อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

การย้อมผมที่เป็นที่อนุญาตตามหลักการอิสลาม





ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

คำถาม

อัสลามูอาลัยกุม
การย้อมผมในอิสลาม มีหลักการอย่างไรครับ ที่ขายกันในท้องตลาดแถวยะลา นรา ปัตตานี ใช้ได้ทุกยี่ห้อไหมครับ
ญาซากัลลอฮูคอยรอน ครับ

คำตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม .. เรื่องการย้อมผม เป็นที่อนุญาตตามหลักการอิสลามครับ แต่มีข้อแม้ว่า อย่าใช้สีดำ, และสิ่งที่ติดผมจากการย้อมจะต้องไม่ใช่เป็น "ตัวยา" ของสิ่งที่ย้อม แต่ให้เป็น "สี" ของมัน เพราะตัวยาที่ติดผมจะมีปัญหาเวลาอาบน้ำละหมาดหรืออาบน้ำญะนาบะฮ์ได้ เพราะฉะนั้นตามที่ถามมาเรื่องยาย้อมผมที่บรรจุในหลอดแล้วมีขายในท้องตลาดนั้น ผมว่าไม่เหมาะจะนำมาใช้นะครับ แต่ควรจะย้อมด้วยใบเทียนหรือใบฮินนาบดละเอียดแบบที่มีขายที่ประเทศอาหรับ จะมั่นใจที่สุดครับ วัลลอฮุอะอฺลัม ...

การยืนละหมาดของมะมูม กรณีละหมาด 2 คน



ตอบคำถามคุณ Mareeyah Si‎ • 

อัสลามูอาลัยกุม อาจารย์
ดิฉันอยากทราบหลักฐานการยืนละหมาดของมะมูม กรณีละหมาด 2 คน ที่ให้มะมูมยืนอยู่ด้านขวามืออิหม่าม และยืนเสมอกับอิหม่าม (เพศเดียวกัน) ดิฉันเคยยืนแบบนี้ แต่เขาให้ยืนถอยหลังไปอีก และอยากทราบกรณีที่มีการยืนละหมาดที่ให้มะมูมยืนทางด้านขวามือและเฉียงไปทางด้านหลังอิหม่ามกรณีละหมาด 2 คนนั้น มีหลักฐาน หรือทัศนะอย่างไรบ้าง การปฏิบัติแบบใดถูกต้องตามสุนนะฮ์มากที่สุด ค่ะ

ตอบ

ปัญหาเรื่องการยืนของมะอฺมูมคนเดียวที่ละหมาดพร้อมอิหม่ามนั้น ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ได้กล่าวในหนังสือ "ฟัตหุ้ลบารีย์" เล่มที่ 2 หน้า 191 ว่า ...
وَقَدْ نَقَلَ بَعْضُهُمْ اْلإتِّفَاقَ عَلَى أَنَّ الْمَأْمُوْمَ الْوَاحِدَ يَقِفُ عَنْ يَمِيْنَ اْلإمَامِ، إِلاَّ النَّخَعِىَّ فَقَالَ : إذَا كَانَ اْلإمَامُ وَرَجُلٌ قَامَ الرَّجُلُ خَلْفَ اْلإمَامِ ...........

"แน่นอน นักวิชาการบางท่านได้คัดลอกความเห็นที่สอดคล้องกัน(ของบรรดานักวิชาการ)มาว่า มะอฺมูมคนเดียวจะต้องยืน "ด้านขวามือ" ของอิหม่าม ยกเว้นท่านอัน-นะคออีย์ที่กล่าวว่า เมื่อมีอิหม่ามและผู้ชาย (คือมะอฺมูม)คนหนึ่ง ก็ให้ผู้ชายนั้นยืนหลังอิหม่าม ......."
หลักฐานของบรรดานักวิชาการส่วนใหญ่ที่เห็นว่า ให้มะอฺมูมคนเดียวยืนทางด้านขวามืออิหม่ามก็คือ หะดีษซึ่งท่านอัล-บุคอรีย์ได้บันทึกรายงานมาจากท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ว่า คืนหนึ่งท่านไปค้างคืนที่บ้านน้าสาวของท่าน คือท่านหญิงมัยมูนะฮ์ ร.ฎ. โดยมีท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอยู่ด้วย แล้วท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ได้ลุกขึ้นทำนมาซกิยามุ้ลลัยล์ ...
ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. กล่าวต่อไปว่า ...
فَقُمْتُ عَنْ يَسَارِهِ، فَجَعَلَنِىْ عَنْ يَمِيْنِهِ .............
"แล้วฉันก็ไปยืนนมาซด้านซ้ายมือของท่าน แล้วท่านก็ดึงฉันให้มายืนด้านขวามือของท่าน ........"
(หะดีษที่ 697 จากหนังสือฟัตหุ้ลบารีย์)
ท่านอัล-บุคอรีย์ได้ตั้งชื่อบาบนี้ - อันเป็นบาบที่ 57 ของกิตาบอัล-อะซาน - ว่า ...
بَابٌ .. يَقُوْمُ عَنْ يَمِيْنِ اْلإمَامِ بِحِذَائِهِ سَوَاءً إِذَا كَانَا اِثْنَيْنِ

"บาบ .. ให้เขา(มะอฺมูม) ยืนทางด้านขวามือของอิหม่าม โดยให้ยืนชิดกันและเสมอกัน เมื่อพวกเขามีเพียง 2 คน (คืออิหม่ามคนหนึ่งและมะอฺมูมอีกคนหนึ่ง) ...
คำว่า سَوَاءً (เสมอกัน) ในหะดีษบทนี้ ท่านอิบนุหะญัรฺ อธิบายว่า ...
أَىْ لاَ يَتَقَدَّمُ وَلاَ يَتَأَخَّرُ

"คือ อย่าให้เขายืนล้ำหน้า(อิหม่าม) และอย่าให้เขายืนคล้อยหลัง(อิหม่าม) ...
นี่คือ ทัศนะของท่านอัล-บุคอรีย์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ...
อนึ่ง ทัศนะของนักวิชาการมัษฮับชาฟีอีย์ที่ว่า สมควรให้มะอฺมูมคนเดียว ยืนคล้อยต่ำลงมาจากอิหม่ามนิดหนึ่งนั้น รู้สึกว่า น่าจะขัดแย้งกับหะดีษที่ถูกต้องอีกบทหนึ่งจากการบันทึกของท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัลในหนังสือ "อัล-มุสนัด" ของท่าน เล่มที่ 1 หน้า 330 โดยรายงานจากท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. เช่นเดียวกัน มีข้อความว่า ...
أَتَيْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ آخِرِ اللَّيْلِ، فَصَلَّيْتُ خَلْفَهُ، فَأَخَذَ بِيَدِىْ فَجَرَّنِىْ، فَجَعَلَنِىْ حِذَائَهُ، فَلَمَّا أَقْبَلَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَى صَلاَتِهِ خَنَسْتُ، فَصَلَّى رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَلَمَّا انْصَرَفَ قَالَ لِىْ : مَا شَأْنِىْ أَجْعَلُكَ حِذَائِىْ فَتَخْنِسُ ؟ فَقُلْتُ : يَا رَسُوْلَ اللهِ أَوَ يَنْبَغِىْ لِأَحَدٍ أَنْ يُصَلِّىَ حِذَائَكَ وَأَنْتَ رَسُوْلُ اللهِ الَّذِىْ أَعْطَاكَ اللهُ ؟ ...........

