อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 15)



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

และหะดีษเรื่องการคัดค้านของท่านอะลีย์ต่อท่านอิบนุอับบาสบทนี้ก็เป็นหะดีษที่ถูกต้องจากการบันทึกทั้งของฝ่ายซุนนีย์และชีอะฮ์เสียด้วย ... 
สมมุติว่าถ้าการประณามของท่านอะลีย์ต่อท่านอุมัรฺเป็นรายงานที่ถูกต้องจริง ...
ชีอะฮ์จะให้พวกเราเข้าใจท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ.อิหม่ามคนแรกของพวกเขาว่าเป็นคนอย่างไร ? ...
ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. อนุญาตให้คนนิกาห์มุตอะฮ์ได้ ก็ถูกท่านอะลีย์ประณามว่า เป็นคนหลงผิด ...
พอท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ห้ามคนจากนิกาห์มุตอะฮ์ กลับถูกท่านอะลีย์ประณามอีกว่า เป็นต้นเหตุทำให้ซินาระบาด ...
ชีอะฮ์ต้องการให้เข้าใจว่า ท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. เป็นคนกลับกลอก, โลเล, และไม่มีจุดยืนอย่างนั้นหรือ ???...
ขอพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.โปรดลงโทษผู้ที่กุความเท็จเพื่อต้องการลบหลู่เกียรติของท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ด้วยเถิด อามีน ...
ตามความเป็นจริง ท่านอะลีย์ซึ่งกล่าวว่านิกาห์มุตอะฮ์เป็นเรื่องต้องห้ามดังที่ท่านได้คัดค้านท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ไปแล้ว ควรจะกล่าว - เช่นเดียวกับที่ท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ ได้กล่าว - นั่นคือ ...
رَحِمَ اللهُ عُمَرَ! لَوْلاَ أَنَّهُ نَهَى عَنِ الْمُتْعَةِ صَارَ الزِّنَا جِهَارًا
“ขออัลลอฮ์โปรดเมตตาท่านอุมัรฺด้วยเถิด ถ้าไม่เพราะท่านได้ห้ามเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ไว้ การผิดประเวณี(ในรูปแบบนิกาห์มุตอะฮ์) จะต้องกลายเป็นสิ่งที่ระบาดแพร่หลายอย่างแน่นอน” ...
(บันทึกโดย ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 3 หน้า 390 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง) ...
ความจริงและความเท็จ มักจะยืนกันคนละมุมอย่างนี้แหละ ...
สิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ยังไม่รู้ก็คือ การนิกาห์มุตอะฮ์ – หลังจากการห้ามของท่านศาสดาเป็นที่รับทราบกันอย่างทั่วถึงแล้ว – ในทัศนะของพวกท่านคือการผิดประเวณี! ดังรายงานที่ถูกต้องจากพวกท่านจำนวนมาก ...
ท่านซาลิม บินอับดุลลอฮ์ ได้รายงานมาจากบิดาของท่านว่า ...
سُئِلَ عَنْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ ؟ فَقَالَ : لاَ نَعْلَمُهَا إِلاَّ السِّفَاحَ
“ท่านถูกถามถึงเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรี ? .. ท่านตอบว่า : พวกเราไม่รู้อะไรมากไปกว่ามันคือการผิดประเวณี” ...
(บันทึกโดยท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 3 หน้า 390 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง) ...
หมายเหตุ
หะดีษต่างๆที่ฝ่ายชีอะฮ์ได้คัดลอกมาจากหนังสือหะดีษบางเล่มของซุนนีย์แล้วนำลงบรรจุไว้ในหนังสือของพวกตน อาทิเช่นในหนังสือ “ขออยู่กับผู้สัตย์จริง” เป็นต้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลโจมตีท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ในเรื่องนี้ ...
ผมขอเรียนว่า จากการตรวจสอบแล้วเกือบทั้งหมดของหะดีษเหล่านั้นเป็นหะดีษที่สายรายงานเฎาะอีฟหรือหะดีษเมาฎั๊วะอฺ นอกจากหะดีษบางบทที่สายรายงานถูกต้อง ข้อเท็จจริงก็เป็นดังที่ผมได้อธิบายไปแล้ว ...
จึงขอสรุปอีกครั้งว่า การนิกาห์มุตอะฮ์ เป็นสิ่งที่ไม่มีส่งเสริมในบทบัญญัติของอิสลาม ตรงกันข้ามมันคือ “สิ่งต้องห้าม” ที่ได้รับการ “ผ่อนผัน” ยามจำเป็นแก่นักรบที่เดินทางไปทำสงครามแดนไกลเพียงหนึ่งครั้ง(หรือสองครั้ง) ก่อนที่การผ่อนผันนั้นจะถูกท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมสั่ง “ยกเลิก” อย่างถาวรตลอดไปจนถึงวันกิยามะฮ์ ...
