อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 14)




โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

5.2 การฟัตวาของท่านอิบนุอับบาสและการคัดค้านของท่านอะลีย์
ท่านอบูญัมเราะฮ์ ได้รายงานมาว่า ...
سِمِعْتُ ابْنَ عَبَّاسٍ يُسْأَلُ عَنْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ فَرَخَّصَ، فَقَالَ لَهُ مَوْلىً لَهُ : إِنَّمَا ذَلِكَ فِى
الْحَالِ الشَّدِيْدِ وَقِلَّةِ النِّسَاءِ أَوْ نَحْوِهِ، فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ : نَعَمْ (صَدَقْتَ)!
“ฉันได้ยินท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ถูกถามถึงเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรี แล้วท่านก็ผ่อนผันมัน, บ่าวของท่านคนหนึ่งจึงกล่าวว่า : การผ่อนผันเรื่องนี้จะมีเฉพาะภาวะจำเป็นจริงๆและผู้หญิงก็มีน้อย หรือในภาวะที่คล้ายคลึงกันมิใช่หรือ ? ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.จึงรับว่า : ใช่ (ถูกของท่าน!)..
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 5116 และท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุมะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 3 หน้า 25) ...
อีกสำนวนหนึ่งของหะดีษบทนี้ กล่าวว่า ...
إِنَّمَا كَانَ ذَلِكَ فِى الْغَزْوِ وَالنِّسَاءُ قَلِيْلٌ
“การผ่อนผันเรื่องนี้ มีเฉพาะในภาวะสงครามและสตรีมีน้อยเท่านั้น) ...
(บันทึกโดยท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 204, และท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุมะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 3 หน้า 26) ...
คำว่า “บ่าวของท่าน” ในที่นี้ ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์กล่าวว่า ท่านมั่นใจว่าน่าเป็นท่านอิกริมะฮ์(ซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทที่สุดของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.) ...
(จากหนังสือ “ฟัตหุ้ลบารีย์” ของท่านอิบนุหะญัรฺ เล่มที่ 9 หน้า 171) ...
แม้จะฟัตวาว่าอนุญาตให้มีการนิกาห์มุตอะฮ์ได้ แต่หะดีษบทนี้ก็เป็นหลักฐานว่า ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. มิได้อนุญาตให้กระทำมันได้อย่างเสรีในทุกๆสถานการอย่างความเข้าใจของชีอะฮ์ แต่ท่านยอมรับว่านิกาห์มุตอะฮ์จะกระทำได้ก็เฉพาะในภาวะจำเป็นจริงๆ -โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะสงคราม - และผู้หญิงขาดแคลนเท่านั้น ...
ยิ่งไปกว่านั้นท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ยังกล่าวว่า พื้นฐานนิกาห์มุตอะฮ์คือสิ่งต้องห้ามเช่นเดียวกับซากสัตว์, เลือด และเนื้อสุกร ดังหลักฐานที่ผ่านมาแล้วตอนต้น ...
จะอย่างไรก็ตาม คำฟัตวาดังกล่าวนี้ของท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ก็ถูกคัดค้านทันทีจากท่านอะลีย์ บินอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. อิหม่ามท่านแรกของชีอะฮ์เอง ดังหะดีษบทนี้คือ ...
ก. ท่านมุหัมมัด บินอัล-หะนะฟียะฮ์(เป็นบุตรชายของท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ.กับนางเคาละฮ์) ได้รายงานมาว่า ...
أَنَّ عَلِيًا رَضِىَ اللهُ عَنْهُ سَمِعَ ابْنَ عَبَّاسٍ يُلَيِّنُ فِىْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ، فَقَالَ : مَهْلاً يَا ابْنَ عَبَّاسٍ!
فَإِنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنِ الْمُتْعَةِ وَعَنْ لُحُوْمِ الْحُمُرِ اْلأَهْلِيَّةِ زَمَنَ خَيْبَرَ
“ท่านอะลีย์ได้ยินท่านอิบนุอับบาส กล่าวผ่อนผันให้นิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีได้ ท่านจึงกล่าวติงว่า : ช้าก่อนอิบนุอับบาส! แท้จริงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์และจาก(การกิน)เนื้อลาบ้านตั้งแต่สมัยสงครามค็อยบัรฺแล้ว” ...
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 5115 และท่านมุสลิม หะดีษที่ 31/1407) ...
สำนวนในตอนต้นเป็นสำนวนของท่านมุสลิม ส่วนข้อความตั้งแต่ที่ว่า “แท้จริง ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ได้ห้าม .....” จนจบ เป็นสำนวนของท่านบุคอรีย์) ...