"ฉันได้ไปหาท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในช่วงท้ายกลางคืน แล้วฉันก็นมาซข้างหลังท่าน, ท่านจึงดึงมือของฉันให้ขึ้นมายืนชิด(เสมอ)กับท่าน ครั้นเมื่อท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมมุ่งหน้าทำนมาซของท่านต่อไป ฉันก็ถอยหลังลงมา, โดยท่านยังทำนมาซอยู่ เมื่อนมาซเสร็จแล้วท่านก็กล่าวแก่ฉันว่า .. ฉันเป็นอะไรไปหรือ ? ฉันให้เจ้ามายืนชิดเสมอกับฉัน(ในนมาซ) แล้วเจ้ากลับถอยลงไปอีก .. ฉันจึงตอบว่า .. โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ผู้ใดหรือที่สมควรจะยืนนมาซเสมอกับท่าน ในเมื่อท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ ที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงประทาน(ตำแหน่งนี้)แก่ท่าน ..............."
หะดีษบทนี้ และหะดีษของท่านอัล-บุคอรีย์ที่ผ่านมาแล้วเป็นหลักฐานยืนยันว่า พิ้นฐานของซุนนะฮ์ในการยืนนมาซของมะอฺมูมคนเดียวก็คือ ให้ยืนทางด้านขวาของอิหม่ามและยืนเสมอกับอิหม่าม ...
ส่วนการที่ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ได้ถอยหลังลงมาหลังจากที่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ดึงให้มายืนเสมอกับท่าน ดังข้อความของหะดีษบทนี้ ประเด็นนี้ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ก็ได้แจ้งเหตุผลให้ทราบแล้วว่า ที่ท่านทำดังนั้นเพราะท่านเห็นว่า ไม่บังควรที่ท่านหรือใคร จะไปยืนนมาซเสมอกับท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ! ....
เพราะฉะนั้น การที่ผู้ใดจะอ้างการกระทำของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. จากหะดีษบทนี้เป็นหลักฐานว่า มะอฺมูมไม่สมควรจะยืนเสมอกับอิหม่าม แต่ควรถอยหลังลงมานิดหนึ่ง .. ผู้นั้นก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ...
อิหม่ามทุกคนที่นำนมาซในทุกๆมัสญิดปัจจุบันนี้ มีใครบ้างที่ได้รับเกียรติจากพระองค์อัลลอฮ์เท่าเทียมท่านรอซู้ล หรือมีสถานภาพเป็นรอซู้ลฯ .. เหมือนอิหม่ามที่นำท่านอิบนุอิบบาส ร.ฎ. นมาซในคืนนั้น ??..
หากไม่ใช่ ก็แสดงว่า การที่เรานำอิหม่ามพวกเราไปกิยาสหรือเปรียบเทียบกับท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมในกรณีนี้ ถือเป็น "กิยาสมะอัลฟาริก" ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามตามหลักกิยาส ...
เมื่อกิยาสไม่ได้ เราก็ต้องปฏิบัติในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามซุนนะฮ์ที่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้วางรากฐานไว้ให้แล้วทั้งการกระทำของท่าน, และคำพูดของท่านต่อท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ในหะดีษทั้ง 2 บทข้างต้นนั้น ..
นั่นคือ มะอฺมูมคนเดียว ให้ยืนนมาซทางด้านขวามืออิหม่าม และยืนเสมอกับอิหม่าม ! .. ดังคำกล่าวของท่านอัล-บุคอรีย์ที่ผ่านมาแล้ว ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

24 /3 /60
......
คำถาม

อาจารย์คะ ถ้าสามีละหมาดกับภรรยาต้องยืนอย่างไรคะ ด้านซ้ายหรือขวาคะ

คำตอบ

ในกรณีถ้ามะอฺมูมคนเดียวเป็นผู้หญิง ก็ต้องยืนข้างหลังอิหม่ามที่เป็นผู้ชายครับ จะยืนเสมออิหม่ามเหมือนมะอฺมูมผู้ชายไม่ได้ ...

คำถาม

ขอถามอีกนิดค่ะ กรณีมะอฺมูมไม่ยืนเสมอกับอิหม่าม นี้เฉพาะมัซฮับชาฟีอีย์ใช่ไหม ค่ะ และทัศนะนี้เป็นคำพูดของท่านอีหม่ามชาฟีอีย์ใช่ไหม ค่ะ

คำตอบ

เท่าที่ผมอ่านเจอทัศนะรายบุคคล ก็ได้แก่คำกล่าวของท่านอัล-ก็อซฏ็อลลานีย์ ในหนังสือ ฮัดยุซซารีย์ ชะเราะห์บุคอรีย์ของท่าน ซึ่งท่านผู้นี้ สังกัดมัษฮับชาฟิอีย์ และคำกล่าวในภาพรวมของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ในหนังสือฟัตหุ้ลบารีย์ที่กล่าวว่า เป็นทัศนะของ อัศหาบหรือศานุศิษย์ของท่านอิหม่ามชาฟีอีย์ แต่ไม่เจอการอ้างถึงว่า เป็นคำกล่าวของท่านอิหม่ามชาฟิอีย์เลยครับ

...
หมายเหตุ
คำตอบของผมต่อคำถามคุณมารียะฮ์ที่ผมกล่าวว่า มะอฺมูมคนเดียวให้ยืนด้านขวาอิหม่ามและยืนเสมอกับอิหม่ามดังที่ผ่านมาแล้วนั้น ผมขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมว่า .. หมายถึงในกรณีถ้านมาซนั้น เป็นนมาซอื่นจากนมาซญะนาซะฮ์ (นมาซให้คนตาย)
อนึ่ง หากเป็นการนมาซให้คนตาย และมีมะอฺมูมเพียงคนเดียว ก็ให้มะอฺมูมนั้น ยืนด้านหลังอิหม่าม ไม่ใช่ยืนเสมอกับอิหม่ามเหมือนนมาซญะมาอะฮ์อื่นๆ ...
หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ รายงานของท่านอับดุลลอฮ์ บินอบีย์ฏ็อลหะฮ์ ร.ฎ. ที่ว่า ...
أَنَّ أَبَا طَلْحَةَ دَعَا رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَى عُمَيْرِ بْنِ أَبِىْ طَلْحَةَ حِيْنَ تُوُفِّىَ، فَأَتَاهُ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَصَلَّى عَلَيْهِ فِىْ مَنْزِلِهِمْ، فَتَقَدَّمَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَكَانَ اَبُوْ طَلْحَةَ وَرَاءَهُ، وَاُمَّ سُلَيْمٍ وَرَاءَ أَبِىْ طَلْحَةَ، وَلَمْ يَكُنْ مَعَهُمْ غَيْرُهُمْ

