วันนี้เป็นวันที่ 7 เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ตามปฏิทินอาหรับ ...
แสดงว่าวันอีดิ้ลอัฎหาอ์ปีนี้ น่าจะอยู่ระหว่างวันที่ 25-26 เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ..
พอเสร็จจากทานอาหารเช้า เราก็เรียกลูกทีมทุกคนมาทำการนะศีหัตกันประมาณหนึ่งชั่วโมง ต่อจากนั้นก็นำทั้งหมดไปช็อปปิ้งกันที่ร้านค้าย่อยข้างล่าง ซึ่งแต่ละคนโดยเฉพาะสุภาพสตรี ไม่ว่าน้องโล่ย, หะวาและทั้งสองข้อดียะฮ์ ต่างก็จับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุกมือเพราะนำเงินกันมาเยอะแยะ ...
เราเองเพียงแต่ซื้อกางเกงที่ใช้นุ่งกับเสื้อโต้ปมา 2 ตัว ราคาตัวละ 10 ริยาลเท่านั้น
หลังจากนมาซอัศรี่เสร็จ พรรคพวกเราหลายคนยังไม่หายมันมือจากการถลุงเงินเมื่อตอนเช้า เราจึงนำทั้งหมดไปช็อปปิ้งกันอีกครั้งในห้างด้านหลังมัสญิด แต่คราวนี้ไม่มีใครซื้อของกันมากนักโดยเฉพาะเสื้อของสุภาพสตรีที่รู้สึกว่าจะถูกโก่งราคาจนแพงเกินจริงกว่าปีกลายมาก ...
แม้กระทั่งเสื้อโต้ปยี่ห้อ “อิก้าฟ” ราคาก็ยังเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงตัวละ 10 รียาล
ตอนก่อนนมาซมัคริบและกำลังยืนรอเวลานมาซที่ลานด้านหลังมัสญิด ฮัมบะลีย์ศิษย์ของเราคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กนาเคียนและกำลังศึกษาอยู่มหาลัยมะดีนะฮ์ก็ตามหาเราจนเจอ จึงยืนคุยกันพักหนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไปนมาซในมัสญิด ...
เสร็จนมาซ อับดุลรอชีดลูกชายของ อ.ฉุอีบก็มานั่งคุยกับเราที่ลานมัสญิดและแจ้งให้ทราบว่า พรุ่งนี้นักเรียนที่มหาลัยมะดีนะฮ์จะนำรถ 2 คันมารับหุจญาจญ์ของบริษัทอัล-จาซีร่าทั้งหมด 91 คนไปซิยาเราะฮ์มะชาอิรฺ คือมัสญิดกุบาอ์, มัสญิดกิบละตัยน์, ภูเขาอุหุด เป็นต้น ...
เสร็จนมาซ อับดุลรอชีดลูกชายของ อ.ฉุอีบก็มานั่งคุยกับเราที่ลานมัสญิดและแจ้งให้ทราบว่า พรุ่งนี้นักเรียนที่มหาลัยมะดีนะฮ์จะนำรถ 2 คันมารับหุจญาจญ์ของบริษัทอัล-จาซีร่าทั้งหมด 91 คนไปซิยาเราะฮ์มะชาอิรฺ คือมัสญิดกุบาอ์, มัสญิดกิบละตัยน์, ภูเขาอุหุด เป็นต้น ...
แต่สุดท้ายก็เหลวเพราะหลังจากนมาซอิชาอ์เสร็จ เด็กนักเรียนจากมหาลัยมะดีนะฮ์ชุดนั้นก็มาบอกยกเลิก เนื่องจากทางมหาลัยฯจัดรถให้พรุ่งนี้ไม่ทัน จึงขอผลัดไปเป็นวันพุธแทน ...
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555
อาหารเช้าบุฟเฟ่ต์มื้อนี้เวียนมาเป็นข้าวยำปักษ์ใต้อีกวาระหนึ่ง และกลยุทธ์การนำบูดูเค็มปี๋ของเขามาผสมกับน้ำตาลทรายเคี่ยวเข้มข้นพอเหมาะที่แอเป็นคนคิดค้นสูตรนี้ขึ้นมา ก็ยังใช้ได้ผลไม่แพ้วันแรก ...
แถมวันนี้ ยังมีหุจญาจญ์อื่นๆมาขอร่วมแจมบูดูผสมของเราอีกหลายคน ...
พูดถึงอาหารบุฟเฟ่แต่ละมื้อ มีที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือจะมีผักชนิดหนึ่งมีรสจืดปนขมนิดๆเป็นกับแกล้มประจำทุกมื้อ มองดูคล้ายๆผักป็อปอายหรือผักกาดนกเขาบ้านเรา แต่ไม่ใช่ผักกาดนกเขา น้องแอเลยตั้งชื่อเรียกเองว่า ผักกาดนกคุ่ม ...
สรรพคุณของผักป็อปอาย เอ๊ย ผักกาดนกคุ่มของแอก็คือ นัยว่าทำให้ท้องไม่ผูกและขับถ่ายสะดวก ...
หลังจากนมาซมัคริบแล้วและก่อนจะถึงเวลานมาซอิชาอ์ ในมัสญิดจะมีการสอนอัล-กุรฺอานแก่เด็กเป็นรุ่นๆไป ซึ่งมีตั้งแต่รุ่นหัดอ่าน, รุ่นอ่านได้แล้วและรุ่นท่องจำ จึงมีการเรียนการสอนกันเป็นกลุ่มๆ ครูผู้สอนก็มีหลายคน และในการสอนก็มีระบบใช้จอมอร์นิเตอร์ประกอบด้วย นับว่าทันสมัยทีเดียว ...
พูดถึงเด็กนักเรียนอัล-กุรฺอานในมัสญิดท่านนบีย์ซึ่งเป็นเด็กตัวเล็กบ้าง-ใหญ่บ้างก็ซุกซนเป็นลิงพอๆกับเด็กบ้านเรา หรืออาจจะซนยิ่งกว่าเด็กบ้านเราด้วยซ้ำไป คือเรียนกันไปเล่นกันไป แถมเวลาผู้คนกำลังนมาซ เด็กๆพวกนี้จะวิ่งไล่กันซอกซอนไปมาระหว่างผู้นมาซเหล่านั้น หรือบางทีขณะผู้นมาซกำลังสุญูด เด็กๆบางคนแทบจะวิ่งข้ามหัวไปเลยก็มี ...
แต่จุดดีก็คือพอครูที่สอนถามว่าใครจะออกมานำอ่านเพื่อนบ้าง ก็ยกมือแย่งกันสลอน แสดงว่ากล้าแสดงออกกว่าเด็กๆบ้านเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น