อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 10)




โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ท่านมุสลิม ได้บันทึกหะดีษบทนี้ไว้เช่นเดียวกันในหนังสือ “อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์” ของท่าน หมายเลขหะดีษที่ 29-32/1406 ดังได้อธิบายผ่านมาแล้วตอนต้น ...
หะดีษบทนี้ ท่านอะลีย์รายงานเจนที่สุดว่านิกาห์มุตอะฮ์เป็นสิ่งถูกห้าม, และผู้ที่ห้ามมันก็คือท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิใช่ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ดังที่ชีอะฮ์พยายามใส่ร้ายท่าน ซึ่งผมจะชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการห้ามและผู้ห้ามจากการนิกาห์มุตอะฮ์ในตอนหลัง อินชาอัลลอฮ์ ...
หะดีษที่รายงานมาจากท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก อิหม่ามท่านที่ 6 และท่านอะลีย์ อิบนุอะบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. อิหม่ามท่านแรกของชีอะฮ์รวม 4 บทข้างต้น จึงเป็นหลักฐานจับเท็จและการหลอกลวงของเช็คอัต-ตีญานีย์ ที่กล่าวในหนังสือ “ขออยู่กับผู้สัตย์จริง” ฉบับคำแปลภาษาไทย หน้า 282 ที่ว่า ...
“สำหรับเรา ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ห้ามในสิ่งนั้น และบรรดาอิมามจากเชื้อสายบริสุทธิ์ก็กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่อนุญาต และถ้าหากว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ยกเลิกจริง แน่นอนบรรดาอิมามจากอะฮ์ลุลบัยต์(อ)ต้องรู้เรื่องนี้ เพราะหัวหน้าสูงสุดของพวกเขาคือท่านอะลีย์ (อ) ดังนั้น อะลีย์ (อ) ต้องรู้เรื่องนี้ดี” ...
แน่นอน หลักฐานเหล่านี้แสดงว่า ท่านอะลีย์ อิหม่ามท่านที่หนึ่งและท่านญะอฺฟัร อัศ-ศอดิกอิหม่ามท่านที่หกของพวกเขา “รู้เรื่องนี้ดี” ดังที่เช็คอัต-ตีญานีย์กล่าว ...
คือ ..รู้ดีว่า เรื่องนิกาห์มุตอะฮ์เป็นเรื่อง “หะรอม” มิใช่ “หะล้าล”! ...
แต่ที่ยังงมโข่งอยู่ ก็เห็นจะเป็นเช็คอัต-ตีญานีย์กับชาวชีอะฮ์นี่แหละ ...
สรุปแล้ว การนิกาห์มุตอะฮ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีการส่งเสริมในบทบัญญัติของอิสลาม ตรงกันข้ามมันคือสิ่ง “ต้องห้าม” ที่ได้รับการ “ผ่อนผัน” ยามจำเป็นแก่นักรบที่เดินทางไปทำสงครามต่างแดนเพียงครั้งหรือสองครั้ง ก่อนที่การผ่อนผันนั้นจะถูกท่านศาสดาสั่ง “ยกเลิก” อย่างถาวรตลอดไปถึงวันกิยามะฮ์ ตามหลักฐานที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ...
เพราะฉะนั้น ที่นักวิชาการซุนนีย์บางท่านกล่าวว่า การนิกาห์มุตอะฮ์ถูกยกเลิก ความหมายที่แท้จริงก็คือยกเลิก “การผ่อนผัน” มิใช่ยกเลิก “บทบัญญัติ” เพราะนิกาห์มุตอะฮ์มิใช่เป็นบทบัญญัติดังกล่าวมาแล้ว ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ...
3.2 ความแตกต่างในรุก่นและเงื่อนไขของนิกาห์ทั้งสองชนิด
ความแตกต่างในรุก่นนิกาห์
รูปแบบการนิกาห์ถาวรดังที่มีการปฏิบัติกันตามแนวทางของซุนนีย์ ก็ดังเป็นที่ทราบกันดีว่า องค์ประกอบหลักหรือรุก่นในการนิกาห์มี 5 ประการคือ เจ้าบ่าว, เจ้าสาว, วะลีย์หรือผู้ปกครองของเจ้าสาว, พยานที่มีคุณธรรมอย่างน้อย 2 คน และการเสนอคำจากวะลีย์หรือตัวแทนของวะลีย์ กับการรับคำจากเจ้าบ่าว ...
แต่สำหรับชีอะฮ์แล้ว การนิกาห์มุตอะฮ์ของพวกเขาอนุญาตให้ปฏิบัติได้โดยไม่จำเป็นต้องมีวะลีย์ทำการนิกาห์ให้ ...
เพียงแต่ผู้หญิงผู้ชายตกลงนิกาห์กันเองก็ถือว่าใช้ได้ ...
ท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกกล่าวว่า ...
