โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
ทัศนะนักวิชาการเกี่ยวกับทางออกของความขัดแย้งเรื่องเครื่องประดับทองคำสตรี
ทัศนะที่ 1. หะดีษที่ห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำดังที่กล่าวมาตอนต้น เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ...
เกี่ยวกับทัศนะที่หนึ่งนี้ ผมคงจะไม่ต้องชี้แจงอะไรมาก เพราะนักวิชาการหะดีษจำนวนมากยอมรับแล้วว่า หะดีษที่ห้ามสตรีจากการใช้แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำดังข้างต้นนั้น เป็นหะดีษที่ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ์) .. ดังที่ผมได้วิเคราะห์และได้ตีแผ่รายงานของพวกท่านไปแล้ว ทัศนะนี้จึงรับฟังไม่ขึ้น ...
เกี่ยวกับทัศนะที่หนึ่งนี้ ผมคงจะไม่ต้องชี้แจงอะไรมาก เพราะนักวิชาการหะดีษจำนวนมากยอมรับแล้วว่า หะดีษที่ห้ามสตรีจากการใช้แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำดังข้างต้นนั้น เป็นหะดีษที่ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ์) .. ดังที่ผมได้วิเคราะห์และได้ตีแผ่รายงานของพวกท่านไปแล้ว ทัศนะนี้จึงรับฟังไม่ขึ้น ...
ทัศนะที่ 2. ถือว่า ข้อห้ามดังกล่าวนั้น หมายถึงการสวมใส่โดยเจตนาโอ้อวด,
นักวิชาการที่มีทัศนะดังกล่าว ได้อ้างหลักฐานจากหะดีษบทหนึ่งซึ่งท่านริบอีย์ บินหิรอช (เป็นตาบิอีนระดับอาวุโส, สิ้นชีวิตประมาณปี ฮ.ศ. 100), ได้รายงานมาจากภรรยาของท่าน, จากน้องสาวของท่านหุซัยฟะฮ์ บินอัล-ยะมาน ร.ฎ. ซึ่งกล่าวว่า ...
นักวิชาการที่มีทัศนะดังกล่าว ได้อ้างหลักฐานจากหะดีษบทหนึ่งซึ่งท่านริบอีย์ บินหิรอช (เป็นตาบิอีนระดับอาวุโส, สิ้นชีวิตประมาณปี ฮ.ศ. 100), ได้รายงานมาจากภรรยาของท่าน, จากน้องสาวของท่านหุซัยฟะฮ์ บินอัล-ยะมาน ร.ฎ. ซึ่งกล่าวว่า ...
خَطَبَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالَ : يَا مَعْشَرَالنِّسَاءِ! أَمَا لَكُنَّ فِى الْفِضَّةِ مَا تَحَلَّيْنَ ؟ أَمَا إِنَّهُ لَيْسَ مِنْكُنَّ امْرَأَةٌ تُحَلِّىذَهَبًا تُظْهِرُهُ إِلاَّ عُذِّبَتْ بِهِ ...
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวอบรมพวกเรา, ท่านกล่าวว่า .. “สุภาพสตรีทั้งหลาย ! ไม่มีสำหรับพวกเธอซึ่งธาตุเงินที่พวกเธอจะใช้ประดับประดากันแล้วหรือ ? .. แท้จริง ไม่มีสตรีใดจากพวกเธอที่ใช้เครื่องประดับทองคำและโชว์ (อวด) มัน เว้นแต่นางจะถูกลงโทษเพราะการโชว์นั้น” ...
(บันทึกโดยท่าน อัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 5153, ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 437, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 398, เล่มที่ 6 หน้า 357, 358, 369, และท่านอัด-ดาริมีย์ หะดีษที่ 2645) ...
