อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 7)




โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

(3). ความแตกต่างระหว่างนิกาห์ถาวรกับนิกาห์ชั่วคราว(มุตอะฮ์)
ในตอนต้น ผมได้อธิบายให้ทราบแล้วถึงความหมายนิกาห์มุตอะฮ์หรือนิกาห์ชั่วคราว, ความแตกต่างด้าน “เป้าหมาย” ระหว่างนิกาห์ถาวรกับนิกาห์มุตอะฮ์, วิธีนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์ ตลอดจนข้อผ่อนผันของนิกาห์มุตอะฮ์ จากหะดีษของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุมัสอูด ร.ฎ. และท่านสะละมะฮ์ บินอัล-อักวะอฺ ร.ฎ. ...
ตอนนี้ ผมจะขออธิบายรายละเอียดของ “ความแตกต่าง” ระหว่างนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์กับนิกาห์ถาวรของซุนนีย์ใน 3 ประเด็น คือ ...
1. ความแตกต่างใน “บทบัญญัติ” ระหว่างนิกาห์ถาวรของซุนนีย์และนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์ ...
2. ความแตกต่างใน “รุก่นนิกาห์” และ “เงื่อนไข” ของนิกาห์ทั้งสอง, ...
3. ความแตกต่างใน “ผลพวง”ที่จะติดตามมาหลังการนิกาห์ในแต่ละรูปแบบ ...
ทั้งนี้เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ใช้ดุลยพินิจแยกแยะระหว่างความจริงกับความเท็จด้วยตัวเอง ...
3.1 ความแตกต่างในบทบัญญัติ
สำหรับความแตกต่างใน “บทบัญญัติ” ระหว่างนิกาห์ถาวรกับนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์ ก็เป็นดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว คือ “นิกาห์ถาวร” นั้นเป็นบทบัญญัติเดียวที่ฝ่ายซุนนีย์ถือว่า ศาสนาอิสลามส่งเสริมให้ปฏิบัติได้ โดยมีหลักฐานจากอัล-กุรฺอานและจากซุนนะฮ์ของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งผมจะไม่นำรายละเอียดของหลักฐานทั้งหมดมาอธิบาย ณ ที่นี้ ...
ส่วนนิกาห์มุตอะฮ์ ชาวซุนนีย์เห็นพ้องกันว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีบทบัญญัติส่งเสริมให้ปฏิบัติ ไม่ว่าหลักฐานจากอัล-กุรฺอานหรือหะดีษ ยิ่งไปกว่านั้นพื้นฐานของนิกาห์มุตอะฮ์ยังเป็นสิ่ง “ต้องห้าม” สำหรับมุสลิม โดยมีหลักฐานยืนยันจากทั้งอัล-กุรฺอานและซุนนะฮ์เช่นเดียวกันดังจะถึงต่อไป ...
แม้ว่าท่านศาสดาจะผ่อนผันให้มีการนิกาห์มุตอะฮ์ได้หนึ่งครั้ง(หรือสองครั้งตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่) แต่สุดท้ายการผ่อนผันดังกล่าวก็ถูกยกเลิก และนิกาห์มุตอะฮ์ก็เป็นข้อห้ามถาวรสำหรับมุสลิมตลอดไป ...
นี่คือ “มติเอกฉันท์” ของนักวิชาการซุนนีย์ แม้กระทั่งผู้ที่เห็นตรงกับชีอะฮ์ว่า การนิกาห์มุตอะฮ์ มีหลักฐานจากอัล-กุรฺอานซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์ อายะฮ์ที่ 24 ก็ตาม ...
ข้อนี้แตกต่างจากความเชื่อของชีอะฮ์ เพราะพวกเขาถือว่า นิกาห์มุตอะฮ์เป็นสิ่งที่มีบทบัญญัติส่งเสริมจากอัล-กุรฺอานอายะฮ์ที่ 24 ซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์ แล้วอ้างเหตุผล 3 ประการจากอายะฮ์นี้มายืนยันความเชื่อของตนเองดังต่อไปนี้ ...
หลักฐานอนุญาตนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์
ในอายะฮ์ที่ 24 ซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
فَمَا اسْتَمْتَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوْهُنَّ أُجُوْرَهُنَّ فَرِيْضَةً .....
“ดังนั้น อันใดที่พวกเจ้าเสพสุขมันจากบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้แก่พวกนางซึ่งค่าตอบแทนของพวกนางตามข้อกำหนด ......”
นักวิชาการชีอะฮ์อธิบายว่า โองการดังกล่าวนี้ เป็นบทบัญญัติเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ โดยอ้างเหตุผล 3 ประการคือ ...
