โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
(ตอนที่ 1) ...
บทนำ
ปีนี้เป็นปีฮิจญเราะฮ์ศักราชที่ 1433 ...
หลังจากที่กรมศาสนาได้วางระเบียบใหม่ในเรื่องการทำหัจญ์ โดยกำหนดให้ผู้ที่จะเดินทางไปทำหัจญ์ทุกคนวางเงินมัดจำล่วงหน้าคนละ 50000 บาทเพื่อยืนยันการเดินทางและระเบียบนี้เพิ่งจะนำมาปฏิบัติเป็นรูปธรรมในปีนี้เป็นปีแรก ปรากฏว่า มีหุจญาจญ์จำนวนมากต้องตกค้างกันเป็นระนาวเพราะความชะล่าใจของแซะฮ์และตัวหุจญาจญ์เองที่จ่ายเงินมัดจำล่าช้า จนกลายเป็น “ส่วนเกิน” ของโควตาจำนวนหนึ่งหมื่นสามพันคนของหุจญาจญ์แต่ละปีที่ทางการซาอุฯจัดสรรมาให้ชาวไทย (รวมทั้งทีมของเราเองอีกจำนวนหนึ่งที่ตกค้างด้วยเพราะเพิ่งจ่ายเงินมัดจำเมื่อต้นปี) ...
หุจญาจญ์ของเราปีนี้จึงมีเพียง 8 คนที่จ่ายเงินมัดจำกันตั้งแต่ปีกลาย รวมทั้งตัวเราด้วยก็เป็น 9 คนพอดิบดีพอดี ...
เริ่มจากพี่ชายและพี่สะใภ้ของเรา คือบังสันและหะวา, นอกนั้นอีก 3 คู่ก็ล้วนมีศักดิ์เป็นน้องของเราทุกคน อันได้แก่น้องหมัดกับน้องโล่ย(มิเนาะฮ์) นิยมเดชา, น้องเซนกับข้อดี้ยะฮ์ นิยมเดชา, และน้องแอกับข้อดี้ยะฮ์ สะเมาะ...
แฟนน้องเซนกับแฟนน้องแอชื่อข้อดี้ยะฮ์เหมือนกัน แต่ข้อดี้ยะฮ์คนหลังเป็นน้องสาวของเซน ...
หรืออีกนัยหนึ่ง เซนมีแฟนชื่อข้อดี้ยะฮ์ และมีน้องสาวก็ชื่อข้อดี้ยะฮ์เหมือนกัน ...
ส่วนน้องโล่ยหรือมิเนาะฮ์ซึ่งเป็นแฟนน้องหมัด ก็เป็นน้องสาวของข้อดียะฮ์ แฟนน้องเซน ...
เซนกับหมัดจึงเป็นเพื่อนเขยกัน ...
และน้องหมัดก็มีศักดิ์เป็นลูกผู้น้องของเราอีกทีหนึ่ง ...
ปวดหัวดีไม๊เนี่ย ? ...
บริษัทที่เราไปคราวนี้ก็ยังเป็นบริษัทเดิม คือบริษัทอัล-จาซีร่า ...
กำหนดวันเดินทางตามที่ฆอซาลี ผู้จัดการบริษัทแจ้งมาก็คือ ออกเดินทางวันพฤหัสที่ 20 กันยายน เวลาประมาณเที่ยงสี่สิบห้านาที ...
และจะกลับถึงบ้านตอนเช้าของวันที่ 8 พฤศจิกายน 55 ...
