อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ประเด็นที่มีความขัดแย้งในวันอีด




ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

คำถาม

อัสลามูอาลัยกุม อาจารย์ ดิฉันอยากให้อาจารย์ช่วยวิเคราะห์ปัญหาปลีกย่อยของละหมาดวันอีดที่ปฏิบัติแตกต่างกัน เป็นของขวัญต้อนรับวันอีดด้วยนะค่ะ

คำตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม .. 
ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะวิเคราะห์ในประเด็นไหน เพราะความขัดแย้งในเรื่องละหมาดอีดมีไม่มากนัก เท่าที่เห็นก็อย่างเช่น 
ข้อแรก วันเริ่มถือบวชและวันละหมาดอีดไม่ตรงกัน เรื่องนี้พูดกันยาก เมื่อเขามองว่าการถือบวชและออกอีดตามซาอุถูกต้องกว่าถือบวชและออกอีดตามจุฬาฯ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา และผมก็เคยเขียนวิเคราะห์เรื่องนี้มาแล้วจึงไม่ขอพูดซ้ำอีก ..

 ขอสอง เรื่องสถานที่ละหมาดไม่ตรงกัน คือฝ่ายหนึ่งละหมาดกลางแจ้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งละหมาดในมัสยิด กรณีนี้ผมไม่เจอผู้ใดปฏิเสธเลยว่า การละหมาดอีดกลางแจ้งเป็นซุนนะฮ์ แต่ที่บางคนละหมาดอีดในมัสยิดเพราะปฏิบัติตามชาวมักกะฮ์ที่มองว่า ไม่มีที่ใดในโลกนี้จะประเสริฐยิ่งกว่ามัสยิดหะรอม บังเอิญเราลืมนึกไปว่ามัสยิดอื่นๆเช่นมัสยิดที่บ้านเรา มันไม่ประเสริฐเท่ามัสยิดหะรอม ยิ่งถ้าเราอ่านหนังสือ "อัล-อุมม์" ของท่านอิหม่ามชาฟิอีย์อย่างวิเคราะห์จะเห็นได้ว่า ท่านเองยอมรับเรื่องการละหมาดอีดกลางแจ้ง และ "ตีกัน" ทางอ้อมด้วยซ้ำไปเรื่องละหมาดอีดในมัสยิดที่ไม่จุชาวเมืองทั้งหมดได้

 ส่วนความขัดแย้งข้อที่สาม ก็คือ พอละหมาดอีดเสร็จ บางคนก็จะไปซิยาเราะฮ์กุโบรฺกัน กรณีนี้ผมไม่เคยเจอ ทั้งในหะดีษและในตำราฟิกฮ์เล่มใดจะกล่าวส่งเสริมเรื่องนี้ แต่ในมุมมองส่วนตัวของผม .. 

ถ้ามุสลิมคนใดเคยไปซิยาเราะฮ์กุโบร์บ่อยๆ เช่น 3-4 วันครั้ง แล้วบังเอิญวันที่เขาเคยไปซิยาเราะฮ์กุโบร์เกิดตรงกับวันอีด ก็คงจะตำหนิเขาไม่ได้ แต่ใครก็ตามที่ร้อยวันพันปีไม่เคยไปซิยาเราะฮ์กุโบร์เลย พอวันอีดก็อยากจะไปซิยาเราะฮ์ขึ้นมา อย่างนี้ผมมองว่าไม่เหมาะครับ ...






วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วิเคราะห์หะดีษการ مُذَاكَرَةٌ (ทบทวน) เวลาละหมาดวิเตรฺ


วิเคราะห์หะดีษการ مُذَاكَرَةٌ (ทบทวน) เวลาละหมาดวิเตรฺระหว่างท่านอบูบักรฺและท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
มีรายงานมาว่า ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สอบถามเรื่อง "เวลา" ละหมาดวิเตรฺของคอลีฟะฮ์ผู้ทรงคุณธรรมสองท่าน คือท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. และท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.
หะดีษบทดังกล่าวนี้ - เท่าที่ผมตรวจสอบดูแล้ว - มีรายงานมาทั้งหมดรวม 4 กระแส .. เป็นรายงานที่ "มุสนัด" 3 กระแส, และเป็นรายงานที่ "มุรฺซัล" 1 กระแส ...
ผมขออธิบายให้ท่านผู้อ่านฟังและเข้าใจง่ายๆว่า สายรายงานที่มุสนัด คือสายรายงานที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน ...
ส่วนสายรายงานที่มุรฺซัล คือสายรายงานที่ขาดตอน ...
บอกเพียงแค่นี้ ท่านผู้อ่านก็พอจะตัดสินได้เองว่า ถ้าหะดีษใดที่รายงานมาทั้ง 2 ลักษณะ คือ ทั้งมุสนัดและมุรฺซัล แล้วมีข้อความขัดแย้งกัน ...
รายงานไหนที่เชื่อถือได้ และรายงานไหนที่เชื่อถือไม่ได้ ? ...
สายรายงานทั้ง 4 กระแสของหะดีษบทนี้ เป็นดังนี้ ...
กระแสที่ 1 .. เป็นการรายงานมาจากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.
ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ได้บันทึกกระแสนี้ในหนังสือ " الصحييح " ของท่าน หะดีษที่ 1085, ท่านอิบนุนัศรฺ ได้บันทึกในหนังสือ "صلاة الوتر" หน้า 63, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้บันทึกในหนังสือ "السنن الكبرى" เล่มที่ 3 หน้า 36. และท่านอิบนุหิบบาน ได้บันทึกในหนังสือ "موارد الظمآن" หะดีษที่ 673 .. โดยสืบสายรายงานไปถึงท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ที่กล่าวว่า ..
إنَّ النَّبِىَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لِأَبِىْ بَكْرٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ : مَتَى تُوْتِرُ ؟ قَالَ : اُوْتِرُ ثُمَّ أَنَامُ
قَالَ : بِالْحَزْمِ أَخَذْتَ، فَسَأَلَ عُمَرَ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ : مَتَى تُوْتِرُ ؟ قَالَ : أَنَامُ ثُمَّ أَقُوْمُ مِنَ اللَّيْلِ
فَأُوْتِرُ، فَقَالَ : فِعْلَ الْقَوِىِّ أَخَذْتَ ..

"แท้จริง ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ว่า .. ท่านละหมาดวิเตรฺเมื่อไร ? .. ท่านอบูบักรฺตอบว่า .. ฉันละหมาดวิเตรฺก่อน แล้วฉันก็จะนอน, ท่านนบีย์จึงกล่าวว่า (แสดงว่า) ท่านเอาที่ชัวร์ๆไว้ก่อน, แล้วท่านก็ถามท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ว่า ท่านล่ะ ละหมาดวิเตรฺเมื่อไร ? ท่านอุมัรฺตอบว่า .. ฉันนอนก่อน แล้วฉันจะลุกขึ้นในตอนกลางคืนแล้วทำละหมาดวิเตรฺ ท่านนบีย์จึงกล่าวว่า การกระทำเยี่ยงคนแข็งแรงเท่านั้นที่ท่านยึดถือ" ...
สายรายงานกระแสนี้เป็นสายรายงานที่มุสนัด แต่มีข้อบกพร่องเล็กน้อย เพราะมีชื่อของ "มุหัมมัด บินอับบาด อัล-มักกีย์ และยะห์ยา บินสุลัยม์ อัฏ-ฏออิฟีย์" .. อยู่ในสายรายงานด้วย ...
รายแรกมีความพลั้งเผลอเล็กน้อย และรายหลังความจำไม่ดี ...
แต่ข้อความของหะดีษนี้ถูกต้อง เพราะมี "ชาฮิด" ยืนยันจากอีก 2 กระแสต่อไปนี้คือ ...
กระแสที่ 2 .. เป็นการรายงานมาจากท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. ...
ท่านอะห์มัด ได้บันทึกหะดีษกระแสนี้ในหนังสือ "المسند" เล่มที่ 3 หน้า 309 และ 330, ท่านอิบนุมาญะฮ์ ได้บันทึกในหะดีษที่ 1202, ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ได้บันทึกในหนังสือ "المصنف" เล่มที่ 2 หน้า 183, ท่านอบูดาวูด อัฏ-เฏาะยาลิซีย์ ได้บันทึกในหนังสือ " المسند " หะดีษที่ 551, และท่านอัฏ-เฏาะวีย์ ได้บันทึกในหนังสือ "شرح معانى الآثار" เล่มที่ 1 หน้า 342 ด้วยสำนวนคำถามจากท่านบีย์ และคำตอบจากท่านอบูบักรฺ ว่า ..
أَىَّ حِيْنٍ تُوْتِرُ ؟ قَالَ : أَوَّلَ اللَّيْلِ بَعْدَ الْعَتَمَةِ

"ตอนไหนที่ท่านละหมาดวิเตรฺ ? .. ท่านอบูบักรฺตอบว่า .. ตอนต้นของกลางคืนหลังจากยามแรก (ระหว่างหัวค่ำกับ 4 ทุ่ม) " ...
และมีเพิ่มเติมในบันทึกของท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ว่า ...
قَبْلَ أَنْ أَنَامَ : (ก่อนฉันจะนอน) ...
สายรายงานนี้ เป็นสายรายงานที่มุสนัด และหะดีษนี้ก็เป็นหะดีษที่ถูกต้อง .. ดังการรับรองของท่านอัล-อัลบานีย์ในหนังสือ "เศาะเหี๊ยะฮ์อิบนุมาญะฮ์" เล่มที่ 1 หน้า 198 ..
กระแสที่ 3 .. เป็นการรายงานมาจากท่านอบูเกาะตาดะฮ์ ร.ฎ. ...
ท่านอบูดาวูดได้บันทึกหะดีษกระแสนี้ในหะดีษที่ 1434, ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ ในหนังสือ " الصحييح " หะดีษที่ 1084, ท่านอัล-หากิม ในหนังสือ "المستدرك" หะดีษที่ 1120, และท่านอัล-บัยฮะกีย์ ในหนังสือ " السنن الكبرى " เล่มที่ 3 หน้า 35 .. ด้วยสำนวนคล้ายคลึงกับการรายงานของท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. จากกระแสที่ 1 ...
สายรายงานนี้ก็เป็นสายรายงานที่มุสนัดเช่นเดียวกัน และท่านอัษ-ษะฮะบีย์ ได้กล่าวรับรองในหนัง "تلخيص المستدرك" ว่า สายรายงานนี้ถูกต้อง, ตรงตามเงื่อนไขของท่านมุสลิม
หะดีษทั้ง 3 กระแสข้างต้นนี้จึงเป็นหะดีษมุสนัด .. คือ "สายรายงานต่อเนื่อง" ที่มีข้อความ "ถูกต้อง" โดยปราศจากข้อสงสัย ...
สรุปเนื้อหาของหะดีษมุสนัดที่ถูกต้องทั้ง 3 กระแสนี้ก็คือ ท่านอบูบักรฺตอบท่านนบีย์เพียงว่า "ฉันละหมาดวิเตรฺก่อนนอน" .. แล้วไม่ได้พูดข้อความใดเพิ่มเติมอีก ...,
ไม่มีการกล่าวว่า ฉันจะ "ลุกขึ้นมา" ทำละหมาดทีละคู่, ทีละคู่อีก จนถึงรุ่งเช้า ...
ส่วนท่านอุมัรฺตอบว่า ท่านจะนอนก่อนแล้วลุกขึ้นมาละหมาดวิเตรฺ ...
หะดีษบทนี้จึงเป็นหลักฐานเพียงว่า การละหมาดวิเตรฺนั้น ใครจะทำก่อนนอนก็ได้ จะทำหลังจากนอนแล้วก็ได้ ...
กระแสที่ 4 .. จากท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ (เป็นตาบิอีน สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 94)
ท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 388) ได้อ้างรายงานจากท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับว่า ...
أَنَّ أَبَابَكْرٍ وَعُمَرَ تَذَاكَرَا الْوِتْرَ عِنْدَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالَ أَبُوْبَكْرٍ : أَمَّا أَنَا فَأُصَلِّىْ، ثُمَّ أَنَامُ عَلَى وِتْرٍ، فَإِذَا اسْتَيْقَظْتُ صَلَّيْتُ شَفْعًا شَفْعًا حَتَّى الصَّبَاحِ .......