และคำกล่าวของนักวิชาการซุนนีย์บางท่านที่ว่า การนิกาห์มุตอะฮ์ถูกยกเลิก ความหมายที่แท้จริงก็คือ “ยกเลิกการผ่อนผัน” มิใช่ “ยกเลิกบทบัญญัติ” เพราะนิกาห์มุตอะฮ์มิใช่เป็นบทบัญญัติดังกล่าวมาแล้ว ...
วัลลอฮุอะอฺลัม ...
บทส่งท้าย
พวกเราหลายคน – รวมทั้งผมด้วย – อาจจะเคยสงสัยว่า เหตุใดอะกีดะฮ์หรือความเชื่อหลายๆอย่างของชีอะฮ์ซึ่งอ้างว่าเป็นมุสลิมเหมือนเรา ทำไมจึงแตกต่างกับอะกีดะฮ์ของพวกเราอย่างสิ้นเชิงเหมือนขาวกับดำ และหุก่มหลายอย่างในตำราของพวกเขาก็ส่อไปในทางลามกอนาจารชนิดมนุษย์ที่มีจิตใจเป็นปกติไม่ว่าศาสนาไหนทำใจรับไม่ได้ อาทิเช่น อนุญาตให้ผู้หญิงใช้อวัยวะเพศเป็นค่าจ้างหรือค่าเช่าได้, อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักได้, อนุญาตให้สำเร็จความใคร่กับขาอ่อนของทารกหญิงได้ เป็นต้น ซึ่งหุก่มลามกจกเปรตแบบนี้ จะไม่มีในบทบัญญัติของซุนนีย์แน่นอน ...
แต่ถ้าพวกเราทราบความจริงที่ชีอะฮ์ - บางกลุ่ม - ซ่อนเร้นและตบตาพวกเรามานาน สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก็หาใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือพิสดารเกินความคาดฝันไม่ เพราะนักวิชาการชีอะฮ์(บางคน)ยอมรับแล้วว่า ...
พระเจ้าของพวกเขาเป็นคนละองค์กับพระเจ้าของพวกเรา ...
นบีย์ของพวกเขาก็เป็นคนละคนกับนบีย์ของพวกเรา ...
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “พวกเขา” กับ “พวกเรา” ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกัน แต่นับถือคนละศาสนากัน ...
ด้วยเหตุนี้ อะกีดะฮ์ของพวกเขา, หุก่มต่างๆของพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกับพวกเรา ...
เช็คเนียะอฺมะตุ้ลลอฮ์ อัล-ญะซาอิรีย์ นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสูงของโลกชีอะฮ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า ...
إِنَّالَمْ نَجْتَمِعْ مَعَهُمْ عَلَى اللهِ وَلاَ عَلَى نَبِىٍّ وَلاَ عَلَى إِمَامٍ، وَذَلِكَ أَنَّهُمْ يَقُوْلُوْنَ :
إِنَّ رَبَّهُمْ هُوَ الَّذِىْ كَانَ مُحَمَّدٌ نَبِيَّهُ، وَخَلِيْفَتُهُ بَعْدَهُ أَبُوْبَكْرٍ، وَنَحْنُ لاَ نَقُوْلُ بِهَذَاالرَّبِّ،
وَلاَ بِذَلِكَ النَّبِىِّ، إِنَّ الرَّبَّ الَّذِىْ خَلِيْفَةُ نَبِيِّهِ أَبُوْبَكْرٍ لَيْسَ رَبُّنَا وَلاَ ذَلِكَ النَّبِىَّ نَبِيُّنَا
“แน่นอน พวกเรา(ชาวชีอะฮ์)จะไม่มีวันร่วมกับพวกเขา(ชาวซุนนีย์)ในเรื่องอัลลอฮ์องค์นั้น, ในเรื่องนบีย์ และในเรื่องอิหม่าม(ผู้นำ) คนใดทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขา(ชาวซุนนีย์)กล่าวว่า พระเจ้าของพวกเขาก็คือพระเจ้าองค์ที่มีนบีย์ชื่อมุหัมมัด โดยคอลีฟะฮ์ของเขา(นบีย์มุหัมมัด)หลังจากเขาคืออบูบักรฺ, และพวกเราจะไม่ยอมรับพระเจ้าองค์นี้และจะไม่ยอมรับนบีย์ท่านนี้ .. แม้จริงพระเจ้าที่คอลีฟะฮ์แห่งนบีย์ของพระองค์มีชื่อว่าอบูบักรฺ ย่อมไม่ใช่พระเจ้าของพวกเรา และนบีย์ท่านนั้นก็ไม่ใช่นบีย์ของพวกเรา”
(จากหนังสือ “الأَنْوَارُالنُّعْمَانِيَّةُ” ของเนียะอฺมะตุ้ลลอฮ์ อัล-ญะซาอิรีย์ เล่มที่ 1 หน้า 278-279) ...