"ท่านอบีย์ฏ็อลหะฮ์ ได้เชิญท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมให้มาที่มัยยิตท่านอุมัยร์ บินอบีย์ฏ็อลหะฮ์ขณะที่เขาสิ้นชีวิต ซึ่งท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็มา แล้วท่านก็นมาซให้เขาที่บ้านพักของพวกเขา โดยท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ขึ้นไปยืนข้างหน้า, มีท่านอบีย์ฏ็อลหะฮ์ยืนข้างหลังท่าน และท่านอุมมุสุลัยม์(ภรรยาท่านอบีย์ฏ็อลหะฮ์) ก็ยืนหลังท่านอบีย์ฏ็อลหะฮ์อีกทีหนึ่ง โดย(ตอนนั้น) ไม่มีผู้ใดอยู่ร่วมกับพวกเขาเลย"
(บันทึกโดย ท่านอัล-หากิมในหนังสือ "อัล-มุสตัดร็อก" เล่มที่ 1 หน้า 519, และท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ "อัส-สุนัน อัล-กุบรอ" เล่มที่ 4 หน้า 30-31) ...
สายรายงานของหะดีษนี้ ตรงตามเงื่อนไขของท่านมุสลิม ...
ด้วยเหตุนี้ ท่านอัล-ฮัยษะมีย์ จึงได้กล่าวในหนังสือ "มัจญมะอฺ อัซ-สะวาอิด" เล่มที่ 3 หน้า 141 ว่า
رَوَاهُ الطَّبْرَانِىُّ فِى الْكَبِيْرِ، وَرِجَالُهُ رِجَالُ الصَّحِيْحِ

"รายงานโดยท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ "อัล-มุอฺญัม อัล-กะบีรฺ", .. และผู้รายงานของมัน(หะดีษนี้) เป็นผู้รายงานของหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ (หมายถึงผู้รายงานของบุคอรีย์หรือมุสลิม) ..
วัลลอฮุ อะอฺลัม ...






วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 15)



