อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 12)



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

จากข้อความที่ว่า “จะต้องผ่านพ้นอิดดะฮ์โดยผ่านการมีรอบเดือน 2 วาระ” นั้น ถ้าหุก่มนี้ถูกต้องในทัศนะของชีอะฮ์ ก็แสดงว่าสตรีที่เป็นอิสรชนและทำนิกาห์มุตอะฮ์หลังจากหมดวาระการอยู่ร่วมกันแล้ว สถานภาพของนางก็ถูกลดลงเสมอเหมือนกับสตรีทาสที่ถูกสามีหย่า คือมีอิดดะฮ์โดยผ่านการมีรอบเดือน 2 ครั้งเท่ากัน ...
แต่ข้อความจากคำกล่าวของเช็คอัต-ตีญานีย์ข้างต้นนี้ ขัดแย้งกับการบันทึกของท่านอัล-กุลัยนีย์, ท่านอิบนุ บาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ และเช็คอัฏ-ฏูศีย์ ที่อ้างรายงานจากท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกที่กล่าวว่า .. สตรีที่นิกาห์มุตอะฮ์ เมื่อหมดวาระตามสัญญาก็ไม่ต้องมีอิดดะฮ์แต่อย่างใด ...
(ดูหนังสือ “ฟุรูอฺ อัล-กาฟีย์” ของอัล-กุลัยนีย์ เล่มที่ 2 หน้า 194, หนังสือ “มันลายะฮ์ดุรุฮุลฟะกีฮ์” ของท่านอิบนุบาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ เล่มที่ 3 หน้า 149, หนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม” ของเช็คอัฏ-ฏูศีย์ หน้า 183 และ 189) ...
และคำกล่าวของเช็คอัต-ตีญานีย์ที่ว่า “และถ้าหากสามีตายจะต้องผ่านสี่เดือนสิบวันก่อน”...
ข้อความดังกล่าวนี้ นอกจากจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่า ผู้ชายที่นิกาห์มุตอะฮ์ไม่ถือว่าเป็น “สามี” และนางก็มิใช่เป็น “ภรรยา” ของเขา(จนถึงกับต้องมีอิดดะฮ์เมื่อเขาตายหรือแยกกันเมื่อหมดวาระ)ดังที่ผ่านมาแล้ว ยังขัดแย้งกับคำกล่าวของท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกข้างต้นที่ว่าสตรีที่นิกาห์มุตอะฮ์ไม่ต้องมีอิดดะฮ์ ซึ่งคำกล่าวของท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ที่ยืนยันว่า สตรีที่นิกาห์มุตอะฮ์ไม่ต้องมีอิดดะฮ์จากการตายของผู้ชายคู่นอนแต่อย่างใด ...
ท่านเช็คอับดุลลอฮ์ ได้สรุปคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์จากหนังสือ “มินฮาญุซุนนะฮ์” ว่า ...
فَإِنَّ اللهَ تَعَالَى إِنَّمَا أَبَاحَ فِىْ كِتَابِهِ الزَّوْجَةَ وَمِلْكَ الْيَمِيْنِ، وَالْمُتَمَتَّعُ بِهَا لَيْسَتْ وَاحِدَةً
مِنْهُمَا، فَإِنَّهَا لَوْكَانَتْ زَوْجَةً لَتَوَارَثَا وَلَوَجَبَتْ عَلَيْهَا عِدَّةُ الْوَفَاةِِ ........
“แน่แท้พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.มิได้อนุญาตสตรีอื่นใดในคัมภีร์ของพระองค์นอกจากภรรยาและทาสเท่านั้น ส่วนสตรีที่นิกาห์มุตอะฮ์ นางมิได้เป็นหนึ่งจากสองดังกล่าวเลย เพราะสมมุติถ้านางเป็นภรรยานางก็จะสามารถสืบมรดกกับเขาได้ และจำเป็นต้องมีอิดดะฮ์จากการตายของเขา ......”
(จากหนังสือ “มุขตะศ็อรฺ มินฮาญุซุนนะฮ์” เล่มที่ 1 หน้า 227) ...
ช. สิ่งที่ต้องคำนึงอีกประการหนึ่งในนิกาห์ถาวรของซุนนีย์ก็คือ กะฟาอะฮ์ .. หมายถึงความเหมาะสมหรือคู่ควรกันของคู่สมรสในด้านชาติตระกูล, ความมีศาสนาและอื่นๆ ...
ความเหมาะสมดังกล่าวนี้ต้องพิจารณาจากทั้งสองฝ่ายร่วมกัน ...