คำว่า “พวกเรา” ตามนัยแห่งคำพูดของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์ อาจหมายถึงชีอะฮ์ทั้งโลกก็ได้, หรืออาจหมายถึงชีอะฮ์เฉพาะกลุ่มที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านก็ได้ ...
แต่ตามรูปการณ์แล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเช็คอัล-ญะซาอิรีย์จะหมายถึงชีอะฮ์เฉพาะกลุ่ม นอกจากหมายถึงชีอะฮ์ทั้งโลก ...
ในความรู้สึกส่วนตัว - ผมเชื่อว่ามีชีอะฮ์ในประเทศไทยจำนวนมิใช่น้อยที่ไม่ยอมรับแนวคิดสุดโต่งดังกล่าวของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์ผู้นี้ ...
จะอย่างไรก็ตาม ชีอะฮ์ก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มีหลักฐานชัดเจนว่าชีอะฮ์บางคนหรือบางกลุ่มในประเทศไทยที่ยอมรับแนวคิดนี้ .. ดังข้อมูลที่ผมได้เขียนโต้แย้งไปแล้วครั้งหนึ่ง ...
และถ้าตามแนวคิดนี้ แน่นอน - ความหมายของมันชัดเจนเหลือเกินว่า นักวิชาการมีระดับบางคนของชีอะฮ์ได้ยอมรับเองว่าพวกเขานับถือคนละศาสนากับพวกเราชาวซุนนีย์ เพราะพวกเขามิได้ศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์ของพวกซุนนีย์ และมิได้ปฏิบัติตามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่มีคอลีฟะฮ์ชื่ออบูบักรฺอย่างพวกซุนนีย์ ..
ตอนแรกผมเองไม่เคยเฉลียวใจเมื่ออ่านเจอข้อความที่ชีอะฮ์คนหนึ่ง(ที่ผมชี้แจงตอบโต้ไปแล้ว)ใช้คำพูดในลักษณะล้อเลียนพระองค์อัลลอฮ์ว่า “พระเจ้าของซุนนี่หัวเราะ” และใช้วาจาดูหมิ่นเหยียดหยามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า “ศาสดาของซุนนี่บ้ากาม”เป็นต้น (ขอพระองค์อัลลอฮ์โปรดอภัยโทษให้ด้วยที่ผมจำเป็นต้องคัดลอกข้อความดังกล่าวนี้มาลงไว้) จนกระทั่งมาเจอข้อมูลดังข้างต้นจึงเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ที่ชีอะฮ์คนนั้นกล่าวเน้นคำว่า “พระเจ้าของของซุนนี่” และ “ศาสดาของซุนนี่” ก็เพราะพวกเขานับถือพระเจ้าและศาสดาที่อื่นจากพระเจ้าและศาสดาที่ชาวซุนนีย์เรานับถืออยู่ดังคำกล่าวของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์นั่นเอง ...
และคำกล่าวของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์ที่กล่าวว่า “พวกเราจะไม่มีวันร่วมกับพวกเขาในเรื่องอัลลอฮ์, ในเรื่องนบีย์ และในเรื่องผู้นำ ...” ก็แสดงความหมายต่อเนื่องเป็นลูกโซ่อีกว่า แม้กระทั่งอัล-กุรฺอานที่ท่านอบูบักรฺ - คอลีฟะฮ์ของซุนนีย์และคอลีฟะฮ์ของนบีย์ที่พวกชีอะฮ์ไม่ยอมรับ - ได้สั่งให้ท่านซัยด์ อิบนุษาบิต อัล-อันศอรีย์ ร.ฎ. รวบรวมสำเนาที่กระจัดกระจายจนเป็นเล่มขึ้นมาดังที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ก็เถอะ โดยแท้ที่จริงก็มิใช่เป็นอัล-กุรฺอานที่ชีอะฮ์ยอมรับเช่นเดียวกัน เพราะชีอะฮ์ถือว่าอัล-กุรฺอานฉบับนี้ถูกรวบรวมขึ้นมาจากคำสั่งของคนที่เป็นศัตรูกับอะฮ์ลุลบัยต์ของพวกเขา จึงมีทั้งการดัดแปลง, ตัดทอน หรือแม้กระทั่งบิดเบือนจากฉบับจริง ...