หะดีษบทนี้แสดงว่า สตรีที่ใส่เครื่องประดับทองคำโดยเจตนาโชว์หรืออวดมัน นางก็จะถูกลงโทษฐานอวดเครื่องประดับนั้น, เพราะฉะนั้น ความหมายในมุมกลับก็ คือ ถ้านางสวมใส่มัน แต่ไม่ได้มีเจตนาโชว์หรืออวดแก่ผู้ใด นางก็จะไม่ถูกลงโทษ ...
ข้อชี้แจง
1. สถานภาพของหะดีษบทนี้ เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ! จึงนำมาอ้างเป็นหลักฐานเรื่องเจตนาโชว์หรือไม่เจตนาโชว์เครื่องประดับทองคำไม่ได้, เพราะภรรยาของท่านริบอีย์ บินหิรอช ผู้รายงานท่านหนึ่ง ไม่เป็นที่รู้จัก (มัจญฮูล) ...
ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัต-ตักรีบ” เล่มที่ 2 หน้า 630 ว่า .. لَمْ أَقِفْ عَلَى اسْمِهَا .. คือ ฉันไม่เคยรู้ชื่อของเธอเลย ...
2. ในกรณีที่ “สมมุติ” ว่าหะดีษบทนี้ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ์) แต่ข้ออ้างที่ว่า การโชว์เครื่องประดับทองคำคือเหตุผลที่ทำให้ห้ามใส่เครื่องประดับนั้น ก็ยังรับฟังไม่ขึ้น ..
ทั้งนี้ ถ้าเหตุผลแห่งการห้ามคือการอวดหรือโชว์ เหตุผลเดียวกันนี้ก็จะครอบคลุมเครื่องประดับทุกชนิด ไม่ใช่เฉพาะทองคำเท่านั้นที่ถูกห้ามใส่โชว์ แต่เครื่องประดับที่ทำจากเงินก็จะถูกห้ามใส่โชว์ด้วยเช่นเดียวกัน, .. ซึ่งประเด็นนี้ขัดแย้งกับข้อความตอนท้ายของหะดีษซึ่งรายงานโดยท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ที่ผ่านมาแล้วจากหน้า 15 .. โดยท่านศาสดานอกจากมิได้ห้ามแล้ว ท่านกลับ “ส่งเสริม” ให้ใช้เงินด้วยการกล่าวว่า “พวกท่านจงหาความเพลิดเพลินด้วยเงินเถิด” ...
ท่านอิหม่าม อัซ-ซินดี้ย์ ได้อธิบายในลักษณะคล้ายกันกับคำอธิบายของผมข้างต้นนี้ในหนังสืออธิบาย “สุนัน อัน-นะซาอีย์” เล่มที่ 8 หน้า 535 ...
3. หรือแม้กระทั่งหะดีษห้ามใส่เครื่องประดับทองคำจากบทที่สอง อันเป็นเรื่องของบุตรีท่านฮุบัยเราะฮ์และเรื่องท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ.ที่ผ่านมาแล้ว .. จะเห็นได้ว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. มิได้อวดหรือโชว์สร้อยคอทองคำเส้นนั้นเลย ตรงข้ามท่านพยายามปกปิดมันด้วยการกำไว้ในมือด้วยซ้ำ แต่ท่านศาสดาก็กล่าวตำหนิและไม่พอใจเธออย่างรุนแรงเมื่อเห็นสร้อยทองคำนั้นอยู่ในมือของเธอ ...
แสดงว่า ข้อห้ามในเรื่องนี้ เหตุผลหลักก็คือ “ห้ามใส่เพราะมันเป็นสร้อยคอทองคำ” .. ส่วนการห้ามโชว์หรืออวดนั้น ถือเป็นการ “เน้น” เรื่องนี้ให้มีน้ำหนักแห่งการห้ามมากยิ่งขึ้น คือนอกจากจะห้ามบรรดาสตรีจากการสวมใส่เครื่องประดับทองคำประเภทแหวน, สร้อยคอ และกำไลแล้ว ยังต้องการให้พวกเธอรังเกียจและหลีกห่างจากเครื่องประดับชนิดนี้ให้มากขึ้นอีก ทั้งนี้ เพราะสตรีแทบจะ .. หรือทุกคน ที่ใส่เครื่องประดับทองคำ ก็ล้วนต้องการอวดหรือโชว์มันด้วยกันทั้งนั้น ...
