โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
ดังได้อธิบายผ่านมาแล้วว่า รายงาน "คำสั่ง" ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ที่สั่งให้ท่านอุบัยย์ อิบนุกะอฺบ์และท่านตะมีมอัด-ดารีย์นำประชาชนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เป็นรายงานที่เฎาะอีฟ ...
ที่ถูกต้องคือท่านอุมัรฺ "สั่ง" บุคคลทั้งสองให้นำนมาซเพียง 11 ร็อกอะฮ์ ...
ส่วนรายงาน "การกระทำ" ของประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺที่ยังขัดแย้งกันว่า พวกเขานมาซตะรอเวี๊ยะห์กัน 11 ร็อกอะฮ์หรือ 20 ร็อกอะฮ์ ? .. ซึ่งนักวิชาการได้หาทางออกในเรื่องนี้เป็น 2 แนวทาง คือ "เน้นน้ำหนัก" หรือ "รวมหะดีษ" ดังที่อธิบายผ่านมาแล้วเช่นเดียวกัน จึงไม่ขออธิบายซ้ำอีก ...
ณ ที่นี้ ผมจะนำแนวทางการ "รวมหะดีษ" ของท่านอัล-บัยฮะกีย์มาวิเคราะห์ "ความเป็นไปได้" และขออนุญาตนำคำกล่าวของท่านอัล-บัยฮะกีย์มากล่าวซ้ำอีกครั้งดังนี้ ..
ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้กล่าวในหนังสือ "อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์" เล่มที่ 2 หน้า 496 มีข้อความว่า ...
وَيُمْكِنُ الْجَمْعُ بَيْنَ الرِّوَايَتَيْنِ، فَإِنَّهُمْ كَاُنْوا يَقُوْمُوْنَ بِإِحْدَى عَشْرَةَ، ثُمَّ كَانُوْا يَقُوْمُوْنَ بِعِشْرِيْنَ وَيُوْتِرُوْنَ بِثَلاَثٍ وَاللهُ أَعْلَمُ
"เป็นไปได้ในการรวมสองรายงาน(ที่ขัดแย้งกัน)นี้ว่า พวกเขา (ประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ) เคยยืนนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)กัน 11 ร็อกอะฮ์ก่อน, หลังจากนั้น พวกเขาก็ยืนนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)กัน 20 ร็อกอะฮ์และนมาซวิเตรฺอีก 3 ร็อกอะฮ์ วัลลอฮุ อะอฺลัม" ...
วิเคราะห์
คำกล่าวของท่านอัล-บัยฮะกีย์ข้างต้น นอกจากจะเป็นการยืนยันว่า นมาซ 11 ร็อกอะฮ์ คือนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่เคยปฏิบัติกันในสมัยท่านอุมัรฺแล้ว การรวมหะดีษยังสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ตามหลักวิชาการหะดีษ คือ หากหะดีษบทใดซึ่งมีรายงานมาหลายกระแสมีเนื้อหาขัดแย้งกันเอง ก็ให้หาทางออกด้วยการ "รวมหะดีษ" ก่อน หากรวมกันไม่ได้จึงค่อยใช้วิธีการ "การเน้นน้ำหนัก" ...
แต่การ "รวมหะดีษ" ในกรณีนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้ ...
1. การรวมหะดีษของท่านอัล-บัยฮะกีย์ในกรณีนี้ แม้ว่าจะเป็นไปได้ในแง่วิชาการ - แต่ในด้านข้อเท็จจริง - ถือว่ายังไม่ชัดเจนหรือยังไม่เคลียร์ ...
เหตุผลที่ผมกล่าวว่า "ไม่ชัดเจน" มีดังต่อไปนี้ ...
1. ท่านอัส-สะยูฎีย์ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟี ศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะฮ์” (เล่มที่ 1 หน้า 542 จากหนังสือ “อัล- หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์”) ว่า ...
وَقَالَ الْجُوْرِىُّ _ مِنْ أَصْحَابِنَا _ عَنْ مَالِكٍ أَنَّهُ قَالَ : اَلَّذِىْ جَمَعَ عَلَيْهِ النَّاسَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ أَحَبُّ إِلَىَّ، وَهِىَ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً! وَهِىَ صَلاَةُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، قِيْلَ لَهُ : إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً مَعَ الْوِتْرِ؟ قَالَ : نَعَمْ، وَثَلاَثَ عَشْرَةَ قَرِيْبٌ، قَالَ : وَلاَ أَدْرِىْ مِنْ أَيْنَ أُحْدِثَ هَذَاالرُّكُوْعُ الْكَثِيْرُ؟ ...
ท่านอัล-ญูรีย์ซึ่งเป็นนักวิชาการมัษฮับของเราท่านหนึ่ง(คือมัษฮับชาฟิอีย์) กล่าวรายงานมาจากท่านอิหม่ามมาลิกว่า ..
