อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 13)



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

นี่หรือการเทิดทูนเกียรติอะฮ์ลุลบัยต์ของพวกเขา ? .. เกียรติของอะฮ์ลุลบัยต์ระดับสูงสุดสำหรับชีอะฮ์อย่างท่านอะลีย์, ท่านอัล-หะซันและท่านอัล-หุซัยน์ มีค่าเท่ากับการมีเพศสัมพันธ์เพียง 1 ถึง 3 ครั้งกับสตรีรับจ้างนิกาห์มุตอะฮ์กับผู้ชายเท่านั้นเองดอกหรือ ? ... 
(5). เช็คอัล-กาชานีย์ ยังได้กุความเท็จให้แก่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วยการอ้างเป็นคำพูดของท่านอีกว่า ...
مَنْ خَرَجَ مِنَ الدُّنْيَا وَلَمْ يَتَمَتَّعْ جَاءَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَهُوَ أَجْدَعُ
“ผู้ใด(ตาย)จากโลกนี้ไปโดยมิได้ทำมุตอะฮ์เลย เขาจะถึงไปวันกิยามะฮ์ในสภาพคนจมูกแหว่ง” ...
(จากหนังสือตัฟซีรฺ “มันฮัจญ์ อัศ-ศอดิกีน” เล่มที่ 2 หน้า 489) ...
แล้วชีอะฮ์คิดบ้างไหมว่า การอ้างความเท็จอย่างนี้ มิเป็นการกล่าวหาว่าอิหม่ามจากอะฮ์ลุลบัยต์ของพวกเขา - ทุกท่าน - ต้องจมูกแหว่งในวันกิยามะฮ์ดอกหรือ ?? ...
ทั้งนี้ เพราะไม่มีหลักฐานเลยพวกท่าน - ไม่ว่าคนใด - เคยทำมุตอะฮ์กับสตรีใดแม้แต่ครั้งเดียว ...
หรือชีอะฮ์มีหลักฐานว่าพวกท่านเคยทำมุตอะฮ์กับใครก็แสดงมา ! ...
ฯลฯ ...
(5). ใครคือผู้ห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์ ?
ชีอะฮ์พยามยามกล่าวโจมตีท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ว่า เป็นผู้ห้าม - ทั้งหัจญ์ตะมัตตั๊วะอฺและนิกาห์มุตอะฮ์ - จากความคิดเห็นของตนเองโดยพลการ โดยชีอะฮ์ได้อ้างหลักฐานจากหะดีษที่ถูกต้องของซุนนีย์เองบางบทดังที่จะได้นำเสนอต่อไป ...
การกล่าวหาของชีอะฮ์ดังข้างต้น แม้จะมีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง ก็เฉพาะในกรณีเดียวคือ การห้ามจากหัจญ์ตะมัตตั๊วะอฺเท่านั้น ...
เราไม่ปฏิเสธว่าการห้ามจากหัจญ์ตะมัตตั๊วะอฺ เป็นความเห็นส่วนตัวของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ล้วนๆ ...
ด้วยเหตุนี้ บรรดาเศาะหาบะฮ์ส่วนใหญ่ - แม้กระทั่งบุตรชายของท่านอุมัรฺเองคือท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. - รวมทั้งนักวิชาการในยุคถัดๆมาจึงปฏิเสธและไม่ยอมรับการห้ามของท่านอุมัรฺในเรื่องนี้ และยังถือว่าหัจญ์ตะมัตตั๊วะอฺเป็นซุนนะฮ์ (หรืออาจจะเป็นวาญิบ) สำหรับผู้ที่เดินทางไปทำหัจญ์โดยมิได้นำสัตว์เชือดพลีติดตัวไปด้วย ...
กรณีนี้ แตกต่างจากการห้ามของท่านอุมัรฺจากการนิกาห์มุตอะฮ์ ซึ่งปรากฏว่าในขณะนั้นมีเศาะหาบะฮ์เพียง 2 ท่าน - คือท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. และท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. - ที่ยังคงฟัตวาว่า การนิกาห์มุตอะฮ์เป็นสิ่งที่อนุมัติ ...
แต่เมื่อท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ประกาศห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์ เศาะหาบะฮ์ทั้ง 2 ท่านนั้นก็ยอมรับคำห้ามนั้นโดยดุษฎี รวมทั้งเศาะหาบะฮ์ท่านอื่นๆและนักวิชาการยุคถัดๆมาทั้งหมด ต่างยอมรับเป็นเอกฉันท์ในการห้ามของท่านอุมัรฺ ...
ชีอะฮ์เคยเฉลียวคิดบ้างไหมว่า ทำไมบรรดาเศาะหาบะฮ์รวมทั้งนักวิชาการยุคหลังหมด จึงมีท่าทีแตกต่างกันเหมือนหน้ามือกับหลังมือต่อการห้ามของท่านอุมัรฺในทั้ง 2 กรณีนี้ ?? ...