لا َبَأْسَ بِتَزْوِيْجِ الْبِكْرِ إِذَا رَضِيَتْ، بِغَيْرِ إِذْنِ أَبَوَيْهَا
“ไม่มีปัญหาที่จะนิกาห์(มุตอะฮ์)กับสตรีที่บริสุทธิ์เมื่อนางพึงพอใจ โดยไม่จำเป็นต้องให้บิดามารดาของนางยินยอม” ...
(จากหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม” ของเช็คอัฏ-ฏูศีย์ เล่มที่ 7 หน้า 254) ...
เช็คนัจญมุดดีน อัล-หุลีย์นักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่ง(สิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 676) กล่าวว่า
لِلْبَالِغَةِ الرَّاشِدَةِ أَنْ تَتَمَتَّعَ بِنَفْسِهَا، وَلَيْسِ لِوَلِيِّهَا إِعْتِرَاضٌ بِكْرًاكَانَتْ أَوْ ثَيِّبًا
“เป็นสิทธิของสตรีที่บรรลุศาสนภาวะ(อายุครบ)แล้ว, มีไหวพริบและสติบริบูรณ์ จะทำการนิกาห์มุตอะฮ์ให้ตัวเองได้โดยวะลีย์ของนางไม่มีสิทธ์ขัดขวาง ไม่ว่านางจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม” ...
(จากหนังสือ “ชะรออิอุ้ลอิสลาม” ของเช็คนัจญมุดดีน เล่มที่ 2 หน้า 186 พิมพ์ที่เตหะรานเมื่อปีฮ.ศ.1377) ...
คำว่า “นิกาห์มุตอะฮ์ให้ตัวเอง” แสดงว่า เป็นการตกลงนิกาห์กัน 2 คนระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย โดยไม่จำเป็นให้วะลีย์ทำการนิกาห์ให้แต่อย่างใด ...
นอกจากนั้น การนิกาห์มุตอะฮ์ก็ไม่จำเป็นต้องมีพยานรับรู้เหมือนนิกาห์ถาวร ...
ท่านกุลัยนีย์ได้อ้างรายงานว่า มีผู้ถามท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกเรื่องผู้ชายคนหนึ่งนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีคนหนึ่งโดยไม่มีพยาน ท่านตอบว่า ...
أَوَلَيْسَ عَامَّةُ مَا تَتَزَوَّجُ فَتَيَاتُنَا وَنَحْنُ نَتَعَرَّقُ الطَّعَامَ عَلَى الْخُوَانِ وَنَقُوْلُ : يَا فُلاَنُ!
زَوَّجَ فُلاَنٌ فُلاَنَةً ؟ فَيَقُوْلُ : نَعَمْ …
“โดยทั่วไปแล้ว เด็กสาวๆของพวกเราจะทำการนิกาห์(มุตอะฮ์)กันขณะที่พวกเรากำลังเพลิดเพลินกับการโจ้อาหารกันในถาด แล้วเราจะกล่าวถามว่า : นี่แน่ะคุณ นายนั่นกับแม่สาวนั่นนิกาห์(มุตอะฮ์)กันแล้วหรือ ?” เขาก็ตอบว่า ใช่แล้ว .. อย่างนั้นมิใช่รึ ?” ...
(จากหนังสือ “ฟุรูอฺ อัล-กาฟีย์” ของกุลัยนีย์ เล่มที่ 2 หน้า 249) ...
แสดงว่า ทั้งคู่แอบนิกาห์กันโดยไม่มีวะลีย์, ไม่มีพยาน และแทบไม่มีใครรู้เห็น ...
ความแตกต่างในเงื่อนไขนิกาห
ในระหว่างนิกาห์ถาวรของซุนนีย์กับนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์ มีเงื่อนไขแตกต่างกันหลายประการดังนี้ ...
ก. ในการนิกาห์ถาวรของซุนนีย์มีเงื่อนไขว่า สตรีจะต้องเป็นมุสลิมะฮ์หรือเป็นชาวคัมภีร์(อะฮ์ลุลกิตาบ)เท่านั้น อื่นจากนี้ห้ามผู้ชายมุสลิมนิกาห์ด้วยอย่างเด็ดขาด ...
แต่ชีอะฮ์จะอนุญาตให้มุสลิมนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีได้ทุกประเภท คือไม่ว่านางถือศาสนาใด, เป็นคนดีหรือเลวขนาดไหน ...
นักวิชาการชีอะฮ์อ้างรายงานจากคำกล่าวของท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกว่า ...
لاَ بَأْسَ بِالرَّجُلِ أَن يَّتَمَتَّعَ بِالْمَجُوْسِيَّةِ
“ไม่มีปัญหาสำหรับผู้ชาย(มุสลิม)ที่จะนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีที่บูชากองกูณฑ์(ไฟ, หมายถึงบางลัทธิในประเทศอินเดียหรือพวกโซโรแอสเตอร์) ...
(จากหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลหะห์กาม” เล่มที่ 7 หน้า 256 และหนังสือ “อัล-อิสติบศอรฺ” เล่มที่ 3 หน้า 144 ทั้งสองเล่มเป็นหนังสือของเช็คอัฏ-ฏูศีย์) ...