"ท่านอบูบักรฺและท่านอุมัรฺ ได้ทบทวนเรื่องละหมาดวิเตรฺกันต่อหน้าท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, ท่านอบูบักรฺกล่าวว่า สำหรับฉัน จะละหมาด(กิยามุลลัยล์)แล้วก็จะนอนโดยละหมาดวิเตรฺเรียบร้อยแล้ว ..
"ครั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็จะทำละหมาดทีละคู่ ทีละคู่ จนถึงรุ่งเช้า" ...
วิเคราะห์
ในสายรายงานของกระแสนี้ มีสิ่งที่ต้องพิจารณาอยู่ 3 ประเด็นด้วยกันคือ ...
1. ผู้รายงานระหว่างท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์กับท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ (ระยะเวลาของทั้งคู่ห่างกัน 294 ปี) มีกี่คน, เป็นใครบ้าง, ทุกคนเชื่อถือได้หรือไม่ ? .. ประเด็นนี้ผมไม่มีข้อมูล ..เพราะศิษย์ที่ส่งหะดีษกระแสนี้มาให้ผม ไม่ได้ส่งสายรายงานมาด้วย ผมจึงไม่สามารถตัดสินได้ว่า หะดีษกระแสนี้ สายรายงานเศาะเหี๊ยะห์หรือเฎาะอีฟ ...
2. หะดีษกระแสนี้ การรายงานมีลักษณะ "มุรฺซัล" หรือขาดตอน เพราะท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับที่อ้างรายงานนี้มาจากท่านนบีย์และท่านอบูบักรฺ ไม่ทันได้เจอทั้งท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และท่านอบูบักรฺ ร.ฏ. ...
ทั้งนี้ เพราะท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ เกิดหลังจากท่านนบีย์สิ้นชีวิตแล้วประมาณ 5 ปีกว่าๆ และหลังจากท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. สิ้นชีวิตไปแล้วประมาณ 2 ปีกว่าๆ ...
3. ข้อความจากคำพูดของท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ในหะดีษมุรฺซัลบทนี้ที่ว่า .. "ครั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็จะทำละหมาดทีละคู่ ทีละคู่ จนถึงรุ่งเช้า" .. เป็นข้อความ "เพิ่มเติม" ที่ขัดแย้งกับหะดีษมุสนัดทั้ง 3 บทข้างต้น เพราะข้อความนี้ไม่มีกล่าวไว้ในหะดีษมุสนัดทั้ง 3 กระแสข้างต้นเลย .. ดังได้อธิบายมาแล้ว ...
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า หะดีษใดที่มีรายงานมาทั้งลักษณะมุสนัดและมุรฺซัล แล้วมีข้อความขัดแย้งกัน สิ่งที่ต้องยึดถือก็คือ ข้อความของหะดีษมุสนัด ...
โดยนัยนี้ คำกล่าวของท่านอบูบักรฺที่ว่า .. "ครั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็จะทำละหมาดทีละคู่ ทีละคู่ จนถึงรุ่งเช้า" ... ดังมีระบุอยู่กระแสที่ 4 จึงถือว่า เป็น زِيَادَةٌ شَاذَّةٌ (ข้อความเพิ่มเติมที่ผิดเพี้ยน หากสายรายงานระหว่างท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์กับท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ เชื่อถือได้), หรือมิฉะนั้นก็เป็น زِيَادَةٌ مُنْكَرَةٌ (ข้อความเพิ่มเติมที่ถูกปฏิเสธเพราะเฎาะอีฟมาก หากสายรายงานระหว่างท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์กับท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ เชื่อถือไม่ได้) ...
แต่ไม่ว่าจะเป็น زِيَادَةٌ شَاذَّةٌ หรือเป็น زِيَادَةٌ مُنْكَرَةٌ ข้อความนี้ก็ถือว่าเป็นข้อความที่เฎาะอีฟตามหลักวิชาการหะดีษ และจะนำมาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้ ..
สรุปแล้ว การอ้างคำพูดของท่านอบูบักรฺในกระแสที่ 4 ของหะดีษบทนี้เป็นหลักฐานเพื่อทำละหมาดสุนัตเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์หลังละหมาดวิเตรฺ จึงไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ...
หมายเหตุ
ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้พูดว่า การทำละหมาดสุนัต "เกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์" หลังละหมาดวิเตรฺ ทำได้หรือทำไม่ได้ ..
แต่ผมพูดว่า ผมยังไม่เคยเจอหลักฐานที่ถูกต้อง ที่อนุญาตให้ทำละหมาดสุนัตเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์หลังละหมาดวิเตรฺแล้ว ....
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ใดเจอหลักฐานบทอื่นใดที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ กรุณาส่งหรือแจ้งมาให้ผมทราบด้วย จะขอบพระคุณมาก เพราะผมจะได้เก็บไว้เป็นหลักฐานต่อไป ...

อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

19/6/60


การทบทวนเวลาละหมาดวิเตรฺของท่านอบูบักร์และท่านอุมัรฺ ร.ฎ.



ท่านผู้อ่านที่รักครับ ...
หลังจากผมนำบทความเรื่องความหมายหะดีษ إِجْعَلُوْا آخِرَ صَلاَتِكُمْ بِاللَّيْلِ ลงในเฟสได้ 1 วัน ก็มีศิษย์ของผมคนหนึ่งได้ส่งหะดีษบทหนึ่งมาให้ผมตรวจสอบ โดยหะดีษบทนั้นมีลักษณะเป็นหะดีษมัรฺฟูอฺ .. คือ อ้างอิงถึงการรับรองโดยปริยายของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า "การละหมาดสุนัตหลังละหมาดวิเตรฺเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ สามารถทำได้" ...

หะดีษบทนั้น เป็นรายงานเรื่องการทบทวนเวลาละหมาดวิเตรฺของท่านอบูบักร์และท่านอุมัรฺ ร.ฎ. .. ต่อหน้าท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 388) ได้อ้างรายงานมาจากท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 94) มีข้อความว่า ..
أَنَّ أَبَابَكْرٍ وَعُمَرَ تَذَاكَرَا الْوِتْرَ عِنْدَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالَ أَبُوْبَكْرٍ : أَمَّا أَنَا فَأُصَلِّىْ، ثُمَّ أَنَامُ عَلَى وِتْرٍ، فَإِذَا اسْتَيْقَظْتُ صَلَّيْتُ شَفْعًا شَفْعًا حَتَّى الصَّبَاحِ .......

"ท่านอบูบักรฺและท่านอุมัรฺ ได้ทบทวนเรื่องละหมาดวิเตรฺกันต่อหน้าท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, ท่านอบูบักรฺกล่าวว่า สำหรับฉัน จะละหมาด(กิยามุลลัยล์)แล้วก็จะนอนโดยละหมาดวิเตรฺเรียบร้อยแล้ว ครั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็จะทำละหมาดทีละคู่ ทีละคู่ จนถึงรุ่งเช้า" ...
ถ้าหะดีษบทนี้ - โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำกล่าวของท่านอบูบักรฺต่อหน้าท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า .. "ครั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็จะทำละหมาดทีละคู่ ทีละคู่ จนถึงรุ่งเช้า" - เป็นรายงานที่ถูกต้อง ก็ถือว่าคำกล่าวนี้เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงว่า การละหมาดสุนัตเกินกว่า 2 ร็อกอะฮหลังละหมาดวิเตรฺแล้ว สามารถทำได้ ...

แต่ถ้าคำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง การละหมาดสุนัตหลังวิเตรฺเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่มีหลักฐาน - ไม่ว่าจากคำสั่งหรือการกระทำของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม - มายืนยันต่อไป แม้ว่าจะมีผู้ทำกันมากก็ตาม ..

คำพูดหรือการกระทำของประชาชน ไม่ว่าจะมีจำนวนมากเท่าใด ไม่ใช่หลักฐานชี้ขาดของศาสนาหรอกครับ ตราบใดที่ไม่มีการรับรองจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม .. ดังคำกล่าวของท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ ...

และความจริง ผมเองไม่ได้พูดสักคำว่า ละหมาดหลังวิเตรฺเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ ทำได้หรือทำไม่ได้ .. ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตไว้เท่านั้นว่า ที่ทำกันเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์นั้นมีหลักฐานหรือไม่ ? .. ในเมื่อท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สั่งให้ทำเพียง 2 ร็อกอะฮ์ ...
ผมขอเวลาไม่เกิน 3 วันในการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อเท็จจริงของหะดีษบทนี้มาให้อ่านกัน อินชาอัลลอฮ์ ...

แต่ตอนนี้ ผมขออธิบายเรื่อง "ลักษณะละหมาดยามกลางคืน หรือ قِيَامُ اللَّيْلِ" - ไม่ว่าในเดือนรอมะฎอนหรือนอกเดือนรอมะฎอน - ให้พี่น้องเข้าใจกันก่อน เพราะรู้สึกว่า มีหลายคนสับสนจนแยกแยะไม่ออกว่า อะไรเป็นอะไร, และเมื่อไรจะละหมาดเกินกว่า 11 ร็อกอะฮ์ได้หรือไม่ได้ ...
ละหมาดกิยามุลลัยล์ เท่าที่มีผู้กระทำกัน - เมื่อนำมาเทียบเคียงกับหลักฐานจากหะดีษแล้ว - จะมี 3 ลักษณะคือ
(1). เป็นการกระทำ "ก่อนละหมาดวิเตรฺ" ไม่ว่าในเดือนรอมะฎอนหรือนอกเดือนรอมะฎอน ..
กรณีนี้ไม่มีหลักฐานจำกัดจำนวนร็อกอะฮ์จาก "คำสั่ง" ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพราะฉะนั้นนักวิชาการส่วนใหญ่จึงมีทัศนะว่า ใครจะทำ 11 ร็อกฮ์, 23 ร็อกอะฮ์, 36 ร็อกอะฮ์ หรือจะมากหรือน้อยกว่านั้น ก็เป็นที่อนุญาตทั้งสิ้น อินชาอัลลอฮ์ ...
แต่ตัวท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเอง มีรายงานมาว่า ปกติท่านจะ "ทำ" เพียง 11 ร็อกอะฮ์ .. และตอนที่ท่านอายุมากขึ้น, อ้วนขึ้น ท่านก็จะทำลดเหลือ 9 ร็อกอะฮ์และ 7 ร็อกอะฮ์ ...
(2). การกระทำละหมาดกิยามุลลัยล์ "หลังละหมาดวิเตรฺ" แล้ว ไม่ว่าในเดือนรอมะฎอนหรือนอกเดือนรอมะฎอน .. ซึ่งปกติมักเป็นการกระทำกันส่วนตัว ไม่ใช่ละหมาดหลังจากละหมาดญะมาอะฮ์พร้อมอิหม่ามในเดือนรอมะฎอน ซึ่งจะเป็นลักษณะที่ 3 ที่กำลังจะถึง ...
กรณีนี้ อนุญาตให้กระทำได้ 2 ร็อกอะฮ์ ตามคำสั่งของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังได้อธิบายผ่านมาแล้ว .. (และผมกำลังจะวิเคราะห์หะดีษที่ท่านนบีย์อนุญาตให้ท่านอบูบักร์ ร.ฎ. ทำเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ได้ต่อไป อินชาอัลลอฮ์) ...
(3). การละหมาดกิยามุลลัยล์ (ที่เรียกกันว่าละหมาดตะรอเวี๊ยะห์) ในเดือนรอมะฎอน โดยเป็นการกระทำในลักษณะญะมาอะฮ์จนเสร็จสิ้นละหมาดวิเตรฺพร้อมอิหม่ามแล้ว ...
กรณีนี้ ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ปรามหรือห้ามจากการกระทำละหมาดใดๆอีก เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงประทานผลบุญให้เขาเท่ากับละหมาดทั้งคืนแล้ว .. ดังรายงานที่ถูกต้องจากท่านอบูซัรฺ อัล-ฆิฟารีย์ ที่ผ่านมาแล้ว ...


วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ละหมาดกิยามุ้ลลัยล์หลังละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ (ตอนที่ 1)


ตอบคำถามคุณ Mubarok Adam

เรื่องละหมาดกิยามุ้ลลัยล์หลังละหมาดตะรอเวี๊ยะห์



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

คำถาม .. السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
หากเราต้องการจะละหมาดตะฮัจยุดอีกหลังจากละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ไปแล้ว เราต้องทำอย่างไรครับ ในกรณีที่เราละหมาดตะรอเวี๊ยะห์กับอิหม่ามและมีวิเตรฺ ตรงนี้ให้เราแยกตัวออกมา (และถ้าหากเราแยกตัวออกมาเราจะได้ผลบุญอย่างที่นบีบอกหรือป่าว) หรือละหมาดวิเตรฺกับอิหม่าม แต่ฮาดีษของท่านนบีย์ที่ว่า إِجْعَلُوْا آخِرَ صَلاَتِكُمْ فِى اللَّيْلِ وِتْرًا รบกวนอาจารย์ชี้แนะมาด้วย ...
ตอบ .. وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
คำถามของคุณ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ
1. ถ้าเราละหมาดตะรอเวี๊ยะห์และละหมาดวิเตรฺเสร็จพร้อมอิหม่ามไปแล้ว และต้องการจะละหมาดตะฮัจญุดอีก เราจะละหมาดตะฮัจญุดอย่างไรในเมื่อเราละหมาดวิเตรฺพร้อมอิหม่ามไปแล้ว ? ...
2. ถ้าเราละหมาดตะรอเวี๊ยะห์พร้อมอิหม่าม แต่แยกออกมาทำวิเตรฺเป็นการส่วนตัว จะได้รับผลบุญเท่ากับละหมาดทั้งคืนอย่างที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวไว้หรือไม่ ? ..
3. ความหมายหะดีษที่ว่า .. إِجْعَلُوْا آخِرَ صَلاَتِكُمْ بِاللَّيْلِ وِتْرًا

ตอบ ..
ผมจะตอบคำถามของคุณทีละข้อดังนี้ครับ ...
(1). จากคำถามที่ว่า .. ถ้าเราละหมาดตะรอเวี๊ยะห์และละหมาดวิเตรฺเสร็จพร้อมอิหม่ามไปแล้ว และต้องการจะละหมาดตะฮัจญุดอีก เราจะละหมาดตะฮัจญุดอย่างไร ? ...
คำตอบก็คือ .. มะอฺมูมที่ละหมาดตะรอเวี๊ยะห์และละหมาดวิเตรฺเสร็จพร้อมอิหม่ามไปแล้ว ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ "ปราม" .. หรืออีกนัยหนึ่งคือ "ห้าม" จากการทำละหมาดสุนัตใดๆอีกในเวลาที่เหลือของคืนนั้น โดยเหตุผลที่ว่า เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะประทานผลบุญให้เขาเท่ากับ "ละหมาดทั้งคืน" แล้ว ...
เขาจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาผลบุญใดๆจากการ "ละหมาด" อีกในคืนนั้น ...
ท่านอบูซัรฺ อัล-ฆิฟารีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ...
صُمْنَا، فَلَمْ يُصَلِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِنَا، حَتَّى بَقِىَ سَبْعٌ مِنَ الشَّهْرِ، فَقَامَ بِنَا حَتَّى ذَهَبَ ثُلُثُ اللَّيْلِ، ثُمَّ لَمْ يَقُمْ بِنَا فِى السَّادِسَةِ، وَقَامَ بِنَا فِى الْخَامِسَةِ حَتَّى ذَهَبَ شَطْرُ اللَّيْلِ، فَقُلْنَا : يَا رَسُوْلَ اللهِ لَوْ نَفَّلْتَنَا بَقِيَّةَ لَيْلَتِنَا هَذِهِ، فَقَالَ : إِنَّهُ مَنْ قَامَ مَعَ الْإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَةٍ ............
"พวกเราถือศีลอดกัน โดยที่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยออกมานำละหมาดพวกเราเลย จนกระทั่งเหลืออีก 7 วันของเดือน(คือ คืนที่ 23 ของเดือนรอมะฎอน) ท่านจึง(ออกมา)นำพวกเราละหมาด(ตะรอเวี๊ยะห์) จนเวลาล่วงไปหนึ่งในสามของคืน (คือละหมาดเสร็จประมาณ 4 ทุ่ม), ต่อมาท่านก็มิได้นำพวกเราละหมาดอีกใน 6 วันที่เหลือ แต่ออกมานำละหมาดใน 5 วันที่เหลือ (คือคืนที่ 25) จนล่วงไปครึ่งคืน (คือละหมาดเสร็จประมาณเที่ยงคืน) เราจึงกล่าวแก่ท่านว่า .. โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ สมมุติท่านจะปล่อยให้พวกเราละหมาดต่อไปในครึ่งคืนที่เหลือนี้ (ก็น่าจะดี).. ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ จึงกล่าวว่า .. แท้จริง ผู้ใดละหมาดพร้อมกับอิหม่ามจนอิหม่ามละหมาดเสร็จ เขาก็ถูกบันทึก (ผลบุญ) ให้เท่ากับละหมาดทั้งคืนแล้ว" ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 1375, ท่านอัน-นซาอีย์ หะดีษที่ 1604, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 806, ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 1327, ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ ในหนังสือ "อัล-มุศ็อนนัฟ" เล่มที่ 2 หน้า 286, ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ หะดีษที่ 2206, ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ "ชัรฺห์มะอานีย์ อัล-อาษารฺ" เล่มที่ 1 หน้า 349 และท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 2 หน้า 494) ...
สายรายงานของหะดีษบทนี้ ถูกต้อง .. ดังคำกล่าวของท่านอัต-ติรฺมีซีย์และท่านอัล-อัลบานีย์ ...
จะเห็นได้ว่า ท่านอบูซัรฺ ซึ่งเป็นเศาะหาบะฮ์ท่านหนึ่งที่ร่วมละหมาดตะรอเวี๊ยะห์จนเสร็จสิ้นพร้อมท่านศาสดาในคืนนั้น มีความกระตือรือร้นที่จะได้รับผลบุญละหมาดเพิ่มอีก(เช่นเดียวกับพวกเราในสมัยนี้ แต่ต่างกันคือพวกท่านจะขออนุญาตต่อท่านศาสดาก่อน) จึงได้เสนอแนะ(หรือขออนุญาต) ต่อท่านศาสดาเพื่อจะทำละหมาดสุนัตต่อไปในครึ่งคืนที่เหลือ ...
ณ เวลาที่มีคำถามถูกเสนอมานั้น ตามหลักการจึงถือว่าเป็น وَقْتُ الْحَاجَةِ .. คือเวลาที่ "จำเป็นที่สุด" ที่ท่านศาสดาจะต้องเปิดเผยหลักการศาสนาให้เศาะหาบะฮ์ที่ถาม ได้รับทราบความจริงอย่างกระจ่างและชัดเจนที่สุดโดยไม่ปิดบังอำพรางว่า สิ่งที่ถูกถามนั้น ทำได้หรือทำไม่ได้ ...
การปิดบังอำพรางความจริงหรือ كِتْمِانٌ ถือเป็นการทุจริตในการเผยแพร่ศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้เป็นรอซู้ลทุกท่าน ...
คำตอบของท่านศาสดาข้างต้น จึงเป็นการปฏิเสธไม่ให้ผู้ถามและขอร้อง - คือท่านอบูซัรฺ อัล-ฆิฟารีย์ ร.ฎ. - ทำละหมาดสุนัตใดๆอีกตามที่ขอ .. หลังจากที่ได้ "ละหมาดญะมาอะฮ์ตะรอเวี๊ยะฮ์และละหมาดวิเตรฺ" เสร็จสิ้นพร้อมอิหม่ามแล้ว ...
สมมุติถ้าผู้เป็น "มะอฺมูม" ยังสามารถละหมาดสุนัตใดๆได้หลังจากละหมาดญะมาอะฮ์ตะรอเวี๊ยะฮ์และละหมาดวิเตรฺเสร็จสิ้นพร้อมอิหม่ามแล้ว - ดังที่พวกเราบางคนกระทำกันอยู่ - ก็เท่ากับว่า การห้ามปรามของท่านศาสดาต่อการขออนุญาตทำละหมาดสุนัตเพิ่มเติมของท่านอบูซัรฺในคืนนั้น ถือเป็นการ "อธรรม" ต่อท่านอบูซัรฺ อัล-ฆิฟารีย์ ร.ฎ. และเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงต่อการปฏิบัติหน้าที่รอซู้ลของท่าน ฐานขัดขวางมิให้เศาะหาบะฮ์กระทำ "สิ่งดี" ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมผลบุญของเขา - คือการละหมาด - ตามที่เขาขออนุญาตมา ......
กรณีผู้เป็น "มะอฺมูม" ซึ่งท่านศาสดาได้ปรามหรือห้ามละหมาดใดๆอีกหลังละหมาดญะมาอะฮ์ตะรอเวี๊ยะห์และวิเตรฺเสร็จสิ้นพร้อมอิหม่ามแล้วดังหะดีษของท่านอบูซัรฺข้างต้นนี้ ต่างกับกรณีผู้เป็น "อิหม่าม" ที่นำละหมาดตะรอเวี๊ยะห์แล้วในสถานที่หนึ่ง แล้วต่อมาก็ไปนำละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งกรณีอิหม่ามนี้อาจเป็นข้ออนุโลมได้ .. ดังการกระทำของท่านฏ็อลก์ บินอลีย์ เศาะหาบะฮ์อีกท่านหนึ่ง ที่ผมจะไม่ขอเล่ารายละเอียด ณ ที่นี้ เพราะจะเป็นการยืดเยื้อเกินไป ..
จากคำกล่าวของท่านศาสดาที่ว่า مَنْ قَامَ مَعَ اْلإِمَامِ ..... (ผู้ใดได้ยืนละหมาดพร้อมอิหม่าม .....) ก็บ่งชี้ความหมายชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่ท่านศาสดาห้ามมิให้กระทำละหมาดสุนัตใดๆอีกดังหะดีษข้างต้นก็คือผู้เป็นมะอฺมูม มิใช่ผู้เป็นอิหม่าม! ...
หากมีผู้โต้แย้งว่า มีรายงานมาว่า เศาะหาบะฮ์และตาบิอีนบางท่านเคยละหมาดกิยามุ้ลลัยล์และละหมาดวิเตรฺแล้วตอนหัวค่ำ หลังจากนั้นพวกท่านก็ลุกขึ้นทำละหมาดตะฮัจญุดอีกในตอนดึก แสดงว่า สามารถทำละหมาดได้อีก เราจะให้คำตอบในเรื่องนี้อย่างไร ? ...
ผมก็ขอตอบว่า ตามที่มีรายงานมาว่า มีเศาะหาบะฮ์และตาบิอีนบางท่านเคยลุกขึ้นละหมาดตะฮัจญุดหลังจากได้ละหมาดกิยามุ้ลลัยล์และละหมาดวิเตรฺแล้วตอนหัวค่ำ ดังการบันทึกของท่านอิบนุนัศรฺ ในหนังสือ صَلَاةُ الْوِتْرِ และหนังสือ قِيَامُ اللَّيْلِ ของท่านนั้น .. ตามรูปการณ์แล้ว น่าจะเป็นการละหมาดกิยามุ้ลลัยล์ส่วนตัวที่บ้านในคืนธรรมดาทั่วไป หรือหากเป็นละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในเดือนรอมะฎอน ก็เป็นการละหมาดส่วนตัว ไม่ใช่ละหมาดญะมาอะฮ์จนเสร็จพร้อมอิหม่าม เพราะไม่มีข้อความใดในรายงานเหล่านั้นที่ระบุว่า เป็นการละหมาดญะมาอะฮ์ตะรอเวี๊ยะฮ์และวิเตรฺจนเสร็จสิ้นพร้อมอิหม่ามแล้ว .. ดังหะดีษข้างต้นนี้ ..
รายงานเหล่านั้นจึงเป็นคนละกรณีกันกับคำถามข้างต้น ...
สรุปแล้ว ผมจึงไม่ขอสนับสนุนให้ "มะอฺมูม" ท่านใดที่ละหมาดญะมาอะฮ์ตะรอเวียะห์และวิเตรฺเสร็จพร้อมอิหม่ามที่มัสยิดแล้ว "ฝ่าฝืน" คำห้ามปรามของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยการกลับไปทำละหมาดกิยามุ้ลลัยล์หรือละหมาดตะฮัจญุดอะไรที่บ้านอีก
เพราะเราย่อมทราบดีแล้วว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งท่านศาสดาจะได้รับผลอย่างไร แต่ขอส่งเสริมให้ท่านเก็บเกี่ยวผลบุญเพิ่มเติมในส่วนกลางคืนที่เหลือของเดือนรอมะฎอนหลังจากละหมาดญะมาอะฮ์ตะรอเวี๊ยะห์และวิเตรฺพร้อมอิหม่ามแล้ว ด้วยการอ่านอัล-กุรฺอาน และซิกรุ้ลลอฮ์อื่นๆแทนการละหมาดครับ ...