“สิ่งซึ่งท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ให้ประชาชนกระทำร่วมกันเป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุด นั่นคือ 11 ร็อกอะฮ์! และนั่นก็เป็นนมาซของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, มีบางคนกล่าวถามท่านว่า .. 11 ร็อกอะฮ์พร้อมกับวิตรี่ด้วยใช่ไหม? .. ท่านตอบว่า ใช่, และ 13 ร็อกอะฮ์ก็ใกล้เคียงกัน, (ท่านอิหม่ามมาลิกกล่าวต่อไปว่า) .. “ฉันไม่รู้เลยว่า จำนวนร็อกอะฮ์อันมากมายเหล่านี้ มันถูกริเริ่มมาจากไหน?” ...
ขนาดท่านอิหม่ามมาลิก (เกิดปี ฮ.ศ. 93 สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 179) ซึ่งถือว่าเป็นคนในยุคแรกๆยังไม่ทราบเลยว่า จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่ทำกัน 23 ร็อกอะฮ์บ้าง, 39 ร็อกอะฮ์บ้างนั้นใครคือผู้ริเริ่มขึ้นมา และริเริ่มขึ้นมาสมัยไหน ...
แล้วพวกเราในยุคหลังๆนี้จะไป "ฟันธง" ได้อย่างไรว่า เป็นการกระทำโดยคำสั่งของท่านอุมัรฺ ?? หรือในสมัยของของท่านอุมัรฺ ?? ...
2. เพราะความเข้าใจที่ว่านมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์เกิดขึ้นในสมัยท่านอุมัรฺ ขัดแย้งกับรายงานอื่นๆที่กล่าวว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์นั้น เกิดขึ้นหลังจากสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.แล้ว !!! ...
ท่านอัซ-ซุบกีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ชัรฺหุ มินฮาจญ์” ว่า ...
وَرَأَيْتُ فِىْ كِتَابِ سَعِيْدِ بْنِ مَنْصُوْرٍ آثَارًا فِىْ صَلاَةِ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً، وَسِتٍّ وَثَلاَثِيْنَ رَكْعَةً، لَكِنَّهَا بَعْدَ زَمَانِ عُمَرَ بْنِ الخْطَاَّب ِ...
“ฉันได้เห็นร่องรอย(คือรายงาน)ต่างๆมากมาย ในตำราของท่านสะอีด บินมันศูรฺ เรื่อง(การนมาซตะรอเวี๊ยะห์) 20 ร็อกอะฮ์ และ 36 ร็อกอะฮ์, แต่ทว่า ร่องรอยเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ เกิดขึ้น "หลัง" จากยุคของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.แล้ว” ...
(จากหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟีศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะห์” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ เล่มที่ 1 หน้า 543) ...
3. ท่านอิบนุอบีย์อัด-ดุนยา ได้บันทึกไว้เช่นกันในหนังสือ “ฟะฎออิลุ รอมะฎอน” จากท่านฮุชัยม์ บินบะชีรฺ .. โดยสืบสายรายงานถึงท่านอะฏออ์ บินอบีย์รอบาห์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 114), .. และท่านยูนุส บินอุบัยด์ บินดีนารฺ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 139) ว่า ท่านทั้งสองเคยเห็นเศาะหาบะฮ์ (และตาบิอีน) นมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) กันในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์ ..
ท่านอะฏออ์ บินอบีย์รอบาห์เป็นตาบิอีนรุ่นกลางๆ, ส่วนท่านยูนุส บินอุบัยด์เป็นตาบิอีนรุ่นเยาว์ ซึ่งทั้ง 2 ท่านเกิดหลังจากการสิ้นชีวิตของท่านอุมัรฺแล้ว ...
(ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. สิ้นชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 23) ...
ดังนั้น ที่ทั้งสองท่านอ้างว่า เคยเห็น "เศาะหาบะฮ์" และตาบิอีน(บางกลุ่ม)ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ (ถ้ารายงานนี้ถูกต้อง) ก็ต้องเป็นเหตุการณ์หลังจากยุคของท่านคอลีฟะฮ์อุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. อย่างแน่นอน ...
จากข้อมูลทั้ง 3 ประการข้างต้นนี้ จึงทำให้ไม่สามารถฟันธงได้ว่า นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เกิดขึ้นในสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
แต่ .. ไม่ว่าการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮจะเกิดขึ้นในสมัยท่านอุมัรฺ หรือสมัยหลังจากท่านอุมัรฺ และไม่ว่าใครจะเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมาก็ตาม ...
สิ่งที่นักวิชาการมีความเห็นสอดคล้องกัน และสามารถฟันธงได้ก็คือ นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เกิดขึ้นโดย "เศาะหาบะฮ์" ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
และผู้ริเริ่มมันขึ้นมา อาจเป็นท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ ร.ฎ.(ดังรายงานจากท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺ) และเป็นการกระทำหลังจากท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. สิ้นชีวิตไปไม่นาน จึงเป็นเหตุการณ์คาบเกี่ยวกับสมัยท่านอุมัรฺ ก็เป็นได้ ...
จึงเป็นการไม่สมควรที่ผู้ใดจะไปกล่าวหาว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เป็นบิดอะฮ์ เพราะเท่ากับเป็นการกล่าวหาเศาะหาบะฮ์ว่าทำบิดอะฮ์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและเท่ากับเป็นการไม่ให้เกียรติเศาะหาบะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น