คำตอบก็คือ การที่บรรดาเศาะหาบะฮ์และนักวิชาการยุคหลังไม่ยอมรับข้อห้ามของท่านอุมัรฺจากการทำหัจญ์ตะมัตตั๊วะอฺ มิใช่เพราะเหตุอื่นใด แต่เป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าข้อห้ามดังกล่าวเป็นเพียง “ความเห็นส่วนตัว” ของท่านอุมัรฺเองซึ่งน่าจะค้านกับคำสั่งของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามคำห้ามของท่านอุมัรฺในกรณีนี้ ...
ส่วนการห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์ ข้อเท็จจริงก็คือ ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ห้ามขาดจนถึงวันกิยามะฮ์ด้วยตัวท่านเองเมื่อครั้งพิชิตมักกะฮ์หลังจากการผ่อนผันมันเพียง 3 วันในครั้งนั้น ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
การห้ามนิกาห์มุตอะฮ์ของท่านศาสดาในครั้งนั้น มีเศาะหาบะฮ์บางท่าน - อย่างเช่นท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. และท่านญาบิรฺ ร.ฎ. - มิได้รับรู้ แตกต่างจากตอนผ่อนผันที่มีผู้ออกมาประกาศเป็นทางการว่าท่านศาสดาได้อนุโลมให้มีการมุตอะฮ์กับสตรีได้ ผู้ที่ไม่รู้การห้ามของท่านศาสดาในตอนหลังจึงยังคงฟัตวาว่า การนิกาห์มุตอะฮ์ยังเป็นที่อนุญาตอยู่ ...
จวบจนพวกเขาได้รับการห้ามจากท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. อีกครั้ง จึงรู้ว่าข้อห้ามนี้มิใช่ท่านอุมัรฺเป็นผู้ห้ามจากความเห็นของตนเองเหมือนการห้ามจากการทำหัจญ์ตะมัตตั๊วะอฺ แต่ท่านอุมัรฺได้ “ตอกย้ำ” คำห้ามของท่านศาสดาที่พวกเขาไม่เคยรับรู้มาก่อนให้ได้รับทราบกัน พวกเขาจึงยอมรับการห้ามนี้โดยดุษฎีและไม่มีปฏิกริยาคัดค้านเหมือนกรณีการห้ามจากหัจญ์ตะมัตตั๊วะอฺ ...
นี่คือ “บทสรุป” ที่แท้จริงของการห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์ ...
และต่อไปนี้คือหลักฐานของคำกล่าวข้างต้น ...
5.1 ท่านศาสดาผ่อนผันแล้วห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์ตลอดกาลคราวพิชิตมักกะฮ์
ก. มีรายงานจากท่านซับเราะฮ์ อัล-ญุฮัยนีย์ ร.ฎ. กล่าวว่า ...
أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِالْمُتَعَةِ عَامَ الْفَتْحِ حِيْنَ دَخَلْنَا مَكَّةَ، ثُمَّ
لَمْ نَخْرُجْ مِنْهَا حَتىَّ نَهَانَا عَنْهَا
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้สั่ง(คือผ่อนผัน)ให้พวกเรานิกาห์มุตอะฮ์ได้ในปีพิชิตมักกะฮ์ขณะที่พวกเราเข้าสู่มักกะฮ์ หลังจากนั้น พวกเรายังไม่ทันออกจากมักกะฮ์เลยท่านก็ห้ามมันเสียแล้ว” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 22/1406) ...
หะดีษบทนี้เป็นหลักฐานว่า การผ่อนผันเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ มีขึ้นในคราวกองทัพมุสลิมเดินทางเข้าสู่นครมักกะฮ์ แต่เป็นการผ่อนผันช่วงระยะเวลาสั้นๆ - คือเพียง 3 วันเท่านั้น - ดังหะดีษบทที่กำลังจะถึง - แล้วท่านศาสดาก็ห้ามมัน ...
ข. มีรายงานจากท่านสะละมะฮ์ บินอัล-อักวะอฺ ร.ฎ. ว่า ...
رَخَّصَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَامَ أَوْطَاسٍَ فِى الْمُتْعَةِ ثَلاَثًا ثُمَّ نَهَى عَنْهُ
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ผ่อนผันในปีเอาฏอซ (หมายถึงตอนพิชิตมักกะฮ์ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วตอนต้น)ให้นิกาห์มุตอะฮ์ได้ 3 วัน หลังจากนั้นท่านก็ห้ามมัน” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 18/1405 และท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 3 หน้า 390) ...
ในการผ่อนผันให้นิกาห์มุตอะฮ์ครั้งนี้ มิใช่เป็นความลับ เพราะท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้สั่งให้คนของท่านออกมาประกาศให้บรรดาเศาะหาบะฮ์รับทราบด้วย ดังรายงานต่อไปนี้ ...
ค. ท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. และท่านสะละมะฮ์ บินอัล-อักวะอฺ ร.ฎ. กล่าวว่า ...