แต่ในนิกาห์มุตอะฮ์ของชีอะฮ์ คำว่า “กะฟาอะฮ์” จะถูกนำมาใช้เพียงด้านเดียวคือหญิงสามัญชนหรือลูกสาวชาวบ้าน จะ “คู่ควร” ในการนิกาห์มุตอะฮ์กับผู้ชายได้ทุกประเภท ไม่ว่ากับชาวบ้านธรรมดาหรือระดับนักวิชาการชั้นสูงสุด ...
ทว่า .. สตรีที่มีชาติตระกูลสูงหรือเป็นบุตรีของนักวิชาการระดับสูง ผู้ชายที่เป็นสามัญชนจะไปนิกาห์มุตอะฮ์กับพวกนางไม่ได้ ...
เพราะพวกนาง ไม่คู่ควรกับสามัญชน ???????? ...
ท่านอัล-กุลัยนีย์ และเช็คอัฏ-ฏูศีย์ ได้อ้างรายงานมาว่า ท่านอับดุลลอฮ์ บินอุมัยรฺ อัล-ลัยษ์ ได้ไปหาท่านอบีย์ญะอฺฟัรฺ (หมายถึงท่านมุหัมมัด อัล-บากิรฺอิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์)แล้วถามว่า : ท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ ? ท่านอิหม่ามฯตอบว่า มันเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงอนุมัติในคัมภีร์ของพระองค์และบนลิ้นนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมของพระองค์ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งหะล้าลจนถึงวันกิยามะฮ์, ท่านอับดุลลอฮ์กล่าวว่า : ท่านกล่าวอย่างนี้แต่ท่านอุมัรฺกล่าวว่ามันหะรอมและห้ามมันมิใช่รึ ? ท่านอิหม่ามฯตอบว่า ถ้าเขากล่าวอย่างนั้นจริงฉันก็ขอความคุ้มครองท่านต่อพระองค์อัลลอฮ์จากสิ่งนี้ จากการที่ท่านจะอนุมัติในสิ่งที่อุมัรฺได้ห้ามมัน, ท่านอิหม่ามกล่าวต่อไปว่า ท่านจะเชื่อฟังคำพูดสหายของท่านก็ได้ แต่ฉันจะเชื่อฟังคำพูดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเท่านั้น นี่แน่ะท่าน แท้จริงคำพูดที่ต้องยึดถือคือคำพูดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ และคำพูดที่เป็นโมฆะคือคำพูดสหายของท่านนั่นแหละ ...
ท่านอับดุลลอฮ์ บินอุมัยรฺจึงหันมาเผชิญหน้าท่านอิหม่ามฯ แล้วกล่าวว่า ...
يُسُرُّكَ أَنَّ نِسَاءَكَ وَبَنَاتِكَ وَأَخَوَاتِكَ وَبَنَاتِ عَمِّكَ يَفْعَلْنَ ؟ فَأَعْرَضَ عَنْهُ أَبُوْجَعْفَرٍ
عَلَيْهِ السَّلاَمُ حَيْنَ ذَكَرَ نِسَاءَهُ وَبَنَاتَ عَمِّهِ
“ท่านคงยินดีซินะถ้าภรรยาของท่าน, บุตรสาวของท่าน, พี่สาวน้องสาวของท่าน, และบุตรสาวลุงของท่านไปกระทำอย่างนี้(คือไปนิกาห์มุตอะฮ์กับผู้ชายใด) ? ท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากิรฺเบือนจึงหน้าหนีจากท่านอับดุลลอฮ์ทันทีเมื่อมีเขากล่าวถึงภรรยาของท่านและบุตรสาวลุงของท่าน” ...
(จากหนังสือ “ฟุรูอฺ อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 5 หน้า 449 และหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม” เล่มที่ 7 หน้า 251) ...
ท่านซัยยิดอัล-หุซัยน์ อัล-มูเซาวีย์อดีตนักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่งแห่งเมืองนะญัฟปัจจุบันได้หันมายึดถือตามแนวซุนนีย์ ได้เขียนเล่าในหนังสือ “กัชฟุลอัสรอรฺฯ” ของท่านหน้า 33-34 ว่า ...
“ครั้งหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่กับท่านเช็คอัล-คูอีย์ในสำนักงานของท่าน ก็มีเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาหาเราในลักษณะมีปัญหาขัดแย้งกัน และเห็นพ้องกันที่จะมาถามท่านเช็คอัล-คูอีย์ เพื่อให้ท่านแนะนำทางออกที่ถูกต้องให้ ...
เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากสองคนนั้นถามขึ้นว่า : “นี่แน่ะท่านซัยยิด ท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ ? .. มันหะล้าลหรือหะรอมกันแน่ ?” ...