หรือจะนิกาห์มุตอะฮ์กับผู้หญิงที่สำส่อนทางเพศ (اَلْفَاجِرَةُ) ก็ได้ ...
(จากหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม” เล่มที่ 7 หน้า 253) ...
ยิ่งไปกว่านั้น จะนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีที่เป็นโสเภณีก็ยังได้ แต่หลังจากเสร็จสมแล้วก็ควรแนะนำให้นางเลิกอาชีพนี้เสีย ...
(สรุปจากหนังสือ “ตะห์รีรุ้ลวะซีละฮ์” ของโคมัยนีย์ หน้า 292 ฉบับพิมพ์ที่เมืองกุม ประเทศอิหร่าน) ...
เข้าลักษณะที่ว่าหลับนอนกันให้เสร็จก่อนแล้วค่อยแนะนำให้เลิกทีหลัง ...
ข. ในการนิกาห์ถาวรของซุนนีย์ ผู้ชายจะต้องรู้แน่นอนชัดเจนว่า สตรีที่จะนิกาห์ด้วยต้องมิใช่เป็นภรรยาของใครในขณะนั้น ...
แต่ในนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์ ผู้ชายไม่จำเป็นต้องรู้แน่ชัดหรือตรวจสอบ(ให้โง่)ว่าสตรีที่จะนิกาห์มุตอะฮ์ด้วยนั้นเป็นภรรยาของใคร ...
เพียงแต่สตรีใดบอกว่าตัวเองไม่มีพันธะกับผู้ใดก็ให้เชื่อถือได้ และสามารถนิกาห์มุตอะฮ์กับนางได้ทันที ...
เช็คอัฏ-ฏูศีย์ได้อ้างรายงานจากฟัฎล์ซึ่งเป็นบ่าวของมุหัมมัด บินรอชิดว่า เขาได้ถามท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกว่า ...
إِنِّىْ تَزَوَّجْتُ امْرَأَةً مُتْعَةً فَوَقَعَ فِىْ نَفْسِىْ أَنَّ لَهَا زَوْجًا، فَفَتَّشْتُ عَنْ ذَلِكَ فَوَجَدْتُ لَهَا زَوْجًا، قَالَ – أَىْ جَعْفَرٌ – وَلِمَ فَتَّشْتَ ؟
“ฉันได้นิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีนางหนึ่ง แล้วฉันก็เกิดแคลงใจว่านางคงมีสามีอยู่แล้วจึงตรวจสอบดูก็พบว่านางมีสามีจริงๆ, ท่านญะอฺฟัรฺจึงกล่าวว่า : แล้วท่านไปตรวจสอบมันเพื่ออะไรล่ะ ?” ...
(จากหนังสือ “ตะห์ซีบุลอะห์กาม” ของเช็คอัฏ-ฏูศีย์ เล่มที่ 7 หน้า 253)
นอกจากนี้ กุลัยนีย์ก็ได้อ้างรายงานจากอะบาน บินตัฆลับซึ่งกล่าวว่า ...
قُلْتُ ِلأَبِىْ عَبْدِاللهِ : إِنِّىْ أَكُوْنُ فِىْ بَعْضِ الطُّرُقَاتِ، فَأَرَى الْمَرْأَةَ الْحَسْنَاءَ وَلاَ آمَنُ
أَنْ تَكُوْنَ ذَاتَ بَعْلٍ أَوْ مِنَ الْعَوَاهِرِ، قَالَ : لَيْسَ هَذَا عَلَيْكَ! إِنَّمَا عَلَيْكَ أَنْ تُصَدِّقَهَا
فِىْ نَفْسِهَا
“ฉันได้กล่าวแก่ท่านอบีย์อับดิลลาฮ์ (หมายถึงท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก) ว่า ฉันเคยเดินทางในบางเส้นทาง แล้วไปเจอสตรีสะคราญนางหนึ่ง แต่ฉันไม่มั่นใจว่านางจะมีสามีเป็นตัวตนอยู่แล้วหรือเป็นหญิงประเภทสำส่อน(หญิงชอบสนุก) ท่านญะอฺฟัรฺกล่าวว่า : สิ่งนี้(การตรวจสอบ)ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน! หน้าที่ของท่านไม่มีอะไรนอกจากการเชื่อถือในตัว(คือในคำพูด)ของนางเท่านั้น”...
(จากหนังสือ “ฟุรูอฺ อัล-กาฟีย์” ของกุลัยนีย์ เล่มที่ 5 หน้า 462) ...
หมายความว่าถ้านางบอกว่าไม่มีพันธะกับใครก็ให้นิกาห์มุตอะฮ์กับนางได้เลย แต่อย่าแสดงความโง่ด้วยการคาดคั้นหรือสอบถามอะไรนางอีก นางจะเป็นเมียของใครก็ช่าง(หัว)มัน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น