ดังนั้นก่อนวันเดินทางประมาณ 10 วัน เราจึงมีงานยุ่งชนิดต้องรีบสะสางก่อนเดินทางจนมึนหัวไปหมด นับตั้งแต่ภาระทางโรงเรียนที่ต้องเตรียมทำข้อสอบให้แล้วเสร็จและส่งให้ทางโรงเรียนก่อนออกเดินทาง, รีบเขียนใบป.พ.ของนักเรียน 9 เล่มล่วงหน้า, เสร็จแล้วต้องขับรถเดินทางไปซื้อสัมภาระบางอย่างที่สงขลาซึ่งที่นครฯไม่มีขาย, ซื้อข้าวสาร, เครื่องครัว, ฯลฯ เยอะแยะ แล้วแพ็คลงกระเป๋าเดินทางจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงขนสัมภาระทั้งหมดขึ้นรถ 2 เที่ยว 2 วัน นำไปเก็บไว้ที่อำเภอหัวไทร
ดังนั้นก่อนวันเดินทางประมาณ 10 วัน เราจึงมีงานยุ่งชนิดต้องรีบสะสางก่อนเดินทางจนมึนหัวไปหมด นับตั้งแต่ภาระทางโรงเรียนที่ต้องเตรียมทำข้อสอบให้แล้วเสร็จและส่งให้ทางโรงเรียนก่อนออกเดินทาง, รีบเขียนใบป.พ.ของนักเรียน 9 เล่มล่วงหน้า, เสร็จแล้วต้องขับรถเดินทางไปซื้อสัมภาระบางอย่างที่สงขลาซึ่งที่นครฯไม่มีขาย, ซื้อข้าวสาร, เครื่องครัว, ฯลฯ เยอะแยะ แล้วแพ็คลงกระเป๋าเดินทางจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงขนสัมภาระทั้งหมดขึ้นรถ 2 เที่ยว 2 วัน นำไปเก็บไว้ที่อำเภอหัวไทร
และ .. วันที่ 19 กันยายน ภารกิจสุดท้ายที่บ้านก็คือ ช่วงเช้านำรถยนต์ไปล้างอัดฉีดและเปลี่ยนถ่ายนำมันเครื่อง พอตกเที่ยงเรากับน้องเล็ก(ภรรยา) ก็ขึ้นรถโดยสารประจำทางไปหัวไทรทันทีเพื่อจัดเตรียมกระเป๋าให้กลุ่มน้องๆที่กล่าวนามมาข้างต้น ซึ่งแทบทุกคนยังขาดประสบการณ์ในการจัดกระเป๋าเดินทางไปหัจญ์ แถมแต่ละคนยังเตรียมนำสัมภาระ .. โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินกันไปเยอะแยะ ความจริงสิ่งที่น้องๆทุกคนทำไปก็เพราะความรักและหวังดีต่อเราทั้งสิ้น แต่มันส่งปัญหาต่อน้ำหนักที่ทางเครื่องบินกำหนดให้เฉลี่ยไม่เกินคนละ 30 กิโลกรัมซึ่งจะเกินไม่ได้ ...
สุดท้ายทุกอย่างก็ลงตัวโดยน้องๆทุกคนยอมหอบหิ้วสัมภาระส่วนเกินอันเป็นอาหารเสริมที่หนักอึ้งเหล่านั้นกันเอง โดยน้ำหนักกระเป๋า, เครื่องครัวและอื่นๆซึ่งต้องโหลดลงท้องเครื่องบินและเราชั่งทดสอบก่อนแล้วยังเกินพิกัดอยู่อีก 13 กิโลกรัม ...
เราสั่งกำชับน้องๆว่า การเดินทางวันพรุ่งนี้ ทุกคนจะต้องไปถึงสนามบินหาดใหญ่ก่อนเจ็ดโมงเช้าเป็นอย่างน้อยเพื่อความคล่องตัว ...
และ .. ที่อดจะกล่าวถึงอย่างขอบคุณ ณ ที่นี้เสียมิได้ก็คือ แมว หลานสาวของเราที่ช่วยซื้อขิงซองและข้าวโอ๊ตให้ตั้ง 3 ถุงใหญ่ รวมแล้วเกือบร้อยซอง ...
นอกจากนี้ยังมีน้องฝีนและน้องอีจากหาดใหญ่ที่ช่วยซื้อยาที่จำเป็นบางอย่างรวมทั้งน้ำมันกะเทียมสกัดเพื่อนำไปรับประทานช่วงทำหัจญ์อีกคนละ 2-3 ขวด ...
นอกจากนี้ หลานๆหลายคนก็ช่วยเหลือด้านการเงินกันคนละเล็กละน้อย ...
และท่านสุดท้ายก็คือ น้องบลหรือคุณอุบลรัตน์ กูลแอที่กรุณาส่งเงินจำนวนหนึ่งมาให้ใช้จ่ายขณะที่อยู่นครมะดีนะฮ์และนครมักกะฮ์ ...
และท่านสุดท้ายก็คือ น้องบลหรือคุณอุบลรัตน์ กูลแอที่กรุณาส่งเงินจำนวนหนึ่งมาให้ใช้จ่ายขณะที่อยู่นครมะดีนะฮ์และนครมักกะฮ์ ...