ประการที่หนึ่ง คำว่า إِسْتَمْتَعْتُمْ (พวกเจ้าเสพสุข) มีที่มาจากรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า مُتْعَةٌ ที่หมายถึงนิกาห์มุตอะฮ์ เพราะรากศัพท์เดิมของคำว่า إِسْتَمْتَعْتُمْ และคำว่า مُتْعَةٌ มีที่มาจากแหล่งเดียวกัน อันได้แก่เป็นพยัญชนะสามตัวคือ มีม, ตาอ์ และอัยน์ ...
ประการที่สอง คำว่า أُجُوْرَهُنَّ (ค่าตอบแทนของพวกนาง) นักวิชาการชีอะฮ์อธิบายว่าหมายถึงค่าตอบแทนที่ผู้ชายจะต้องจ่ายให้แก่สตรีที่นิกาห์มุตอะฮ์ด้วย มิได้หมายถึงมะฮัรฺของนิกาห์ถาวร ...
เพราะถ้าเป็นมะฮัรฺ พระองค์อัลลอฮ์ก็ต้องกล่าวว่า مُهُوْرَهُنَّ فَآتُوْهُنَّ (จงให้แก่พวกนางซึ่งมะฮัรฺของพวกนาง) มิใช่กล่าวว่า أُجُوْرَهُنَّ (ค่าตอบแทนของพวกนาง)
ประการสุดท้าย มีรายงานว่า ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบิน ร.ฎ., ท่านสะอีด บินญุบัยรฺ และท่านอัซ-ซะดีย์ ได้อ่านเพิ่มเติมหลังจากคำว่า فَمَااسْتَمْتَعْتُمْ (อันใดที่พวกเจ้าเสพสุขมันจากนาง) ด้วยคำว่า إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى (จนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้)
ชีอะฮ์อธิบายว่า ข้อความนี้ แสดงว่าโองการข้างต้นเป็นบทบัญญัติเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ เพราะการกำหนดเวลาในการเสพสุขจากสตรี เป็นลักษณะของนิกาห์มุตอะฮ์ มิใช่ในนิกาห์ถาวร ...
โต้แย้ง
ข้ออ้างดังกล่าวของชีอะฮ์ - ทั้ง 3 ประการ - ถือว่ายังไม่สมบูรณ์ในแง่ของการอ้างหลักฐาน แม้จะมีนักอรรถาธิบายอัล-กุรฺอานสายซุนนีย์บางคนเห็นพ้องด้วยก็ตาม ...
เพราะในความเป็นจริงนักอรรถาธิบายอัล-กุรฺอานท่านอื่นๆจำนวนมากของสายซุนนีย์, นักวิชาการหะดีษของสายซุนนีย์ และนักวิชาการฟิกฮ์ทั้งหมดของสายซุนนีย์ ต่างเห็นพ้องกัน – จนแทบจะเรียกว่าเป็นมติเอกฉันท์ -- ว่า โองการบทนี้เป็นเรื่องของการนิกาห์ถาวร มิใช่นิกาห์มุตอะฮ์ ...
เพราะฉะนั้น คำพูดของเช็คอัต-ตีญานีย์ จากคำแปลในหนังสือ “ขออยู่กับผู้สัตย์จริง” หน้า 281 ที่ว่า ..
“อะฮ์ลิซซุนนะฮ์วัล-ญะมาอะฮ์ก็เหมือนกับพี่น้องชีอะฮ์ของเขานั่นเอง คือ มีความเชื่อตรงกันว่า การวางหลักการแต่งงานอย่างนี้มีมาจากอัลลอฮ์ ซ.บ.ในโองการที่ 24 ซูเราะฮ์อัน-นิซาอ” ...
จึงเป็นเรื่องของการโกหกเพื่อ “หลอก” และ “ลวง” มุสลิมซุนนีย์ที่ขาดความรู้ความเข้าใจแม้กระทั่งในศาสนาของตนเองให้หลงคล้อยตาม โดยมีเป้าหมายเพื่อสนองความต้องการทางกามารมณ์เพียงอย่างเดียว ...
ยิ่งถ้าเราอ่านและพิจารณาซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์มาตั้งแต่อายะฮ์ที่ 22, 23 จนถึงตอนต้นอายะฮ์ที่ 24 อันเป็นข้อความก่อนหน้าข้อความข้างต้นนี้ ตลอดจนการนำหะดีษที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องมุตอะฮ์ซึ่งมีอยู่หลายบทมาร่วมพิจารณาประกอบ ก็จะทราบได้ทันทีว่า โองการนี้บทถูกประทานลงในเรื่องการนิกาห์ถาวร มิใช่นิกาห์มุตอะฮ์ ดังความเข้าใจของชีอะฮ์ ...
