โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
การที่นักวิชาการชีอะฮ์ยุคหลังบางคนพยายามจะมอมเมาให้ชาวซุนนะฮ์หลงเชื่อว่า หลักศรัทธาของชีอะฮ์ไม่มีปัญหาใดๆและไม่แตกต่างอันใดกับหลักศรัทธาของพวกเรา, พวกเขานับถือพระเจ้าองค์เดียวกับพวกเรา, มีศาสดาท่านเดียวกับพวกเรา, ใช้อัล-กุรฺอานเล่มเดียวกับพวกเรา ฯลฯ ...
คำกล่าวเหล่านี้ เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น ดังข้อมูลหักล้างที่ผมจะได้นำเสนอต่อไป
เพราะ .. แม้กระทั่งนักเขียนชีอะฮ์ "ในประเทศไทย" บางคน ยังเคยเขียนหนังสือในลักษณะล้อเลียนพระองค์อัลลอฮ์ของพวกเรา, ดูหมิ่นเหยียดหยามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมของพวกเรา .. โดยใช้สำนวนเน้นๆว่า .. "พระเจ้าของซุนหนี่, ศาสดาของซุนหนี่" ..
(อย่างนี้แสดงว่า พระเจ้าของชีอะฮ์. ศาสดาของชีอะฮ์ ? .. คนละองค์, คนละคน กับพระเจ้าและศาสดาของซุนหนี่ใช่ไหม ??) ...
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการในอดีตของชีอะฮ์บางคน ยังเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของพวกเขากับพระเจ้าของพวกเราเป็นคนละองค์กัน, เพราะพวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้าของพวกเรา, และบุคคลใด (หมายถึงชาวซุนนะฮ์) ที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับอิหม่ามคนใดของพวกเขา บุคคลนั้นคือ "กาเฟรฺ" ที่ "จะต้องอยู่ในนรกตลอดกาล" .. ดังหลักฐานที่จะถึงต่อไปเช่นเดียวกัน อินชาอัลลอฮ์ ..
แล้วอย่างนี้ พวกเรายังจะหลงเชื่อการหลอกลวงของชีอะฮ์อีกหรือว่า ชีอะฮ์กับพวกเรานับถือศาสนาเดียวกัน, มีพระเจ้าองค์เดียวกัน มีศาสดาท่านเดียวกัน, ยึดถืออัล-กุรฺอานเล่มเดียวกัน ?? ...
แล้วอย่างนี้ พวกเรายังจะหลงเชื่อการหลอกลวงของชีอะฮ์อีกหรือว่า ชีอะฮ์กับพวกเรานับถือศาสนาเดียวกัน, มีพระเจ้าองค์เดียวกัน มีศาสดาท่านเดียวกัน, ยึดถืออัล-กุรฺอานเล่มเดียวกัน ?? ...
นักวิชาการชีอะฮ์ - ทั้งนอกประเทศและในประเทศ - หุก่มพวกเราว่าเป็น "กาเฟรฺ" มานานแล้ว พวกเรายังไม่รู้สึกตัว ...
เพราะฉะนั้น เมื่อชีอะฮ์ถูกหุก่มว่าเป็น "กาเฟรฺ" จากนักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์บ้าง ชีอะฮ์ก็ต้องมีใจสปอร์ต อย่าโอดครวญหรือุทธรณ์ฎีกาอะไรทั้งสิ้น ..
ชาวบ้าน - ส่วนใหญ่ - ไม่รู้หรอกว่าขณะนี้กำลังถูกชีอะฮ์หลอกลวง เพราะตามความเชื่อชีอะฮ์ จะมีหลักปฏิบัติประการหนึ่งซึ่งพวกเขาถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดขนาดเป็น “เก้าส่วนในสิบส่วน” ของศาสนาของพวกเขา ...
ผู้ใดไม่ยอมรับหลักการข้อนี้ไปปฏิบัติ หะดีษของชีอะฮ์หุก่มว่า
ผู้นั้นไม่มีศาสนา ! ...
หลักการที่ว่านี้ คือการ “ตะกียะฮ์”(تَقِيَّةٌ) หรือการ “หลอก” ผู้อื่นให้หลงเชื่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน ...
ไม่ว่าชีอะฮ์จะแปลคำว่า “ตะกียะฮ์” นี้ว่า หมายถึง การอำพรางความจริง, การปกปิดความจริง, การซ่อนเร้นความจริง หรือจะแปลให้มันไพเราะเพราะพริ้งอย่างไรก็ได้ ...
แต่สรุปแล้วความหมายของมันก็หนีไม่พ้นคำว่า “หลอก” นั่นแหละ ...
นักวิชาการชีอะฮ์ยุคใหม่ได้ให้ความหมายตะกียะฮ์ว่า ...
اَلتَّقِيَّةُ هِىَ أَنْ تَقُوْلَ أَوتَفْعَلَ غَيْرَ مَا تَعْتَقِدُ لِتَدْفَعَ الضَّرَرَ عَنْ نَفْسِكَ أَوْ مَالِكَ أَوْ لِتَحْفَظَ بِكَرَامَتِكَ
“ตะกียะฮ์ คือการที่คุณพูดหรือกระทำสิ่งซึ่งไม่ใช่เป็นความเชื่อของคุณ ..เพื่อป้องกันอันตรายต่อตัวของคุณ, หรือต่อทรัพย์สินของคุณ, หรือเพื่อปกป้องเกียรติของคุณ” ...
(จากหนังสือ “مِنْ عَقَائِدِ الشِّيْعَةِ” หน้า 10) ...
คำนิยามตะกียะฮ์ดังข้างต้น ตามข้อเท็จจริงแล้วเป็นเพียง "ทฤษฎี" ที่ชีอะฮ์เขียนไว้โก้ๆอย่างนั้นเอง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มิใช่เช่นนั้น ..
เพราะในทางปฏิบัติจริงๆ ชาวชีอะฮ์สามารถนำ "ตะกียะฮ์" มาใช้ได้ในทุกๆสถานการณ์หรือทุกเรื่องเท่าที่ชีอะฮ์เห็นว่าจำเป็น เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการ ...
ตัวอย่างเช่น ...
ชีอะฮ์ไปชอบลูกสาวของฝ่ายซุนนะฮ์คนหนึ่ง แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ยอมยกลูกสาวให้เพราะรังเกียจความเป็นชีอะฮ์ ชีอะฮ์คนนั้นก็จำเป็นต้องใช้วิธีตะกียะฮ์ คือ “หลอก” พ่อแม่ฝ่ายหญิงว่า ตนเองเป็นชาวซุนนะฮ์เหมือนกัน ไม่ได้เป็นชีอะฮ์อะไรหรอก ...
(ตัวอย่างนี้ ผมมิได้คิดเอง-เขียนเอง แต่ผมมีข้อมูลจากการฟัตวาของฝ่ายชีอะฮ์เอง เพราะฉะนั้นหากชีอะฮ์คนใดรับไม่ได้ก็ให้ไปโต้แย้งกันเอาเอง) ...
ชีอะฮ์เปิดร้านขายอาหารในย่านชุมชนของซุนนะฮ์ แต่ขายไม่ได้เพราะชาวบ้านรู้แกวและไม่ยอมสนับสนุน ชีอะฮ์ก็จำเป็นต้องตะกียะฮ์ คือ “หลอก” ชาวบ้านว่าเขาไม่ใช่ชีอะฮ์หรอกอย่าเข้าใจผิด ..
ชีอะฮ์คนใดถือว่า ฝ่ายซุนนะฮ์ไม่ใช่เป็นมุสลิมหรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นกาเฟรฺ เวลามุสลิมฝ่ายซุนนะฮ์คนใดเสียชีวิตแล้วชีอะฮ์คนนั้นมานมาซญะนาซะฮ์หรือนมาซผู้ตายให้ ก็พึงทราบเถิดว่าเขากำลัง “หลอก” ท่าน ดังการสารภาพของนักวิชาการชีอะฮ์เอง ...
(ข้อนี้ชีอะฮ์อย่าปฏิเสธเสียให้ยาก เพราะผมมีหลักฐานพร้อมมูลอยู่ในมือเช่นเดียวกัน)
หรือในกรณีที่เห็นชัดเจนแล้วว่า หลักความเชื่อ, หลักปฏิบัติหลายอย่างของชีอะฮ์ ชาวบ้านที่เป็นซุนนะฮ์ซึ่งเป็นมุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศไทยรับไม่ได้ ชีอะฮ์ในประเทศไทยก็จำเป็นต้องใช้หลักตะกียะฮ์ คือ “หลอก” ชาวบ้านว่า หลักความเชื่อและหลักปฏิบัติส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ก็เหมือนกับฝ่ายซุนนะฮ์นั่นแหละ (อย่างในกรณีของผู้เขียนชีอะฮ์ท่านนี้ เป็นต้น) ...
ฝ่ายซุนนะฮ์เราก็อนุญาตให้มีตะกียะฮ์หรือการ “หลอก” เหมือนกัน แต่ห้ามนำมาใช้พร่ำเพรื่อนอกจากกรณีการหลอกศัตรูของอิสลามเพื่อปกป้องชีวิตตนเองหรือปกป้องความลับหรือไพร่พลส่วนใหญ่ของอิสลามไว้ ...
ผมไม่จำเป็นต้องอ้างหลักฐานจากหะดีษของชีอะฮ์, เรื่องตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ - ทั้งหมด - ซึ่งมีอยู่เป็นสิบๆบทในมือของผม (เฉพาะจากรายงานของท่านกุลัยนีย์ในหนังสือ “อุศู้ล อัล-กาฟีย์” ซึ่งชีอะฮ์ถือว่ามีความถูกต้องยิ่งกว่าหะดีษบุคอรีย์ของพวกเรา ก็ร่วม 23 บทเข้าไปแล้ว) ...
ในที่นี้ ผมจะนำเสนอเพียง 3 บทเป็นตัวอย่างให้เห็นกันดังนี้ ..
.
1. ท่านกุลัยนีย์ – บุคอรีย์ของชีอะฮ์ – ได้อ้างรายงานจากท่านอบูอับดิลลาฮ์ (หมายถึงท่านญะฟัรฺ อัศ-ศอดิก อิหม่ามท่านที่ 6 ของชีอะฮ์) ซึ่งกล่าวแก่สาวกคนหนึ่งคืออบูอุมัรฺ อัล-อะอฺญะมีย์ว่า ...
1. ท่านกุลัยนีย์ – บุคอรีย์ของชีอะฮ์ – ได้อ้างรายงานจากท่านอบูอับดิลลาฮ์ (หมายถึงท่านญะฟัรฺ อัศ-ศอดิก อิหม่ามท่านที่ 6 ของชีอะฮ์) ซึ่งกล่าวแก่สาวกคนหนึ่งคืออบูอุมัรฺ อัล-อะอฺญะมีย์ว่า ...
يَا أَبَا عُمَرَ، إِنَّ تِسْعَةَ أَعْشَارِ الدِّيْنِ فِى التَّقِيَّةِ! وَلاَ دِيْنَ لِمَنْ لاَ تَقِيَّةَ لَهُ ........
“อบูอุมัรฺเอ๋ย แท้จริงเก้าส่วนในสิบส่วนของศาสนาอยู่ในเรื่องตะกียะฮ์ และไม่ถือว่ามีศาสนาสำหรับผู้ไม่มีตะกียะฮ์ ..........” ...
(จากหนังสือ “อุศูลอัล-กาฟีย์” ของกุลัยนีย์ เล่มที่ 2 หน้า 217 หรือหะดีษที่ 2 จากบาบอัต-ตะกียะฮ์) ...
(ลงถึงขั้นให้ความสำคัญกับตะกียะฮ์ตั้ง “เก้าส่วนในสิบส่วน” ของศาสนา แสดงว่าหลักปฏิบัติที่สำคัญอย่างอื่นของอิสลาม อาทิเช่นการนมาซ, การถือศีลอด เป็นต้น ต้องชิดซ้ายลงข้างทางไปเลย เพราะเทียบความสำคัญกันแล้วยังไม่ได้เศษเสี้ยวของการตะกียะฮ์หรือการหลอกลวงชาวบ้านเพื่อให้ได้ตามจุดประสงค์เมื่อจำเป็นเลย) ...
2. ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานจากอบูบะศีรฺว่า ...
قَالَ أَبُوْ عَبْدِاللهِ عَلَيْهِ السَّلاَمُ : اَلتَّقِيَّةُ مِنْ دِيْنِ اللهِ! قُلْتُ : مِنْ دِيْنِ اللهِ؟ قَالَ : إِىْ وَاللهِ، مِنْ دِيْنِ اللهِ ..........................
ท่านอบูอับดิลลาฮ์ (ท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกอิหม่ามท่านที่ 6 ของชีอะฮ์) ได้กล่าวว่า “การตะกียะฮ์ คือส่วนหนึ่งของศาสนาอัลลอฮ์”.. ฉัน (อบูบะศีรฺ) กล่าวว่า “เป็นส่วนหนึ่งจากศาสนาของอัลลอฮ์เลยหรือ?” ท่านตอบว่า “ใช่, ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ว่า (มัน)เป็นส่วนหนึ่งจากศาสนาของอัลลอฮ์(จริงๆ) ................”
(หะดีษที่ 3 จากหนังสือเล่มเดียวกัน, บาบเดียวกัน) ...
(เชิญอ่านและพิจารณากันเอาเองเถิดว่า หลักการตะกียะฮ์หรือการหลอกลวงของชีอะฮ์ เป็นศาสนาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จริงๆ หรือเป็นศาสนาของ “ชีอะฮ์จริงๆ” กันแน่) ...
3. ท่านกุลัยนีย์ได้อ้างคำกล่าวของท่านอบูอับดิลลาฮ์ (อิหม่ามญะอฺฟัรฺ) เกี่ยวกับโองการที่ 34 ซูเราะฮ์ฟุศศิลัตที่ว่า وَلاَ تَسْتَوِى الْحَسَنَةُ وَلاَالسَّيِّئَةُ إِدْفَعْ بِالَّتِّىْ هِىَ أَحْسَنُ .. (และความดีนั้น หาเท่าเทียมกับความชั่วไม่ เจ้าจงขับไล่(ความชั่ว) ด้วยวิธีที่มันดีกว่า) ..โดยท่านอบูอับดิลลาฮ์ให้คำอรรถาธิบายว่า ...
اَلْحَسَنَةُ التَّقِيَّةُ، وَالسَّيِّئَةُ اْلإِذَاعَةُ ..........
“ความดี ก็คือการตะกียะฮ์ (หลอก, อำพรางความจริงไว้) และความชั่วก็คือ การแพร่หลายความจริง, .................”
(หะดีษที่ 6 จากหนังสือเล่มเดียวกัน บาบเดียวกัน) ...
(ลงถึงขั้นการพูดความจริงคือความชั่ว ส่วนการหลอกเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตนเองกลายเป็นความดี ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงถูก และไม่รู้ด้วยว่ายังจะมีศาสนาไหนในโลกสอนศาสนิกของตนอย่างนี้นอกจากศาสนาของชาวชีอะฮ์) ...
ชีอะฮ์จะกล้าค้านไหมว่า หลักฐานเรื่องหลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์จากหนังสืออุศูลอัล-กาฟีย์ที่ผมนำมาอ้างดังข้างต้นนี้ เป็นหลักฐานเท็จ และ/หรือเป็นการใส่ร้ายชีอะฮ์ ? ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น