โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
9. มีกล่าวในหน้า 171 ว่า ...“เพราะตัลกีนนั้น เป็น ฟะดออีลุ้ลอะม้าล คืออะมั้ลที่เป็นสุนัต อะนั้ลเกี่ยวกับการขอพร, อะนั้ลที่เกี่ย่วกับซิกรฺ ถึงแม้ว่าหะดีษนั้นจะดออีฟ แด่ก็นำมา เป็นหลักฐานในเรื่องทำนองนี้ได้” ..-
ในที่นี้ มีเรื่องที่จะต้องชี้แจงหลายอย่างดังนี้ ...
ในที่นี้ มีเรื่องที่จะต้องชี้แจงหลายอย่างดังนี้ ...
ก. ท่านอิหม่ามนะวะวิย์ได้กล่าวไว้ใน “อัล อัลการ.” ของท่าน หน้า 7 ว่า
وَيُسْتَحَبُّ ا لعمَلُ فِى اْلفَضَاءىِلِ الضَّعِيْفِ."
“และชอบที่จะให้มีการปฎิบ้ติใน.รื่องฟะฎออิตุ้ล อะอฺมาล, (งานเสริมหรือเพิ่มเติมผลบุญ), ในเรือง ติรฺฆีบ (กระตุ้นให้ กระทำความติ), และตัรฺฮีบ (สำทับให้หวาดเกรงความชั่ว) ดามหะติษเฎาะอีฟ ...”
คำว่า “ชอบที่จะให้มีการปฎิบ้ติดามหะดีษเฎาะอีฟ” กับคำว่า “นำหะดีษเฎาะอีฟมาเป็นหลักฐาน” นั้น ความหมาย ไม่เหมือนกัน ...
คำว่า “ชอบที่จะให้มีการปฎิบ้ติดามหะดีษเฎาะอีฟ” กับคำว่า “นำหะดีษเฎาะอีฟมาเป็นหลักฐาน” นั้น ความหมาย ไม่เหมือนกัน ...
ไม่มีนักวิชาการท่านใดกล่าวว่า อนุญาตให้นำหะดีษ เฎาะอีฟมาเป็นหลักฐานได้ ไม่ว่าในเรื่องใด ๆ แต่มีนักวิชาการ บางท่านอนุโลมหรือส่งเสริมให้ปฎิบ้ติตามหะดีษเฎาะอีฟใน สิ่งที่กล่าวมาแล้ว เพราะทุกท่านย่อมทราบดีว่า หะดีษเฎาะอีฟ นั้น นำจะไม่ใช่คำพูดของท่านรชูลุลลอฮ์ ช.ล. การนำ หะดีษเฎาะอีฟมาเป็นหลักฐาน จึงอาจจะนำมาซึ่งการยัดเยียด ความเท็จให้แก่ท่าน, และอาจจะเป็นการสร้างบทบัญญ้ติ
ใด ๆ ในศาสนาขึ้นมาโดยพลการก็เป็นได้ แต่ถ้าหากหะดีษ เฎาะอีฟดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องการเสริมสร้าง ผลบุญดังกล่าวมาแล้ว ก็ไม่น่าจะมีผลเสียอันใดหากเราจะ ปฎิบ้ตีตามหะดีษนั้น ๆ ในแบบเผื่อ ๆ ไว้ว่า อาจจะได้รับ ผลบุญจริง ๆ ก็ได้ -..
นี่คือ เจตนารมณ์ของนักวิชาการที่อนุโลมหรือส่งเสริม ให้ปฏิบัติดามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องฟะฎออีลุ้ล อะอ์มาล, เรื่องดัรฺฆีบและเรื่องตัรฺฆีบได้ แต่ทั้งนี้ จะต้องปฏิบัติตาม เงื่อนไขแห่งข้ออนุโลมเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน ซึ่งจะได้อธิบายรายละเอียดกันต่อไป มีฉะนั้น ก็จะกลาย เป็นเรื่องต้องห้ามหรือหะรอมไปทันที ...