ข้ออ้างที่ว่า เหตุผลในการห้ามเครื่องประดับทองคำแก่สตรี หมายถึงในกรณีต้องการอวดหรือโชว์ จึงรับฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ...
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวอบรมพวกเรา, ท่านกล่าวว่า .. “สุภาพสตรีทั้งหลาย ! ไม่มีสำหรับพวกเธอซึ่งธาตุเงินที่พวกเธอจะใช้ประดับประดากันแล้วหรือ ? .. แท้จริง ไม่มีสตรีใดจากพวกเธอที่ใช้เครื่องประดับทองคำและโชว์ (อวด) มัน เว้นแต่นางจะถูกลงโทษเพราะการโชว์นั้น” ...
(บันทึกโดยท่าน อัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 5153, ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 437, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 398, เล่มที่ 6 หน้า 357, 358, 369, และท่านอัด-ดาริมีย์ หะดีษที่ 2645) ...
หะดีษบทนี้แสดงว่า สตรีที่ใส่เครื่องประดับทองคำโดยเจตนาโชว์หรืออวดมัน นางก็จะถูกลงโทษฐานอวดเครื่องประดับนั้น, เพราะฉะนั้น ความหมายในมุมกลับก็ คือ ถ้านางสวมใส่มัน แต่ไม่ได้มีเจตนาโชว์หรืออวดแก่ผู้ใด นางก็จะไม่ถูกลงโทษ ...
ข้อชี้แจง
1. สถานภาพของหะดีษบทนี้ เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ! จึงนำมาอ้างเป็นหลักฐานเรื่องเจตนาโชว์หรือไม่เจตนาโชว์เครื่องประดับทองคำไม่ได้, เพราะภรรยาของท่านริบอีย์ บินหิรอช ผู้รายงานท่านหนึ่ง ไม่เป็นที่รู้จัก (มัจญฮูล) ...
ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัต-ตักรีบ” เล่มที่ 2 หน้า 630 ว่า .. لَمْ أَقِفْ عَلَى اسْمِهَا .. คือ ฉันไม่เคยรู้ชื่อของเธอเลย ...
2. ในกรณีที่ “สมมุติ” ว่าหะดีษบทนี้ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ์) แต่ข้ออ้างที่ว่า การโชว์เครื่องประดับทองคำคือเหตุผลที่ทำให้ห้ามใส่เครื่องประดับนั้น ก็ยังรับฟังไม่ขึ้น ..
ทั้งนี้ ถ้าเหตุผลแห่งการห้ามคือการอวดหรือโชว์ เหตุผลเดียวกันนี้ก็จะครอบคลุมเครื่องประดับทุกชนิด ไม่ใช่เฉพาะทองคำเท่านั้นที่ถูกห้ามใส่โชว์ แต่เครื่องประดับที่ทำจากเงินก็จะถูกห้ามใส่โชว์ด้วยเช่นเดียวกัน, .. ซึ่งประเด็นนี้ขัดแย้งกับข้อความตอนท้ายของหะดีษซึ่งรายงานโดยท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ที่ผ่านมาแล้วจากหน้า 15 .. โดยท่านศาสดานอกจากมิได้ห้ามแล้ว ท่านกลับ “ส่งเสริม” ให้ใช้เงินด้วยการกล่าวว่า “พวกท่านจงหาความเพลิดเพลินด้วยเงินเถิด” ...
ท่านอิหม่าม อัซ-ซินดี้ย์ ได้อธิบายในลักษณะคล้ายกันกับคำอธิบายของผมข้างต้นนี้ในหนังสืออธิบาย “สุนัน อัน-นะซาอีย์” เล่มที่ 8 หน้า 535 ...