อัล-กุรฺอานฉบับจริงและสมบูรณ์ตามอะกีดะฮ์ของชีอะฮ์ก็คือ อัล-กุรอานฉบับที่ถูกรวบรวมโดยท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. อิหม่ามท่านแรกของชีอะฮ์เท่านั้น ...
แต่เท่าที่ชีอะฮ์จำเป็น, จำทนและจำใจต้องใช้อัล-กุรฺอานฉบับนี้อยู่ ก็มีสาเหตุหลักมาจาก 2 ประการคือ ...
หนึ่ง เพื่อหลอกลวงพวกซุนนีย์หน้าโง่บางคน(หรือหลายคน)ให้หลงเชื่อว่า พวกเขานับถือศาสนาอิสลามเหมือนกับพวกซุนนีย์(ตามหลักตะกียะฮ์ของพวกเขา) และ ...
สอง เพราะอัล-กุรฺอาน “ฉบับจริง” ของพวกเขา ถูกอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขาพาหลบหนีเข้าอุโมงค์ไปตั้งแต่ปีฮ.ศ. 260 จนถึงขณะนี้ก็ร่วมพันกว่าปีแล้วยังหาไม่เจอ ...
เพราะฉะนั้น ศาสนาของชีอะฮ์(ทั้งโลก .. ยกเว้นชีอะฮ์ในประเทศไทยบางคนกระมัง) จึงมิใช่ศาสนาอิสลามเหมือนพวกเราแน่นอน ...
ผมเขียนหนังสือเรื่อง “ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์” .. เป้าหมายจริงๆมิใช่เพื่อโต้แย้งกับชีอะฮ์ แต่เพื่อต้องการ “ขัดเกลา” ศาสนาอิสลามที่พระองค์อัลลอฮ์ - พระเจ้าของชาวซุนนีย์ - ประทานมันลงมาให้แก่ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม - ศาสดาของชาวซุนนีย์ - เพื่อให้มันสะอาดและบริสุทธิ์จากความแปดเปื้อน, ความโสโครกที่พวกชีอะฮ์ซึ่งมิได้ศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์และท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมของชาวซุนนีย์ นำมาป้ายสีให้เกิดความมัวหมองต่ออิสลามของชาวซุนนีย์ ...
เช็คยูซุฟ อัล-บะห์รอนีย์ นักวิชาการชื่อดังของชีอะฮ์อีกท่านหนึ่งในศตวรรษที่ 2 ได้กล่าวในหนังสือ “اَلْحَدَائِقُ النَّاضِرَةُ فِىْ أَجْكَامِ الْعِتْرَةِ الطَّاهِرَةِ ” เล่มที่ 1 หน้า 36 มีข้อความว่า ...
وَقَالَ الشَّيْخُ الْمُفِيْدُ : لاَ يَجُوْزُ لِأَحَدٍ مِنْ أَهْلِ اْلإِيْمَانِ أَنْ يُغْسِلَ مُخَالِفًا لِلْحَقِّ فِى الْوِلاَيِةَ
وَلاَ يُصَلِّىَ عَلَيْهِ إِلاَّ أَنْ تَدْعُوَضَرُوْرَةٌ إِلَى ذَلِكَ مِنْ جِهَةِ التَّقِيَّةِ ...
ท่านเช็คอัล-มุฟีดกล่าวว่า : “ไม่อนุญาตแก่ผู้ใดจากผู้ศรัทธา (หมายถึงชีอะฮ์เท่านั้นตามความเข้าใจของพวกเขา) จะอาบน้ำ(มัยยิต)ให้ผู้ขัดแย้งกับสัจธรรมในเรื่องตำแหน่งผู้นำสูงสุด(หมายถึงชาวซุนนีย์ที่ถึงแก่ความตาย) และไม่อนุญาตให้นมาซให้แก่เขา เว้นแต่เกิดความจำเป็นที่เรียกร้องไปสู่การปฏิบัติสิ่งดังกล่าวในแง่ของการตะกียะฮ์(อำพราง, แสร้งหลอก)เท่านั้น” ...
ข้อความดังกล่าวนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของเช็คอัฏ-ฏูศีย์ที่กล่าวในหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม”ว่า ผู้ที่ขัดแย้งกับอะฮ์ลุลบัยต์(หมายถึงผู้ปฏิเสธตำแหน่งผู้นำสูงสุดของอะฮ์ลุลบัยต์ทั้ง 12 ท่านของชีอะฮ์) ถือว่าเป็นกาฟิรฺ ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ในอดีต ...