คำอธิบายเพื่อโต้แย้งข้ออ้างของชีอะฮ์ทั้ง 3 ประการข้างต้น มีดังต่อไปนี้ ...
(1). ก่อนอื่นเรามาตั้งคำถามกันก่อนว่า บทบัญญัติ - ทั้งหมด - ในอัล-กุรฺอานที่กล่าวถึงเรื่องชีวิตคู่, การแต่งงาน, การมีเพศสัมพันธ์, การให้ค่าตอบแทนหรือมะฮัรฺแก่ผู้หญิง มีสักบทไหมที่นักวิชาการไม่ว่าของซุนนีย์หรือชีอะฮ์อธิบายว่า หมายถึงถึงนิกาห์มุตอะฮ์ (นอกจากโองการที่เป็นปัญหาบทนี้ ??) ...
คำตอบก็คือ ไม่มีแม้แต่บทเดียว ...
นี่คือสิ่งที่เห็นพ้องกันระหว่างนักวิชาการซุนนีย์และชีอะฮ์ ...
เพราะฉะนั้น - ตามพื้นฐานแล้ว - สตรีทั้งที่ห้ามแต่งงานและที่อนุญาตให้แต่งงานได้, การหาความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์และการให้ค่าตอบแทนที่กล่าวถึงในซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์ตั้งแต่อายะฮ์ที่ 22 ถึงอายะฮ์ที่ 24 จึงย่อมวางอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกันทั้งหมด .. คือหมายถึงในการนิกาห์ถาวร ...
ในอายะฮ์ที่ 22-23 พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ได้กล่าวถึงสตรีที่ห้ามผู้ชายแต่งงานด้วยอันได้แก่แม่เลี้ยง, แม่ตัวเอง, ลูกสาว, พี่สาวน้องสาว, ป้าหรือน้าสาวทั้งจากฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา, บุตรสาวของพี่ชายน้องชายและพี่สาวน้องสาว, แม่นม, พี่น้องสาวร่วมแม่นม, แม่ยาย, ลูกเลี้ยงหญิงที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับแม่ของนางแล้ว, ลูกสะไภ้, การรวมพี่สาวน้องสาวเป็นภรรยาในคราวเดียวกัน ...
ในตอนต้นอายะฮ์ที่ 24 พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ได้กล่าวถึงสตรีที่ห้ามแต่งงานอีกว่า ได้แก่ผู้หญิงที่สามีอยู่แล้ว .. เว้นแต่ถ้านางตกเป็นทาสก็เป็นที่อนุญาต ...
แล้วในตอนท้ายอายะฮ์ที่ 24 พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ก็กล่าวต่อไปว่า ...
وَأُحِلَّ لَكُمْ مَاوَرَآءَ ذَلِكُمْ أَنْ تَبْتَعُوْا بِأَمْوَالِكُمْ مُحْصِنِيْنَ غَيْرَ مُسَافِحِيْنَ فَمَا اسْتَطَعْتُمْ بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوْهُنَّ أُجُوْرَهُنَّ فَرِيْضَةً ....
“และได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว สิ่งที่นอกเหนือจากนี้ (คืออื่นจากสตรีที่ห้ามนิกาห์ดังที่กล่าวมาข้างต้น) เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหา(คู่ครองจากสตรีที่ถูกอนุมัตินั้น) ด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า โดยพวกเจ้าต้องการปกป้องตนเอง(จากการผิดประเวณี) มิใช่มุ่งหวังเสพกามด้วยการล่วงละเมิด ดังนั้นอันใดที่พวกเจ้าเสพสุขกับมันจากบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้แก่พวกนางซึ่งค่าตอบแทนของพวกนางตามข้อกำหนด” ...
สตรีที่ห้ามผู้ชายนิกาห์ด้วยทั้งหมดตั้งแต่อายะฮ์ที่ 22-23 รวมทั้งที่กล่าวถึงในตอนต้นอายะฮ์ที่ 24 ล้วนเป็นการห้ามในการนิกาห์ถาวรทั้งสิ้น ...
เพราะฉะนั้นพระดำรัสตอนท้ายอายะฮ์ 24 ที่ว่า “อันใดที่พวกเจ้าเสพสุขกับมัน” จึงย่อมหมายถึงอวัยวะเพศของภรรยาจากการนิกาห์ถาวร เช่นเดียวกัน ...
(2). สำหรับคำอธิบายของชีอะฮ์ที่ว่า คำดำรัสที่ว่า إِسْتَمْتَعْتُمْ มีที่มาเดียวกันกับคำว่า مُتْعَةٌ จึงย่อมหมายถึงนิกาห์มุตอะฮ์นั้น ...
ขอเรียนชี้แจงว่า ...
