โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
และก่อนที่เราจะได้รับรู้ประวัติการกำเนิดอันพิสดารของท่านมะฮ์ดีย์....ก็อยากให้เราลองมาอ่านดูเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นบิดามารดาของท่านก่อนการแต่งงานกัน ... จากตำราของชีอะฮ์เองเสียก่อนดังต่อไปนี้ ...
อ่านแล้วไม่ต้องคิดอะไรมาก, แต่จงรับรู้เพียงว่าชีอะฮ์มีความเชื่อของเขาอย่างนี้จริงๆ ...
แล้วหลังจากนั้น หากเราจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่ชีอะฮ์เชื่อ ก็ไม่ว่ากัน ...
ดังเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า บิดาของท่านมะฮ์ดีย์ตามความเชื่อของชีอะฮ์มิได้มีนามว่า “อับดุลลอฮ์” ดังความเชื่อของชาวซุนนะฮ์, แต่มีชื่อว่า “อิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์” ซึ่งชาวชีอะฮ์ถือว่า เป็นอิหม่ามท่านที่ 11 ของพวกเขา ...
ส่วนผู้เป็นมารดาของท่านซึ่งอ้างกันว่า เป็นหลานสาวของไกเซอร์ กษัตริย์แห่งกรุงโรมตามข้อเขียนของซัยยิดสุไลมานข้างต้นนั้น ปรากฏว่า มีการรายงานชื่อมาแตกต่างกันดังนี้ ...
1. ชื่อ “นัรฺญิส”..... (จากหนังสือ “อัล-อิรฺชาด” ของอัล-มุฟีด หน้า 346, และหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ของท่านฏ็อบริสีย์ หน้า 418) ...
2. ชื่อ “เศาะกีล” ... หรือ “ศ็อยกิล” (จากหนังสือ “กัชฟุ้ล ฆุมมะฮ์” ของอัล-อัรฺดะบีลีย์เล่มที่ 3 หน้า 227) ..
3. ชื่อ “ซูซัน”..... (จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านฮัฏ-ฏูสีย์ หน้า 141) ....
4. ชื่อ “ร็อยหานะฮ์”..... (จากหนังสือ “อิกมาลุดดีน” ของท่านมุหัมมัด บิน หุซัยน์ บิน บาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ หน้า408) ....
5. ชื่อ “มุลัยกะฮ์”..... บุตรีของท่านโจชัวซึ่งเป็นบุตรของท่านไกเซอร์ กษัตริย์แห่งกรุงโรม (จากหนังสือ “อุศูล มัษฮับ อัช-ชีอะฮ์” เล่มที่ 2 หน้า 841) ...
แต่นามที่ชาวชีอะฮ์รู้จักกันแพร่หลายที่สุดก็คือ “นัรฺญิส” ....
จุดนี้ ทางฝ่ายชีอะฮ์อาจจะอ้างได้ว่า เพราะเจ้าหญิงนัรฺญิสมีหลายชื่อ, แต่ทางฝ่ายซุนนะฮ์ก็อาจจะอ้างได้เช่นกันว่า เพราะชีอะฮ์วาง “พล็อตเรื่อง” ไม่แนบเนียนและรัดกุมเพียงพอ ชื่อมารดาของอิหม่ามในนิยายเรื่องนี้จึงขัดแย้งกันอย่างที่เห็น ...
ถือว่า แต่ละฝ่ายจะเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ใครๆก็ตำหนิมิได้ ...
สำหรับประวัติความเป็นมาของ “นัรฺญิส” ผู้ถูกอ้างว่าเป็นมารดาของท่านมะฮ์ดีย์ .. และการแต่งงานระหว่างท่าน กับท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์นี้ นักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่ง คือเช็คอัล-บากิรฺ อัล-มัจญลิสีย์ ได้บันทึกไว้ในตำราของท่าน 2 เล่มด้วยกัน คือหนังสือ “ญะลาอุ้ล อุยูน”และหนังสือ “หักกุ้ล ยะกีน” .... โดยอ้างการรายงานมาจากนักวิชาการสำคัญของชีอะฮ์ 2 ท่าน คือ อิบนุ บาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์, และเช็ค อัฏ-ฏูสีย์... ซึ่งทั้งสองท่านนี้ ได้อ้างการรายงานเรื่องนี้มาจากท่าน “บิชรฺ บิน สุลัยมาน” ซึ่งอ้างว่า ได้รับฟังเรื่องนี้มาจากท่านนัรฺญิสด้วยตนเอง ดังจะได้กล่าวต่อไป ...