جَزَاكُمُ اللهُ خَيْرَالْجَزَاءِ
วันพฤหัสบดี ที่ 20 กันยายน 55
เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่ตี 2 เพื่อตื่นขึ้นมาอาบน้ำและเตรียมตัวเดินทาง พอได้เวลา 02.50 น. เรา, บังสัน, น้องเล็กและหะวาพี่สะใภ้ก็ให้โส้ป(ชื่อเล่นว่าเบี้ยว)ซึ่งเป็นหลานชาย ขับรถกะบะนำพวกเราสี่คนพร้อมสัมภาระทั้งหมดไปสนามบินหาดใหญ่ และถึงสนามบินหาดใหญ่เวลา 04.20 น. ก่อนใครเพื่อน จึงให้โส้ปนำรถไปจอดจ่อไว้ริมประตูทางเข้าอาคารเอนกประสงค์เพื่อเป็นรถคันแรกที่จะได้ชั่งน้ำหนักสัมภาระ ...
พอถึงเวลา 09.10 น. เจ้าหน้าที่สนามบินก็จัดการเปิดประตูให้รถของหุจญาจญ์นำสัมภาระเข้าไปชั่งน้ำหนัก และรถของเราก็เป็นคันแรกที่ได้ชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าน้ำหนักสัมภาระเกินจริงๆประมาณ 11 กก. พนักงานชั่งจึงระงับลังกระดาษไว้หนึ่งใบก่อน แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ผ่านไปตามธรรมเนียม ...
ขณะที่การชั่งน้ำหนักสัมภาระกำลังดำเนินอยู่ เจ้าหน้าที่ของสนามบินก็ประกาศให้หุจญาจญ์ของเที่ยวบินนี้ซึ่งมีจำนวน 285 คนเดินเข้าสู่ภายในอาคารเอนกประสงค์ อันแตกต่างจากปีก่อนๆที่ต้องรอให้การชั่งน้ำหนักสัมภาระเสร็จสิ้นจึงอนุญาตให้หุจญาจญ์เดินเข้าสู่อาคารได้ ดังนั้นเราจึงหมดสิทธิ์เดินออกมาพบปะญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงที่มาคอยส่งด้านนอกได้อีก ...
เวลาสิบโมงกว่าๆ รถก็มารับบรรดาหุจญาจญ์ทั้งหมดไปส่งในอาคารสนามบินเพื่อตรวจเช็คพาสปอร์ต ปรากฏว่าในกลุ่มพวกเรา 9 คนที่ใบฉีดวักซีนระบุวันที่ฉีดเป็นภาษาไทยแทนที่จะเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากล เจ้าหน้าที่สนามบินจึงรีบจัดการแก้ไขให้จนเป็นที่เรียบร้อยเพราะเกรงจะมีปัญหาที่ ตม. ของประเทศอาหรับ ...
ในเที่ยวบินเที่ยวนี้ มีรวมหุจญาจญ์จากหลายบริษัทด้วยกันเพราะเป็นเที่ยวบินเหมาลำ รวมแล้ว 285 คนดังกล่าว เป็นหุจญาจญ์ของบริษัทอัล-จาซีร่าอยู่ 91 คน ...
พอเวลา 12.38 น. เครื่องบินก็ทะยานขึ้นจากรันเวย์สนามบินหาดใหญ่ ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า สายการบินไทยรักษาเวลาดีมาก ...
อาหารมื้อแรกบนเครื่องบิน เริ่มเสิร์ฟเมื่อเวลา 13.10 น. ...
เวลา 18.55 น.ตามเวลาในประเทศไทย เครื่องบินก็แวะลงจอดที่โอมานเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกับ 5 นาทีเพื่อสับเปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่มาทำหน้าที่แทนชุดเก่าที่ได้ลงพักผ่อน และมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาเก็บขยะในเครื่องบินลงไปจนหมดสิ้น แต่จะมีการเติมน้ำมันด้วยหรือเปล่าเราไม่รู้เพราะไม่เห็นทางเครื่องบินแจ้งข่าวอะไรให้ทราบเลย ...
แอร์โฮสเตสชุดที่ถูกเปลี่ยนขึ้นมาใหม่ มีอยู่คนหนึ่งที่หน้าตาธรรมดาและผิวคล้ำกว่าเพื่อน แสดงว่าเส้นแข็งโป๊ก แถมพูดภาษาใต้ชัดเปรี๊ยะ เราลองสอบถามดูที่ไหนได้เป็นคนสงขลาบ้านเราเอง ...