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

และหะดีษเรื่องการคัดค้านของท่านอะลีย์ต่อท่านอิบนุอับบาสบทนี้ก็เป็นหะดีษที่ถูกต้องจากการบันทึกทั้งของฝ่ายซุนนีย์และชีอะฮ์เสียด้วย ... 
สมมุติว่าถ้าการประณามของท่านอะลีย์ต่อท่านอุมัรฺเป็นรายงานที่ถูกต้องจริง ...
ชีอะฮ์จะให้พวกเราเข้าใจท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ.อิหม่ามคนแรกของพวกเขาว่าเป็นคนอย่างไร ? ...
ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. อนุญาตให้คนนิกาห์มุตอะฮ์ได้ ก็ถูกท่านอะลีย์ประณามว่า เป็นคนหลงผิด ...
พอท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ห้ามคนจากนิกาห์มุตอะฮ์ กลับถูกท่านอะลีย์ประณามอีกว่า เป็นต้นเหตุทำให้ซินาระบาด ...
ชีอะฮ์ต้องการให้เข้าใจว่า ท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. เป็นคนกลับกลอก, โลเล, และไม่มีจุดยืนอย่างนั้นหรือ ???...
ขอพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.โปรดลงโทษผู้ที่กุความเท็จเพื่อต้องการลบหลู่เกียรติของท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ด้วยเถิด อามีน ...
ตามความเป็นจริง ท่านอะลีย์ซึ่งกล่าวว่านิกาห์มุตอะฮ์เป็นเรื่องต้องห้ามดังที่ท่านได้คัดค้านท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ไปแล้ว ควรจะกล่าว - เช่นเดียวกับที่ท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ ได้กล่าว - นั่นคือ ...
رَحِمَ اللهُ عُمَرَ! لَوْلاَ أَنَّهُ نَهَى عَنِ الْمُتْعَةِ صَارَ الزِّنَا جِهَارًا
“ขออัลลอฮ์โปรดเมตตาท่านอุมัรฺด้วยเถิด ถ้าไม่เพราะท่านได้ห้ามเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ไว้ การผิดประเวณี(ในรูปแบบนิกาห์มุตอะฮ์) จะต้องกลายเป็นสิ่งที่ระบาดแพร่หลายอย่างแน่นอน” ...
(บันทึกโดย ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 3 หน้า 390 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง) ...
ความจริงและความเท็จ มักจะยืนกันคนละมุมอย่างนี้แหละ ...
สิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ยังไม่รู้ก็คือ การนิกาห์มุตอะฮ์ – หลังจากการห้ามของท่านศาสดาเป็นที่รับทราบกันอย่างทั่วถึงแล้ว – ในทัศนะของพวกท่านคือการผิดประเวณี! ดังรายงานที่ถูกต้องจากพวกท่านจำนวนมาก ...
ท่านซาลิม บินอับดุลลอฮ์ ได้รายงานมาจากบิดาของท่านว่า ...
سُئِلَ عَنْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ ؟ فَقَالَ : لاَ نَعْلَمُهَا إِلاَّ السِّفَاحَ
“ท่านถูกถามถึงเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรี ? .. ท่านตอบว่า : พวกเราไม่รู้อะไรมากไปกว่ามันคือการผิดประเวณี” ...
(บันทึกโดยท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 3 หน้า 390 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง) ...
หมายเหตุ
หะดีษต่างๆที่ฝ่ายชีอะฮ์ได้คัดลอกมาจากหนังสือหะดีษบางเล่มของซุนนีย์แล้วนำลงบรรจุไว้ในหนังสือของพวกตน อาทิเช่นในหนังสือ “ขออยู่กับผู้สัตย์จริง” เป็นต้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลโจมตีท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ในเรื่องนี้ ...
ผมขอเรียนว่า จากการตรวจสอบแล้วเกือบทั้งหมดของหะดีษเหล่านั้นเป็นหะดีษที่สายรายงานเฎาะอีฟหรือหะดีษเมาฎั๊วะอฺ นอกจากหะดีษบางบทที่สายรายงานถูกต้อง ข้อเท็จจริงก็เป็นดังที่ผมได้อธิบายไปแล้ว ...
จึงขอสรุปอีกครั้งว่า การนิกาห์มุตอะฮ์ เป็นสิ่งที่ไม่มีส่งเสริมในบทบัญญัติของอิสลาม ตรงกันข้ามมันคือ “สิ่งต้องห้าม” ที่ได้รับการ “ผ่อนผัน” ยามจำเป็นแก่นักรบที่เดินทางไปทำสงครามแดนไกลเพียงหนึ่งครั้ง(หรือสองครั้ง) ก่อนที่การผ่อนผันนั้นจะถูกท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมสั่ง “ยกเลิก” อย่างถาวรตลอดไปจนถึงวันกิยามะฮ์ ...
และคำกล่าวของนักวิชาการซุนนีย์บางท่านที่ว่า การนิกาห์มุตอะฮ์ถูกยกเลิก ความหมายที่แท้จริงก็คือ “ยกเลิกการผ่อนผัน” มิใช่ “ยกเลิกบทบัญญัติ” เพราะนิกาห์มุตอะฮ์มิใช่เป็นบทบัญญัติดังกล่าวมาแล้ว ...
วัลลอฮุอะอฺลัม ...
บทส่งท้าย
พวกเราหลายคน – รวมทั้งผมด้วย – อาจจะเคยสงสัยว่า เหตุใดอะกีดะฮ์หรือความเชื่อหลายๆอย่างของชีอะฮ์ซึ่งอ้างว่าเป็นมุสลิมเหมือนเรา ทำไมจึงแตกต่างกับอะกีดะฮ์ของพวกเราอย่างสิ้นเชิงเหมือนขาวกับดำ และหุก่มหลายอย่างในตำราของพวกเขาก็ส่อไปในทางลามกอนาจารชนิดมนุษย์ที่มีจิตใจเป็นปกติไม่ว่าศาสนาไหนทำใจรับไม่ได้ อาทิเช่น อนุญาตให้ผู้หญิงใช้อวัยวะเพศเป็นค่าจ้างหรือค่าเช่าได้, อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักได้, อนุญาตให้สำเร็จความใคร่กับขาอ่อนของทารกหญิงได้ เป็นต้น ซึ่งหุก่มลามกจกเปรตแบบนี้ จะไม่มีในบทบัญญัติของซุนนีย์แน่นอน ...
