อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

แก้ไขความเข้าใจผิดจากความหมายหะดีษบางบท


โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย ..

มีหะดีษอยู่บทหนึ่งที่ผมได้ยินนักวิชาการหลายท่านแปลออกมาเป็นภาษาไทย แต่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นการให้ความหมายไม่ถูกต้อง แถมบางท่านยังมีการเพิ่มเติมข้อความของหะดีษด้วย
นั่นคือหะดีษที่ว่า ...

إِنَّ اللهَ إحْتَجَزَ التَّوْبَةَ عَنْ صَاحِبِ كُلِّ بِدْعَةِ ...

(บันทึกโดย ท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-เอาซัฏ” หะดีษที่ 4360, ท่านอบูอัช-ชัยค์ในหนังสือ “ตารีค อัศบะฮาน” หน้า 259, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “ชุอะบุลอีมาน” เล่มที่ 2 หน้า 380 และท่านผู้บันทึกอีกบางท่าน โดยสืบสายรายงานไปจนถึงท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ.) ...
สายรายงานของหะดีษบทนี้ ถูกต้อง, ตรงตามเงื่อนไขของท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม ยกเว้นผู้รายงานท่านหนึ่งคือ ท่านฮารูน บินมูซา อัล-ฟะรอวีย์ ที่มิได้อยู่ตามเงื่อนไขของทั้งสองท่านนั้น ...
ท่านอัล-ฮัยษะมีย์ได้นำหะดีษบทนี้ลงบันทึกในหนังสือ “มัจญมะอฺ อัซ-สะวาอิด” ของท่าน เล่มที่ 10 หน้า 308 แล้วกล่าวว่า ...

رَوَاهُ الطَّبْرَانِىُّ فِى اْلأَوْسَطِ، وَرِجَالُهُ رِجَالُ الصَّحِيْحِ غَيْرَ هَارُوْنَ بْنِ مُوْسَى الْفَرَاوِىِّ وَهُوَ ثِقَةٌ

“รายงานโดยท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-เอาซัฏ” ผู้รายงานของมันเป็นผู้รายงานของหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ (หมายถึงท่านบุคอรีย์และมุสลิม) ยกเว้นท่านฮารูน บินมูซา อัล-ฟะรอวีย์ ซึ่งท่านผู้นี้ เชื่อถือได้” ...
ส่วนท่านอัล-มุนซิรีย์ ได้บันทึกหะดีษบทนี้ลงในหนังสือ “อัต-ตัรฺฮีบฯ” ของท่าน (เล่มที่ 1 หน้า 45) แล้วกล่าววิจารณ์ว่า ...
رَوَاهُ الطَّبْرَانِىُّ، وَإسْنَادُهُ حَسَنٌ
“รายงานโดยท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์, สายรายงานของมัน สวยงาม (หะซัน)” ...
สรุปแล้ว สถานภาพของหะดีษบทนี้จึงเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์หรือหะดีษหะซันเป็นอย่างน้อย ...
ข้อความที่แท้จริงของหะดีษบทนี้จากทุกกระแส มีอยู่แค่นี้ ...
แต่มีบางคน ได้เพิ่มเติมข้อความต่อท้ายหะดีษนี้อีกว่า ...
حَتىَّ يَدَعَ بِدْعَتَهُ
แล้วมีการให้คำแปล - ทั้งหมด - ว่า ...
“แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะไม่ทรงรับเตาบะฮ์ของผู้ที่ทำบิดอะฮ์ทุกอย่าง จนกว่าเขาจะละทิ้งบิดอะฮ์ของเขาเสียก่อน” ...
การให้ความหมายดังกล่าวข้างต้นนี้ ไม่น่าจะถูกต้อง ...
เป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จะไม่ทรงรับเตาบะฮ์จากบ่าวของพระองค์ หากเขาปฏิบัติครบเงื่อนไขการเตาบะฮ์ ? ...
อย่าว่าแต่คนทำบิดอะฮ์เลย ต่อให้คนทำชิริก ซึ่งถือว่าเป็นบาปใหญ่ที่สุดยิ่งกว่าบาปทุกชนิด พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ยังทรงรับเตาบะฮ์ของเขา หากเขาปฏิบัติได้ถูกต้องตามเงื่อนไข ...
หลักฐานเกี่ยวกับการรับเตาบะฮ์ของพระองค์อัลลอฮ์จากบ่าวของพระองค์ มีมากมายในอัล-กุรฺอานและในอัล-หะดีษ ซึ่งผมไม่จำเป็นจะต้องนำเสนอ ณ ที่นี้ ...
แม้กระทั่งซูเราฮ์ที่ 9 ของอัล-กุรฺอาน ยังมีชื่อว่า “ซูเราะฮ์ อัต-เตาบะฮ์ ...
แล้วอะไรเล่า คือความหมายที่ถูกต้องของหะดีษข้างต้น ? ...
ความหมายที่ถูกต้องของของหะดีษข้างต้นก็คือ ...
“แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงปิดกั้นการเตาบะฮ์จาก (หัวใจ) คนทำทุกอย่างที่เป็นบิดอะฮ์” ...
หมายความว่า คนที่ทำบิดอะฮ์นั้น พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงปิดกั้นหัวใจของเขาไม่ให้นึกเตาบะฮ์ ...
หรืออีกนัยหนึ่ง เขาจะไม่มีวันที่จะคิดเตาบะฮ์ !!...
ทั้งนี้ ก็เพราะเขายังหลงเข้าใจว่า สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง, มิใช่เป็นบิดอะฮ์ และมิใช่เป็นความผิด ...
ใครบ้างที่เมื่อยังมีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วจะคิดเตาบะฮ์จากการกระทำนั้นของตน ?? ...
เมื่อเขายังหลงงมงายอยู่ในความเข้าใจผิดเช่นนี้ พระองค์อัลลอฮ์ก็จะทรงปิดกั้นจิตใจของคนที่ทำบิดอะฮ์มิให้มีความคิดที่จะเตาบะฮ์อยู่เช่นนั้นตลอดไป จนกว่าเขาจะ “ตาสว่าง” และยอมรับความจริงว่า สิ่งที่ตนเองกระทำอยู่ เป็นบิดอะฮ์และเป็นสิ่งต้องห้ามทางศาสนา ...
เมื่อนั้น พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ก็จะทรงเปิดสิ่งปิดกั้นออก ...
และเมื่อนั้น เขาก็จะ “นึกเตาบะฮ์” จากความผิดพลาด และจากการกระทำบิดอะฮ์ของตนที่ผ่านมาในอดีตทั้งหมด ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ....





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น