พอเวลา 19.50 น. ตามเวลาในประเทศไทย เครื่องบินก็ขึ้นจากสนามบินโอมานออกเดินทางต่อไปยังเมืองญิดดะฮ์ และลงจอดที่สนามบินญิดดะฮ์เมื่อเวลา 22.40 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งตรงกับเวลา 18.40 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอาหรับ ...
สรุปแล้ว เราใช้เวลาเดินทางและอยู่บนเครื่องบินรวม 10 ชั่วโมงกับ 2 นาที ...
การตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินญิดดะฮ์ปีนี้ทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเราเป็นหุจญาจญ์กลุ่มแรกๆที่เดินทางมาถึงก็เป็นได้ ...
เราเสียเวลาอยู่ที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่นานนักก็เข้าสู่ที่พักชั่วคราวภายในบริเวณสนามบินคิงอับดุลอะซีซแห่งเมืองญิดดะฮ์ ...
เราเสียเวลาอยู่ที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่นานนักก็เข้าสู่ที่พักชั่วคราวภายในบริเวณสนามบินคิงอับดุลอะซีซแห่งเมืองญิดดะฮ์ ...
พอเวลา 02.20 น. ของวันใหม่ กลุ่มของพวกเราซึ่งรวมทีมกับแซะฮ์ซอบะรีย์ ลูกชายของดาโต๊ะสะอัดสตูลและมีศักดิ์เป็นหลานเขยของเรา ก็เป็นรถคันแรกในกลุ่มที่ออกเดินทางสู่นครมะดีนะฮ์ และถึงโรงแรมมุบาร็อกอันเป็นที่พักเมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ ...
ตอนที่แวะนมาซซุบห์ระหว่างทาง เรานำซิมโทรศัพท์มือถือของปีกลายและเรายังเก็บรักษาไว้อย่างดีมาลองใช้งานดู ปรากฏว่ายังมีเวลาใช้งานได้อีกถึง 3 เดือน แถมยังมีเงินเหลืออยู่ในซิมอีกตั้ง 15 รียาล จึงทดลองโทรศัพท์ไปหาหะบีบุลลอฮ์ลูกชายและน้องเล็กภรรยาดู ก็สามารถติดต่อกับทั้งสองคนได้โดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด ...
โรงแรมอัล-มะดีนะฮ์ มุบาร็อกหรือมุบาร็อก อัล-มะดีนะฮ์ซึ่งเป็นที่พักของพวกเราครั้งนี้เป็นโรงแรมหรูหราทันสมัยและถือเป็นที่พักที่อยู่ใกล้กับมัสญิดท่านนบีย์มากที่สุดตั้งแต่เราเดินทางมาทำหัจญ์ คืออยู่ด้านหลังมัสญิดไปทางทิศเหนือ คนละฟากถนนเยื้องกับร้านขายนาฬิการาโด้ และห่างจากรั้วมัสญิดประมาณ 100 เมตรเท่านั้น ...
พวกเราผู้ชาย 5 คนพักอยู่ห้อง 235-236 ชั้น 2, และผู้หญิง 4 คนพักอยู่ห้อง 301 ชั้น 3 ...
ส่วนเรื่องอาหารเป็นรายการเหมาจ่ายให้ทางโรงแรมเลี้ยงบุฟเฟ่ต์วันละ 3 เวลา คืออาหารเช้าเริ่มตั้งแต่หลังนมาซซุบห์จนถึงเวลา 08.30 น. อาหารเที่ยงเริ่มตั้งแต่หลังนมาซซุฮ์รี่จนถึงเวลา 14.30 น. และอาหารค่ำเริ่มตั้งแต่หลังนมาซอิชาจนถึงเวลา 22.00 น.
วันศุกร์ ที่ 21 กันยายน 55
สำหรับในเช้าวันศุกร์นี้ บุฟเฟ่ต์มื้อแรกที่ทางโรงแรมเลี้ยงพวกเราเป็นข้าวยำปักษ์ใต้ที่น้ำบูดูเค็มปี๋เพราะไม่มีน้ำตาลผสมเลย ...
แต่น้องแอของเราก็แก้ปัญหาด้วยการเอาน้ำตาลทรายละลายเข้มข้นกับน้ำเดือดแล้วนำมาผสมกับน้ำบูดูอีกทีหนึ่งพอให้มีรสชาติเค็มๆหวานๆเหมือนบูดูข้าวยำบ้านเรา เรียกว่าหัวแหลมพอๆหัวลิงเลยทีเดียว ...