แต่ถ้าพวกเราทราบความจริงที่ชีอะฮ์ - บางกลุ่ม - ซ่อนเร้นและตบตาพวกเรามานาน สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก็หาใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือพิสดารเกินความคาดฝันไม่ เพราะนักวิชาการชีอะฮ์(บางคน)ยอมรับแล้วว่า ...
พระเจ้าของพวกเขาเป็นคนละองค์กับพระเจ้าของพวกเรา ...
นบีย์ของพวกเขาก็เป็นคนละคนกับนบีย์ของพวกเรา ...
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “พวกเขา” กับ “พวกเรา” ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกัน แต่นับถือคนละศาสนากัน ...
ด้วยเหตุนี้ อะกีดะฮ์ของพวกเขา, หุก่มต่างๆของพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกับพวกเรา ...
เช็คเนียะอฺมะตุ้ลลอฮ์ อัล-ญะซาอิรีย์ นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสูงของโลกชีอะฮ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า ...
إِنَّالَمْ نَجْتَمِعْ مَعَهُمْ عَلَى اللهِ وَلاَ عَلَى نَبِىٍّ وَلاَ عَلَى إِمَامٍ، وَذَلِكَ أَنَّهُمْ يَقُوْلُوْنَ :
إِنَّ رَبَّهُمْ هُوَ الَّذِىْ كَانَ مُحَمَّدٌ نَبِيَّهُ، وَخَلِيْفَتُهُ بَعْدَهُ أَبُوْبَكْرٍ، وَنَحْنُ لاَ نَقُوْلُ بِهَذَاالرَّبِّ،
وَلاَ بِذَلِكَ النَّبِىِّ، إِنَّ الرَّبَّ الَّذِىْ خَلِيْفَةُ نَبِيِّهِ أَبُوْبَكْرٍ لَيْسَ رَبُّنَا وَلاَ ذَلِكَ النَّبِىَّ نَبِيُّنَا
“แน่นอน พวกเรา(ชาวชีอะฮ์)จะไม่มีวันร่วมกับพวกเขา(ชาวซุนนีย์)ในเรื่องอัลลอฮ์องค์นั้น, ในเรื่องนบีย์ และในเรื่องอิหม่าม(ผู้นำ) คนใดทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขา(ชาวซุนนีย์)กล่าวว่า พระเจ้าของพวกเขาก็คือพระเจ้าองค์ที่มีนบีย์ชื่อมุหัมมัด โดยคอลีฟะฮ์ของเขา(นบีย์มุหัมมัด)หลังจากเขาคืออบูบักรฺ, และพวกเราจะไม่ยอมรับพระเจ้าองค์นี้และจะไม่ยอมรับนบีย์ท่านนี้ .. แม้จริงพระเจ้าที่คอลีฟะฮ์แห่งนบีย์ของพระองค์มีชื่อว่าอบูบักรฺ ย่อมไม่ใช่พระเจ้าของพวกเรา และนบีย์ท่านนั้นก็ไม่ใช่นบีย์ของพวกเรา”
(จากหนังสือ “الأَنْوَارُالنُّعْمَانِيَّةُ” ของเนียะอฺมะตุ้ลลอฮ์ อัล-ญะซาอิรีย์ เล่มที่ 1 หน้า 278-279) ...
คำว่า “พวกเรา” ตามนัยแห่งคำพูดของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์ อาจหมายถึงชีอะฮ์ทั้งโลกก็ได้, หรืออาจหมายถึงชีอะฮ์เฉพาะกลุ่มที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านก็ได้ ...
แต่ตามรูปการณ์แล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเช็คอัล-ญะซาอิรีย์จะหมายถึงชีอะฮ์เฉพาะกลุ่ม นอกจากหมายถึงชีอะฮ์ทั้งโลก ...
ในความรู้สึกส่วนตัว - ผมเชื่อว่ามีชีอะฮ์ในประเทศไทยจำนวนมิใช่น้อยที่ไม่ยอมรับแนวคิดสุดโต่งดังกล่าวของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์ผู้นี้ ...
จะอย่างไรก็ตาม ชีอะฮ์ก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มีหลักฐานชัดเจนว่าชีอะฮ์บางคนหรือบางกลุ่มในประเทศไทยที่ยอมรับแนวคิดนี้ .. ดังข้อมูลที่ผมได้เขียนโต้แย้งไปแล้วครั้งหนึ่ง ...
และถ้าตามแนวคิดนี้ แน่นอน - ความหมายของมันชัดเจนเหลือเกินว่า นักวิชาการมีระดับบางคนของชีอะฮ์ได้ยอมรับเองว่าพวกเขานับถือคนละศาสนากับพวกเราชาวซุนนีย์ เพราะพวกเขามิได้ศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์ของพวกซุนนีย์ และมิได้ปฏิบัติตามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่มีคอลีฟะฮ์ชื่ออบูบักรฺอย่างพวกซุนนีย์ ..
ตอนแรกผมเองไม่เคยเฉลียวใจเมื่ออ่านเจอข้อความที่ชีอะฮ์คนหนึ่ง(ที่ผมชี้แจงตอบโต้ไปแล้ว)ใช้คำพูดในลักษณะล้อเลียนพระองค์อัลลอฮ์ว่า “พระเจ้าของซุนนี่หัวเราะ” และใช้วาจาดูหมิ่นเหยียดหยามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า “ศาสดาของซุนนี่บ้ากาม”เป็นต้น (ขอพระองค์อัลลอฮ์โปรดอภัยโทษให้ด้วยที่ผมจำเป็นต้องคัดลอกข้อความดังกล่าวนี้มาลงไว้) จนกระทั่งมาเจอข้อมูลดังข้างต้นจึงเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ที่ชีอะฮ์คนนั้นกล่าวเน้นคำว่า “พระเจ้าของของซุนนี่” และ “ศาสดาของซุนนี่” ก็เพราะพวกเขานับถือพระเจ้าและศาสดาที่อื่นจากพระเจ้าและศาสดาที่ชาวซุนนีย์เรานับถืออยู่ดังคำกล่าวของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์นั่นเอง ...
และคำกล่าวของเช็คอัล-ญะซาอิรีย์ที่กล่าวว่า “พวกเราจะไม่มีวันร่วมกับพวกเขาในเรื่องอัลลอฮ์, ในเรื่องนบีย์ และในเรื่องผู้นำ ...” ก็แสดงความหมายต่อเนื่องเป็นลูกโซ่อีกว่า แม้กระทั่งอัล-กุรฺอานที่ท่านอบูบักรฺ - คอลีฟะฮ์ของซุนนีย์และคอลีฟะฮ์ของนบีย์ที่พวกชีอะฮ์ไม่ยอมรับ - ได้สั่งให้ท่านซัยด์ อิบนุษาบิต อัล-อันศอรีย์ ร.ฎ. รวบรวมสำเนาที่กระจัดกระจายจนเป็นเล่มขึ้นมาดังที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ก็เถอะ โดยแท้ที่จริงก็มิใช่เป็นอัล-กุรฺอานที่ชีอะฮ์ยอมรับเช่นเดียวกัน เพราะชีอะฮ์ถือว่าอัล-กุรฺอานฉบับนี้ถูกรวบรวมขึ้นมาจากคำสั่งของคนที่เป็นศัตรูกับอะฮ์ลุลบัยต์ของพวกเขา จึงมีทั้งการดัดแปลง, ตัดทอน หรือแม้กระทั่งบิดเบือนจากฉบับจริง ...
