อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนที่ 9)



โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ข้อที 5. ข้อแตกต่างระหว่างมะฮ์ดีย์ของซุนนะฮ์ กับมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์
จากข้อมูลทั้งหมดดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วตั้งแต่ต้น ทำให้เราสามารถสรุปถึงข้อแตกต่างระหว่างท่านมะฮ์ดีย์ ตามความเชื่อของฝ่ายซุนนะฮ์, กับอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ตามความเชื่อของฝ่ายชีอะฮ์ว่า มีอยู่หลายประการดังต่อไปนี้ ...
(1). ท่านมะฮ์ดีย์.. ตามหลักฐานของชาวซุนนะฮ์ มีชื่อจริงว่า “มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮ์” .... แต่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์ มีชื่อว่า “มุหัมมัด บิน หะซัน อัล-อัสกะรีย์” ..
(2). ท่านมะฮ์ดีย์.. ตามหลักฐานของชาวซุนนะฮ์ สืบเชื้อสายมาจากท่านหะซัน บิน อฺลีย์ บินอบีย์ฏอลิบ, ส่วนอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชาวชีอะฮ์ สืบเชื้อสายมาจากท่านหุเซ็น บิน อฺลีย์ บินอบีย์ฏอลิบ ผู้เป็นน้องชายของท่านหะซัน ....
(3). ท่านมะฮ์ดีย์.. ตามหลักฐานของชาวซุนนะฮ์ มีการกำเนิด, การเติบโต และการดำรงชีวิต เยี่ยงปุถุชนทั่วๆไป, ทั้งนี้ เพราะไม่มีหลักฐานจากหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์บทใดเลยที่แสดงว่า ท่านจะมีคุณสมบัติ “พิเศษ” ในประเด็นดังกล่าวนั้น แตกต่างไปจากมนุษย์คนอื่นๆ ....
ส่วนอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชาวชีอะฮ์ มิใช่มนุษย์ธรรมดา, .. แต่ท่านคือ “ซุปเปอร์แมน” หรือมนุษย์วิเศษและพิเศษ, .. แตกต่างจากปุถุชนทั่วๆไปอย่างสิ้นเชิง เพราะว่ากันตั้งแต่นิยายรักพิศวาสระหว่างบิดามารดาของท่านก็ดี, การ “ตั้งครรภ์” ท่านและการ “คลอด” ท่านภายใน “คืนเดียว” กันก็ดี, การถูกวิญญาณบริสุทธิ์ที่จำแลงร่างเป็นนกมาพา “เหาะ” ขึ้นฟ้าไป 40 วันก็ดี, การเจริญวัยและเติบโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์ภายในระยะเวลา 3 หรือ 4 ปีกว่าๆก็ดี, ... เหล่านี้ ไม่ปรากฏว่า จะเคยบังเกิดแก่มนุษย์คนใดในโลก, ไม่ว่าจะเป็นท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม หรือนบีย์ท่านอื่นๆ, หรือแม้กระทั่งท่านอฺลีย์, ท่านหะซัน หรือท่านหุเซ็นผู้ได้ชื่อว่า เป็น “อิหม่าม” และเป็นบรรพบุรุษของท่านเอง ที่ชาวชีอะฮ์เทิดทูนยกย่องสุดๆก็ดี ... ไม่เคยปรากฏว่าจะมีท่านใด, มีคุณสมบัติ “พิเศษ” เหมือนท่านแม้แต่คนเดียว ...
อีกอย่างหนึ่งที่ถือว่า เป็นคุณสมบัติ “พิเศษ” เฉพาะตัวของท่าน ก็คือ การ “แอบหนี” เข้าไปหลบซ่อนในอุโมงค์ตั้งแต่อายุ 3 หรือ 4 ขวบกว่าๆทั้งๆที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. มิได้สั่ง, แล้วหลังจากนั้น ท่านก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ (ที่ไหนก็ไม่รู้, แต่ไม่น่าจะเป็นในอุโมงค์เดิม เพราะมีรายงานมาแล้วว่า ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่าน) มาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 1160 ปีแล้ว, .. และจะมีชีวิตยืนยาวต่อไปในอนาคตอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ .. จนกว่าใกล้จะถึงวันอวสานต์ของโลก ...
(4). ท่านมะฮ์ดีย์.. ตามหลักฐานของชาวซุนนะฮ์ ท่านจะปรากฏตัวขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือและ สร้างความสันติสุข, ความมั่งคั่ง, ความยุติธรรม, ความเป็นภราดรภาพแก่มุสลิมทั้งมวลและแก่ชาวโลก โดยมิได้จำกัดว่าจะเป็นมุสลิมกลุ่มใดหรือคณะใดเป็นการเฉพาะ ...