วัลลอฮุ อะอฺลัม ....


ละหมาดกิยามุ้ลลัยล์หลังละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ (ตอนที่ 2)



ตอบคำถามคุณ Mubarok Adam (ตอนที่ 2)

เรื่องความหมายหะดีษ .. إِجْعَلُوْا آخِرَ صَلاَتِكُمْ بِاللَّيْلِ وِتْرًا

โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

(2). ถาม .. หะดีษที่ว่า .. إِجْعَلُوْا آخِرَ صَلاَتِكُمْ بِاللَّيْلِ وِتْرًا มีความหมายอย่างไร ? ...
ตอบ
หะดีษบทนี้แปลว่า .. "จงให้ละหมาดสุดท้ายยามค่ำคืนของพวกท่านเป็นละหมาดวิเตรฺ"
หะดีษบทนี้จึงเป็น "คำสั่ง" ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้ละหมาด "สุดท้าย" ของพวกเราตอนกลางคืนเป็นละหมาดวิเตรฺ (ละหมาดที่มีร็อกอะฮ์เป็นจำนวนคี่) ...
พื้นฐาน "คำสั่ง" ตามกฎวิชาอุศู้ลุลฟิกฮ์ถือว่า เป็น "วาญิบ" .. คือ "จำเป็นจะต้องปฏิบัติตาม" .. ยกเว้นจะมีหลักฐานอื่นมาแปรเปลี่ยนคำสั่งนั้นจากวาญิบให้เป็นสุนัต ..
กรณีคำสั่งในหะดีษข้างต้นนี้ก็จัดเข้าอยู่ตามหลักเกณฑ์ยกเว้นดังกล่าว คือการละหมาดวิเตรฺเป็นละหมาดสุดท้ายยามค่ำคืนนั้นเป็นเพียงสุนัต มิใช่เป็นวาญิบ !.. ดังหลักฐานที่จะกล่าวถึงในตอนหลัง ...
ด้วยเหตุนี้ จึงมีรายงานว่า ทั้งเศาะหาบะฮ์และตาบิอีนจำนวนหนึ่งในอดีตที่หลังจากละหมาดวิเตรฺแล้วในช่วงต้นของกลางคืน จะตื่นขึ้นมาทำละหมาดตะฮัจญุดอีกในตอนดึก ...
มีรายงานมาว่า วิธีทำละหมาดตะฮัจญุดของเศาะหาบะฮ์และตาบิอีนเหล่านั้น แม้จะมี 2 ลักษณะที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการขัดแย้งกับคำสั่งให้ละหมาดวิเตรฺเป็นละหมาดสุดท้ายของหะดีษบทนี้ และหลีกเลี่ยงจากการขัดแย้งกับหะดีษอีกบทหนึ่งที่ท่านฏ็อลก์ บินอลีย์ ร.ฎ. ได้รายงานมาจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า ..
لاَ وِتْرَانِ فِىْ لَيْلَةٍ

"ไม่มีละหมาดวิเตรฺ 2 ครั้งในคืนเดียวกัน"
(บันทึกโดย ท่านอัน-นซาอีย์, ท่านอิบนุอบีชัยบะฮ์, ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์, และท่านอื่นๆ)
ซึ่ง 2 ลักษณะการละหมาดตะฮัจญุดของเศาะหาบะฮ์และตาบิอีนหลังจากละหมาดวิเตรฺแล้ว มีดังนี้ ...
ลักษณะที่ 1. .. หลังจากละหมาดวิเตรฺแล้วในช่วงต้นของกลางคืน ก็จะลุกขึ้นมาทำละหมาดตะฮัจญุดในตอนดึกเป็น "ร็อกอะฮ์จำนวนคู่" เลย .. โดยไม่ต้อง "ยกเลิก" ละหมาดวิเตรฺที่ทำไปแล้ว และไม่ต้องทำละหมาดวิเตรฺใหม่อีกให้กลายเป็น 2 วิเตรฺที่ต้องห้ามในคืนเดียว
นี่คือสิ่งที่รับรู้และปฏิบัติกันแพร่หลายในมัษฮับชาฟิอีย์ .. ดังคำกล่าวของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ในหนังสือ "อัล-มัจญมุอฺ" เล่มที่ 3 หน้า 480 ..
ท่านอิบนุ้ลมุนซิรฺได้อ้างรายงาน (ทั้งรายงานถูกต้องและไม่ถูกต้อง) ว่า ผู้ที่ปฏิบัติดังกล่าวนี้ได้แก่ ท่านอบูบักรฺ, ท่านอัมมารฺ บินยาซิรฺ, ท่านอิบนุอับบาส, ท่านสะอัด บินมาลิก, ท่านฏอวูส, ท่านอัลกอมะฮ์, ท่านมาลิก, ท่านอะห์มัด เป็นต้น ...
ลักษณะที่ 2 .. จะ "ยกเลิก" ละหมาดวิเตรฺ(ละหมาดจำนวนคี่) ที่ทำมาแล้วตอนต้นด้วยการทำละหมาดอีกร็อกอะฮ์หนึ่งเพื่อให้มันกลายเป็นจำนวนคู่กับวิเตรฺแรก จากนั้นก็จะทำละหมาดต่อไปเป็นคู่ๆตามต้องการ แล้วจะตบท้ายด้วยละหมาดวิเตรฺอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งท่านนบีย์ที่ให้ละหมาดสุดท้ายเป็นละหมาดวิเตรฺ ...
โดยนัยนี้ ละหมาดวิเตรฺตามทัศนะนี้ - ตามข้อเท็จจริง - จึงมีถึง 3 ครั้งในคืนเดียวกัน ..
ผู้ที่ปฏิบัติดังกล่าวนี้ - ตามรายงานของท่านอิบนุ้ลมุนซิรฺ - ได้แก่ท่านอุษมาน, ท่านอลีย์, ท่านสะอัด, ท่านอิบนุมัสอูด, ท่านอิบนุอับบาส, ท่านอิบนุซีรีน, ท่านอิบนุอุมัรฺ, ท่านอิสหาก บินอิบรอฮีม เป็นต้น ...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายงานจากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. นั้น ท่านมัซรูกซึ่งเป็นตาบิอีนท่านหนึ่ง ได้ถามท่านว่า การกระทำดังกล่าวนี้เอาหลักฐานมาจากไหน ท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ตอบว่า ...
إِنَّمَا هُوَ شَيْئٌ أَفْعَلُهُ بِرَأْيِىْ، لاَ رِوَايَةَ عَنْ أَحَدٍ

"มันเป็นเพียงสิ่งที่ฉันทำตามความเห็น(ส่วนตัว)ของฉันเท่านั้น ไม่ใช่เป็นรายงานจากผู้ใดหรอก" ...
(บันทึกโดย ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ "ชัรฺห์มะอานีย์ อัล-อาษารฺ" เล่มที่ 1 หน้า 341) ...
ที่อธิบายมานั้นคือ "รายงานลักษณะการปฏิบัติ" ละหมาดตะฮัจญุดหลังละหมาดวิเตรฺ ของเศาะหาบะฮ์และตาบิอีนในยุคแรกๆ ซึ่งผมของดเว้นจากการออกความเห็นหรือวิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น ...
ส่วนการที่ผมได้กล่าวในตอนต้นว่า แม้ท่านศาสดาจะสั่งให้ละหมาดวิเตรฺเป็นละหมาดสุดท้ายของกลางคืน และพื้นฐานของคำสั่งถือเป็นวาญิบ แต่คำสั่งในกรณีนี้ถือเป็นคำสั่งสุนัต มิใช่คำสั่งวาญิบ เพราะมีหลักฐานอื่นมา "เปลี่ยนแปลง" หลักการพื้นฐานนั้นดังต่อไปนี้ ..
ก. จาก "การกระทำ" ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเอง ...
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาตอนหนึ่งมีใจความว่า ในคืนหนึ่งท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ละหมาด 8 ร็อกอะฮ์รวดแล้วนั่งอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก จากนั้นท่านก็ลุกขึ้นทำอีกหนึ่งร็อกอะฮ์ (ละหมาดวิเตรฺ) แล้วท่านก็นั่งอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้ายแล้วให้สล่าม จากนั้นท่านก็ "ละหมาดอีก 2 ร็อกอะฮ์" ขณะกำลังนั่งอยู่ ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม, ท่านอบูดาวูด, ท่านอัน-นซาอีย์, ท่านอบูอะวานะฮ์, ท่านอิบนุนัศร์ และท่านอื่นๆ) ...
ท่านอิบนุ้ลก็อยยิม ได้อ้างในหนังสือ "ซาดุ้ลมะอาด" เล่มที่ 1 หน้า 111 ถึงทัศนะของนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่กล่าวว่า หะดีษบทนี้เป็นหลักฐานว่าอนุญาตให้ละหมาดสุนัตหลังละหมาดวิเตรฺได้, และคำสั่งของท่านศาสดาเรื่องให้ละหมาดวิเตรฺเป็นละหมาดสุดท้ายของกลางคืน ถือเป็นคำสั่งสุนัต มิใช่คำสั่งวาญิบ ...
ข. จาก "คำสั่ง" ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ได้บันทึกในหนังสือ "อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์" ของท่าน หะดีษที่ 1106, ท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ในหนังสือ "อัส-สุนัน" เล่มที่ 2 หน้า 36, และท่านอัด-ดาริมีย์ในหนังสือ "อัส-สุนัน" หะดีษที่ 1594 โดยรายงานจากท่านเษาบาน ร.ฎ., จากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่กล่าวว่า ...
فَإذَا أَوْتَرَ أَحَدُكُمْ فَلْيَرْكَعْ رَكْعَتَيْنِ، فَإِنِ اسْتَيْقَظَ وَإِلاَّ كَانَتَا لَهُ