ข. การอ้างว่า เรื่องดัลกีนเป็นเรื่องสุนัด, เป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับการขอพร ...ก็ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง เพราะเรื่อง “ตัลก็น” นี้ เราไม่อาจจะใช้คำว่า “สุนัด” ได้ตามหลัก วิชาการดังที่ได้อธิบายผ่านพ้นมาแล้ว, และ'ใน'หะติษ “ดัลก็น” ของท่านอบี อุมามะฮ์ ร.ฎ.ก็ไม,ใช่เป็นเรื่องการขอพร และ ไม่มีวรรคใดที่ใข้ให้เราขอพร แต่เป็นเรื่องของการ “สอน” หรือแนะน่าผู้ตายให้ร้วิธิตอบคำถามของมลาอีกะฮ์ต่างหาก ไม่เชื่อก็เป็ดกลับไปดูได้, การอ่านตัลก็นจึงเป็นคนละเรื่อง กับการอ่านดุอาอีสติคฟารฺ และตุอาดัษบีต อันเป็นหะดีษที่ เศาะเหียะห์ (แต่ไม่ค่อยมีใครชอบปฏิบัติกัน)...
ค. การปฏิบัตตามหะดิษ เกาะอีฟในเรืองฟะฏอิลุลอะห์มาลนี นักวิชาการหะดิษมีทัศนะขัดยั้งกันอยู่มาก แม้ว่าท่านอีหม่ามนะวะวีย์จะอ้างว่า เป็นการเห็ฯพ้องต้องกันของนักวิชาการก็ตาม ท่านญะมาลุดดีน อัลกอซิมีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ”เกาะวาอิดุต ตะห์ดีส” ว่า .........
“لِيُعلَمْ أَ نَّ لْمَذَا هِبَ فِالضَّعِيفِ ثَلاَ ثَةٌ: الا وَّلُ لَا يُعْلَمُ بِهِ مُطْلقًا ، لاَفِى الأَحْكَمِ وَلاَ فِى الْفَضَا ئِلَ. حَكَاهُ ابْنُ سَيِّدِالنَّا سِ فِيْ عُيُوْنِ الأَ ثَرِ' عَنْ يَحْيَ بْنِ مُعِيْنٍ وَنَسَبَهُ فِىْ فَتْحُ الْمُغُيْثِ لِأَبِىْ بَكْرِبْنِ العَرَبِىِّ وَالظَّاهِرُأَنَّ مْذْ هَبَ ا لبُخَارِىِّ وَمُسّلِمٍ ذَلِكَ أَ يْضًا..... وَهَذَامَذْ هَبُ ابْنِ حَزْمٍ رَحِمَهُاللّهُ أَ يْضًا “
“ พึงทราบเถิดว่า ทัศนะของนักวิชาการเกียวกับเรืองหะดิษเฏะอีฟนี้ มีอยู่3 ทัศนะ คือ หนึ่งห้ามนำหะดิษอ่อนหุกุมหรือเรื่องฟะฏออิลุล อะอ์มาลก็ตาม ท่านอิบนุ ซัยยิดินนาซ ได้กล่าวทัศนะนี้ไว้ในหนังสือ “อุยุลุลอะษัร” โดยรายงานมาจากท่านยะห์ยา บิน มุอีน, แต่ในหนังสือ “ฟัตหุ้ล มฆีษอ่างว่าเป็นทัศนะของท่านอบู บักร อินุลอะเราะบีย์ , ตามรุปการนั้น ทัศนะของท่านบุคอรีย์ และท่านมุสลิม ก็เป็นอย่างนี้และทีศนะของท่านอิบนุ หัสซ์มิน ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน” (ดู เกาะวาอิคุต ตะห์ดิษ หน้า 113)
แม้กระทั้งท่านอิบนุ หะฐัร อัลอัสเกาะลานีย์เอง ก็มีแนวโน้มว่า ท่านจะไม่อนุมั้ติให้นำหะดิษเฏาะอีฟมาใช้นการฟะฏอิลุลอะมาลเหมือนกัน เรพาะท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ตับยีนุล อ”บ"หน้า 3-4 ว่า..............
แม้กระทั้งท่านอิบนุ หะฐัร อัลอัสเกาะลานีย์เอง ก็มีแนวโน้มว่า ท่านจะไม่อนุมั้ติให้นำหะดิษเฏาะอีฟมาใช้นการฟะฏอิลุลอะมาลเหมือนกัน เรพาะท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ตับยีนุล อ”บ"หน้า 3-4 ว่า..............
“وَلَا فَرْقَ فِى العَمَلِ باِلْحَدِ يْثِ فِىْ الْا ءَحْكاَمِ أَوْفِى الفَضَائِلِ ،
إِذِالْكُلُّ شَرْعٌ “
และไม่มีนข้อแตกต่างในเรืองการนำหะดิษมาปฏิบัติ ว่าจะเป็ฯเรืองหุกุม หรือเรืองฟะฏออิลุล อะห์มาล เพราะ ทั้งหมดนั้นก็เป็ฯบัญญัติของศานาเหมอืนกัน”
(ดุ ตะมามุ้น มินนะฮ์ หน้าที่ 36)
และไม่มีนข้อแตกต่างในเรืองการนำหะดิษมาปฏิบัติ ว่าจะเป็ฯเรืองหุกุม หรือเรืองฟะฏออิลุล อะห์มาล เพราะ ทั้งหมดนั้นก็เป็ฯบัญญัติของศานาเหมอืนกัน”
(ดุ ตะมามุ้น มินนะฮ์ หน้าที่ 36)
และผุ้ที่จะได้รับการอนุโลมให้นำหะดิษเฏาะอีฟมาใช้ในฟะฏอิลุล อะห์มาลได้นั้นท่านกได้กำหนดเงือนไขเอาไว้หลายประการด้วยกัน ........
ท่านญะมาลุดดีน อัลกอซิมีย์ ได้กล่าวใน “เกาะวาอิดุต ตะห์ดิษ”ว่า....
وَذَكَرَ الْحَا فِظُ ابْنَ حَخَرٍلَهُ ثَلاَ ثَةَ شُرُوْطٍ : أَحَدُهَاأَ نْ يَّكُوْنَ الضَّعْفُ غَيْرَشَدِيدٍ........... اَلثَّانِىْ : أَ ن يَّنْدَرِجَ تَحْتَ أَ صْلٍ مَعْمُوْ لٍ بِهِ ' اَلثَّالِثُ: أَن لّاَ يَعْتَقِدُعِنْدَالْعَمَلِ بِهِ ثُبُوْ تَهُ، بَلْ يعْتَقِدُاْلإِ حْتِيَاطَ
“ท่านอบนุ หะญัร ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ (สำหรับผุ้ที่จะนำเอาหะดิษเฏาะอีฟมาปฏิบัติในฟะฏออิลุล อะมาล) สามประการคือ หนึ่งหะดิษดังกล่าวนั้น จะต้องไม่อ่อนจนเกินไป...........สอง เนื้อหา ของหะดิษจะต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานของสิ่งที่มีอยู่แล้ว (ตามหลักการ) และ สาม ผู้ปฏิบั้ติจะต้องไม่ยึดมั่นขณะปฏิบัติว่า หะดิษดังกล่าวนั้นเป็นหะดิษที่แน่นอน (ถูกต้อง) ทว่า, ให้ยึดมัน่ว่า ปฏิบัติเป็นการเผื่อๆไว้เท่านัน”
(ดู เกาะวาอิดุตตะดิษ หน้าที่ 116)
“ท่านอบนุ หะญัร ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ (สำหรับผุ้ที่จะนำเอาหะดิษเฏาะอีฟมาปฏิบัติในฟะฏออิลุล อะมาล) สามประการคือ หนึ่งหะดิษดังกล่าวนั้น จะต้องไม่อ่อนจนเกินไป...........สอง เนื้อหา ของหะดิษจะต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานของสิ่งที่มีอยู่แล้ว (ตามหลักการ) และ สาม ผู้ปฏิบั้ติจะต้องไม่ยึดมั่นขณะปฏิบัติว่า หะดิษดังกล่าวนั้นเป็นหะดิษที่แน่นอน (ถูกต้อง) ทว่า, ให้ยึดมัน่ว่า ปฏิบัติเป็นการเผื่อๆไว้เท่านัน”
(ดู เกาะวาอิดุตตะดิษ หน้าที่ 116)
ซึ่งในเงือนไขข้อที่สองนี้ ก็มีอีกสนำวนหนี่งท่านอลีย์อัล กอรีย์ ได้กว่าวไว้คล้ายๆจะเป็นการอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ...........
إِنَّ الحَدِيْثَ الضَّعِيْفِ يُعْمَلُ بِهِ فِىِ الفَضَا ئِلِ ـ ـ ـ مَحَلُّهُ ائِلُ الثّابِتُ مِنْ كِتَابٍ أَوْ سُنَّةِ
“แท้จริง หะดิษ เฏาะอีฟนั้น จะนำมาปฏิบัติในฟะฏออิลุลอะห์มาลได้ หมายถึงในกรณีย์ที่ ฟะฏออิลุล อะห์มาลนั้นเป็นสิ่งที่มีหลักฐานแน่นอนมาจากกุรอ่าน หรือ ซุนะห์แล้วเท่านั้น...(ดู อัลมิรุกอ เล่มที่ 2 หน้าที 381) และเงือนไขอีกข้อหนึ่งซึ่งมีระบุไว้ในหนังสือ “อิห์กามุล อะกาม” มีข้อความว่า”..
.. مَاكَانَ ضَعِيْفًالَايدْخُلُفِىْ حَيِّزِالْمَوْضُوْعِ فَإِنْأَحْدَثَ شِعَارًافِى الدِّيْنِ مُتِعَ مِنْهُ وَإِنْ لَمْ
يُحْدِثْ فَهُوَمَحَلُّ النّْظَرِ
“หะดิษเฏาะอีฟที่ไม่ถึงขั้นเป็นหะดิษเก๊นั้นถ้าหากว่า(การนำมาปฏิบั้ติแล้ว) จะทำให้เกิดประเพณีหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ในศาสนาขึ้นก็ห้ามนำมาปฏิบัติ แต่ถ้าไม่ทำให้สิ่งดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณากันต่อไป””.....
(ดุอี้ห์กามุล อะห์กาม” เล่มที่1 หน้ที่ 210)
สรุปแล้ว เงือนไขในการที่จะนำเอาหะดิษเฏาะอีฟมาไช้ในฟะฏออิลุลอะมาน มีอยู่ 4 ประการด้วยกัน และใช้ในฟะฏออิลุล อะมาลนันมี 4 ประการด่วยกัน และจะต้องปฏิบัติให้ครบทั้งสี่ประการด้วย, หากขาดไปประการหนึ่งประการใดก็ถือว่า ใช้ไม่ได้ และเมือ่เรานำเอาหะดิษ “ตัลกีน” ของท่าน อบี มุมามะฮ รฏ. มิวเครมะห์ดูกับเงือนไขทั้ง4ประการนี้ ก็จะได้ผลลัพออกมาดั่งนี้ ...
เงือนไขข้อที่ 1 หะดิษบทนั้น จะต้องไม่อ่อนจนเกินไป จนถึงขั้นหะดีษเก๊ หรือมืผู้รายงานบางคนที่ถูกกล่าวหาว่า ชอบพูดเท็จ จากเงื่อนไขข้อแรกนี้ หะดีษตัลกีนดังกล่าว ถ้าไม่ถูกติดดิสเบรกตรง ๆ ก็เฉียด ๆ ไป เพราะอย่างน้อย นักวิชาการหะติษบางคนก็วิจารณ์ว่า หะดีษบทนี้เป็นหะดีษ เก๊, และตัวผู้รายงานบางคนก็ดูกวิจารณ์ว่า “เป็นผู้ที่ชอบ ปลอมหะดีษ” .1.
& เงื่อนไขข้อที่สอง เนื้อหาของหะดีษดังกล่าว จะต้องมี หลักฐานที่ถกต้องจากหะดีษบทอี่น หรือจากอัล กุรฺอาน มารองรับ เงื่อนไขข้อนี้หากไม่ได้อีกจากหะดีษดัลกีนของ ท่านอบี อุมามะฮ์ ร.ฎ.- เพราะไม่ปรากฎมีหะดีษที่ถูกต้อง บทใด หรืออัล กุรฺอานอายะฮ์ใดที่จะส่งเสริมให้เรากล่าว สอนผู้ตายอย่างนั้น หรือกล่าวว่า เมื่อเราอ่านตัลก็นแล้ว มลาอีกะฮ์ด่างก็ฉวยมือกันเดินหนี ฯลฯ ...
^ เงื่อนไขข้อที่สาม ไห้ยึดมั่นว่า เป็นการปฎิบ้ติเมื่อ ๆ ไว้ เท่านั้น ห้ามยึดมั่นว่าหะติษดังกล่าวเป็นหะดีษที่แน่นอน ซึ่ง เมื่อปฎิบัติลงไปแล้ว ก็จะไต้รับผลจริงตามนั้น, เงื่อนไขข้อนี้ ก็เช่นเดียวกัน เพราะผู้ที่ส่งเสริมให้มีการอ่านตัลกีนทุกคน ไม่เคยกล่าวแนะนำไว้เลยว่า ให้ทำเผื่อ ๆ ไว้เท่านั้น อย่าถือ เป็นเรืองจริงจัง แต่กลับกล่าวส่งเสริมว่า การอ่านตัลกีน เป็นสุนัด คืออ่านแล้วได้บุญ ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านทั้งหลายจึง เอาจริงเอาจังกันมากกับเรื่องตัลกิน เพราะมีความเชื่อมันว่า อ่านแล้วได้บุญและผู้ตายที่อยู่ในหลุมก็ได้รับประโยชน์จริง การกระทำในลักษณะนี้จึงเป็นการขัดแย้งกับเงื่อนไขข้อนี้ อย่างขัดแจ้ง
เงื่อนไขข้อที่สิ่ การปฏิบัติตามหะติษเฎาะอีฟนั้น จะต้อง ไม่ทำให้เกิดเป็นประเพณีใด ๆ ในคาสนาขึ้น เพราะหาก ปฎิบ้ติแล้วทำ'ให้เกิดมีสิ่งดังกล่าว ก็เป็นสิ่งต้องห้าม เงื่อนไข ข้อนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งเลยว่า การอ่านตัลกีน อย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในทุกวันนี้ ทำให้เกิดมีรูปแบบและประเพณี ซึ่งแม้แต่คนต่างศาสนาเมื่อมาเห็นเข้า ก็จะต้องเข้าใจว่า การสอนผู้ดายที่หลุมฝังศพเป็นบัญญ้ติและคำสอนของอิสลาม, เขาไม่มีทางจะเข้าใจอย่างอื่นไปได้ เพราะเมื่อไรก็เมื่อนั้น มีคนตายทีไรเป็นต้องมีคนนั้งสอนกันทุกทีจนกลายเป็น ประเพณีไปแล้ว ...
ในทัศนะส่วนตัวของผู้เขียน ยังมองไม่เห็นลู่ทางเลยว่า หากเราจะปฏิบัติและยึดถือกฎเกณฑ์กันอย่างจริง ๆ แล้ว จะอ้างเอาหะดีษตัลกินของท่านอบี อุมามะฮํร.ฎ.มาปฏิบัติ ในลักษณะฟะฎออิลุ้ล อะอ์มาลกันได้อย่างไร ซึ่งท่านผู้อ่าน ที่มีใจเป็นธรรมทุกท่านก็คงจะเห็นข้อเท็จจริงดามที่อธิบาย ไปแล้วว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม,จำเป็นจะต้องพูดอะไรให้ยืดยาวเกี่ยวกับข้ออ้างเรื่องฟะฎออิลุ้ล อะอ์มาลต่อไปอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น