ต่อมา นักวิชาการชีอะฮ์ยุคหลังท่านหนึ่ง คือเช็คมุหัมมัด อัศ-ศ็อดริ ได้นำประวัติดังกล่าวมาเรียบเรียงใหม่ในหนังสือชื่อ “ตารีค อัล-ฆ็อยบะฮ์ อัศ-ศุฆรออ์”...
ประวัติดังกล่าวมีความยาวและพิสดารตื่นเต้นชวนอ่านเป็นอย่างยิ่งซึ่งผมจะขอนำมาเล่าให้ฟังย่อๆดังนี้ ...
เมื่อท่านอิหม่ามอฺลีย์ อัล-ฮาดีย์ (อิหม่ามท่านที่ 10 ตามความเชื่อของชีอะฮ์) ต้องการจะแต่งงานบุตรชายของท่าน คือท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ (อิหม่ามท่านที่ 11) ท่านอิหม่ามอฺลีย์ฯซึ่งขณะนั้นพำนักอยู่ที่เมืองซาร์มัรฺรอ(ซามารอ) ก็ได้เรียกคนศิษย์คนสนิทคนหนึ่งของท่าน ชื่อ “บิชรฺ บิน สุลัยมาน” เข้ามาพบ, ... บุคคลผู้นี้มีอาชีพค้าทาส ...
เมื่อบิชรฺ บิน สุลัยมานเข้ามาพบแล้ว ท่านอิหม่ามฯก็มอบหน้าที่อย่างหนึ่งให้เขา นั่นคือ ให้เขาเดินทางจากเมืองซาร์มัรฺรอไปเมืองบุฆดาด (ที่คนไทยเรียกว่า กรุงแบกแดด, เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) เพื่อไปซื้อทาสสาวคนหนึ่งมาให้ท่าน โดยที่ท่านอิหม่ามฯได้กำหนดระยะเวลาและสถานที่ตลอดจนลักษณะของทาสสาวคนนั้นให้บิชรฺ รับทราบอย่างละเอียด ...
ส่วนหนึ่งจากลักษณะของทาสสาวคนนั้นตามที่ท่านอิหม่ามฯแนะนำบิชรฺไปก็คือ นางจะถูกนำมาในเรือของพ่อค้าทาสคนหนึ่งและจอดอยู่ริมตลิ่ง .... สัญลักษณ์ของนางก็คือ จะปิดหน้า, จะพยายามหลีกเลี่ยงจากการแตะเนื้อต้องตัวของผู้ที่จะซื้อทาส, และเมื่อถูกพ่อค้าทาสตี นางก็จะร้องเสียงดังเป็นภาษาโรมัน แต่ขณะเดียวกัน นางก็สามารถที่จะพูดภาษาอรับได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ...
ท่านอิหม่ามฯได้มอบจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนและจ่าหน้าซองเป็นภาษาโรมัน,...มีการประทับตราประจำตัวท่านเป็นการเฉพาะ, พร้อมกับถุงเงินจำนวนหนึ่งให้แก่บิชรฺไป (บางรายงานบอกว่าเป็นเหรียญทองจำนวน 200 เหรียญ) แล้วบิชรฺก็ออกเดินทางไปกรุงบุฆดาดตามคำสั่งและพบว่า ทุกอย่าง เป็นไปตามคำบอกเล่าของท่านอิหม่ามฯทุกประการ อาทิเช่น เวลามีผู้ซื้อทาสจะแตะเนื้อต้องตัว นางก็จะหลบเลี่ยงด้วยสัญชาติญาณอันเคยชิน พร้อมกับกล่าวว่า .. “ต่อให้ท่านปรากฏตัวในบุคลิกของท่านนบีย์สุลัยมาน และนั่งมาบนวอประทับเยี่ยงท่านสุลัยมาน ข้าก็ไม่ปรารถนาท่านหรอก” ....
ถึงตอนนี้ บิชรฺจึงได้เข้าไปหาพ่อค้าทาสคนนั้น แล้วมอบจดหมายให้เขานำไปมอบให้กับนาง เมื่อนางอ่านจดหมายจบ อากัปกิริยาของนางก็เปลี่ยนไปทันทีอย่างน่าพิศวง คือ ร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักพร้อมกับกล่าวแก่นายทาสว่า “ท่านจงขายฉันให้แก่เจ้าของจดหมายนี้เถิด, หากท่านปฏิเสธ ฉันก็จะฆ่าตัวตาย” .... นางได้กล่าวสาบานอย่างแข็งขันว่าจะทำตามที่กล่าวไว้จริงๆ ...