ส่วนอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชาวชีอะฮ์, ท่านจะปรากฏตัวขึ้นมาพื่อช่วยเหลือและเพื่อเน้นความโดดเด่นแห่งชัยชนะของชาวชีอะฮ์เท่านั้น,.. ที่สำคัญอย่างยิ่ง, การปรากฏตัวของท่านก็เพื่อการแก้แค้นต่อผู้ซึ่งชาวชีอะฮ์เชื่อว่ากระทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่ออิหม่ามๆของพวกเขาในอดีต,...อันได้แก่ชาวอฺรับทั้งมวล,(โดยเฉพาะ, ตระกูลกุเรชและผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำหรือเคาะลีฟะฮ์)... จะถูกเกลียดชังและถูกอาฆาตแค้นเป็นพิเศษ, .. โดยพวกเขา จะต้องถูกประหารชีวิตด้วยดาบสถานเดียว .. ไม่มีคำว่าปรานี, ไม่มีคำว่าอภัย, ไม่มีคำว่ายกโทษใดๆทั้งสิ้น, .. ดังหลักฐานจากการรายงานของชาวชีอะฮ์ที่ได้เสนอผ่านไปแล้ว ...
(5). ท่านมะฮ์ดีย์.. ตามหลักฐานของชาวซุนนะฮ์, ท่านคือมิตรของบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, เพราะพวกเขาเหล่านั้น คือผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขและร่วมเป็นร่วมตายกับท่านศาสดาผู้เป็นคุณตาของท่าน, เคยเสียสละทั้งชีวิตและทรัพย์สิน, เคยเกื้อกูลและร่วมกันเผยแผ่ศาสนาอิสลามของพระผู้เป็นเจ้ามาพร้อมๆกับท่านศาสดา จนพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้กล่าวยกย่องไว้ในอัล-กุรฺอ่าน หลายต่อหลายโองการ ...
ผู้เป็นภริยาของท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมทุกท่านก็เช่นเดียวกัน ... คือจะต้องได้รับการยกย่องจากท่านมะฮ์ดีย์อย่างสูงในฐานะเป็น “อุมมุล มุอฺมีนีน” หรือ “มารดาของผู้ศรัทธาทั้งปวง” ... ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงยกย่องไว้ในอัล-กุรฺอ่าน โองการที่ 6 ซูเราะฮ์ อัล-อะห์ซาบ ...
ทั้งนี้, เพราะนอกจากจะไม่ปรากฏหลักฐานจากหะดีษที่ถูกต้องบทใดบ่งชี้ว่า ท่านมะฮ์ดีย์จะปรากฏกายขึ้นมาและวางตัวเป็นศัตรูกับบรรดาเศาะหาบะฮ์และบรรดาภริยาของคุณตาของท่านแล้ว,.... ในฐานะที่ท่าน คือผู้นำของผู้ศรัทธาทั้งหมดในยุคสุดท้ายของโลก....(ซึ่งแน่ละ,ท่านเองจะต้องมีความศรัทธาเหนือกว่าผู้ใด) ท่านก็คงจะไม่ “บังอาจ” ฝ่าฝืนโองการของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการกระทำตัวเป็นศัตรูและ “เนรคุณ” ต่อผู้ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ยกย่องสถานภาพไว้ว่า “เป็นมารดา” ของผู้ศรัทธาทุกท่าน, ... ซึ่งก็รวมทั้งตัวท่านมะฮ์ดีย์เองด้วย ...
แต่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์มิใช่เช่นนั้น เศาะหาบะฮ์เกือบทุกคน รวมทั้งภริยาสุดที่รักของท่านศาสดา คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ... พวกเขาทั้งหมดคือ “อาชญากร” ที่รอวาระแก้แค้นอย่างสาสมจากท่าน (ความจริง คือรอการแก้แค้นจากชาวชีอะฮ์มากกว่า)....มานานแสนนานแล้ว โทษฐานบังอาจช่วงชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ (ตามความเข้าใจของชาวชีอะฮ์) มาจากคุณปู่ของท่าน คือท่านอฺลีย์ บิน อบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ... แถมยังเคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่คุณย่าของท่าน คือท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ ร.ฎ. ..
ดังนั้น ผู้เป็น “หัวโจก” สองท่าน (ตามความเข้าใจของชีอะฮ์) .. คือ ท่านอบูบักรฺ และท่านอุมัรฺ ร.ฎ. จึงต้องถูกท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์บงการ (เหมือนกับว่า ตัวท่านคือพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง) ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาก่อนวันอาคิเราะฮ์ .. (เพราะหากรอการลงโทษจากพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ในวันอาคิเราะฮ์ คงไม่ทันใจและไม่สะใจ) .. แล้วท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็จะจัดการลงโทษทั้งสองท่านนั้น ด้วยการแขวนตรึงไว้กับต้นไม้, แล้วเผาทั้งเป็น, แล้วเอาขี้เถ้าของทั้งสองท่านโปรยปรายไปในอากาศ ฯลฯ ดังกล่าวมาแล้ว, ...