كُنَّا فِىْ جَيْشٍ، فَأَتَانَا رَسُوْلُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ : إِنَّهُ قَدْ أَذِنَ لَكُمْ
أَنْ تَسْتَمْتِعُوْا فَاسْتَمْتِعُوْا
“พวกเราอยู่ในกองทัพ แล้วคนของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ออกมาหาพวกเราแล้วบอกว่า : แท้จริงท่านศาสดาได้อนุญาตให้พวกท่านนิกาห์มุตอะฮ์ได้แล้ว ดังนั้นพวกท่านจงนิกาห์มุตอะฮ์กันเถิด” ...
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 5117) ...
แม้ในหะดีษบทนี้จะไม่มีการระบุชัดเจนว่าการประกาศผ่อนผันให้นิกาห์มุตอะฮ์ดังกล่าวมีขึ้นในสงครามใด แต่ท่านสะละมะฮ์ บินอัล-อักวะอฺ ร.ฎ.ผู้รายงานหะดีษบทนี้ก็ได้ระบุอย่างชัดเจนในหะดีษบทก่อนแล้วว่า การอนุญาตนี้มีขึ้นในปีเอาฏอซ หรือคราวพิชิตมักกะฮ์ และเป็นการอนุญาตเพียง 3 วันเท่านั้น ...
(ดูรายละเอียดจากหนังสือ “ฟัตหุ้ลบารีย์” ของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ เล่มที่ 9 หน้า 172) ...
การห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์หลังการผ่อนผันดังข้อความของหะดีษสองบทข้างต้น มิได้ระบุชัดเจนว่า เป็นการห้ามชั่วคราวหรือเป็นการห้ามอย่างถาวร แต่เรื่องนี้มีรายงานมาจากกระแสอื่นที่ระบุชัดเจนว่าการห้ามนิกาห์มุตอะฮ์ครั้งนี้เป็นการห้ามอย่างถาวร ดังต่อไปนี้ ...
ง. ท่านซับเราะฮ์ อัล-ญุฮัยนีย์ ร.ฎ. กล่าวว่า ...
إِنَّهُ كَانَ مَعَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ : يَا أَيُّهَاالنَّاسُ! إِنِّىْ قَدْ كُنْتُ
أَذِنْتُ لَكُمْ فِى اْلأِسْتِمْتَاعِ مِنَ النِّسَاءِ، وَإِنَّ اللهَ قَدْ حَرَّمَ ذَلِكَ إِلَى يَوْمِ الْقِيَامَةِ، فَمَنْ كَانَ
عِنْدَهُ مِنْهُنَّ شَيْئٌ فَلْيُخِلِّ سَبِيْلَهُ، وَلاَ تَأْخُذُوْا مِمَّا آتَيْتُمُوْهُنَّ شَيْئًا
“แท้จริง ท่านได้อยู่พร้อมกับท่านรอซู้ลุลลอฮ์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็กล่าวว่า : ประชาชนทั้งหลาย ฉันเคยอนุญาตให้พวกท่านนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีได้จริง แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ได้ทรงห้ามสิ่งนี้แล้วจนถึงวันกิยามะฮ์! ดังนั้นพวกท่านที่ยังมีพันธะอยู่กับพวกนางคนใดก็จงปล่อยนางไป และจงอย่าเอาสิ่งใดที่พวกท่านให้นางไปแล้วกลับคืน) ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 21/1406 และท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ”เล่มที่ 3 หน้า 390) ...
จ. อีกสำนวนหนึ่งที่ท่านซับเราะฮ์ อัล-ญุฮัยนีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวรายงานไว้ ก็คือ ...
أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنِ الْمُتْعَةِ، وَقَالَ : أَلاَ! إِنَّهَا حَرَامٌ مِنْ
يَوْمِكُمْ هَذَا إِلَى يَوْمِ الْقِيَامَةِ، وَمَنْ كَانَ أَعْطَى شَيْئًا فَلاَ يَأْخُذْهُ
“แท้จริงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์ โดยท่านกล่าวว่า : พึงระวัง, แท้จริงมันเป็นสิ่งต้องห้ามจากวันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันกิยามะฮ์! ผู้ใดเคยให้สิ่งใด(แก่นาง)ไปแล้วก็จงอย่าเอามันกลับคืน” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 28/1406) ...
หะดีษข้างต้นนี้ทั้งหมดคือหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผู้ที่ห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์ก็คือท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมในคราวพิชิตมักกะฮ์หลังจากท่านเคยผ่อนผันมันแค่ 3 วัน ...
และการห้ามนี้ก็เป็นการห้ามอย่างถาวรจนถึงวันกิยามะฮ์ ...
จะอย่างไรก็ตาม การห้ามดังกล่าวอาจจะไม่เป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายเหมือนตอนอนุญาตซึ่งมีการออกมาประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน เพราะฉะนั้นจึงอาจมีเศาะหาบะฮ์บางท่านที่ไม่รู้เรื่องการห้ามนี้ อย่างเช่นท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. และท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. เป็นต้น พวกท่านจึงยังคงฟัตวาว่า นิกาห์มุตอะฮ์ยังเป็นที่อนุญาตอยู่ ดังหลักฐานต่อไปนี้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น