เมื่อพ่อค้าทาสเห็นดังนั้น จึงถือโอกาสโก่งราคาทาสสาวคนนั้นกับบิชรฺทันที, ได้มีการต่อรองราคากันอยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงราคากันได้เท่าจำนวนเงินที่ท่านอิหม่ามฯมอบให้ไปพอดี แล้วบิชรฺก็นำนางกลับไปกรุงบุฆดาดและเข้าพักอยู่ในห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว ...
“อะไรคือข้อความในจดหมาย ? ... นางมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อเจ้าของจดหมาย คือท่านอิหม่ามฯอย่างไร จึงร้องให้อย่างหนักและขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย หากเจ้านายของนางไม่ยอมขายนางให้แก่เจ้าของจดหมายนั้น?”..... นี่คือ ปริศนาที่ก่อเกิดเป็นคำถามในหัวใจของบิชรฺ และยิ่งฉงนมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่า ทันทีที่นางเข้าไปพำนักในห้องที่บุฆดาดแล้ว นางก็รีบควักจดหมายฉบับนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจูบมันอย่างปลาบปลื้มหลายครั้ง แล้วเอามันไปแนบแก้มและประทับไว้กับเปลือกตาแล้วนำไปลูบไล้ทั่วสารพางค์กาย ...
เมื่ออดทนต่อความสงสัยไม่ไหว บิชรฺจึงกล่าวถามนางตามตรงว่า ทำไมเธอจึงจูบจดหมายที่เธอเองยังไม่รู้เลยว่า ผู้ใดคือเจ้าของมัน ? ...
นางจึงเล่าให้บิชรฺฟังว่า นางคือมุลัยกะฮ์ บุตรีของโจชัวซึ่งเป็นโอรสของไกเซอร์ กษัตริย์แห่งกรุงโรม, .. มารดาของเธอสืบเชื้อสายมาจากซิมโอน (ซีโมนปีเตอร์) ซึ่งเป็นวะศี้ย์ (ผู้สืบทอดหรือศิษย์)ของพระเยซู ...
นางเล่าต่อไปว่า .... เมื่อนางอายุได้ 13 ปี ปู่ของนางก็ได้จัดการแต่งงานนางกับหลานชายของพระองค์คนหนึ่ง โดยจัดพิธีแต่งงานอย่างหรูหรา แต่แล้ว พอถึงตอนที่มีการนำไม้กางเขนไปวางบนแท่นแล้วให้เจ้าบ่าวขึ้นนั่งบนแท่นนั้นโดยมีบาทหลวงยืนเข้าแถวเพื่อประกอบพิธี ปรากฏว่า ไม้กางเขนก็ร่วงหล่นลงมาระเนระนาดและเสาต่างๆเกิดอาการอ่อนตัวล้มลง เจ้าบ่าวถึงกับเป็นลมหมดสติ..... กษัตริย์ไกเซอร์และหัวหน้าบาดหลวง (ก็คงจะเป็นโป้ปในปัจจุบัน) เห็นว่า สิ่งนี้เป็นลางร้ายและความอัปมงคล จึงสั่งล้มเลิกพิธีแต่งงานนั้นเสีย ...
ต่อมา ปู่ของนางก็ได้จัดการแต่งงานนางกับหลานชายอีกคนหนึ่งของพระองค์ แต่ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเหมือนเดิม ...
แล้วในคืนหนึ่ง นางก็ฝันว่า มีการจัดธรรมมาสน์อันมีรังสีเรืองรองขึ้นในพระราชวังคุณปู่ของนาง แล้วท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, และลูกๆตลอดจนวะศี้ย์ คือทายาทผู้สืบทอดของท่านอันได้แก่ท่านอฺลีย์และบรรดาอิหม่ามอื่นๆก็เดินเข้ามา,.... พร้อมๆกันนั้น พระเยซู (ท่านนบีย์อีซา อะลัยฮิส สลาม) พร้อมด้วยวะศี้ย์ของท่าน คือท่านซิมโอนและสานุศิษย์อื่นๆอีกจำนวนมากก็ปรากฏกายเข้ามาด้วย เมื่อมาเผชิญหน้ากัน ท่านนบีย์อีซา อะลัยฮิส สลามก็สวมกอดท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, แล้วท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้กล่าวแก่นบีย์อีซาว่า .... “ที่ฉันมานี่ ก็เพื่อจะสู่ขอมุลัยกะฮ์ บุตรีของซิมโอนผู้เป็นวะศี้ย์ของท่านให้แก่ลูกชายของฉันคนนี้”... แล้วท่านก็ชี้มือไปที่ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ซึ่งนั่งอยู่ด้วย ณ ที่นั้น ...