หะดีษบทนี้ นักวิชาการชีอะฮ์ 2 ท่านคือเช็คอัฏ-ฏูศีย์ และเช็คหัรฺรุ้ลอามิลีย์ได้บันทึกไว้เช่นเดียวกันในหนังสือของพวกเขาคือหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม” เล่มที่ 2 หน้า 186, หนังสือ “อัล-อิสติบศอรฺ” เล่มที่ 3 หน้า 142 และหนังสือ “วะซาอิลุชชีอะฮ์” เล่มที่ 14 หน้า 441 ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
ข. ท่านญุวัยรียะฮ์ได้รายงานจากท่านมาลิก, ซึ่งรายงานต่อไปจนถึงท่านมุหัมมัด บินอัล-หะนะฟียะฮ์ กล่าวว่า ...
أَنَّهُ سَمِعَ عَلَّى بْنَ أَبِىْ طَالِبٍ يَقُوْلُ ِلابْنِ عَبَّاسٍ : إِنَّكَ رَجُلٌ تَائِهٌ! أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ
صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَانَا عَنْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ
“ท่านมุหัมมัดได้ยินท่านอะลีย์กล่าวแก่ท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ.ว่า : ท่านน่ะหลงทางชัวร์! ความจริงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ห้ามพวกเราแล้วจากนิกาห์มุตอะฮ์” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 29/1407, ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุมะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 3 หน้า 24 และท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-เอาซัฏ” เล่มที่ 1 หน้า 174) ...
สำนวนข้างต้นนี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ ...
การคัดค้านของท่านอะลีย์ต่อท่านอิบนุอับบาสดังหะดีษข้างต้นนี้ เป็นการจับเท็จจากคำกล่าวของนักวิชาการชีอะฮ์บางคนที่พยายามอ้างว่า ไม่มีอิหม่ามของพวกเขาคนใดเคยห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์เลย ...
ที่สำคัญ คำกล่าวของท่านอะลีย์ดังข้างต้นยังถูกบันทึกไว้โดยนักวิชาการของชีอะฮ์เองด้วย ...
ค. ท่านซาลิม บุตรชายของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. รายงานมาว่า ...
قِيْلَ لَهُ : إِنَّ ابْنَ عَبَّاسٍ يَأْمُرُ بِنِكَاحِ الْمُتْعَةِ، فَقَالَ ابْنُ عُمَرَ : سُبْحَانَ اللهِ! مَا أَظُنُّ
ابْنَ عَبَّاسٍ يَفْعَلُ هَذَا، قَالُوْا : بَلَى، إِنَّهُ يَأْمُرُ بِهِ، قَالَ : وَهَلْ كَانَ ابْنُ عَبَّاسٍ إِلاَّ غُلاَمًا
صَغِيْرًا إِذْ كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، ثُمَّ قَالَ ابْنُ عُمَرَ
نَهَانَا عَنْهَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَمَا كُنَّا مُسَافِحِيْنَ ...
“มีผู้กล่าวแก่ท่านอิบนุอุมัรฺว่า : แท้จริงท่านอิบนุอับบาสได้สั่งให้นิกาห์มุตอะฮ์ได้, ท่านอิบนุอุมัรฺจึงอุทานว่า : ซุบหานั้ลลอฮ์! ฉันไม่คิดว่าอิบนุอับบาสจะกระทำ(คือกล่าว)อย่างนี้หรอก, พวกเขาจึงกล่าวยืนยันว่า ใช่ เขากล่าวอย่างนี้จริงๆ, ท่านอิบนุอุมัรฺจึงกล่าวว่า : ก็อิบนุอับบาสเป็นใคร ? มิใช่เป็นแค่เด็กอมมือดอกหรือในสมัยท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมยังอยู่น่ะ?”.. แล้วท่านอิบนุอุมัรฺก็กล่าวว่า ..
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามพวกเราจากนิกาห์มุตอะฮ์แล้ว พวกเราไม่มีสิทธิ์ทำผิดประเวณี(คือนิกาห์มุตอะฮ์)อีก” ...
(บันทึกโดย ท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-เอาซัฏ” หะดีษที่ 942 ด้วยสายรายงานที่สวยงาม) ...
การคัดค้านของท่านอะลีย์และท่านอิบนุอุมัรฺต่อคำฟัตวาของท่านอิบนุอับบาสโดยอ้างคำสั่งห้ามของท่านรอซู้ลุลลอฮ์เป็นหลักฐานยืนยันว่า การฟัตวาของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ที่ยังอนุญาตให้นิกาห์มุตอะฮ์ได้ ก็เพราะท่านไม่เคยทราบข้อห้ามของท่านศาสดาในเรื่องนี้มาก่อนเลย ...
5.3 ท่านญาบิรฺกล่าวว่าท่านอุมัรฺคือผู้ห้ามจากมุตอะฮ์
พวกชีอะฮ์ได้กล่าวโจมตีท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ในกรณีนี้อย่างรุนแรงโดยอ้างหลักฐานจากคำกล่าวของท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ.ว่าพวกตนเคยนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีมาตั้งสมัยท่านศาสดา, สมัยท่านอบูบักรฺ จนถึงสมัยท่านอุมัรฺ ...
ต่อมาท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ก็ได้ห้ามจากมุตอะฮ์หัจญ์หรือการทำหัจญ์แบบตะมัตตั๊วะอฺ และห้ามจากมุตอะฮ์นิกาห์จากความเห็นส่วนตัวของท่านอุมัรฺเองโดยพลการ ...
หลักฐานดังกล่าวคือ ...
ก. ท่านอะฏออ์กล่าวว่า ...
قَدِمَ جَابِرُ بْنُ عَبْدِاللهِ مُعْتَمِرًا، فَجِئْنَاهُ فِىْ مَنْزِلِهِ، فَسَأَلَهُ الْقَوْمُ عَنْ أَشْيَاءَ، ثُمَّ ذَكَرُوْا
الْمُتْعَةَ، فَقَالَ : نَعَمْ، إِسْتَمْتَعْنَا عَلَى عَهْدِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأَبِىْ بَكْرٍ
وَعُمَرَ ...
“ท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ได้มุ่งหน้ามาทำอุมเราะฮ์ พวกเราจึงไปที่บ้านพักของท่าน แล้วคนกลุ่มหนึ่งได้ถามท่านจากหลายๆอย่าง และพวกเขาก็พูดกันถึงเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ ท่านญาบิรฺกล่าวว่า : ใช่, พวกเราเคยนิกาห์มุตอะฮ์กันในสมัยของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, สมัยท่านอบูบักรฺและสมัยท่านอุมัรฺ” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 15/1405) ...
ข. ท่านอบูนัฎเราะฮ์ กล่าวว่า ...
كُنْتُ عِنْدَ جَابِرِ بْنِ عَبْدِاللهِ، فَأَتَاهُ آتٍ فَقَالَ : إِبْنُ عَبَّاسٍ وَابْنُ الزُّبَيْرِ إِخْتَلَفَا فِى
الْمُتْعَتَيْنِ، فَقَالَ جَابِرٌ : فَعَلْنَاهُمَا مَعَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ نَهَانَا عَنْهُمَا
عُمَرُ، فَلَمْ نَعُدْ لَهُمَا ...
“ฉันอยู่กับท่านญาบิร บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. มีคนๆหนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวว่า ท่านอิบนุอับบาสและท่านอิบนุ อัซ-ซุบัยร์ขัดแย้งกันในเรื่องมุตอะฮ์ทั้งสอง (คือมุตอะฮ์หัจญ์และมุตอะฮ์นิกาห์) ท่านญาบิรฺจึงกล่าวว่า : พวกเราได้ทำมันทั้งสองอย่างพร้อมกับท่านรอซู้ลุลลอฮ์ หลังจากนั้นท่านอุมัรฺก็ได้ห้ามจากมันทั้งสอง พวกเราจึงไม่กลับไปทำมันอีก” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 17/1405 และท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 206) ...
หะดีษทั้งสองบทนี้บ่งชี้ว่าท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ.เข้าใจว่าท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. คือผู้ห้ามท่านทั้งจากมุตอะฮ์หัจญ์และมุตอะฮ์สตรี ...
ความเข้าใจดังกล่าว ถือเป็นสิทธิ์ของท่านญาบิรฺที่จะเข้าใจอย่างนั้นได้ ...
แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นว่าความเข้าใจของท่านจะถูกต้องทั้งหมด ...
ตรงกันข้าม ความเข้าใจดังกล่าวนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว คือการห้ามจากมุตอะฮ์หัจญ์ซึ่งท่านอุมัรฺได้ห้ามมันจากความเห็นชอบส่วนตัวของท่าน ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ...
อนึ่ง ในการห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรี ท่านญาบิรฺไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าการห้ามในเรื่องนี้ออกมาจากปากของท่านศาสดาก่อนแล้ว ท่านจึงเข้าใจไปว่าท่านอุมัรฺเป็นผู้ห้ามมันจากความคิดเห็นของตัวเอง ท่านจึงได้พูดออกไปอย่างนั้น ...
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ผู้ห้ามที่แท้จริงในเรื่องนี้ได้แก่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังหลักฐานที่ได้อธิบายไปแล้ว ...
ส่วนท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. เป็นเพียงผู้นำคำห้ามของท่านศาสดามา “ย้ำ” อีกทีหนึ่ง ดังหลักฐานที่มีรายงานมาจากคำกล่าวของท่านอย่างชัดเจน คือ ...
ท่านอบูบักรฺ บินหัฟศ์ ได้รายงานมาท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ว่า ...
لَمَّا وَلِىَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ خَطَبَ النَّاسِ فَقَالَ : إِنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
أَذِنَ لَنَا فِى الْمُتْعَةِ ثَلاَثًا، ثُمَّ حَرَّمَهَا، وَاللهِ! لاَ أَعْلَمُ أَحَدًا يَتَمَتَّعُ وَهُوَ مُحْصَنٌ إِلاَّ رَجَمْتُهُ
بِالْحِجَارَةِ، إِلاَّ أَنْ يَأْتِيَنِىْ بِأَرْبَعَةٍ يَشْهَدُوْنَ أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَحَلَّهَا
بَعْدَ إِذْ حَرَّمَهَا
“เมื่อท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบก้าวขึ้นเป็นผู้นำ ท่านก็กล่าวสุนทรพจน์กับประชาชน ท่านกล่าวว่า แท้จริงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเคยอนุญาตให้พวกเราทำนิกาห์มุตอะฮ์ได้ 3 วัน หลังจากนั้นท่านก็ห้ามมัน, ขอสาบานด้วยพระองค์อัลลอฮ์ ถ้าฉันรู้ว่าผู้ใดยังทำนิกาห์มุตอะฮ์อีกโดยที่ตัวเองมีภรรยาอยู่แล้ว ฉันจะขว้างเขาด้วยก้อนหิน(จนตาย) เว้นแต่เขาจะนำพยาน 4 คนมายืนยันกับฉันว่า ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้อนุญาตมันอีกหลังจากห้ามมันแล้ว” ...
(บันทึกโดย ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 1963 ด้วยสายรายงานที่หะซัน(สวยงาม)
หะดีษนี้ยังมี “มุตาบะอะฮ์” คือการรายงานของท่านซาลิม บุตรชายของท่านอิบนุอุมัรฺเองที่รายงานมาจากบิดาคือท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. สอดคล้องตรงกันกับรายงานของท่านอบูบักรฺ บินหัฟศ์, จากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ข้างต้น ...
(บันทึกโดยท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 206) ...
หะดีษข้างต้นนี้ - ตามหลักวิชาการ - จึงเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์หรือหะดีษที่ถูกต้องโดยปราศจากข้อสงสัย ...
จึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่งที่นักวิชาการชีอะฮ์ พยายามกล่าวโจมตีท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ในกรณีนี้อย่างสาดเสียเทเสียเพราะความอคติอย่างรุนแรงที่มีต่อท่านเป็นส่วนตัวโดยมิได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ...
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสร้าง “หลักฐานเท็จ” เพื่อประณามท่านอุมัรฺในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะอีก โดยอ้างเป็นคำพูดของท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ว่า ...
لَوْلاَ مَا سَبَقَنِىْ بِهِ ابْنُ الْخَطَّابِ يَعْنِىْ عُمَرَ مَا زَنَى إِلاَّ شَقِىٌّ
“ถ้าไม่เพราะบุตรของค็อฏฏอบ - หมายถึงท่านอุมัรฺ - ได้เป็นคอลีฟะฮ์ก่อนหน้าฉัน(แล้วห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์) ก็คงไม่มีการผิดประเวณี(ซินา)เกิดขึ้นนอกจากคนเลวเท่านั้น” ...
(บันทึกโดยอัล-บะห์รอนีย์ในหนังสือตัฟซีรฺ “อัล-บุรฺฮาน” เล่มที่ 1 หน้า 360, เช็คอัลฟัยฎุลกาชานีย์ในหนังสือตัฟซีรฺ “อัศ-ซอฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 347, และกุลัยนีย์ในหนังสือ “ฟุรูอฺ อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 5 หน้า 448 .. สำนวนข้างต้นเป็นสำนวนจากการบันทึกของอัล-บะห์รอนีย์) ...
มันจะกินกับปัญญาได้อย่างไรที่ท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ.ซึ่งคัดค้านการฟัตวาของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ที่อนุญาตให้มีการนิกาห์มุตอะฮ์ได้ จะมากล่าวประณามท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ผู้มีมุมมองเหมือนกับท่านว่าการนิกาห์มุตอะฮ์เป็นเรื่องต้องห้าม! .. มิหนำซ้ำท่านอะลีย์ยังประณามท่านอิบนุอับบาสว่าเป็นคนหลงผิดในเรื่องนี้ โดยอ้างหลักฐานมายืนยันว่า นิกาห์มุตอะฮ์(และเนื้อลาบ้าน) เป็นเรื่องต้องห้ามจากการห้ามของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเอง ..




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น