คำว่า إِسْتَمْتَعْتُمْ ในโองการนี้มีความหมายว่า “พวกเจ้าเสพสุข” หรือ “พวกเจ้าหาความสุข” .. อันบ่งบอกเป็นนัยถึงการหาความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์ ...
ความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์นี้ ย่อมมีได้เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจากนิกาห์ถาวรหรือนิกาห์มุตอะฮ์!.. หรือชีอะฮ์จะเถียง ? ...
หรือชีอะฮ์จะให้เข้าใจว่า ความสุขจากเพศสัมพันธ์นี้ มีได้จากนิกาห์มุตอะฮ์เท่านั้น ส่วนนิกาห์ถาวรจะหาความสุขจากเพศสัมพันธ์ไม่ได้ ??? ...
ชีอะฮ์เอาหลักฐานที่ไหนมาจำกัดว่า การ “เสพสุข” ในอายะฮ์นี้ หมายถึงการเสพสุขจากนิกาห์มุตอะฮ์ จนถึงกับพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ต้องประทานโองการบทนี้ลงมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ??? ...
ส่วนข้ออ้างที่ว่า คำว่า إِسْتَمْتَعْتُمْ และคำว่า مُتْعَةٌ มีที่มาจากรากศัพท์เดียวกันนั้น ข้ออ้างนี้ มิใช่เป็นหลักฐานที่จะมากำหนดความหมาย إِسْتَمْتَعْتُمْ ของโองการบทนี้ว่าหมายถึงนิกาห์มุตอะฮ์! ...
เพราะการที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงกล่าวว่า إِسْتَمْتَعْتُمْ ในโองการนี้ก็เพื่อประสงค์ความหมายของมัน .. คือ “การเสพสุขจากการมีเพศสัมพันธ์” อันมีความหมายครอบคลุมทั้งเพศสัมพันธ์จากนิกาห์ถาวรและนิกาห์มุตอะฮ์ดังกล่าวมาแล้ว มิใช่พระองค์ประสงค์รากศัพท์ของคำว่า “إِسْتَمْتَعْتُمْ” (คือพยัญชนะ มีม, ตาอ์, อัยน์) เพื่อโยงไปหาความหมายของคำว่า مُتْعَةٌ ดังความเข้าใจมั่วๆของชีอะฮ์ ...
ยิ่งไปกว่านั้น คำศัพท์ที่ว่า “مُتْعَةٌ” นี้ ไม่มีปรากฏแม้แต่คำเดียวในอัล-กุรฺอานของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ไม่ว่าในโองการไหนทั้งสิ้น ไม่เชื่อให้ชีอะฮ์ลองตรวจสอบดูได้ ...
เพราะฉะนั้น เหตุผลที่ชีอะฮ์นำมาอ้างเพื่อแสดงว่า คำว่า إِسْتَمْتَعْتُمْ ในโองการนี้หมายถึง مُتْعَةٌ (นิกาห์มุตอะฮ์) จึงเป็นความเห็นล้วนๆที่ขาดน้ำหนักและไม่สมเหตุสมผลเหมือน “การต้มซุปด้วยเงานกพิราบที่ผอมโซจวนจะอดตาย” ดังที่ลินคอล์นว่า ...
(3). ส่วนข้ออ้างของชีอะฮ์ที่ว่า การที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ใช้คำว่า“أُجُوْرَهُنَّ” ที่แปลว่า “ค่าตอบแทน” ของนาง .. จึงหมายถึงค่าตอบแทนในนิกาห์มุตอะฮ์ มิใช่หมายถึงมะฮัรฺในนิกาห์ถาวรนั้น ...
ขอเรียนชี้แจงว่า การสื่อความหมายของคำว่า มะฮํรฺ (مَهْرٌ) ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ผู้ชายมอบให้กับผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยนั้น พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะไม่ใช้คำตายตัวว่า مَهْرٌ เพียงคำเดียวดังความเข้าใจของชีอะฮ์ แต่พระองค์จะทรงเลือกใช้คำใดก็ได้ที่พระองค์ประสงค์ เพื่อสื่อความหมายถึง “มะฮัรฺ”เช่นเดียวกัน ...
และตามข้อเท็จจริง มะฮัรฺก็คือ “ค่าตอบแทน” ที่ผู้ชายมอบให้กับผู้หญิงที่ยินยอมนิกาห์และยอมใช้ชีวิตคู่ร่วมกับตนนั่นเอง ...
ด้วยเหตุนี้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จึงใช้คำว่า أُجُوْرَهُنَّ (ค่าตอบแทนของพวกนาง) ที่หมายถึง “มะฮัรฺ” ในโองการอื่นจากโองการนี้อีกหลายตำแหน่งด้วยกันเช่น ...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น