3. หรือแม้กระทั่งหะดีษห้ามใส่เครื่องประดับทองคำจากบทที่สอง อันเป็นเรื่องของบุตรีท่านฮุบัยเราะฮ์และเรื่องท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ.ที่ผ่านมาแล้ว .. จะเห็นได้ว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. มิได้อวดหรือโชว์สร้อยคอทองคำเส้นนั้นเลย ตรงข้ามท่านพยายามปกปิดมันด้วยการกำไว้ในมือด้วยซ้ำ แต่ท่านศาสดาก็กล่าวตำหนิและไม่พอใจเธออย่างรุนแรงเมื่อเห็นสร้อยทองคำนั้นอยู่ในมือของเธอ ...
แสดงว่า ข้อห้ามในเรื่องนี้ เหตุผลหลักก็คือ “ห้ามใส่เพราะมันเป็นสร้อยคอทองคำ” .. ส่วนการห้ามโชว์หรืออวดนั้น ถือเป็นการ “เน้น” เรื่องนี้ให้มีน้ำหนักแห่งการห้ามมากยิ่งขึ้น คือนอกจากจะห้ามบรรดาสตรีจากการสวมใส่เครื่องประดับทองคำประเภทแหวน, สร้อยคอ และกำไลแล้ว ยังต้องการให้พวกเธอรังเกียจและหลีกห่างจากเครื่องประดับชนิดนี้ให้มากขึ้นอีก ทั้งนี้ เพราะสตรีแทบจะ .. หรือทุกคน ที่ใส่เครื่องประดับทองคำ ก็ล้วนต้องการอวดหรือโชว์มันด้วยกันทั้งนั้น ...
ข้ออ้างที่ว่า เหตุผลในการห้ามเครื่องประดับทองคำแก่สตรี หมายถึงในกรณีต้องการอวดหรือโชว์ จึงรับฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ...
ทัศนะที่ 3. ถือว่า การห้ามดังกล่าว หมายถึงกรณียังไม่จ่ายซะกาต ...
ทัศนะนี้ ได้อ้างหลักฐานจากหะดีษที่ถูกต้องบทหนึ่งซึ่งรายงานมาจากอัมร์ บินชุอัยบ์, จากบิดาของท่าน, จากปู่ของท่าน ซึ่งกล่าวว่า ...
ทัศนะนี้ ได้อ้างหลักฐานจากหะดีษที่ถูกต้องบทหนึ่งซึ่งรายงานมาจากอัมร์ บินชุอัยบ์, จากบิดาของท่าน, จากปู่ของท่าน ซึ่งกล่าวว่า ...
(( إِنَّ امْرَأَةً أَتَتْ رَسُوْلَ الله ِصَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلََّمَ وَمَعَهَا ابْنَةٌ لَهَا، وَفِىْ يَدِ ابْنَتِهَا مَسَكَتَانِ (أَىْ سِوَارَانِ) غَلِيْظَتَانِ مِنْ ذَهَبٍ، فَقَالَ لَهَا : أَتُعْطِيْنَ زَكَاةَ هَذَا ؟ قَالَتْ : لاَ قَالَ : أَيَسُرُّكِ أَنْ يُسَوِّرَكِ اللهُ بِهِمَا يَوْمَ الْقِيَامَةِ سِوَارَيْنِ مِنْ نَارٍ ؟ قَالَ : فَخَلَعَتْهُمَا فَأَلْقَتْهُمَا إِلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَقَالَتْ : هُمَا لِلهِ عَزَّ وَجَلَّ وَلِرَسُوْلِهِ ))
“สตรีผู้หนึ่งได้ไปหาท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมโดยนำบุตรสาวเล็กๆไปด้วย ซึ่งในมือบุตรสาวของนางมีกำไลทองคำใหญ่ 2 วงสวมอยู่ ท่านศาสดาจึงกล่าวแก่นางว่า .. “เธอจะจ่ายซะกาตสิ่งนี้ไหม ?” .. นางตอบว่า .. “ไม่ค่ะ” .. ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า .. “เธอชอบที่จะให้อัลลอฮ์สวมกำไล 2 วงจากไฟนรกแก่เธอในวันกิยามะฮ์เพราะมันทั้งสองกระนั้นหรือ ?” .. ปู่ของท่านอัมร์กล่าวต่อไปว่า .. นางจึงถอดกำไลทั้งสองนั้นออก แล้ววางมันให้แก่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมแล้วนางก็กล่าวว่า .. “ทั้งสองเส้นนี้ เป็นของพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงเกรียงไกร, ทรงยิ่งใหญ่ และเป็นของรอซู้ลของพระองค์” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 1563, ท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 2478 และท่านอบูอุบัยด์ในหนังสือ “อัล-อัมวาล” หะดีษที่ 1260) ...