"เมื่อพวกท่านคนใดละหมาดวิเตรฺแล้ว ก็ให้เขาทำละหมาดอีก 2 ร็อกอะฮ์, เพราะถ้าหากเขาตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน(โดยไม่ได้ทำมันก่อนนอน ก็จะได้ทำมัน) แต่ถ้าเขาไม่ตื่น ทั้ง 2 ร็อกอะฮ์นั้นก็เป็นของเขา (คือเขาได้ทำมันก่อนนอน) แล้ว" ...
ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์ได้กล่าวใหนังสือ "อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์" ของท่าน เล่มที่ 2 หน้า 159 สรุปว่า .. คำสั่งในหะดีษบทนี้ที่ให้ละหมาดสุนัตสองร็อกอะฮ์หลังจากละหมาดวิเตรฺแล้วแสดงว่า การละหมาดสุนัตหลังละหมาดวิเตรฺเป็นที่อนุญาตแก่ทุกคนที่ประสงค์จะทำมัน มิใช่เป็นเรื่อง "เฉพาะตัว" ของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่อย่างใด ...
หมายเหตุ
จากคำกล่าวของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า .. "ก็ให้เขาทำละหมาดอีก 2 ร็อกอะฮ์" .. แสดงว่าท่านกำหนดให้ทำละหมาดหลังจากละหมาดวิเตรฺแล้วเพียง 2 ร็อกอะฮ์ ! .. และท่านเองก็ทำเพียง 2 ร็อกอะฮ์เช่นเดียวกัน ดังหลักฐานจากหะดีษบทที่ 1 .....
คำสั่งนี้ ก็คล้ายๆกับคำสั่งของท่านต่อผู้ที่เข้าไปในมัสญิดว่า ...
إَذَا دَخَلَ أَحَدُكُمُ الْمَسْجِدَ فَلْيَرْكَعْ رَكْعَتَيْنِ قَبْلَ أَنْ يَجْلِسَ

"เมื่อพวกท่านคนใดเข้าไปในมัสญิด ก็ให้เขาละหมาด 2 ร็อกอะฮ์ก่อนจะนั่งลง"
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 69 จากท่านอบูกอตาดะฮ์ ร.ฎ.) ...
นั่นคือ คำสั่งให้ทำละหมาดตะหี้ยะตุ้ลมัสญิดได้ 2 ร็อกอะฮ์ ไม่น้อยหรือมากไปกว่านั้น ..
ผมไม่เคยเจอนักวิชาการท่านใดกล่าวว่า อนุญาตให้ทำละหมาดตะหี้ยะตุ้ลมัสญิดเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ ตามที่ท่านนบีย์กำหนดไว้ได้ ..
เหมือนกับที่ผมไม่เคยเจอหะดีษมัรฺฟูอฺ (หะดีษที่อ้างไปถึงท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) บทใดที่กล่าวว่า อนุญาตให้ทำละหมาดหลังจากวิเตรฺเกิน 2 ร็อกอะฮ์ได้ ..
และเมื่อพิจารณาจากการกระทำของเศาะหาบะฮ์หรือตาบิอีนที่ผ่านมาที่ทำละหมาดหลังวิเตรฺเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ ก็ไม่ปรากฏว่าพวกท่านคนใดจะอ้างหลักฐานยืนยันการกระทำของพวกท่านเลยเช่นเดียวกัน ...
สมมุติถ้าจะมีการอ้างหะดีษที่ว่า .. "การละหมาดตอนกลางคืน ให้ทำทีละคู่, ทีละคู่ ....." มาเป็นหลักฐานเรื่องอนุญาตทำละหมาดตอนกลางคืนได้มากเท่าที่ต้องการในกรณีนี้ก็คงไม่ได้
เพราะหะดีษบทนี้หมายถึง "การละหมาดกลางคืนก่อนละหมาดวิเตรฺ" .. ดังหลักฐานจากข้อความตอนท้ายของหะดีษนี้ที่ว่า .. "เมื่อพวกท่านคนใดกลัวจะถึงเวลาละหมาดซุบฮ์ ก็ให้เขาทำอีก 1 ร็อกอะฮ์ เพื่อมันจะได้เป็นวิเตรฺของสิ่งที่ทำไปแล้ว" ...
แต่ที่เรากำลังพูดถึงขณะนี้ คือ "ละหมาดสุนัตหลังจากละหมาดวิเตรฺแล้ว" .. ซึ่งเป็นคนละกรณีกับหะดีษบทนี้ แถมในการละหมาดสุนัตหลังละหมาดวิเตรฺ ยังมีคำสั่งชัดเจนจากท่านนบีย์ให้ทำเพียง 2 ร็อกอะฮ์ด้วย ...
ที่อธิบายมานี้ มิใช่ผมจะตัดสินว่า การละหมาดสุนัตหลังวิเตรฺเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ ทำได้หรือทำไม่ได้ ...
ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตและสงสัยว่า ...
1. การละหมาดสุนัตหลังจากละหมาดวิเตรฺเกินกว่า 2 ร็อกอะฮ์ จะเป็นการฝ่าฝืนหรือทำ "เกินเลย" จากคำสั่งของท่านศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมหรือไม่ ? ..
2. มีหลักฐานบทใดที่อนุญาตให้กระทำอย่างนี้ได้ ? ...

อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

15/6/60

หากมือไม่สัมผัสพื้นทั้งหมดขณะสุญูด




ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ตอบ

อัสลามูอาลัยกุม ..................................อาจารย์คับ ภรรยาผมฝากคำถามมาคับ คือตอนที่เธอเรียนอยู่ที่ ปอเนาะ ครูสอนว่า เวลาสุยุสนิ้วมือควรจะโผล่ออกมาจากผ้าละกงเล็กน้อย แบบนี้ได้ไหมคับ........ หรือว่า ถ้ามือไม่โผล่ออกมานอกผ้าเลยเวลาสุยุส แบบไหนจะดีกว่ากันครับ...ญาซากัลเลาะคับ

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม .. ขออภัยที่ตอบช้าไปนิดครับ .. สำหรับอวัยวะสุญูดทั้ง 7 ที่ต้องสัมผัสกับพื้นขณะสุญูดนั้น นักวิชาการกล่าวว่าที่วาญิบจะต้องให้ถูกพื้นจริงๆโดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้นก็คือ "บางส่วน" ของหน้าผากครับ ส่วนอื่นเช่นเท้าจะสวมรองเท้าถุงเท้า, หรือมือจะสวมถุงมือก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าให้อวัยวะสุญูดบางส่วน เช่นมือสัมผัสกับพื้นโดยตรงจะดีที่สุดครับ วัลลอฮุ อะอฺลัม ..