อัล-กุรฺอานฉบับจริงและสมบูรณ์ตามอะกีดะฮ์ของชีอะฮ์ก็คือ อัล-กุรอานฉบับที่ถูกรวบรวมโดยท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. อิหม่ามท่านแรกของชีอะฮ์เท่านั้น ...
แต่เท่าที่ชีอะฮ์จำเป็น, จำทนและจำใจต้องใช้อัล-กุรฺอานฉบับนี้อยู่ ก็มีสาเหตุหลักมาจาก 2 ประการคือ ...
หนึ่ง เพื่อหลอกลวงพวกซุนนีย์หน้าโง่บางคน(หรือหลายคน)ให้หลงเชื่อว่า พวกเขานับถือศาสนาอิสลามเหมือนกับพวกซุนนีย์(ตามหลักตะกียะฮ์ของพวกเขา) และ ...
สอง เพราะอัล-กุรฺอาน “ฉบับจริง” ของพวกเขา ถูกอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขาพาหลบหนีเข้าอุโมงค์ไปตั้งแต่ปีฮ.ศ. 260 จนถึงขณะนี้ก็ร่วมพันกว่าปีแล้วยังหาไม่เจอ ...
เพราะฉะนั้น ศาสนาของชีอะฮ์(ทั้งโลก .. ยกเว้นชีอะฮ์ในประเทศไทยบางคนกระมัง) จึงมิใช่ศาสนาอิสลามเหมือนพวกเราแน่นอน ...
ผมเขียนหนังสือเรื่อง “ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์” .. เป้าหมายจริงๆมิใช่เพื่อโต้แย้งกับชีอะฮ์ แต่เพื่อต้องการ “ขัดเกลา” ศาสนาอิสลามที่พระองค์อัลลอฮ์ - พระเจ้าของชาวซุนนีย์ - ประทานมันลงมาให้แก่ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม - ศาสดาของชาวซุนนีย์ - เพื่อให้มันสะอาดและบริสุทธิ์จากความแปดเปื้อน, ความโสโครกที่พวกชีอะฮ์ซึ่งมิได้ศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์และท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมของชาวซุนนีย์ นำมาป้ายสีให้เกิดความมัวหมองต่ออิสลามของชาวซุนนีย์ ...
เช็คยูซุฟ อัล-บะห์รอนีย์ นักวิชาการชื่อดังของชีอะฮ์อีกท่านหนึ่งในศตวรรษที่ 2 ได้กล่าวในหนังสือ “اَلْحَدَائِقُ النَّاضِرَةُ فِىْ أَجْكَامِ الْعِتْرَةِ الطَّاهِرَةِ ” เล่มที่ 1 หน้า 36 มีข้อความว่า ...
وَقَالَ الشَّيْخُ الْمُفِيْدُ : لاَ يَجُوْزُ لِأَحَدٍ مِنْ أَهْلِ اْلإِيْمَانِ أَنْ يُغْسِلَ مُخَالِفًا لِلْحَقِّ فِى الْوِلاَيِةَ
وَلاَ يُصَلِّىَ عَلَيْهِ إِلاَّ أَنْ تَدْعُوَضَرُوْرَةٌ إِلَى ذَلِكَ مِنْ جِهَةِ التَّقِيَّةِ ...
ท่านเช็คอัล-มุฟีดกล่าวว่า : “ไม่อนุญาตแก่ผู้ใดจากผู้ศรัทธา (หมายถึงชีอะฮ์เท่านั้นตามความเข้าใจของพวกเขา) จะอาบน้ำ(มัยยิต)ให้ผู้ขัดแย้งกับสัจธรรมในเรื่องตำแหน่งผู้นำสูงสุด(หมายถึงชาวซุนนีย์ที่ถึงแก่ความตาย) และไม่อนุญาตให้นมาซให้แก่เขา เว้นแต่เกิดความจำเป็นที่เรียกร้องไปสู่การปฏิบัติสิ่งดังกล่าวในแง่ของการตะกียะฮ์(อำพราง, แสร้งหลอก)เท่านั้น” ...
ข้อความดังกล่าวนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของเช็คอัฏ-ฏูศีย์ที่กล่าวในหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม”ว่า ผู้ที่ขัดแย้งกับอะฮ์ลุลบัยต์(หมายถึงผู้ปฏิเสธตำแหน่งผู้นำสูงสุดของอะฮ์ลุลบัยต์ทั้ง 12 ท่านของชีอะฮ์) ถือว่าเป็นกาฟิรฺ ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ในอดีต ...
(สรุปจากหนังสือ “مَوْقِفُ الشِّيْعَةِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ” ของท่านมุหัมมัด มาลุลลอฮ์ หน้า 15 ) ...
ผู้ที่เช็คอัฏ-ฏูศีย์กล่าวว่า เป็นผู้ขัดแย้งหรือผู้ที่ปฏิเสธอะฮ์ลุลบัยต์ดังกล่าว จะหมายถึงใครอื่นอีกหากมิใช่หมายถึงชาวซุนนีย์ ??? ...
คำกล่าวของเช็คยูซุฟ อัล-บะห์รอนีย์และเช็คอัฏ-ฏูศีย์ นักวิชาการมีระดับของชีอะฮ์ทั้ง 2 ท่านดังกล่าวข้างต้นมีความหมายว่า เมื่อชาวซุนนีย์คนใดสิ้นชีวิตลง หุก่มของชีอะฮ์ก็คือ ห้ามอาบน้ำมัยยิตให้และห้ามนมาซญะนาซะฮ์ให้ ...
เพราะซุนนีย์คนนั้นคือกาฟิรฺในทัศนะของชีอะฮ์ ...
เพราะฉะนั้น หากพวกเราเห็นชีอะฮ์คนใดมาช่วยอาบน้ำหรือนมาซญะนาซะฮ์ให้แก่ชาวซุนนีย์ที่ตายไป ก็จงรู้เถิดว่า พวกเขา “แสร้งทำ” เพื่อตบตาและหลอกพวกเราเท่านั้น ...
หากจะมองหุก่มดังกล่าวในมุมกลับ เราชาวซุนนีย์ก็สามารถกล่าวได้เช่นเดียวกันว่า เมื่อชีอะฮ์คนใดตายลงไป มุสลิมที่เป็นซุนนีย์จะไปอาบน้ำมัยยิตให้, หรือนมาซญะนาซะฮ์ให้จะได้หรือ ในเมื่อชีอะฮ์ที่ตายนั้นมิได้นับถือพระองค์อัลลอฮ์ของพวกเรา และมิได้ปฏิบัติตามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมของพวกเรา ?? ...
พวกเขาจึงเป็นกาฟิรฺสำหรับพวกเรา - ชาวซุนนีย์ - เช่นเดียวกัน เว้นแต่พวกเราจะไม่มีการ “แสร้งทำ” ไปอาบน้ำให้ หรือไปนมาซญะนาซะฮ์ให้เหมือนพวกเขา ...
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.พระเจ้าของซุนนีย์ ได้ดำรัสไว้แล้วในอัล-กุรฺอาน(ของซุนนีย์เช่นเดียวกัน) ซูเราะฮ์อัล-กาฟิรูน อายะฮ์ที่ 6 ว่า ...
لَكُمْ دِيْنُكُمْ وَلِىَ دِيْنِ
“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”
เพราะฉะนั้น คำกล่าวของนักวิชาการซุนนีย์จากโลกอาหรับบางคนที่ว่า “ชีอะฮ์ไม่ใช่มุสลิมอย่างพวกเรา” หรือ “ชีอะฮ์นับถือศาสนาที่อื่นจากศาสนาของพวกเรา” จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดข้อเท็จจริงแต่ประการใด ดังข้อมูลจากคำกล่าวของนักวิชาการชีอะฮ์เองที่ผ่านมาแล้ว ...