หะดีษบทนี้ ถูกอธิบายเหมือนหะดีษบทก่อน .. คือเหตุผลที่ท่านนบีย์ฯ ห้ามสวมกำไลทองคำนั้น ก็เพราะเจ้าของปฏิเสธการจ่ายซะกาต, .. ดังเนื้อหาของหะดีษบทนี้ ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 1563, ท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 2478 และท่านอบูอุบัยด์ในหนังสือ “อัล-อัมวาล” หะดีษที่ 1260) ...
หะดีษบทนี้ ถูกอธิบายเหมือนหะดีษบทก่อน .. คือเหตุผลที่ท่านนบีย์ฯ ห้ามสวมกำไลทองคำนั้น ก็เพราะเจ้าของปฏิเสธการจ่ายซะกาต, .. ดังเนื้อหาของหะดีษบทนี้ ...
ข้อชี้แจง
หะดีษบทนี้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่มีทัศนะว่า เครื่องประดับทองคำทุกชนิด วาญิบต้องจ่ายซะกาตด้วย .. ซึ่งถือว่าเป็นทัศนะที่ถูกต้อง ...
โปรดสังเกตด้วยว่า หะดีษนี้กล่าวถึงเฉพาะในประเด็นวาญิบต้องจ่ายซะกาตกำไลทองคำ และโทษของการไม่จ่ายซะกาตมันในวันอาคิเราะฮ์เท่านั้น แต่มิได้กล่าวถึงเรื่องการ “อนุมัติ” หรือการ “ห้าม” สวมกำไลทองคำแต่ประการใด .. ซึ่งตรงข้ามกับ “หะดีษห้าม” ในตอนต้น ที่ระบุชัดเจนถึงการห้ามสตรีใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิด โดยมิได้เอ่ยถึงเรื่องการจ่ายซะกาตแม้แต่คำเดียว ...
ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่า อนุมัติให้สตรีสวมกำไลทองคำได้หากมีการจ่ายซะกาตแล้ว จึงเป็นเพียง “ความเห็น” ที่ไม่มีตัวบ่งชี้ (اَلدِّلاَلَةُ) ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจากหะดีษบทนี้หรือบทไหน ...
ทั้งนี้ เพราะการที่ผู้ครอบครองกำไลทองคำจะถูกพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ลงโทษฐานไม่ยอมจ่ายซะกาตเป็นเรื่องหนึ่ง, แต่การห้ามสวมกำไลทองคำเพราะมันเป็นทองคำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีส่วนสัมพันธ์กัน ...
สำนวนหะดีษจากการรายงานของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ.บทแรกจากหน้า 15 ซึ่งท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า .. “ผู้ใดพึงใจจะให้ผู้ที่เขารักสวมแหวนจากไฟนรก ก็จงสวมแหวนทองคำให้เขาเถิด ฯลฯ .......” ก็บ่งบอกความหมายชัดเจนแล้วว่า เจตนารมณ์ของท่านศาสดาจากหะดีษบทนี้ก็คือ ห้ามสวมแหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ, และกำไลทองคำ, .. และ สาเหตุที่ท่านห้ามสวมก็เพราะมันเป็นทองคำ, .. ซึ่งท่านกล่าวว่า มันเป็นแหวน, สร้อย และกำไลจากไฟนรก ...
