อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 5)




โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

จากนั้นฝ่ายชายก็สามารถตักตวงและหาความสุขจากเรือนร่างสตรีคนนั้นได้เต็มที่ภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้โดยไม่จำเป็นต้องส่งเสียเลี้ยงดูอะไรเลย ...
หลังจากครบกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายจากกันโดยฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องหย่า และสตรีผู้นั้นก็สามารถนิกาห์กับผู้ชายคนใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีอิดดะฮ์เหมือนนิกาห์ถาวร, ไม่มีการสืบมรดกระหว่างกันหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายลงไป และไม่มีพันธะใดๆต่อกันอีกเลย ...
ยกเว้นกรณีเดียวคือสตรีผู้นั้นบังเอิญตั้งครรภ์จากคู่นอนที่นิกาห์มุตอะฮ์ด้วยกัน ก็เป็นภาระของผู้ชายที่จะต้องรับผิดชอบต่อบุตรที่เกิดมา เหมือนบุตรที่เกิดจากการนิกาห์ถาวรทุกประการ ...
การนิกาห์มุตอะฮ์ในลักษณะดังกล่าว – ตามความเชื่อชีอะฮ์ -- สามารถปฏิบัติได้อย่างเสรีในทุกๆสภาวะการ .. คือไม่ว่าอยู่บ้านหรือเดินทาง, ไม่ว่าในภาวะสงครามหรือภาวะสงบ, ไม่ว่าเพื่อต้องการปกป้องตนเองจากภาวะล่อแหลมต่อการผิดประเวณีหรือไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงใดๆ และไม่ว่ากับสตรีคนใด - มุสลิมหรือมิใช่มุสลิม - ยกเว้นสตรีที่เป็นญาติสนิททางสายเลือดเกินไปเท่านั้น ...
เพราะฉะนั้น ข้ออ้างของนักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่งคือเช็คมุหัมมัดชะรีฟจากหนังสือ “สาส์นอิสลาม” หน้า 38 (เล่มที่เท่าไรและวันเดือนปีที่พิมพ์ผมไม่ทราบ เพราะหน้าปกขาดหายไป) ที่กล่าวว่า “ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ว่าการแต่งงานทั้งสองประเภท (คือแต่งงานถาวรกับแต่งงานชั่วคราวแบบมุตอะฮ์) มีความแตกต่างกันตรงที่มีความถาวรและไม่ถาวร ส่วนในเงื่อนไขอื่นๆของการแต่งงานทั้งสองนั้น เหมือนกันหมด” จึงเป็นเรื่องของการบิดเบือน, หลอกลวง และโกหกพกลม ...
ผมมิได้ใส่ร้ายหรือกล่าวหาด้วยความอคติต่อชีอะฮ์ ...
แต่สิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งหมดล้วนปรากฏชัดเจนในตำราของชีอะฮ์เอง ดังจะได้นำเสนอในตอนต่อไป ...
และผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด (เพราะเกรงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นการมองในแง่ร้ายเกินไป) .. ว่า สตรีที่ผ่านการนิกาห์มุตอะฮ์ตามความเชื่อของชีอะฮ์ในปัจจุบัน ดูแล้วแทบไม่แตกต่างอันใดกับ “โสเภณีผูกขาด” ...
เพียงแต่ดูดีกว่าโสเภณีหน่อยหนึ่งตรงที่ว่า มีการเสนอคำและรับคำนิกาห์, นางจะไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นระหว่างนั้นไม่ได้ และผู้ชายต้องรับผิดชอบลูกด้วย – ถ้ามี ...
แต่ถ้านำไปเปรียบเทียบกับสตรีที่เป็น “เมียเช่า” ของพวกจีไอในอดีตแล้ว ผมว่าสตรีที่นิกาห์มุตอะฮ์ดูจะ “ด้อย” กว่าเมียเช่าด้วยซ้ำ ตรงที่เมียเช่าจะได้รับค่าเลี้ยงดูเป็นประจำทุกเดือน ขณะที่สตรีที่ยอมนิกาห์มุตอะฮ์ จะไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าเลี้ยงดูใดๆจากคู่นอนอีกนอกเหนือจากค่าตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ตอนนิกาห์เท่านั้น ...
แต่ .. จะอย่างไรก็ตาม ถ้าจะพูดถึงการนิกาห์มุตอะฮ์ในภาพรวม ใครจะไปกล่าวหาว่าเป็นเรื่องลามกอนาจารทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะในอดีตเมื่อถึงคราวจำเป็นจากการเดินทางไปทำสงสงครามแดนไกล อิสลามก็เคยอนุโลมให้มีการนิกาห์มุตอะฮ์มาแล้วหนึ่งครั้งหรือสองครั้งโดยท่านศาสดาเอง ซึ่งถ้าหากมันเป็นเรื่องลามกอนาจารหรือเป็นความผิดชนิดยอมรับกันไม่ได้เลยในทุกๆแง่มุม ท่านศาสดาก็คงไม่อนุมัติมันเป็นแน่ ...
แต่สิ่งที่จำเป็นจะต้องพูดถึง ณที่นี้ก็คือ ข้ออนุโลมอย่างเสรีต่อนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งแตกต่างกับนิกาห์มุตอะฮ์ในสมัยของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอย่างสิ้นเชิง ...
เพราะ .. การนิกาห์มุตอะฮ์ - ดังที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านศาสดา - เป็นเพียง “ข้อผ่อนผัน” ที่ถูกอนุโลมชั่วคราวแก่ผู้ที่เดินทางไปทำสงครามต่างแดน โดยมีเป้าหมายเพื่อมิให้เศาะหาบะฮ์บางคนถึงกับตอนตัวเอง และเพื่อให้นักรบที่อีหม่านยังไม่แข้มแข็งพอสามารถปลดเปลื้องความต้องการทางเพศได้โดยไม่ต้องไปทำผิดประเวณี ...
นิกาห์มุตอะฮ์จึงเป็นเพียง “นิกาห์เฉพาะกิจ” ของนักรบแดนไกลในอดีตเท่านั้น
(2). หลักฐานผ่อนผันนิกาห์มุตอะฮ์ของฝ่ายซุนนีย์
2.1 ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุมัสอูด ร.ฎ. รายงานว่า ...
كُنَّا نَغْزُوْ مَعَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَيْسَ لَنَا نِسَاءٌ، فَقُلْنَا : أَلاَ نَسْتَخْصِىْ ؟ فَنَهَانَا عَنْ ذَلِكَ، ثُمَّ رَخَّصَ لَنَا أَنْ نَنْكِحَ الْمَرْأَةَ بِالثَّوْبِ إلَى أَجَلٍ ...........
“พวกเราเคยไปทำสงครามพร้อมท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมโดยพวกเราไม่มีสตรี(คือภรรยาหรือทาสหญิง)ไปด้วย ดังนั้นพวกเราจึงพูด(ปรารภ)กันว่า .. พวกเราจะไม่ต้องตอนตัวเอง(เพื่อลดความกดดันอารมณ์เพศ)กันหรือนี่ ? .. แล้วท่านศาสดาก็ห้ามพวกเราจากเรื่อง(ตอนตัวเอง)นี้ จากนั้นท่านก็ “ผ่อนผัน” ให้พวกเรานิกาห์(มุตอะฮ์)กับสตรีในระยะเวลาหนึ่ง โดยให้ผ้าแก่นาง .......... ”
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 5075 และท่านมุสลิม หะดีษที่ 11/1404) ...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น