#หมายเหตุ
ขอเรียนให้ทราบว่า ตั้งแต่เกิดมาและตั้งแต่เขียนหนังสือมา ผมไม่เคยหุก่มชีอะฮ์คนใดว่า “เป็นกาฟิรฺ” แม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้น ข้อเขียนทั้งหมดนี้จึงมีเป้าหมายเฉพาะสำหรับชีอะฮ์ที่มีความเชื่อตามแนวทางของเช็คเนียะอฺมะตุ้ลลอฮ์ อัล-ญะซาอิรีย์. เช็คยูซุฟ อัล-บะห์รอนีย์, เช็คอัล-มุฟีด และเช็ค อัฏ-ฏูศีย์ดังข้อมูลข้างต้นเท่านั้น ...
ส่วนชีอะฮ์ท่านใดที่มีจุดยืนชัดเจนอย่างแท้จริง - มิใช่ตะกียะฮ์ - ว่า มีแนวคิดแตกต่างหรือไม่ยอมรับแนวคิดข้างต้น ...
ข้อเขียนนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับท่านทั้งสิ้น ...
โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ...

อ. มะห์มูด (ปราโมทย์) ศรีอุทัย
จบ....




ชีอะฮ์กับมุตอะฮ์ (ตอนที่ 14)




โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

5.2 การฟัตวาของท่านอิบนุอับบาสและการคัดค้านของท่านอะลีย์
ท่านอบูญัมเราะฮ์ ได้รายงานมาว่า ...
سِمِعْتُ ابْنَ عَبَّاسٍ يُسْأَلُ عَنْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ فَرَخَّصَ، فَقَالَ لَهُ مَوْلىً لَهُ : إِنَّمَا ذَلِكَ فِى
الْحَالِ الشَّدِيْدِ وَقِلَّةِ النِّسَاءِ أَوْ نَحْوِهِ، فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ : نَعَمْ (صَدَقْتَ)!
“ฉันได้ยินท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ถูกถามถึงเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรี แล้วท่านก็ผ่อนผันมัน, บ่าวของท่านคนหนึ่งจึงกล่าวว่า : การผ่อนผันเรื่องนี้จะมีเฉพาะภาวะจำเป็นจริงๆและผู้หญิงก็มีน้อย หรือในภาวะที่คล้ายคลึงกันมิใช่หรือ ? ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.จึงรับว่า : ใช่ (ถูกของท่าน!)..
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 5116 และท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุมะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 3 หน้า 25) ...
อีกสำนวนหนึ่งของหะดีษบทนี้ กล่าวว่า ...
إِنَّمَا كَانَ ذَلِكَ فِى الْغَزْوِ وَالنِّسَاءُ قَلِيْلٌ
“การผ่อนผันเรื่องนี้ มีเฉพาะในภาวะสงครามและสตรีมีน้อยเท่านั้น) ...
(บันทึกโดยท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 204, และท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุมะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 3 หน้า 26) ...
คำว่า “บ่าวของท่าน” ในที่นี้ ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์กล่าวว่า ท่านมั่นใจว่าน่าเป็นท่านอิกริมะฮ์(ซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทที่สุดของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.) ...
(จากหนังสือ “ฟัตหุ้ลบารีย์” ของท่านอิบนุหะญัรฺ เล่มที่ 9 หน้า 171) ...
แม้จะฟัตวาว่าอนุญาตให้มีการนิกาห์มุตอะฮ์ได้ แต่หะดีษบทนี้ก็เป็นหลักฐานว่า ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. มิได้อนุญาตให้กระทำมันได้อย่างเสรีในทุกๆสถานการอย่างความเข้าใจของชีอะฮ์ แต่ท่านยอมรับว่านิกาห์มุตอะฮ์จะกระทำได้ก็เฉพาะในภาวะจำเป็นจริงๆ -โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะสงคราม - และผู้หญิงขาดแคลนเท่านั้น ...
ยิ่งไปกว่านั้นท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ยังกล่าวว่า พื้นฐานนิกาห์มุตอะฮ์คือสิ่งต้องห้ามเช่นเดียวกับซากสัตว์, เลือด และเนื้อสุกร ดังหลักฐานที่ผ่านมาแล้วตอนต้น ...
จะอย่างไรก็ตาม คำฟัตวาดังกล่าวนี้ของท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ก็ถูกคัดค้านทันทีจากท่านอะลีย์ บินอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. อิหม่ามท่านแรกของชีอะฮ์เอง ดังหะดีษบทนี้คือ ...
ก. ท่านมุหัมมัด บินอัล-หะนะฟียะฮ์(เป็นบุตรชายของท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ.กับนางเคาละฮ์) ได้รายงานมาว่า ...
أَنَّ عَلِيًا رَضِىَ اللهُ عَنْهُ سَمِعَ ابْنَ عَبَّاسٍ يُلَيِّنُ فِىْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ، فَقَالَ : مَهْلاً يَا ابْنَ عَبَّاسٍ!
فَإِنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنِ الْمُتْعَةِ وَعَنْ لُحُوْمِ الْحُمُرِ اْلأَهْلِيَّةِ زَمَنَ خَيْبَرَ
“ท่านอะลีย์ได้ยินท่านอิบนุอับบาส กล่าวผ่อนผันให้นิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีได้ ท่านจึงกล่าวติงว่า : ช้าก่อนอิบนุอับบาส! แท้จริงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์และจาก(การกิน)เนื้อลาบ้านตั้งแต่สมัยสงครามค็อยบัรฺแล้ว” ...
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 5115 และท่านมุสลิม หะดีษที่ 31/1407) ...
สำนวนในตอนต้นเป็นสำนวนของท่านมุสลิม ส่วนข้อความตั้งแต่ที่ว่า “แท้จริง ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ได้ห้าม .....” จนจบ เป็นสำนวนของท่านบุคอรีย์) ...
หะดีษบทนี้ นักวิชาการชีอะฮ์ 2 ท่านคือเช็คอัฏ-ฏูศีย์ และเช็คหัรฺรุ้ลอามิลีย์ได้บันทึกไว้เช่นเดียวกันในหนังสือของพวกเขาคือหนังสือ “ตะฮ์ซีบุลอะห์กาม” เล่มที่ 2 หน้า 186, หนังสือ “อัล-อิสติบศอรฺ” เล่มที่ 3 หน้า 142 และหนังสือ “วะซาอิลุชชีอะฮ์” เล่มที่ 14 หน้า 441 ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
ข. ท่านญุวัยรียะฮ์ได้รายงานจากท่านมาลิก, ซึ่งรายงานต่อไปจนถึงท่านมุหัมมัด บินอัล-หะนะฟียะฮ์ กล่าวว่า ...
أَنَّهُ سَمِعَ عَلَّى بْنَ أَبِىْ طَالِبٍ يَقُوْلُ ِلابْنِ عَبَّاسٍ : إِنَّكَ رَجُلٌ تَائِهٌ! أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ
صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَانَا عَنْ مُتْعَةِ النِّسَاءِ
“ท่านมุหัมมัดได้ยินท่านอะลีย์กล่าวแก่ท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ.ว่า : ท่านน่ะหลงทางชัวร์! ความจริงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ห้ามพวกเราแล้วจากนิกาห์มุตอะฮ์” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 29/1407, ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุมะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 3 หน้า 24 และท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-เอาซัฏ” เล่มที่ 1 หน้า 174) ...
สำนวนข้างต้นนี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ ...
การคัดค้านของท่านอะลีย์ต่อท่านอิบนุอับบาสดังหะดีษข้างต้นนี้ เป็นการจับเท็จจากคำกล่าวของนักวิชาการชีอะฮ์บางคนที่พยายามอ้างว่า ไม่มีอิหม่ามของพวกเขาคนใดเคยห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์เลย ...
ที่สำคัญ คำกล่าวของท่านอะลีย์ดังข้างต้นยังถูกบันทึกไว้โดยนักวิชาการของชีอะฮ์เองด้วย ...
ค. ท่านซาลิม บุตรชายของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. รายงานมาว่า ...
قِيْلَ لَهُ : إِنَّ ابْنَ عَبَّاسٍ يَأْمُرُ بِنِكَاحِ الْمُتْعَةِ، فَقَالَ ابْنُ عُمَرَ : سُبْحَانَ اللهِ! مَا أَظُنُّ
ابْنَ عَبَّاسٍ يَفْعَلُ هَذَا، قَالُوْا : بَلَى، إِنَّهُ يَأْمُرُ بِهِ، قَالَ : وَهَلْ كَانَ ابْنُ عَبَّاسٍ إِلاَّ غُلاَمًا
صَغِيْرًا إِذْ كَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، ثُمَّ قَالَ ابْنُ عُمَرَ
نَهَانَا عَنْهَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَمَا كُنَّا مُسَافِحِيْنَ ...
“มีผู้กล่าวแก่ท่านอิบนุอุมัรฺว่า : แท้จริงท่านอิบนุอับบาสได้สั่งให้นิกาห์มุตอะฮ์ได้, ท่านอิบนุอุมัรฺจึงอุทานว่า : ซุบหานั้ลลอฮ์! ฉันไม่คิดว่าอิบนุอับบาสจะกระทำ(คือกล่าว)อย่างนี้หรอก, พวกเขาจึงกล่าวยืนยันว่า ใช่ เขากล่าวอย่างนี้จริงๆ, ท่านอิบนุอุมัรฺจึงกล่าวว่า : ก็อิบนุอับบาสเป็นใคร ? มิใช่เป็นแค่เด็กอมมือดอกหรือในสมัยท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมยังอยู่น่ะ?”.. แล้วท่านอิบนุอุมัรฺก็กล่าวว่า ..
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามพวกเราจากนิกาห์มุตอะฮ์แล้ว พวกเราไม่มีสิทธิ์ทำผิดประเวณี(คือนิกาห์มุตอะฮ์)อีก” ...
(บันทึกโดย ท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-เอาซัฏ” หะดีษที่ 942 ด้วยสายรายงานที่สวยงาม) ...