(สรุปจากหนังสือ “مَوْقِفُ الشِّيْعَةِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ” ของท่านมุหัมมัด มาลุลลอฮ์ หน้า 15 ) ...
ผู้ที่เช็คอัฏ-ฏูศีย์กล่าวว่า เป็นผู้ขัดแย้งหรือผู้ที่ปฏิเสธอะฮ์ลุลบัยต์ดังกล่าว จะหมายถึงใครอื่นอีกหากมิใช่หมายถึงชาวซุนนีย์ ??? ...
คำกล่าวของเช็คยูซุฟ อัล-บะห์รอนีย์และเช็คอัฏ-ฏูศีย์ นักวิชาการมีระดับของชีอะฮ์ทั้ง 2 ท่านดังกล่าวข้างต้นมีความหมายว่า เมื่อชาวซุนนีย์คนใดสิ้นชีวิตลง หุก่มของชีอะฮ์ก็คือ ห้ามอาบน้ำมัยยิตให้และห้ามนมาซญะนาซะฮ์ให้ ...
เพราะซุนนีย์คนนั้นคือกาฟิรฺในทัศนะของชีอะฮ์ ...
เพราะฉะนั้น หากพวกเราเห็นชีอะฮ์คนใดมาช่วยอาบน้ำหรือนมาซญะนาซะฮ์ให้แก่ชาวซุนนีย์ที่ตายไป ก็จงรู้เถิดว่า พวกเขา “แสร้งทำ” เพื่อตบตาและหลอกพวกเราเท่านั้น ...
หากจะมองหุก่มดังกล่าวในมุมกลับ เราชาวซุนนีย์ก็สามารถกล่าวได้เช่นเดียวกันว่า เมื่อชีอะฮ์คนใดตายลงไป มุสลิมที่เป็นซุนนีย์จะไปอาบน้ำมัยยิตให้, หรือนมาซญะนาซะฮ์ให้จะได้หรือ ในเมื่อชีอะฮ์ที่ตายนั้นมิได้นับถือพระองค์อัลลอฮ์ของพวกเรา และมิได้ปฏิบัติตามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมของพวกเรา ?? ...
พวกเขาจึงเป็นกาฟิรฺสำหรับพวกเรา - ชาวซุนนีย์ - เช่นเดียวกัน เว้นแต่พวกเราจะไม่มีการ “แสร้งทำ” ไปอาบน้ำให้ หรือไปนมาซญะนาซะฮ์ให้เหมือนพวกเขา ...
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.พระเจ้าของซุนนีย์ ได้ดำรัสไว้แล้วในอัล-กุรฺอาน(ของซุนนีย์เช่นเดียวกัน) ซูเราะฮ์อัล-กาฟิรูน อายะฮ์ที่ 6 ว่า ...
لَكُمْ دِيْنُكُمْ وَلِىَ دِيْنِ
“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”
เพราะฉะนั้น คำกล่าวของนักวิชาการซุนนีย์จากโลกอาหรับบางคนที่ว่า “ชีอะฮ์ไม่ใช่มุสลิมอย่างพวกเรา” หรือ “ชีอะฮ์นับถือศาสนาที่อื่นจากศาสนาของพวกเรา” จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดข้อเท็จจริงแต่ประการใด ดังข้อมูลจากคำกล่าวของนักวิชาการชีอะฮ์เองที่ผ่านมาแล้ว ...



#หมายเหตุ
ขอเรียนให้ทราบว่า ตั้งแต่เกิดมาและตั้งแต่เขียนหนังสือมา ผมไม่เคยหุก่มชีอะฮ์คนใดว่า “เป็นกาฟิรฺ” แม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้น ข้อเขียนทั้งหมดนี้จึงมีเป้าหมายเฉพาะสำหรับชีอะฮ์ที่มีความเชื่อตามแนวทางของเช็คเนียะอฺมะตุ้ลลอฮ์ อัล-ญะซาอิรีย์. เช็คยูซุฟ อัล-บะห์รอนีย์, เช็คอัล-มุฟีด และเช็ค อัฏ-ฏูศีย์ดังข้อมูลข้างต้นเท่านั้น ...
ส่วนชีอะฮ์ท่านใดที่มีจุดยืนชัดเจนอย่างแท้จริง - มิใช่ตะกียะฮ์ - ว่า มีแนวคิดแตกต่างหรือไม่ยอมรับแนวคิดข้างต้น ...
ข้อเขียนนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับท่านทั้งสิ้น ...
โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ...

อ. มะห์มูด (ปราโมทย์) ศรีอุทัย
จบ....




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น