ท่านเช็คอัล-คูอีย์มองดูเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างคลางแคลงใจในคำถามของเขาแล้วย้อนถามว่า “เธออยู่ที่ไหนล่ะ ?” .. เด็กหนุ่มคนนั้นตอบว่า “ผมอยู่ที่มูซิล แล้วมาพักอยู่ที่นะญัฟนี่เกือบ 2 เดือนแล้ว” ...
ท่านเช็คถามอีกว่า “งั้นเธอก็เป็นซุนนีย์นะซิ ?” ...
“ใช่ครับ” เด็กหนุ่มตอบ ...
ท่านเช็คอัล-คูอีย์จึงตอบ(อย่างสงวนท่าที)ว่า : “การมุตอะฮ์สำหรับพวกเราเป็นสิ่งหะล้าล แต่สำหรับพวกท่านเป็นสิ่งหะรอม” ...
เด็กหนุ่มคนนั้นจึงกล่าวว่า “ผมมาอยู่ที่นี่ร่วมสองเดือนแล้ว ต้องห่างไกลจากบ้านมา ท่านจะกรุณานิกาห์มุตอะฮ์ผมกับบุตรสาวของท่านได้ไหม ตราบเท่าที่ผมยังไม่กลับไปหาครอบครัวของผม ?” ...
ท่านเช็คอัล-คูอีย์จ้องหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวแก่เขาว่า “พวกเราเป็นซัยยิด(เชื้อสายท่านศาสดา) .. สิ่งนี้ (การนิกาห์มุตอะฮ์ลูกสาวให้กับสามัญชน) เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับพวกเรา นิกาห์มุตอะฮ์เป็นสิ่งหะล้าลสำหรับชีอะฮ์โดยทั่วไปเท่านั้น” ...
เด็กหนุ่มคนนั้นมองหน้าท่านเช็คอัล-คูอีย์แล้วอมยิ้ม ในมุมมองข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาจะรู้ทันว่าท่านเช็คอัล-คูอีย์กำลังตะกียะฮ์ (อำพรางความจริง) ...
แล้วเด็กหนุ่มทั้งสองก็ลาจากไป ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตจากท่านเช็คฯเดินออกไปด้วย และไปทันกับเด๊กหนุ่มทั้งสองคนนั้น จึงรู้ว่า เด็กหนุ่มคนที่ถามเป็นซุนนีย์ ส่วนเพื่อนของเขาเป็นชีอะฮ์ที่ขัดแย้งกันว่านิกาห์มุตอะฮ์หะล้าลหรือหะรอม จึงเห็นพ้องกันว่าต้องไปถามอัล-มัรฺเญียะอฺของศาสนา คือท่านอิหม่ามอัล-คูอีย์ ...
ขณะที่ข้าพเจ้าสนทนาอยู่กับเด็กหนุ่มทั้งสอง เด็กหนุ่มที่เป็นชีอะฮ์ถึงกับระเบิดคำพูดออกมาว่า ...
يَا مُجْرِمِيْنَ! تُبِيْحُوْنَ ِلأَنْفُسِكُمُ التَّمَتُّعَ بِبَنَاتِنَا وَتُخْبِرُوْنَنَا بِأَنَّهُ حَلاَلٌ وَأَنَّكُمْ تَتَقَرَّبُوْنَ بِذَلِكَ
إِلَى اللهِ، وَتُحَرِّمُوْنَ عَلَيْنَا التَّمَتُّعَ بِبَنَاتِكُمْ ....
“ไอ้สารเลวเอ๊ย! พวกแกอนุโลมให้ตัวเองนิกาห์มุตอะฮ์กับเด็กสาวๆของพวกเราได้ ซ้ำยังบอกพวกเราอีกว่ามันหะล้าล และพวกแกก็ได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์จากการกระทำอย่างนี้ แต่พอเราจะนิกาห์มุตอะฮ์กับลูกสาวของพวกแกบ้าง พวกแกกลับบอกว่าไม่ได้(หะรอม) ..............”
ผมของดที่จะกล่าวสิ่งใดอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเชื่อว่าท่านผู้อ่านเองก็คงหูตาสว่างขึ้นบ้างแล้วกระมังว่าธาตุแท้ชีอะฮ์เป้นอย่างไร ...
(4). ความประเสริฐของนิกาห์มุตอะฮ์สำหรับชีอะฮ์
เมื่อพิจารณาความแตกต่างในทุกด้านระหว่างนิกาห์ถาวรกับนิกาห์มุตอะฮ์จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุณค่าของนิกาห์ถาวรกับนิกาห์มุตอะฮ์ แตกต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว ...
แตกต่างเสียจนกระทั่งท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกอิหม่ามท่านที่หกของชีอะฮ์ถึงออกปากว่า สตรีที่นิกาห์มุตอะฮ์มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นสตรีรับจ้าง(มานอนกับผู้ชาย) ...
แต่ในอีกมุมหนึ่ง นักวิชาการชีอะฮ์ยังพยายามอ้าง(หรือสร้าง)หลักฐานเท็จเพื่อยืนยันถึงความประเสริฐของการนิกาห์มุตอะฮ์ ด้วยการ “ดึง” เกียรติของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและอิหม่ามของพวกเขาลงมาเทียบเคียงกับสตรีรับจ้าง(?)ซึ่งเปรียบเสมือน “โสเภณีบรรดาศักดิ์” เหล่านี้ ภายใต้หน้าฉากคำอ้างอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า พวกเขาเทิดทูนเกียรติของพวกท่านอย่างสูงส่ง ...
ผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้นถึงจะมองออกว่า ชาวชีอะฮ์ “เทิดทูน” หรือ “ลบหลู่”เกียรติท่านนบีย์และอะฮ์ลุลบัยต์กันแน่ ...
หะดีษที่ชีอะฮ์อุปโลกน์ขึ้นมาโดยอ้างเป็นคำพูดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และอิหม่ามผู้บริสุทธิ์ของพวกเขาเกี่ยวกับความประเสริฐของนิกาห์มุตอะฮ์มีอยู่มากมาย ซึ่งในที่นี้จะขอนำมาเสนอเพียงบางบทเท่านั้น ...
(1). เช็คอิบนุบาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ ได้อ้างรายงาน(เท็จ) จากท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ว่า ...
إِنَّ الْمُتْعَةَ دِيْنِىْ وَدِيْنُ آبَائِىْ، فَمَنْ عَمِلَ بِهَا عَمِلَ بِدِيْنِنَا وَمَنْ أَنْكَرَهَا أَنْكَرَ دِيْنَنَا وَاعْتَقَدَ
بِغَيْرِ دِيْنِنَا
“แท้จริง นิกาห์มุตอะฮ์คือศาสนาของฉัน, ศาสนาของบรรพบุรุษของฉัน ดังนั้นผู้ใดกระทำมัน เขาก็ปฏิบัติด้วยกับศาสนาของพวกเรา และผู้ใดปฏิเสธมัน เขาก็ปฏิเสธศาสนาของพวกเรา และยึดมั่นกับศาสนาที่อื่นจากศาสนาของเรา” ...
(จากหนังสือ “มันลายะฮ์ฏุรุฮุลฟะกีฮ์” ของเช็คอิบนุบาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ เล่มที่ 3 หน้า 366) ...
คำพูดข้างต้นนี้คือการหุก่มเป็น “กาฟิรฺ” สำหรับผู้ปฏิเสธนิกาห์มุตอะฮ์ของพวกชีอะฮ์ ...
ชีอะฮ์ลืมนึกไปกระมังว่า การกุความเท็จด้วยข้อความข้างต้นว่าเป็นคำพูดของท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานเลยว่าท่านจะเคยนิกาห์มุตอะฮ์กับหญิงใด และมีหลักฐานจากชีอะฮ์เองว่าท่านเคยกล่าวว่านิกาห์มุตอะฮ์เป็นเรื่องต้องห้ามดังข้อมูลที่ผ่านมาแล้ว ..
นี่มิเท่ากับพวกชีอะฮ์หุก่มว่า ท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกเป็นกาฟิรไปด้วยหรือ ? ...
(2). เช็คอัล-กาชานีย์ ได้กุรายงานเท็จจากท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก, จากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า ...
مَنْ تَمَتَّعَ مَرَّةً وَاحِدَةً عُتِقَ ثُلُثُهُ مِنَ النَّارِ، وَمَنْ تَمَتَّعَ مَرَّتَيْنِ عُتِقَ ثُلُثَاهُ مِنَ النَّارِ،
وَمَنْ تَمَتَّعَ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ عُتِقَ كُلُّهُ مِنَ النَّارِ
“ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 1 ครั้ง หนึ่งในสามของ(ร่างกาย)เขาจะถูกปลดปล่อยจากไฟนรก ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 2 ครั้ง สองในสามของ(ร่างกาย)เขาจะถูกปลดปล่อยจากไฟนรก, และผู้ใดทำมุตอะฮ์ 3 ครั้ง ร่างกายของเขาทั้งหมดจะถูกปลดปล่อยจากไฟนรก ...