การคัดค้านของท่านอะลีย์และท่านอิบนุอุมัรฺต่อคำฟัตวาของท่านอิบนุอับบาสโดยอ้างคำสั่งห้ามของท่านรอซู้ลุลลอฮ์เป็นหลักฐานยืนยันว่า การฟัตวาของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ที่ยังอนุญาตให้นิกาห์มุตอะฮ์ได้ ก็เพราะท่านไม่เคยทราบข้อห้ามของท่านศาสดาในเรื่องนี้มาก่อนเลย ...
5.3 ท่านญาบิรฺกล่าวว่าท่านอุมัรฺคือผู้ห้ามจากมุตอะฮ์
พวกชีอะฮ์ได้กล่าวโจมตีท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ในกรณีนี้อย่างรุนแรงโดยอ้างหลักฐานจากคำกล่าวของท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ.ว่าพวกตนเคยนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรีมาตั้งสมัยท่านศาสดา, สมัยท่านอบูบักรฺ จนถึงสมัยท่านอุมัรฺ ...
ต่อมาท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ก็ได้ห้ามจากมุตอะฮ์หัจญ์หรือการทำหัจญ์แบบตะมัตตั๊วะอฺ และห้ามจากมุตอะฮ์นิกาห์จากความเห็นส่วนตัวของท่านอุมัรฺเองโดยพลการ ...
หลักฐานดังกล่าวคือ ...
ก. ท่านอะฏออ์กล่าวว่า ...
قَدِمَ جَابِرُ بْنُ عَبْدِاللهِ مُعْتَمِرًا، فَجِئْنَاهُ فِىْ مَنْزِلِهِ، فَسَأَلَهُ الْقَوْمُ عَنْ أَشْيَاءَ، ثُمَّ ذَكَرُوْا
الْمُتْعَةَ، فَقَالَ : نَعَمْ، إِسْتَمْتَعْنَا عَلَى عَهْدِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأَبِىْ بَكْرٍ
وَعُمَرَ ...
“ท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ได้มุ่งหน้ามาทำอุมเราะฮ์ พวกเราจึงไปที่บ้านพักของท่าน แล้วคนกลุ่มหนึ่งได้ถามท่านจากหลายๆอย่าง และพวกเขาก็พูดกันถึงเรื่องนิกาห์มุตอะฮ์ ท่านญาบิรฺกล่าวว่า : ใช่, พวกเราเคยนิกาห์มุตอะฮ์กันในสมัยของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, สมัยท่านอบูบักรฺและสมัยท่านอุมัรฺ” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 15/1405) ...
ข. ท่านอบูนัฎเราะฮ์ กล่าวว่า ...
كُنْتُ عِنْدَ جَابِرِ بْنِ عَبْدِاللهِ، فَأَتَاهُ آتٍ فَقَالَ : إِبْنُ عَبَّاسٍ وَابْنُ الزُّبَيْرِ إِخْتَلَفَا فِى
الْمُتْعَتَيْنِ، فَقَالَ جَابِرٌ : فَعَلْنَاهُمَا مَعَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ نَهَانَا عَنْهُمَا
عُمَرُ، فَلَمْ نَعُدْ لَهُمَا ...
“ฉันอยู่กับท่านญาบิร บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. มีคนๆหนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวว่า ท่านอิบนุอับบาสและท่านอิบนุ อัซ-ซุบัยร์ขัดแย้งกันในเรื่องมุตอะฮ์ทั้งสอง (คือมุตอะฮ์หัจญ์และมุตอะฮ์นิกาห์) ท่านญาบิรฺจึงกล่าวว่า : พวกเราได้ทำมันทั้งสองอย่างพร้อมกับท่านรอซู้ลุลลอฮ์ หลังจากนั้นท่านอุมัรฺก็ได้ห้ามจากมันทั้งสอง พวกเราจึงไม่กลับไปทำมันอีก” ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 17/1405 และท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 206) ...
หะดีษทั้งสองบทนี้บ่งชี้ว่าท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ.เข้าใจว่าท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. คือผู้ห้ามท่านทั้งจากมุตอะฮ์หัจญ์และมุตอะฮ์สตรี ...
ความเข้าใจดังกล่าว ถือเป็นสิทธิ์ของท่านญาบิรฺที่จะเข้าใจอย่างนั้นได้ ...
แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นว่าความเข้าใจของท่านจะถูกต้องทั้งหมด ...
ตรงกันข้าม ความเข้าใจดังกล่าวนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว คือการห้ามจากมุตอะฮ์หัจญ์ซึ่งท่านอุมัรฺได้ห้ามมันจากความเห็นชอบส่วนตัวของท่าน ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ...
อนึ่ง ในการห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์กับสตรี ท่านญาบิรฺไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าการห้ามในเรื่องนี้ออกมาจากปากของท่านศาสดาก่อนแล้ว ท่านจึงเข้าใจไปว่าท่านอุมัรฺเป็นผู้ห้ามมันจากความคิดเห็นของตัวเอง ท่านจึงได้พูดออกไปอย่างนั้น ...
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ผู้ห้ามที่แท้จริงในเรื่องนี้ได้แก่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังหลักฐานที่ได้อธิบายไปแล้ว ...
ส่วนท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. เป็นเพียงผู้นำคำห้ามของท่านศาสดามา “ย้ำ” อีกทีหนึ่ง ดังหลักฐานที่มีรายงานมาจากคำกล่าวของท่านอย่างชัดเจน คือ ...
ท่านอบูบักรฺ บินหัฟศ์ ได้รายงานมาท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ว่า ...
لَمَّا وَلِىَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ خَطَبَ النَّاسِ فَقَالَ : إِنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
أَذِنَ لَنَا فِى الْمُتْعَةِ ثَلاَثًا، ثُمَّ حَرَّمَهَا، وَاللهِ! لاَ أَعْلَمُ أَحَدًا يَتَمَتَّعُ وَهُوَ مُحْصَنٌ إِلاَّ رَجَمْتُهُ
بِالْحِجَارَةِ، إِلاَّ أَنْ يَأْتِيَنِىْ بِأَرْبَعَةٍ يَشْهَدُوْنَ أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَحَلَّهَا
بَعْدَ إِذْ حَرَّمَهَا
“เมื่อท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบก้าวขึ้นเป็นผู้นำ ท่านก็กล่าวสุนทรพจน์กับประชาชน ท่านกล่าวว่า แท้จริงท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเคยอนุญาตให้พวกเราทำนิกาห์มุตอะฮ์ได้ 3 วัน หลังจากนั้นท่านก็ห้ามมัน, ขอสาบานด้วยพระองค์อัลลอฮ์ ถ้าฉันรู้ว่าผู้ใดยังทำนิกาห์มุตอะฮ์อีกโดยที่ตัวเองมีภรรยาอยู่แล้ว ฉันจะขว้างเขาด้วยก้อนหิน(จนตาย) เว้นแต่เขาจะนำพยาน 4 คนมายืนยันกับฉันว่า ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้อนุญาตมันอีกหลังจากห้ามมันแล้ว” ...
(บันทึกโดย ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 1963 ด้วยสายรายงานที่หะซัน(สวยงาม)
หะดีษนี้ยังมี “มุตาบะอะฮ์” คือการรายงานของท่านซาลิม บุตรชายของท่านอิบนุอุมัรฺเองที่รายงานมาจากบิดาคือท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. สอดคล้องตรงกันกับรายงานของท่านอบูบักรฺ บินหัฟศ์, จากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ข้างต้น ...
(บันทึกโดยท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 206) ...
หะดีษข้างต้นนี้ - ตามหลักวิชาการ - จึงเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์หรือหะดีษที่ถูกต้องโดยปราศจากข้อสงสัย ...
จึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่งที่นักวิชาการชีอะฮ์ พยายามกล่าวโจมตีท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ในกรณีนี้อย่างสาดเสียเทเสียเพราะความอคติอย่างรุนแรงที่มีต่อท่านเป็นส่วนตัวโดยมิได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ...
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสร้าง “หลักฐานเท็จ” เพื่อประณามท่านอุมัรฺในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะอีก โดยอ้างเป็นคำพูดของท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ว่า ...
لَوْلاَ مَا سَبَقَنِىْ بِهِ ابْنُ الْخَطَّابِ يَعْنِىْ عُمَرَ مَا زَنَى إِلاَّ شَقِىٌّ
“ถ้าไม่เพราะบุตรของค็อฏฏอบ - หมายถึงท่านอุมัรฺ - ได้เป็นคอลีฟะฮ์ก่อนหน้าฉัน(แล้วห้ามจากนิกาห์มุตอะฮ์) ก็คงไม่มีการผิดประเวณี(ซินา)เกิดขึ้นนอกจากคนเลวเท่านั้น” ...
(บันทึกโดยอัล-บะห์รอนีย์ในหนังสือตัฟซีรฺ “อัล-บุรฺฮาน” เล่มที่ 1 หน้า 360, เช็คอัลฟัยฎุลกาชานีย์ในหนังสือตัฟซีรฺ “อัศ-ซอฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 347, และกุลัยนีย์ในหนังสือ “ฟุรูอฺ อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 5 หน้า 448 .. สำนวนข้างต้นเป็นสำนวนจากการบันทึกของอัล-บะห์รอนีย์) ...
มันจะกินกับปัญญาได้อย่างไรที่ท่านอะลีย์ อิบนุอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ.ซึ่งคัดค้านการฟัตวาของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ที่อนุญาตให้มีการนิกาห์มุตอะฮ์ได้ จะมากล่าวประณามท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ผู้มีมุมมองเหมือนกับท่านว่าการนิกาห์มุตอะฮ์เป็นเรื่องต้องห้าม! .. มิหนำซ้ำท่านอะลีย์ยังประณามท่านอิบนุอับบาสว่าเป็นคนหลงผิดในเรื่องนี้ โดยอ้างหลักฐานมายืนยันว่า นิกาห์มุตอะฮ์(และเนื้อลาบ้าน) เป็นเรื่องต้องห้ามจากการห้ามของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเอง ..