โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
بِسْـمِ اللهِ الرَّحْمَـنِ الرَّحِـيْمِ
اَلْحَمْدُ للهِ الْقَائِلِ : وَأَنْزَلْنَا إلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إلَيْهِمْ، وَالصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلَى نَبِيِّنَا مُحَمَّدٍ الْقَائِلِ : تَرَكْتُ فِيْكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوْا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا، كِتَابَ اللهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ، وَعَلَى آلِهِ وَصَحْبِهِ الْمُتَمَسِّكِيْنَ بِهَدْيِهِ وَسُنَّتِهِ أَجْمَعِيْنَ أَمَّا بَعْدُ :
اَلْحَمْدُ للهِ الْقَائِلِ : وَأَنْزَلْنَا إلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إلَيْهِمْ، وَالصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلَى نَبِيِّنَا مُحَمَّدٍ الْقَائِلِ : تَرَكْتُ فِيْكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوْا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا، كِتَابَ اللهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ، وَعَلَى آلِهِ وَصَحْبِهِ الْمُتَمَسِّكِيْنَ بِهَدْيِهِ وَسُنَّتِهِ أَجْمَعِيْنَ أَمَّا بَعْدُ :
(หมายเหตุ)
ข้อเขียนนี้ ผมเขียนไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน ปีพ.ศ. 2556 มีความยาวประมาณ 60 กว่าหน้ากระดาษขนาด เอ 4 เป็นการจับเท็จข้อเขียนข้องชีอะฮ์คนหนึ่งใน 4 ประเด็นด้วยกัน เพราะผมเขียนวิเคราะห์และชี้แจงแต่ละประเด็นค่อนข้างละเอียด .. การเอานำลงในเฟสทั้งหมดในคราวเดียวกันจึงทำไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตัดตอน ตอนละ 5 หน้าโดยประมาณ เพื่อไม่ให้ผู้อ่านตาลายและเบื่อหน่ายเกินไป จึงเรียนมาเพื่อทราบครับ ..
เกริ่นเรื่อง ...
เมื่อหลายวันก่อน เพื่อนฝูงบางคนได้มอบเอกสาร 2 ชิ้น ชิ้นแรกมีความหนา 11 หน้า และชิ้นหลังมีความหนา 30 หน้ามาให้ผมตรวจสอบดู เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นโดยชีอะฮ์จากกรุงเทพท่านหนึ่ง ภายใต้หัวข้อเรื่องว่า “เอกสารที่ระลึกเมาลิดุนนบี ฮ.ศ.1434 วันประกาศเกียรติคุณศาสดามุฮัมมัด (ศ) : 27 ม.ค. 2556 ตลาดนัดปริก (หลังบ้านกำนัน) ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา” .. และหัวข้อเรื่องว่า “ที่มาหลักศรัทธาอิสลามตามแนวทางชีอะฮ์อาลี” ตามลำดับ ...
ผมได้อ่านเอกสารทั้งสองชิ้นนั้นแล้ว ก็พอจะเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เขียนว่า ต้องการจะชี้แจงแนวความเชื่อของชีอะฮ์ - ที่ถูกต้องตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง - ให้ชาวบ้านและบรรดาผู้ที่เลื่อมใสในแนวทางชีอะฮ์รับรู้กัน เพราะตระหนักดีว่า มุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศไทยระแวงชีอะฮ์ - โดยเฉพาะในแนวความเชื่อหรือภาคศรัทธา - ที่หลายอย่างแตกต่างจากแนวความเชื่อของมุสลิมส่วนใหญ่ที่เรียกกันว่า อะฮ์ลุซซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ - เหมือนขาวกับดำ ...
ผมไม่ติดใจในความเชื่อและเจตนารมณ์ของผู้เขียนข้างต้นเพราะเป็นสิทธิของท่านที่จะเชื่ออย่างไรก็ได้ แต่ผมติดใจเนื้อหาที่ผู้เขียนท่านนั้นเขียนมา และรู้สึกว่าถึงอย่างไรชีอะฮ์ก็ยังเป็นชีอะฮ์วันยังค่ำ นั่นคือ ปกปิด, บิดเบือน, กลบเกลื่อน, และอำพรางความจริงเพื่อตบตาชาวบ้านที่ไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกเขา ดังที่ผมจะเขียนชี้แจงต่อไป ...
เพราะฉะนั้น ก่อนจะชี้แจงและจับเท็จนักวิชาการชีอะฮ์ท่านนั้นใน 4 ประเด็นที่เขาเขียนมาให้ได้รับทราบกัน ผมก็อยากขอเตือนสติพี่น้องมุสลิมซุนนะฮ์ทุกท่านด้วยความหวังดีและห่วงใยอย่างแท้จริง ก่อนที่ท่านจะหลงเชื่อการพูดจาหว่านล้อมหรือโฆษณาชวนเชื่อของชีอะฮ์ แล้วพวกท่านก็จะหลงทางจนกู่ไม่กลับ ...
นี่คือ ข้อคิดที่ผมขอฝากไว้กับพี่น้องทุกท่าน ...
เตือนสติพี่น้องชาวซุนนะฮ์
เป็นที่รับรู้กันมานมนานแล้วในแวดวงมุสลิมฝ่ายซุนนะฮ์ - (คำว่าซุนนะฮ์ในที่นี้หมายถึงพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่ทั้งในประเทศไทยและทั้งโลก ไม่ว่าจะถูกเรียกว่าเป็นคณะเก่าหรือคณะใหม่) - ว่า มีบุคคลกลุ่มหนึ่งอ้างตัวเองว่า พวกเขาก็เป็นมุสลิมเช่นเดียวกับพวกเรา ศรัทธาในพระเจ้าเหมือนกับพวกเรา, เชื่อในคำสอนของท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเหมือนอย่างพวกเรา, ปฏิบัตินมาซ, จ่ายซะกาต, ถือศีลอด และเดินทางไปทำหัจญ์เหมือนพวกเรา ฯลฯ ...
แต่จริงๆแล้ว หลักอะกีดะฮ์หรือความเชื่อ(รุก่นอีหม่าน), หลักปฏิบัติ (รุก่นอิสลาม) และอื่นๆอีกหลายอย่างของบุคคลกลุ่มนี้ จะแตกต่างและขัดแย้งจากพวกเราชาวซุนนะฮ์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งนักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์ทั้งอดีตและปัจจุบันมีความเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า หลักความเชื่อหรืออะกีดะฮ์ของบุคคลกลุ่มนี้ เป็นหลักความเชื่อที่หลงผิด ...
หรืออีกนัยหนึ่ง "บุคคลกลุ่มนี้ ไม่ใช่มุสลิม" เหมือนพวกเรา .. อย่างที่พวกเขาแอบอ้าง
บุคคลกลุ่มนี้ เป็นที่รับรู้กันในนาม “ชีอะฮ์ อิษนาอะชะรียะฮ์” หรือที่รู้จักกันในนามชีอะฮ์ สิบสองอิหม่าม ...
ความขัดแย้งในเรื่อง “หลักศรัทธา” และ “หลักปฏิบัติ” ที่ดูเหมือนจะยืนกันคนละฟากระหว่างซุนนะฮ์กับชีอะฮ์ แตกต่างกับความขัดแย้งในภาคปฏิบัติของปัญหาศาสนาทั่วๆไปที่ผู้รู้ฝ่ายซุนนะฮ์ของเราเองซึ่งแบ่งฝ่ายเป็นคณะเก่า-คณะใหม่ชอบนำมาถกเถียงกัน อาทิเช่น เรื่องอ่านบิสมิลลาฮ์ดังหรือค่อย, มะอฺมูมจำเป็นต้องอ่านฟาติหะฮ์หรือไม่ถ้าอิหม่ามอ่านดัง, การอ่านกุนูตทุกเช้าในนมาซซุบห์เป็นซุนนะฮ์หรือไม่, การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ต้องทำ 11 ร็อกอะฮ์หรือ 23 ร็อกอะฮ์ เป็นต้น ...
เพราะความขัดแย้งในเรื่องเหล่านี้ - ส่วนมาก - มักจะมีที่มาจากการมองหลักฐานต่างมุมของนักวิชาการ เพราะฉะนั้น ผู้ฟังมีสิทธิ์จะยอมรับเอาคำตอบจากมุมมองของนักวิชาการท่านใดที่เราเห็นว่ามันคือความถูกต้องตามมุมมองของเรามาปฏิบัติได้ เนื่องจากมันเป็นเพียงความขัดแย้งในภาคปฏิบัติ (ฟุรูอ์) ซึ่ง - ส่วนใหญ่ของความแตกต่างเหล่านี้ - จะไม่ส่งผลเสียร้ายแรงต่อความเป็นมุสลิมของผู้ปฏิบัติ .. ตามทัศนะของนักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์ ...
แต่ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายซุนนะฮ์และฝ่ายชีอะฮ์เป็นเรื่องร้ายแรงเกินกว่าที่ใครจะทดลองเป็นชีอะฮ์ดูอย่างที่บางคนกล่าว ...
ทว่า ... มันเป็นความขัดแย้งที่มี “นรกหรือสวรรค์” เป็นเดิมพัน !!! ...
หมายความว่า ทันทีที่เราเปลี่ยนอะกีดะฮ์จากแนวซุนนะฮ์ไปเป็นแนวชีอะฮ์ นั่นก็หมายถึงว่า เรากำลังเบี่ยงเบนวิถีชีวิตของเรา – ถ้าไม่จากนรกสู่สวรรค์ ก็เท่ากับจากสวรรค์สู่นรกเลยทีเดียว ...
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่มั่นใจว่าตนเองมีอีหม่านต่ออัลลอฮ์และรอซู้ลอย่างแท้จริง จะรีบด่วนหลงเชื่อหรือคล้อยตามการโฆษณาชวนเชื่อใดๆของชีอะฮ์แล้วละทิ้งแนวศรัทธาเดิมของตนซึ่งเป็นหลักศรัทธาของมุสลิมส่วนใหญ่ของโลกไปยึดถือตามหลักศรัทธาของชีอะฮ์ จึงต้องใคร่ครวญและชั่งใจให้ดีเสียก่อน ...
เพราะหลักศรัทธาคือหัวใจของศาสนาซึ่งเปรียบเสมือนการติดกระดุมเสื้อเม็ดแรก
ถ้าท่านติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็อย่าหวังเลยว่ากระดุมเม็ดต่อไปท่านจะติดถูกที่ถูกทางของมันได้ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น