(จากหนังสือตัฟซีรฺ “มันฮัจญ์ อัศ-ศอดิกีน” ของเช็คอัล-กาชานีย์ หน้า 354) ...
(3). เช็คอัล-กาชานีย์ ยังกุรายงานเท็จถึงท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอีกว่า ...
مَنْ تَمَتَّعَ مَرَّةً أَمِنَ مِنْ سَخَطِ الْجَبَّارِ، وَمَنْ تَمَتَّعَ مَرَّتَيْنِ حُشِرَ مَعَ اْلأَبْرَارِ، وَمَنْ
تَمَتَّعَ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ زَاحَمَنِىْ فِى الْجِنَانِ
“ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 1 ครั้ง เขาจะปลอดภัยจากความกริ้วโกรธของอัลลอฮ์, ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 2 ครั้ง เขาจะถูกให้อยู่ร่วมกับบรรดากัลยาณชน(ในสวรรค์), และผู้ใดทำมุตอะฮ์ 3 ครั้ง เขาก็จะได้อยู่ร่วมกับฉัน(ท่านนบีย์)ในสวรรค์” ...
(จากหนังสือตัฟซีรฺ “มันฮัจญ์ อัศ-ศอดิกีน” หน้า 493 และหนังสือ “มันลายะฮ์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์” ของอิบนุบาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ เล่มที่ 3 หน้า 366) ...
ผู้มีสติปัญญาโปรดตรองดูเถิด ผู้ชายที่นิกาห์มุตอะฮ์กับผู้หญิงที่รับจ้าง(?)เพียง 3 ครั้ง จะได้รับผลบุญมากมายมหาศาลถึงกับได้อยู่ในสวรรค์ร่วมกับท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
มีศาสนาไหนบ้างในโลกที่ขัดเกลาศาสนิกของตนให้บริสุทธิ์จากความโกรธของพระเจ้า, รอดพ้นจากไฟนรก, และได้รับเกียรติได้อยู่สวรรค์ชั้นสูงสุดร่วมกับศาสดาของตนเอง ด้วยการสนับสนุนให้เขาสนองตัณหาราคะของตัวเองแบบนี้ ?? ...
(4). เช็คอัล-กาชานีย์ได้กุหะดีษอีกบทหนึ่งจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า ...
مَنْ تَمَتَّعَ مَرَّةً كَانَتْ كَدَرَجَةِ الْحُسَيْنِ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، وَمَنْ تَمَتَّعَ مَرَّتَيْنِ كَانَتْ كَدَرَجَةِ
الْحَسَنِ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، وَمَنْ تَمَتَّعَ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ كَانَتْ كَدَرَجَةِ عَلِىِّ بْنِ أَبِىْ طَالِبٍ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، وَمَنْ تَمَتَّعَ أَرْبَعَ مَرَّاتٍ فَدَرَجَتُهُ كَدَرَجَتِىْ
“ผู้ใดทำมุตอะฮ์เพียงหนึ่งครั้ง เขาจะมีสถานะ(เกียรติ)เทียบเท่าอิหม่ามอัล-หุซัยน์(อ), ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 2 ครั้งเขาจะมีสถานะเทียบเท่าอิหม่ามอัล-หะซัน(อ), ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 3 ครั้ง เขาจะสถานะเทียบเท่าอิหม่ามอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ(อ), และผู้ใดทำมุตอะฮ์ 4 ครั้ง สถานะของเขาก็จะเทียบเท่ากับสถานะของฉัน (ท่านนบีย์) ...
(จากหนังสือตัฟซีรฺ “มันฮัจญ์ อัศ-ศอดิกีน” เล่มที่ 2 หน้า 493) ...
ขณะที่ปากของชีอะฮ์โพนทะนากับชาวโลก(โดยเฉพาะกับชาวซุนนีย์)ว่า พวกเขาเทิดทูนบูชาท่านศาสดามุหัมมัด, เทิดทูนบูชาอิหม่ามจากอะฮ์ลุลบัยต์ของพวกเขาทุกท่านยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า, ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลก ...
แต่พวกเขาก็สาธยายการเทิดทูนนั้นว่า ท่านอิหม่ามอัล-หุซัยน์ที่พวกเขาร้องให้คร่ำครวญน้ำตาแทบเป็นสายเลือดเพราะความโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของท่าน มีสถานภาพและเกียรติสูงส่ง(ในทัศนะของพวกเขา) เทียบเท่ากับการที่ผู้ชายคนหนึ่งสนองตัณหาตัวเองด้วยการนิกาห์ชั่วคราวเพียงหนึ่งครั้งสตรีที่รับจ้างนอนกับผู้ชาย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น