ท่านนบีย์อีซา อะลัยฮิส สลามจึงหันไปหาซิมโอนแล้วกล่าวว่า.... “เกียรติยศอันยิ่งใหญ่ได้มาเยือนท่านแล้วจากการที่สายเลือดของท่าน มีส่วนสัมพันธ์กับสายเลือดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม” .. ท่านซิมโอนก็ตอบตกลงด้วยความยินดี ทั้งหมดจึงขึ้นไปบนมิมบัรฺ (ธรรมาสน์) แล้วท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้อ่านคุฏบะฮ์และทำการนิกาห์ฉันกับท่านหะซัน โดยมีท่านนบีย์อีซาและลูกหลานของท่านนบีย์มุหัมมัด ตลอดจนสานุศิษย์ทั้งหมดร่วมเป็นพยาน ...
นางเล่าต่อไปว่า ... หลังจากคืนนั้นแล้ว ความรักที่มีต่อท่านอิหม่ามหะซันก็ท่วมท้นหัวใจของนาง ทำให้นางปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง, จนกระทั่งคืนหนึ่ง นางก็ได้ฝันเห็นพระแม่มาเรีย (ท่านมัรฺยัม บุตรีท่านอิมรอน) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. เข้ามาหานางพร้อมปวงนางฟ้าจำนวนนับพัน, พระแม่มาเรียได้แนะนำนางให้รู้จักท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ.ว่า ... “นี่คือ ท่านฟาฏิมะฮ์ ประมุขแห่งปวงสตรีทั้งหลาย ผู้เป็นมารดาของสามีเจ้า” ..... เมื่อนางรู้ดังนั้น นางก็เข้าไปกอดท่านแล้วร้องให้ฟูมฟายและฟ้องว่า ... “ลูกของแม่ (หมายถึงอิหม่ามหะซัน) ไม่เคยมาเยี่ยมดิฉันบ้างเลย” ....
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. จึงชี้แจงว่า ... “เหตุที่ลูกของฉัน (หะซัน) ไม่เคยมาเยี่ยมเจ้า ก็เพราะเจ้าตั้งภาคีต่อพระองค์อัลลอฮ์โดยการถือศาสนาคริสต์อยู่” .... แล้วท่านก็สั่งให้นางกล่าวกะลีมะฮ์ ชะฮาดะฮ์, ซึ่งนางก็เต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งนี้ นางจึงเข้ารับอิสลามในโลกแห่งความฝันนั้น และเมื่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ.ได้ยินนางกล่าวกะลีมะฮ์ ชะฮาดะฮ์ ท่านก็เกิดความปลาบปลื้มยินดีจนถึงกับดึงนางเข้าไปกอดประทับไว้แนบอก และสัญญาว่า ต่อไป ท่านอิหม่ามหะซันก็จะต้องมาหานางแน่นอน ...
ท่านนัรฺญิสหรือมุลัยกะฮ์ได้เล่าให้บิชรฺฟังต่อไปว่า ...... หลังจากคืนนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่าไม่มีคืนไหนอีกเลยที่ท่านอิหม่ามหะซันจะไม่ได้มาหานางในความฝัน แล้วแสดงความรักต่อนางอย่างดูดดื่ม และบอกกับนางว่า สาเหตุที่ท่านล่าช้าในการมาหานาง มิใช่เพราะอื่นใด นอกจากการตั้งภาคีของนางเท่านั้น, ตอนนี้ เมื่อนางรับอิสลามแล้ว ท่านจึงมาหานางทุกคืนได้ ...
และเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์แห่งความเป็นจริง มิใช่เป็นเพียงความฝัน ท่านนัรฺญิสเล่าว่า นางจึงหาวิธีให้ได้เข้าร่วมอยู่ในกองทัพแห่งกรุงโรมที่ยกกองทัพไปทำสงครามกับมุสลิม, เมื่อกองทัพมุสลิมตีกองทัพโรมันแตกพ่าย นางก็ถูกจับเป็นเชลยร่วมกับผู้หญิงและเชลยศึกคนอื่นๆ, และด้วยวิธีการอย่างนี้ นางจึงได้มีโอกาสมาถึงที่นี่, ได้พบกับท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ผู้เป็นสามี (ในฝัน) ตรงตามจุดประสงค์ทุกอย่าง ...
และแล้ว ท่านอิหม่ามอฺลีย์ อัล-ฮาดีย์ ก็ได้จัดการแต่งงานนางกับท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์จริงๆในที่สุด ...