ส่วนหะดีษบุตรีของท่านฮุบัยเราะฮ์และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. บทถัดมาก็เช่นเดียวกัน คือท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มิได้เอ่ยถึงเรื่องการจ่ายหรือไม่จ่ายซะกาต, และก็ไม่มีข้อความใดจากหะดีษบ่งบอกว่า สร้อยคอทองคำเส้นนั้นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. มีขนาดใหญ่จนครบนิศอบ (ปริมาณ) ของซะกาต แต่ท่านศาสดาได้กล่าวแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. เพียงว่า สร้อยที่เธอถืออยู่นั้น คือสร้อยจากไฟนรก .. จนทำให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. ต้องรีบนำมันไปขาย ...
เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลอันชัดเจนว่า สาเหตุที่ท่านศาสดาห้ามสวมสร้อยคอ, หรือแหวน หรือกำไลทองคำ มิใช่เพราะไม่จ่ายซะกาต .. แต่เพราะมันเป็นทองคำ ! ซึ่งท่านเรียกมันว่า เป็นแหวน, สร้อยคอ และกำไลจากไฟนรกต่างหาก ...
ผู้อ่านบางท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่า ถ้าหากว่าการสวมใส่เครื่องประดับทองคำบางชนิดเหล่านี้เป็นที่ต้องห้ามแล้ว อิสลามจะมีความชอบธรรมในการเก็บซะกาตจากมัน (ดังหะดีษข้างต้นนั้น) ได้อย่างไร ? ...
คำตอบสั้นๆในกรณีนี้ก็คือ อิสลามเพียงแต่ “ห้ามสวม” แต่ไม่ได้ “ห้ามมี” หรือการเก็บไว้ซึ่งเครื่องประดับทองคำเหล่านี้เพื่อประกอบธุรกรรมอย่างอื่น เช่นเพื่อขายมันให้แก่คนต่างศาสนาที่สวมใส่มันได้ .. หรือนำมันไปหลอมละลายเพื่อทำเครื่องประดับในรูปลักษณ์อย่างอื่นที่ยังเป็นที่อนุมัติอีกมาก ดังที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้น ...
ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ก็คือ เรื่องภาชนะต่างๆ เช่นจาน, ขันน้ำ, แก้วน้ำ เป็นต้น ที่ทำจากทองคำ ...
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิสลามห้าม “กินหรือดื่ม” จากภาชนะเหล่านี้ที่ทำจากทองคำ, .. แต่ขณะเดียวกันอิสลามก็ไม่เคยห้าม “มีไว้” ซึ่งภาชนะเหล่านี้หากเราจะมีมันไว้เพื่อใช้มันในวัตถุประสงค์อย่างอื่น -- ตามทัศนะที่ถูกต้อง -- ดังคำกล่าวของท่านเช็คอัศ-ศ็อนอานีย์ ในหนังสือ “สุบุลุส สลาม” เล่มที่ 1 หน้า 28 ...
ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้เก็บสะสมเครื่องประดับทองคำเหล่านี้, หรือภาชนะที่ทำจากทองคำเหล่านี้ไว้ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นจากการสวมใส่ หรือใช้เป็นภาชนะดื่มกิน, และปริมาณของทองคำดังกล่าวนั้นครบจำนวน (นิศอบ) ที่จะต้องจ่ายซะกาต เขาก็ต้องจ่ายซะกาตมันเมื่อครบรอบปีตามหลักการอิสลามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการวาญิบจ่ายซะกาต เป็นคนละกรณีกันกับการห้ามสวมใส่เครื่องประดับทองคำ หรือห้ามใช้ภาชนะทองคำเหล่านี้ดื่มกิน .. ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ...
อาจจะมีผู้อ่านบางท่านติงว่า .. มีหะดีษบทหนึ่งในหนังสือ “หะลาลและหะรอมในอิสลาม” กล่าวเอาไว้ว่า ...