นมาซแรกของพวกเราที่มัสญิดของท่านนบีย์ก็คือนมาซวันศุกร์ ซึ่งพอใกล้จะถึงเวลานมาซ เราก็นำบังสันและน้องๆที่เป็นผู้ชายเข้าไปนมาซด้านในอันเป็นส่วนกลางของมัสญิดซึ่งอยู่ด้านหน้ารั้วกั้นเขตนมาซของมุสลิมะฮ์ เพราะจำได้ว่าบริเวณนั้นมีม้านั่งบริจาคสำหรับผู้ที่ปวดเข่าหรือข้อเข่าเสื่อมอยู่หลายตัวสำหรับบังสันใช้นั่งนมาซ ...
แต่น้องแอของเราก็แก้ปัญหาด้วยการเอาน้ำตาลทรายละลายเข้มข้นกับน้ำเดือดแล้วนำมาผสมกับน้ำบูดูอีกทีหนึ่งพอให้มีรสชาติเค็มๆหวานๆเหมือนบูดูข้าวยำบ้านเรา เรียกว่าหัวแหลมพอๆหัวลิงเลยทีเดียว ...
นมาซแรกของพวกเราที่มัสญิดของท่านนบีย์ก็คือนมาซวันศุกร์ ซึ่งพอใกล้จะถึงเวลานมาซ เราก็นำบังสันและน้องๆที่เป็นผู้ชายเข้าไปนมาซด้านในอันเป็นส่วนกลางของมัสญิดซึ่งอยู่ด้านหน้ารั้วกั้นเขตนมาซของมุสลิมะฮ์ เพราะจำได้ว่าบริเวณนั้นมีม้านั่งบริจาคสำหรับผู้ที่ปวดเข่าหรือข้อเข่าเสื่อมอยู่หลายตัวสำหรับบังสันใช้นั่งนมาซ ...
ช่วงที่เราเข้าไป แม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแต่ผู้คนยังบางตามากๆ เพราะผู้มาทำหัจญ์ส่วนใหญ่ยังเดินทางมาไม่ถึงมะดีนะฮ์นั่นเอง ...
เรานั่งจับเวลาการอ่านคุฏบะฮ์ของอิหม่าม ปรากฏว่าคุฏบะฮ์แรกใช้เวลา 16 นาที และคุฏบะฮ์ที่สองใช้เวลาเพียง 5 นาทีกว่าๆเท่านั้น ...
เสร็จจากนมาซวันศุกร์ พวกเรารีบไปห้องอาหารเพราะเพื่อนฝูงที่เคยใช้บริการอาหารบุฟเฟ่ต์เมื่อปีก่อนๆเล่าให้ฟังว่า ใครที่ขึ้นมาห้องอาหารช้าจะเหลือเพียงน้ำแกงให้กินเนื่องจากคนที่มาก่อนจะกินแบบไม่มีใครคิดถึงคนมาทีหลัง ...
ปรากฏว่าพอเข้ามาในห้องอาหาร ก็ไม่เห็นมีใครมาก่อนพวกเราแม้แต่คนเดียว แถมอาหารก็ยังจัดเตรียมไม่เสร็จ บ๋อยที่กำลังจัดเตรียมอาหารหันมามองแล้วทำหน้ายิ้มๆ คงคิดในใจว่าไอ้สามสี่คนนี้ตะกละฉิบหายเลย ...
พอรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จแล้วเราก็ขึ้นเตียงและนอนหลับเป็นตายเพราะความเหน็ดเหนื่อยและความง่วงจนตื่นไม่ทันไปนมาซอัศรี่ที่มัสญิด จึงต้องนมาซที่บ้านพักแทน ...
หลังนมาซมัคริบและไม่รู้จะทำอะไรดี เราจึงชวนบังสันไปเดินเล่นในห้างซึ่งเป็นศูนย์การค้าด้านหลังมัสญิด แต่ไม่ได้ซื้ออะไรแม้แต่บาทเดียว เอ๊ย รียาลเดียว ...
ก็บอกแล้วว่าไปเดินเล่นไม่ใด้ไปช็อปปิ้ง ...
พูดถึงเรื่องอาหารบุฟเฟ่ต์ที่ทางโรงแรมหุงเลี้ยงทั้งมื้อเที่ยงและมื้อค่ำในวันแรก ลองสอบถามลูกทีมของเราทุกคนดู ก็เห็นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ถึงกับดีมากนัก ...
เรียกว่า พอสอบผ่านแบบฉิวเฉียดเท่านั้น ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น