สรุปการทำหัจญ์ ปี พ.ศ. 2553


ในการเดินทางไปทำหัจญ์เมื่อปี พ.ศ. 2553 ผมได้เขียนไดอารีบันทึกการทำหัจญ์ไว้อย่างละเอียดทุกวัน และเคยนำลงในเฟสนี้แล้วด้วยครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ....
แต่ในที่นี้ ผมขอนำ "บทสรุป" สิ่งที่ถือว่าเป็น “ที่สุด” ในการทำหัจญ์ปีนั้น - ตามทัศนะของผม - มาให้พวกเราได้อ่านเล่นกันคลายเครียดดังต่อไปนี้...
- น่าเบื่อที่สุด การเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะกลางคืนมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีดำ(ความมืด) เท่าๆกับที่กลางวันมองไม่เห็นอะไรนอกจากขี้ลม เอ๊ย ก้อนเมฆรูปร่างแปลกๆ ...
- น่าโมโหที่สุด ห้องน้ำที่สนามบินเมืองญิดดะฮ์ขาเข้า เพราะน้ำ(ถูกตัด)ขาดทันทีที่หุจญาจญ์ชาวไทยเดินทางเข้าสู่ห้องตรวจ จนหุจญาจญ์ทุกคนอารมณ์เสียเพราะไม่มีแม้แต่น้ำจะทำวุฎูอ์หรือล้างขี้ ...
- ลำเอียงที่สุด สนามบินเมืองมะดีนะฮ์ ทีเครื่องบินไทยจะไปลง มันอ้างว่าสนามบินกำลังปิดซ่อม แต่พอเครื่องบินมาเลย์และอินโดไปบ้าง กลับลงจอดได้เฉยเลย ...
- บริการดีที่สุด โรงแรมที่พักที่มะดีนะฮ์ เพราะนอกจากจะสะอาดสะอ้านแล้วยังมีทีวีให้เราได้ฟังข่าวและชมรายการโปรดคือกีฬาต่างๆได้ด้วย ...
- น่าดูชมที่สุด ร่มหงายหรือร่มดอกผักบุ้งที่ลานด้านนอกรอบมัสญิดมะดีนะฮ์ กลางวันเปิด แต่กลางคืนหุบด้วยระบบไฮดรอลิกส์อันทันสมัย ...
- เสมอต้นเสมอปลายที่สุด หุจญาจญ์สตรีชาวตุรกี เพราะแต่ละคนเหมือนหล่อออกมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน คืออ้วนเผละเจ้าเนื้อเหมือนๆกัน แถมยังรูปร่างสูงต่ำเสมอต้นเสมอปลายไล่เลี่ยกันชนิดซื้อเสื้อตัวเดียวแต่ใส่ได้ทั้งกลุ่ม ร้อยคนก็ร้อยคน ...
- มาตรฐานใกล้เคียงกันที่สุด การอ่านของอิหม่ามมัสญิดท่านนบีย์ที่มะดีนะฮ์ เพราะความไพเราะแทบจะไม่แตกต่างกันเลย นอกจากบางคนอาจมีเสียงทุ้มกว่าบางคนเท่านั้น ...
- หลอกตาที่สุด ผู้คนที่นั่งเต็มใกล้ประตูทางเข้ามัสญิดท่านนะบีย์ที่มะดีนะฮ์และมัสญิดหะรอมที่มักกะฮ์ แต่ข้างในกลับว่างโล่งทั้งสองมัสญิด ...
- น่ารำคาญที่สุด เสียงมุบัลลิฆหรือผู้ถ่ายทอดเสียงการตักบีรฺของอิหม่ามทั้งสองมัสญิดข้างต้น เพราะเสียงดังและลากเสียงยาวเกินความจำเป็นจนทำลายสมาธิของผู้นมาซ ...
- คุ้นตาที่สุด หุจญาจญ์ไทยแลนด์, มาเลเซียและอินโดนีเซียที่ยกมืออ่าน “ลูกอ่อนกุนูตซุโบะฮ์” เพราะต่อให้อ่านเร็วเป็นรถไฟด่วนยังไงก็ไม่ทันจบชัวร์
- เป็นกิจวัตรประจำที่สุด การนมาซให้คนตายหลังนมาซฟัรฺฎู 5 เวลา แถมบางเวลายังล่อเสียตั้งสองรอบเพราะผู้ตายเยอะ ...
- เป็นงงที่สุด ผู้อะซานทั้งมัสญิดมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ที่อะซานนมาซซุบฮ์ 2 ครั้ง แต่ดันอ่านตัษวีบคำว่า اَلصَّلاَةُ خَيْرٌ مِنَ النَّوْمِ ในอะซานครั้งหลังของนมาซซุบฮ์ ทั้งที่ท่านนบีย์สั่งให้อ่านในการอะซานครั้งแรก ...
- สะดวกที่สุด การฏอว้าฟตอนเดินทางถึงมักกะฮ์วันแรก เพราะผู้คนน้อยมากๆชนิดสิบปีมีให้ดูครั้งเดียวจริงๆ ...
- อ่านอัล-กุรฺอ่านไพเราะที่สุด อิหม่ามมัสญิดหะรอมที่นำนมาซซุบฮ์ช่วงหลังๆก่อนพวกเราเดินทางกลับ ...
- เส้นใหญ่ที่สุด อิหม่ามมัสญิดหะรอมที่นำนมาซมัคริบและอิชาเป็นประจำหลายสัปดาห์ ทั้งที่ลีลาการอ่านไม่ไพเราะเลย จนหลายคนบ่นเบื่อไปตามๆกัน ...
- ค้ากำไรเกินควรที่สุด พวกเชือดวัว(ดัมตะมัตตั๊วะอฺ)ที่มักกะฮ์ก่อนถึงวันเชือดจริงคือวันที่สิบเดือนซุลหิจญะฮ์ แล้วถือโอกาสกักตุนเนื้อวัวไว้เพื่อประหยัดเงินซื้อกับข้าวเลี้ยงหุจญาจญ์ได้หลายมื้อ ...
- เก่งที่สุด แมนนี่ ปาเกียวที่ต้อนตือชนะคะแนนอันโตนิโอ มาการิโต้หายห่วง (เอ๊ะ แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องทำหัจญ์ตรงไหนไม่ทราบ ?) ...
- บ้ามวยที่สุด ก็คนที่โทรศัพท์จากมักกะฮ์มาถามข่าวผลการชกของปาเกียวที่เมืองไทยถึง 3 ครั้งในวันเดียว หมดเงินไปกว่า 150 บาท ...
- ทรมานที่สุด การเข้าคิวยาวเหยียดทีละ 6-7 คนเพื่อรอเข้าห้องน้ำที่มินาทั้ง 5-6 วัน จนบางคนทนไม่ไหวต้องฉี่ราดหน้าห้องน้ำก็มี ...
- ฝืดคอที่สุด อาหารเลี้ยงหุจญาจญ์ชาวไทยที่มินาอีกนั่นแหละ เพราะข้าวสารที่ใช้หุงมีคุณภาพต่ำ แถมบางครั้งหุงสวยจนเกือบเหมือนข้าวสารอีกต่างหาก ...
- ซอบัรฺที่สุด หมัดเพื่อนเราที่ยอมหิ้วหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็กไปหุงกินเองที่มินา เพราะเป็นคนกินยาก .. (กับข้าวทุกมื้อทั้ง 6 วันคือปลากระป๋อง) แถมบางมื้อยังถูกหุจญาจญ์(ใจดำ)บางคนมาขอเอี่ยวจนตัวเองกินไม่อิ่มก็มี ...
- แสบที่สุด ข้าวต้มมื้อเช้าวันสุดท้ายที่มินา เพราะเอาข้าวสุกที่(น่าจะ)เหลือเมื่อเย็นวานมาต้มให้พวกเรากิน ...
- ได้ผลที่สุด ยาถ่ายยี่ห้อ “ส้มทองเปรี้ยว” จิ้มน้ำปลา ทีไหนทีนั้นไม่เคยผิดหวัง
- อร่อยที่สุด ข้าวมื้อที่ไปกินที่บ้านอะฉะ เพราะมีกับข้าวเยอะแยะไปหมด จึงล่อจนพุงกางทุกคน ...
- น่าเกลียดที่สุด พวกที่ลุกขึ้นทำนมาซซุฮ์รี่, อัศรี่ และอิชาต่ออีกจนครบ 4 ร็อกอะฮ์ที่มินา ขณะที่ท่านจุฬาฯ นำนมาซย่อเพียง 2 ร็อกอะฮ์ .. ไม่ไว้หน้าท่านจุฬากันบ้างเลย ...
- น่าสงสารที่สุด ผู้ที่อุตส่าห์ปลูกก้อนหิน 7 ก้อนที่อะรอฟะฮ์ตามการแนะนำของโต๊ะครูบางท่าน แล้วก้อนหินเหล่านั้นมันไม่ยอมงอก ...
- ทุเรศที่สุด ผู้ชายเอเชียและยุโรปบางชาติที่จูงมือเมียไปยืนนมาซแถวเดียวกับตนเอง แถมบางครั้งแถวที่ว่าดันเป็นแถวหน้าสุดของผู้ชายอีกด้วย ...
- สินค้าท็อปฮิตที่สุด คงไม่มีสิ่งใดเกินฮิญาบลายพื้นขาวดอกดำหรือพื้นดำดอกขาว มีเกล็ดพลาสติกใสเล็กๆแวววาวติดอยู่ทั่วผืน หุจญาจญ์สตรีทุกชาติทุกภาษาแย่งซื้อกันมาก พวกเราเฉพาะฉ่าหน๊ะคนเดียวซื้อมาสองโหลครึ่ง, นัยนาโหลครึ่ง, เจ๊ะหย๊ะสองโหล เราเองซื้อมาเบาะๆแค่หนึ่งโหลเท่านั้น ...
- พีถีพิถันในการซื้อของที่สุด พรรคพวกเราคนหนึ่ง เพราะชวนเราไปเดินหาซื้อแหวนให้แก่ลูกชายสุดเลิฟ 5 วันติดๆกันจึงได้แหวนเงินหัวทับทิมมาตั้ง 1 วง .
- น่าผิดหวังที่สุด การจัดทัวร์ไปเที่ยวญิดดะฮ์ของแซะฮ์กอมารุดดีน เพราะรถที่จัดมาแม้จะมีแอร์ก็เหมือนไม่มี แถมอาหารที่นำมาเลี้ยงก็ไม่ถูกปากลูกทัวร์เท่าไร หลายคนบ่นพึมว่าจัดทัวร์ปีนี้ไม่ผ่าน สู้ปีกลายไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ...
- แถมโบนัสให้มากที่สุด คือสัญญานมือถือเครือข่าย Zain เพราะมีโบนัสให้โทรฟรีครั้งละ 30-60 ถึง 120 ริยาลก็ยังมี เสียที่บังคับให้โทรให้หมดภายใน 4 วัน ...
- แย่ที่สุด แก็สในครัวของเราดันหมดเกลี้ยงก่อนเดินทางกลับเพียง 1 วัน ทำเอาพวกเราเกือบอดข้าว ..
.
- น่ารักที่สุดในกลุ่มพวกเรา นัยนาภรรยาของสมชาย เพราะสุภาพอ่อนหวานกับทุกคนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ...
- คุยเก่งที่สุด หทัยวรรณ (ก้อย) หลานสะไภ้ของเราที่คุยจ้อได้ไม่หยุดปากแต่มีสาระ จนญาติๆทุกคนชอบอกชอบใจชมเปาะไปตามๆกัน ...
- สวยที่สุด(ในสายตาพรรคพวกเราคนหนึ่ง) นอกจากภรรยาแล้ว คงไม่มีใครเกิน "น้องดำ" จากเอธิโอเปียไปได้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เอ๊ย ลองถามเจ้าตัวดู ..
- โดนแซวมากที่สุด ก็พรรคพวกเราคนนั้นนั่นแหละ เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ดูมันน่าแซวไปหมดทุกกระบวนท่า ..
- มีบุญคุณกับเรามากที่สุด ก็บังแอและเจ๊ะหย๊ะ พี่ชายและพี่สะไภ้ของเรา เพราะรับอาสาเป็นพ่อครัวและแม่ครัวตลอดรายการ ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงมะดีนะฮ์จนวันสุดท้ายคือวันเดินทางออกจากมักกะฮ์ ขออัลลอฮ์โปรดตอบแทนความดีแก่เขาทั้งสองมากๆด้วยเถิด ...
- เซอไพรซ์ที่สุด ก็ตัวเราเองที่ไปทำหัจญ์คราวนี้แทบจะไม่เหยียบย่างเข้าร้านขายหนังสือเลย ต่างกับการมาทุกครั้งในปีก่อนๆที่พอเดินผ่านร้านขายหนังสือทีไร เป็นต้องหยุดกึกเหมือนนาฬิกาลานขาดทุกที ...
- รายได้มหาศาลที่สุด ก็ประเทศซาอุฯ เจ้าถิ่นการทำหัจญ์ ได้ข่าวว่ามีเงินไหลเข้าช่วงเทศกาลหัจญ์ประมาณ 35 ล้านล้านริยาล คิดเป็นเงินไทยเท่าไร ให้เอา 8.20 คูณดู ...
- คิดถึงมากที่สุด .. จะต้องให้บอกด้วยหรือว่า เป็นใคร ? ...
อัลหัมดุลิลลาฮ์ ในที่สุดเราและพรรคพวกทุกคนก็เดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพพร้อมด้วยความมั่นใจในหัจญ์ที่พวกเราปฏิบัติไปว่าต้องเป็นหัจญ์มับรูรฺ เพราะพวกเราเน้นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่านศาสดามากที่สุดเท่าที่พวกเราพึงกระทำได้แล้ว ...

อ.มะห์มูด (ปราโมทย์) ศรีอุทัย
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553 : วันเสาร์ ที่ 28 เดือนซุลหิจญะฮ์ ฮ.ศ. 1431


วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จับเท็จชีอะฮ์ (ตอนที่ 1)


โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

بِسْـمِ اللهِ الرَّحْمَـنِ الرَّحِـيْمِ
اَلْحَمْدُ للهِ الْقَائِلِ : وَأَنْزَلْنَا إلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إلَيْهِمْ، وَالصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلَى نَبِيِّنَا مُحَمَّدٍ الْقَائِلِ : تَرَكْتُ فِيْكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوْا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا، كِتَابَ اللهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ، وَعَلَى آلِهِ وَصَحْبِهِ الْمُتَمَسِّكِيْنَ بِهَدْيِهِ وَسُنَّتِهِ أَجْمَعِيْنَ أَمَّا بَعْدُ :
(หมายเหตุ)
ข้อเขียนนี้ ผมเขียนไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน ปีพ.ศ. 2556 มีความยาวประมาณ 60 กว่าหน้ากระดาษขนาด เอ 4 เป็นการจับเท็จข้อเขียนข้องชีอะฮ์คนหนึ่งใน 4 ประเด็นด้วยกัน เพราะผมเขียนวิเคราะห์และชี้แจงแต่ละประเด็นค่อนข้างละเอียด .. การเอานำลงในเฟสทั้งหมดในคราวเดียวกันจึงทำไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตัดตอน ตอนละ 5 หน้าโดยประมาณ เพื่อไม่ให้ผู้อ่านตาลายและเบื่อหน่ายเกินไป จึงเรียนมาเพื่อทราบครับ ..
เกริ่นเรื่อง ...
เมื่อหลายวันก่อน เพื่อนฝูงบางคนได้มอบเอกสาร 2 ชิ้น ชิ้นแรกมีความหนา 11 หน้า และชิ้นหลังมีความหนา 30 หน้ามาให้ผมตรวจสอบดู เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นโดยชีอะฮ์จากกรุงเทพท่านหนึ่ง ภายใต้หัวข้อเรื่องว่า “เอกสารที่ระลึกเมาลิดุนนบี ฮ.ศ.1434 วันประกาศเกียรติคุณศาสดามุฮัมมัด (ศ) : 27 ม.ค. 2556 ตลาดนัดปริก (หลังบ้านกำนัน) ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา” .. และหัวข้อเรื่องว่า “ที่มาหลักศรัทธาอิสลามตามแนวทางชีอะฮ์อาลี” ตามลำดับ ...
ผมได้อ่านเอกสารทั้งสองชิ้นนั้นแล้ว ก็พอจะเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เขียนว่า ต้องการจะชี้แจงแนวความเชื่อของชีอะฮ์ - ที่ถูกต้องตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง - ให้ชาวบ้านและบรรดาผู้ที่เลื่อมใสในแนวทางชีอะฮ์รับรู้กัน เพราะตระหนักดีว่า มุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศไทยระแวงชีอะฮ์ - โดยเฉพาะในแนวความเชื่อหรือภาคศรัทธา - ที่หลายอย่างแตกต่างจากแนวความเชื่อของมุสลิมส่วนใหญ่ที่เรียกกันว่า อะฮ์ลุซซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ - เหมือนขาวกับดำ ...
ผมไม่ติดใจในความเชื่อและเจตนารมณ์ของผู้เขียนข้างต้นเพราะเป็นสิทธิของท่านที่จะเชื่ออย่างไรก็ได้ แต่ผมติดใจเนื้อหาที่ผู้เขียนท่านนั้นเขียนมา และรู้สึกว่าถึงอย่างไรชีอะฮ์ก็ยังเป็นชีอะฮ์วันยังค่ำ นั่นคือ ปกปิด, บิดเบือน, กลบเกลื่อน, และอำพรางความจริงเพื่อตบตาชาวบ้านที่ไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกเขา ดังที่ผมจะเขียนชี้แจงต่อไป ...
เพราะฉะนั้น ก่อนจะชี้แจงและจับเท็จนักวิชาการชีอะฮ์ท่านนั้นใน 4 ประเด็นที่เขาเขียนมาให้ได้รับทราบกัน ผมก็อยากขอเตือนสติพี่น้องมุสลิมซุนนะฮ์ทุกท่านด้วยความหวังดีและห่วงใยอย่างแท้จริง ก่อนที่ท่านจะหลงเชื่อการพูดจาหว่านล้อมหรือโฆษณาชวนเชื่อของชีอะฮ์ แล้วพวกท่านก็จะหลงทางจนกู่ไม่กลับ ...
นี่คือ ข้อคิดที่ผมขอฝากไว้กับพี่น้องทุกท่าน ...
เตือนสติพี่น้องชาวซุนนะฮ์
เป็นที่รับรู้กันมานมนานแล้วในแวดวงมุสลิมฝ่ายซุนนะฮ์ - (คำว่าซุนนะฮ์ในที่นี้หมายถึงพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่ทั้งในประเทศไทยและทั้งโลก ไม่ว่าจะถูกเรียกว่าเป็นคณะเก่าหรือคณะใหม่) - ว่า มีบุคคลกลุ่มหนึ่งอ้างตัวเองว่า พวกเขาก็เป็นมุสลิมเช่นเดียวกับพวกเรา ศรัทธาในพระเจ้าเหมือนกับพวกเรา, เชื่อในคำสอนของท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเหมือนอย่างพวกเรา, ปฏิบัตินมาซ, จ่ายซะกาต, ถือศีลอด และเดินทางไปทำหัจญ์เหมือนพวกเรา ฯลฯ ...
แต่จริงๆแล้ว หลักอะกีดะฮ์หรือความเชื่อ(รุก่นอีหม่าน), หลักปฏิบัติ (รุก่นอิสลาม) และอื่นๆอีกหลายอย่างของบุคคลกลุ่มนี้ จะแตกต่างและขัดแย้งจากพวกเราชาวซุนนะฮ์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งนักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์ทั้งอดีตและปัจจุบันมีความเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า หลักความเชื่อหรืออะกีดะฮ์ของบุคคลกลุ่มนี้ เป็นหลักความเชื่อที่หลงผิด ...
หรืออีกนัยหนึ่ง "บุคคลกลุ่มนี้ ไม่ใช่มุสลิม" เหมือนพวกเรา .. อย่างที่พวกเขาแอบอ้าง
บุคคลกลุ่มนี้ เป็นที่รับรู้กันในนาม “ชีอะฮ์ อิษนาอะชะรียะฮ์” หรือที่รู้จักกันในนามชีอะฮ์ สิบสองอิหม่าม ...
ความขัดแย้งในเรื่อง “หลักศรัทธา” และ “หลักปฏิบัติ” ที่ดูเหมือนจะยืนกันคนละฟากระหว่างซุนนะฮ์กับชีอะฮ์ แตกต่างกับความขัดแย้งในภาคปฏิบัติของปัญหาศาสนาทั่วๆไปที่ผู้รู้ฝ่ายซุนนะฮ์ของเราเองซึ่งแบ่งฝ่ายเป็นคณะเก่า-คณะใหม่ชอบนำมาถกเถียงกัน อาทิเช่น เรื่องอ่านบิสมิลลาฮ์ดังหรือค่อย, มะอฺมูมจำเป็นต้องอ่านฟาติหะฮ์หรือไม่ถ้าอิหม่ามอ่านดัง, การอ่านกุนูตทุกเช้าในนมาซซุบห์เป็นซุนนะฮ์หรือไม่, การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ต้องทำ 11 ร็อกอะฮ์หรือ 23 ร็อกอะฮ์ เป็นต้น ...
เพราะความขัดแย้งในเรื่องเหล่านี้ - ส่วนมาก - มักจะมีที่มาจากการมองหลักฐานต่างมุมของนักวิชาการ เพราะฉะนั้น ผู้ฟังมีสิทธิ์จะยอมรับเอาคำตอบจากมุมมองของนักวิชาการท่านใดที่เราเห็นว่ามันคือความถูกต้องตามมุมมองของเรามาปฏิบัติได้ เนื่องจากมันเป็นเพียงความขัดแย้งในภาคปฏิบัติ (ฟุรูอ์) ซึ่ง - ส่วนใหญ่ของความแตกต่างเหล่านี้ - จะไม่ส่งผลเสียร้ายแรงต่อความเป็นมุสลิมของผู้ปฏิบัติ .. ตามทัศนะของนักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์ ...
แต่ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายซุนนะฮ์และฝ่ายชีอะฮ์เป็นเรื่องร้ายแรงเกินกว่าที่ใครจะทดลองเป็นชีอะฮ์ดูอย่างที่บางคนกล่าว ...
ทว่า ... มันเป็นความขัดแย้งที่มี “นรกหรือสวรรค์” เป็นเดิมพัน !!! ...
หมายความว่า ทันทีที่เราเปลี่ยนอะกีดะฮ์จากแนวซุนนะฮ์ไปเป็นแนวชีอะฮ์ นั่นก็หมายถึงว่า เรากำลังเบี่ยงเบนวิถีชีวิตของเรา – ถ้าไม่จากนรกสู่สวรรค์ ก็เท่ากับจากสวรรค์สู่นรกเลยทีเดียว ...
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่มั่นใจว่าตนเองมีอีหม่านต่ออัลลอฮ์และรอซู้ลอย่างแท้จริง จะรีบด่วนหลงเชื่อหรือคล้อยตามการโฆษณาชวนเชื่อใดๆของชีอะฮ์แล้วละทิ้งแนวศรัทธาเดิมของตนซึ่งเป็นหลักศรัทธาของมุสลิมส่วนใหญ่ของโลกไปยึดถือตามหลักศรัทธาของชีอะฮ์ จึงต้องใคร่ครวญและชั่งใจให้ดีเสียก่อน ...
เพราะหลักศรัทธาคือหัวใจของศาสนาซึ่งเปรียบเสมือนการติดกระดุมเสื้อเม็ดแรก
ถ้าท่านติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็อย่าหวังเลยว่ากระดุมเม็ดต่อไปท่านจะติดถูกที่ถูกทางของมันได้ ...


จับเท็จชีอะฮ์ (ตอนที่ 2)


โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

การที่นักวิชาการชีอะฮ์ยุคหลังบางคนพยายามจะมอมเมาให้ชาวซุนนะฮ์หลงเชื่อว่า หลักศรัทธาของชีอะฮ์ไม่มีปัญหาใดๆและไม่แตกต่างอันใดกับหลักศรัทธาของพวกเรา, พวกเขานับถือพระเจ้าองค์เดียวกับพวกเรา, มีศาสดาท่านเดียวกับพวกเรา, ใช้อัล-กุรฺอานเล่มเดียวกับพวกเรา ฯลฯ ...
คำกล่าวเหล่านี้ เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น ดังข้อมูลหักล้างที่ผมจะได้นำเสนอต่อไป
เพราะ .. แม้กระทั่งนักเขียนชีอะฮ์ "ในประเทศไทย" บางคน ยังเคยเขียนหนังสือในลักษณะล้อเลียนพระองค์อัลลอฮ์ของพวกเรา, ดูหมิ่นเหยียดหยามท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมของพวกเรา .. โดยใช้สำนวนเน้นๆว่า .. "พระเจ้าของซุนหนี่, ศาสดาของซุนหนี่" ..
(อย่างนี้แสดงว่า พระเจ้าของชีอะฮ์. ศาสดาของชีอะฮ์ ? .. คนละองค์, คนละคน กับพระเจ้าและศาสดาของซุนหนี่ใช่ไหม ??) ...
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการในอดีตของชีอะฮ์บางคน ยังเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของพวกเขากับพระเจ้าของพวกเราเป็นคนละองค์กัน, เพราะพวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้าของพวกเรา, และบุคคลใด (หมายถึงชาวซุนนะฮ์) ที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับอิหม่ามคนใดของพวกเขา บุคคลนั้นคือ "กาเฟรฺ" ที่ "จะต้องอยู่ในนรกตลอดกาล" .. ดังหลักฐานที่จะถึงต่อไปเช่นเดียวกัน อินชาอัลลอฮ์ ..
 แล้วอย่างนี้ พวกเรายังจะหลงเชื่อการหลอกลวงของชีอะฮ์อีกหรือว่า ชีอะฮ์กับพวกเรานับถือศาสนาเดียวกัน, มีพระเจ้าองค์เดียวกัน มีศาสดาท่านเดียวกัน, ยึดถืออัล-กุรฺอานเล่มเดียวกัน ?? ...
นักวิชาการชีอะฮ์ - ทั้งนอกประเทศและในประเทศ - หุก่มพวกเราว่าเป็น "กาเฟรฺ" มานานแล้ว พวกเรายังไม่รู้สึกตัว ...
เพราะฉะนั้น เมื่อชีอะฮ์ถูกหุก่มว่าเป็น "กาเฟรฺ" จากนักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์บ้าง ชีอะฮ์ก็ต้องมีใจสปอร์ต อย่าโอดครวญหรือุทธรณ์ฎีกาอะไรทั้งสิ้น ..
ชาวบ้าน - ส่วนใหญ่ - ไม่รู้หรอกว่าขณะนี้กำลังถูกชีอะฮ์หลอกลวง เพราะตามความเชื่อชีอะฮ์ จะมีหลักปฏิบัติประการหนึ่งซึ่งพวกเขาถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดขนาดเป็น “เก้าส่วนในสิบส่วน” ของศาสนาของพวกเขา ...
ผู้ใดไม่ยอมรับหลักการข้อนี้ไปปฏิบัติ หะดีษของชีอะฮ์หุก่มว่า
ผู้นั้นไม่มีศาสนา ! ...
หลักการที่ว่านี้ คือการ “ตะกียะฮ์”(تَقِيَّةٌ) หรือการ “หลอก” ผู้อื่นให้หลงเชื่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน ...
ไม่ว่าชีอะฮ์จะแปลคำว่า “ตะกียะฮ์” นี้ว่า หมายถึง การอำพรางความจริง, การปกปิดความจริง, การซ่อนเร้นความจริง หรือจะแปลให้มันไพเราะเพราะพริ้งอย่างไรก็ได้ ...
แต่สรุปแล้วความหมายของมันก็หนีไม่พ้นคำว่า “หลอก” นั่นแหละ ...
นักวิชาการชีอะฮ์ยุคใหม่ได้ให้ความหมายตะกียะฮ์ว่า ...
اَلتَّقِيَّةُ هِىَ أَنْ تَقُوْلَ أَوتَفْعَلَ غَيْرَ مَا تَعْتَقِدُ لِتَدْفَعَ الضَّرَرَ عَنْ نَفْسِكَ أَوْ مَالِكَ أَوْ لِتَحْفَظَ بِكَرَامَتِكَ
“ตะกียะฮ์ คือการที่คุณพูดหรือกระทำสิ่งซึ่งไม่ใช่เป็นความเชื่อของคุณ ..เพื่อป้องกันอันตรายต่อตัวของคุณ, หรือต่อทรัพย์สินของคุณ, หรือเพื่อปกป้องเกียรติของคุณ” ...
(จากหนังสือ “مِنْ عَقَائِدِ الشِّيْعَةِ” หน้า 10) ...
คำนิยามตะกียะฮ์ดังข้างต้น ตามข้อเท็จจริงแล้วเป็นเพียง "ทฤษฎี" ที่ชีอะฮ์เขียนไว้โก้ๆอย่างนั้นเอง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มิใช่เช่นนั้น ..
เพราะในทางปฏิบัติจริงๆ ชาวชีอะฮ์สามารถนำ "ตะกียะฮ์" มาใช้ได้ในทุกๆสถานการณ์หรือทุกเรื่องเท่าที่ชีอะฮ์เห็นว่าจำเป็น เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการ ...
ตัวอย่างเช่น ...
ชีอะฮ์ไปชอบลูกสาวของฝ่ายซุนนะฮ์คนหนึ่ง แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ยอมยกลูกสาวให้เพราะรังเกียจความเป็นชีอะฮ์ ชีอะฮ์คนนั้นก็จำเป็นต้องใช้วิธีตะกียะฮ์ คือ “หลอก” พ่อแม่ฝ่ายหญิงว่า ตนเองเป็นชาวซุนนะฮ์เหมือนกัน ไม่ได้เป็นชีอะฮ์อะไรหรอก ...
(ตัวอย่างนี้ ผมมิได้คิดเอง-เขียนเอง แต่ผมมีข้อมูลจากการฟัตวาของฝ่ายชีอะฮ์เอง เพราะฉะนั้นหากชีอะฮ์คนใดรับไม่ได้ก็ให้ไปโต้แย้งกันเอาเอง) ...
ชีอะฮ์เปิดร้านขายอาหารในย่านชุมชนของซุนนะฮ์ แต่ขายไม่ได้เพราะชาวบ้านรู้แกวและไม่ยอมสนับสนุน ชีอะฮ์ก็จำเป็นต้องตะกียะฮ์ คือ “หลอก” ชาวบ้านว่าเขาไม่ใช่ชีอะฮ์หรอกอย่าเข้าใจผิด ..
ชีอะฮ์คนใดถือว่า ฝ่ายซุนนะฮ์ไม่ใช่เป็นมุสลิมหรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นกาเฟรฺ เวลามุสลิมฝ่ายซุนนะฮ์คนใดเสียชีวิตแล้วชีอะฮ์คนนั้นมานมาซญะนาซะฮ์หรือนมาซผู้ตายให้ ก็พึงทราบเถิดว่าเขากำลัง “หลอก” ท่าน ดังการสารภาพของนักวิชาการชีอะฮ์เอง ...
(ข้อนี้ชีอะฮ์อย่าปฏิเสธเสียให้ยาก เพราะผมมีหลักฐานพร้อมมูลอยู่ในมือเช่นเดียวกัน)
หรือในกรณีที่เห็นชัดเจนแล้วว่า หลักความเชื่อ, หลักปฏิบัติหลายอย่างของชีอะฮ์ ชาวบ้านที่เป็นซุนนะฮ์ซึ่งเป็นมุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศไทยรับไม่ได้ ชีอะฮ์ในประเทศไทยก็จำเป็นต้องใช้หลักตะกียะฮ์ คือ “หลอก” ชาวบ้านว่า หลักความเชื่อและหลักปฏิบัติส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ก็เหมือนกับฝ่ายซุนนะฮ์นั่นแหละ (อย่างในกรณีของผู้เขียนชีอะฮ์ท่านนี้ เป็นต้น) ...
ฝ่ายซุนนะฮ์เราก็อนุญาตให้มีตะกียะฮ์หรือการ “หลอก” เหมือนกัน แต่ห้ามนำมาใช้พร่ำเพรื่อนอกจากกรณีการหลอกศัตรูของอิสลามเพื่อปกป้องชีวิตตนเองหรือปกป้องความลับหรือไพร่พลส่วนใหญ่ของอิสลามไว้ ...
ผมไม่จำเป็นต้องอ้างหลักฐานจากหะดีษของชีอะฮ์, เรื่องตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ - ทั้งหมด - ซึ่งมีอยู่เป็นสิบๆบทในมือของผม (เฉพาะจากรายงานของท่านกุลัยนีย์ในหนังสือ “อุศู้ล อัล-กาฟีย์” ซึ่งชีอะฮ์ถือว่ามีความถูกต้องยิ่งกว่าหะดีษบุคอรีย์ของพวกเรา ก็ร่วม 23 บทเข้าไปแล้ว) ...
ในที่นี้ ผมจะนำเสนอเพียง 3 บทเป็นตัวอย่างให้เห็นกันดังนี้ ..
.
1. ท่านกุลัยนีย์ – บุคอรีย์ของชีอะฮ์ – ได้อ้างรายงานจากท่านอบูอับดิลลาฮ์ (หมายถึงท่านญะฟัรฺ อัศ-ศอดิก อิหม่ามท่านที่ 6 ของชีอะฮ์) ซึ่งกล่าวแก่สาวกคนหนึ่งคืออบูอุมัรฺ อัล-อะอฺญะมีย์ว่า ...
يَا أَبَا عُمَرَ، إِنَّ تِسْعَةَ أَعْشَارِ الدِّيْنِ فِى التَّقِيَّةِ! وَلاَ دِيْنَ لِمَنْ لاَ تَقِيَّةَ لَهُ ........
“อบูอุมัรฺเอ๋ย แท้จริงเก้าส่วนในสิบส่วนของศาสนาอยู่ในเรื่องตะกียะฮ์ และไม่ถือว่ามีศาสนาสำหรับผู้ไม่มีตะกียะฮ์ ..........” ...
(จากหนังสือ “อุศูลอัล-กาฟีย์” ของกุลัยนีย์ เล่มที่ 2 หน้า 217 หรือหะดีษที่ 2 จากบาบอัต-ตะกียะฮ์) ...
(ลงถึงขั้นให้ความสำคัญกับตะกียะฮ์ตั้ง “เก้าส่วนในสิบส่วน” ของศาสนา แสดงว่าหลักปฏิบัติที่สำคัญอย่างอื่นของอิสลาม อาทิเช่นการนมาซ, การถือศีลอด เป็นต้น ต้องชิดซ้ายลงข้างทางไปเลย เพราะเทียบความสำคัญกันแล้วยังไม่ได้เศษเสี้ยวของการตะกียะฮ์หรือการหลอกลวงชาวบ้านเพื่อให้ได้ตามจุดประสงค์เมื่อจำเป็นเลย) ...

2. ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานจากอบูบะศีรฺว่า ...
قَالَ أَبُوْ عَبْدِاللهِ عَلَيْهِ السَّلاَمُ : اَلتَّقِيَّةُ مِنْ دِيْنِ اللهِ! قُلْتُ : مِنْ دِيْنِ اللهِ؟ قَالَ : إِىْ وَاللهِ، مِنْ دِيْنِ اللهِ ..........................
ท่านอบูอับดิลลาฮ์ (ท่านญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกอิหม่ามท่านที่ 6 ของชีอะฮ์) ได้กล่าวว่า “การตะกียะฮ์ คือส่วนหนึ่งของศาสนาอัลลอฮ์”.. ฉัน (อบูบะศีรฺ) กล่าวว่า “เป็นส่วนหนึ่งจากศาสนาของอัลลอฮ์เลยหรือ?” ท่านตอบว่า “ใช่, ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ว่า (มัน)เป็นส่วนหนึ่งจากศาสนาของอัลลอฮ์(จริงๆ) ................”
(หะดีษที่ 3 จากหนังสือเล่มเดียวกัน, บาบเดียวกัน) ...
(เชิญอ่านและพิจารณากันเอาเองเถิดว่า หลักการตะกียะฮ์หรือการหลอกลวงของชีอะฮ์ เป็นศาสนาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จริงๆ หรือเป็นศาสนาของ “ชีอะฮ์จริงๆ” กันแน่) ...
3. ท่านกุลัยนีย์ได้อ้างคำกล่าวของท่านอบูอับดิลลาฮ์ (อิหม่ามญะอฺฟัรฺ) เกี่ยวกับโองการที่ 34 ซูเราะฮ์ฟุศศิลัตที่ว่า وَلاَ تَسْتَوِى الْحَسَنَةُ وَلاَالسَّيِّئَةُ إِدْفَعْ بِالَّتِّىْ هِىَ أَحْسَنُ .. (และความดีนั้น หาเท่าเทียมกับความชั่วไม่ เจ้าจงขับไล่(ความชั่ว) ด้วยวิธีที่มันดีกว่า) ..โดยท่านอบูอับดิลลาฮ์ให้คำอรรถาธิบายว่า ...
اَلْحَسَنَةُ التَّقِيَّةُ، وَالسَّيِّئَةُ اْلإِذَاعَةُ ..........
“ความดี ก็คือการตะกียะฮ์ (หลอก, อำพรางความจริงไว้) และความชั่วก็คือ การแพร่หลายความจริง, .................”
(หะดีษที่ 6 จากหนังสือเล่มเดียวกัน บาบเดียวกัน) ...
(ลงถึงขั้นการพูดความจริงคือความชั่ว ส่วนการหลอกเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตนเองกลายเป็นความดี ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงถูก และไม่รู้ด้วยว่ายังจะมีศาสนาไหนในโลกสอนศาสนิกของตนอย่างนี้นอกจากศาสนาของชาวชีอะฮ์) ...
ชีอะฮ์จะกล้าค้านไหมว่า หลักฐานเรื่องหลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์จากหนังสืออุศูลอัล-กาฟีย์ที่ผมนำมาอ้างดังข้างต้นนี้ เป็นหลักฐานเท็จ และ/หรือเป็นการใส่ร้ายชีอะฮ์ ? ...