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ก็เช่นเดียวกัน, จะต้องถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาก่อนถึงวันกิยามะฮ์ เพื่อรับการโบยลงโทษอย่างสาสม (ความแค้นของชาวชีอะฮ์) จากท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา ...
(6). ท่านมะฮ์ดีย์,.. ตามหลักฐานของชาวซุนนะฮ์, ท่านจะปฏิวัติและจัดระบบโลกนี้ ตามแบบฉบับและซุนนะฮ์ของท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม อย่างเคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว โดยจะไม่หันเหออกนอกแนวทางซุนนะฮ์ของท่านศาสดาเป็นอันขาด, หากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ท่านก็จะตัดสินไปตามบทบัญญัติในคัมภีร์อัล-กุรฺอ่าน... และพร้อมกันนี้ ท่านก็จะขจัดพฤติการณ์ทุกอย่างที่ถือว่าเป็นการตั้งภาคีและเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮ์) ในศาสนาอิสลาม, ทั้งนี้ เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งอิสลามอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริงในยุคสุดท้ายของโลก ...
แต่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชาวชีอะฮ์ จะปรากฏตัวขึ้นมาปฏิวัติโลกด้วยหลักการใหม่, คัมภีร์ใหม่ และหลักการตัดสินรูปแบบใหม่ที่มิอาจจะเรียกได้ว่า เป็นซุนนะฮ์ของท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
นั่นคือ ท่านจะนำระบบการตัดสินของท่านนบีย์ดาวูด (อ) มาใช้, โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพยานหลักฐานใดๆจากคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ... ดังที่มีรายงานมอย่างชัดเจนจากตำราของชีอะฮ์ และได้เสนอผ่านไปแล้ว ...
(7). ท่านมะฮ์ดีย์,.. ตามหลักฐานของฝ่ายซุนนะฮ์, จะไม่มีการทำลาย, รื้อถอน..มัสญิดใดๆทั้งสิ้น, แต่จะมีการบูรณะ, ซ่อมแซมมัสญิดต่างๆตามแบบฉบับของท่านศาสดาที่ถือว่า มัสญิดทุกหลัง คือสถานที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ได้ชื่อว่า เป็นมุสลิม.. จะได้ใช้เป็นสถานที่ทำความเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า คือ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ...
แต่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์ ถือว่า มัสญิดทั้งหมด, ไม่ว่ามัสญิด อัล-หะรอมที่มักกะฮ์,... มัสญิดของท่านนบีย์ที่มะดีนะฮ์, ... มัสญิดอัล-อักศอที่เยรุซาเล็ม หรือมัสญิดใดๆในโลกนี้,... ทั้งหมดคือ สถานที่อันไม่พึงประสงค์และรกหูรกตา (เหมือนความรู้สึกของศาสนิกชนใดในโลกนี้ก็ไม่ทราบ?.. ที่มองมุสลิมและมัสญิดของมุสลิมอย่างประสงค์ร้าย) .. ดังนั้น ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์จึงต้องทำลายล้างและรื้อถอนมัสญิดทุกแห่งในโลกนี้ จนราบเป็นหน้ากลอง (เพื่อความสะใจของศาสนาใด ? .. ไม่ทราบอีกเช่นกัน) ...... ดังรายงานอันชัดเจนของฝ่ายชีอะฮ์ที่ผ่านมาแล้ว ...
(8). และสุดท้าย, อิหม่ามมะฮ์ดีย์ ตามหลักฐานของฝ่ายซุนนะฮ์ คือบุคคลที่มี “ตัวตน” อย่างแท้จริงในอนาคต ดังหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ที่มีรายงานมาจากท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมตอนต้น ...
แต่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์ เป็นเพียง ตัวบุคคลใน “จินตนาการ” ประเภทนิยายเพ้อฝัน.. ดังที่กล่าวมาแล้ว ... ท่านจึงไม่มีตัวตนจริงๆ, ...... ไม่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต, และจะไม่มีวันบังเกิดขึ้นมาในอนาคต, ตามแผ่นภาพแห่งความฝันเหล่านั้นแน่นอน ...
และพฤติการณ์ความทารุณต่างๆของท่าน ดังมีปรากฏในรายงานของชีอะฮ์ ก็เป็นเพียง “จินตนาการแห่งความแค้น”.....ที่ถูกแต่งขึ้น เพื่อสนองตัณหาและความ “สะใจ” ของศัตรูของอิสลาม -- บางกลุ่ม – เท่านั้น ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม,

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น