(( إَنَّ اللهَ إِذَا حَرَّمَ شَيْئًا حَرَّمَ ثَمَنَهُ ))
หะดีษบทนี้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่มีทัศนะว่า เครื่องประดับทองคำทุกชนิด วาญิบต้องจ่ายซะกาตด้วย .. ซึ่งถือว่าเป็นทัศนะที่ถูกต้อง ...
โปรดสังเกตด้วยว่า หะดีษนี้กล่าวถึงเฉพาะในประเด็นวาญิบต้องจ่ายซะกาตกำไลทองคำ และโทษของการไม่จ่ายซะกาตมันในวันอาคิเราะฮ์เท่านั้น แต่มิได้กล่าวถึงเรื่องการ “อนุมัติ” หรือการ “ห้าม” สวมกำไลทองคำแต่ประการใด .. ซึ่งตรงข้ามกับ “หะดีษห้าม” ในตอนต้น ที่ระบุชัดเจนถึงการห้ามสตรีใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิด โดยมิได้เอ่ยถึงเรื่องการจ่ายซะกาตแม้แต่คำเดียว ...
ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่า อนุมัติให้สตรีสวมกำไลทองคำได้หากมีการจ่ายซะกาตแล้ว จึงเป็นเพียง “ความเห็น” ที่ไม่มีตัวบ่งชี้ (اَلدِّلاَلَةُ) ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจากหะดีษบทนี้หรือบทไหน ...
ทั้งนี้ เพราะการที่ผู้ครอบครองกำไลทองคำจะถูกพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ลงโทษฐานไม่ยอมจ่ายซะกาตเป็นเรื่องหนึ่ง, แต่การห้ามสวมกำไลทองคำเพราะมันเป็นทองคำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีส่วนสัมพันธ์กัน ...
สำนวนหะดีษจากการรายงานของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ.บทแรกจากหน้า 15 ซึ่งท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า .. “ผู้ใดพึงใจจะให้ผู้ที่เขารักสวมแหวนจากไฟนรก ก็จงสวมแหวนทองคำให้เขาเถิด ฯลฯ .......” ก็บ่งบอกความหมายชัดเจนแล้วว่า เจตนารมณ์ของท่านศาสดาจากหะดีษบทนี้ก็คือ ห้ามสวมแหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ, และกำไลทองคำ, .. และ สาเหตุที่ท่านห้ามสวมก็เพราะมันเป็นทองคำ, .. ซึ่งท่านกล่าวว่า มันเป็นแหวน, สร้อย และกำไลจากไฟนรก ...
ส่วนหะดีษบุตรีของท่านฮุบัยเราะฮ์และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. บทถัดมาก็เช่นเดียวกัน คือท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มิได้เอ่ยถึงเรื่องการจ่ายหรือไม่จ่ายซะกาต, และก็ไม่มีข้อความใดจากหะดีษบ่งบอกว่า สร้อยคอทองคำเส้นนั้นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. มีขนาดใหญ่จนครบนิศอบ (ปริมาณ) ของซะกาต แต่ท่านศาสดาได้กล่าวแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. เพียงว่า สร้อยที่เธอถืออยู่นั้น คือสร้อยจากไฟนรก .. จนทำให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. ต้องรีบนำมันไปขาย ...
เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลอันชัดเจนว่า สาเหตุที่ท่านศาสดาห้ามสวมสร้อยคอ, หรือแหวน หรือกำไลทองคำ มิใช่เพราะไม่จ่ายซะกาต .. แต่เพราะมันเป็นทองคำ ! ซึ่งท่านเรียกมันว่า เป็นแหวน, สร้อยคอ และกำไลจากไฟนรกต่างหาก ...
ผู้อ่านบางท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่า ถ้าหากว่าการสวมใส่เครื่องประดับทองคำบางชนิดเหล่านี้เป็นที่ต้องห้ามแล้ว อิสลามจะมีความชอบธรรมในการเก็บซะกาตจากมัน (ดังหะดีษข้างต้นนั้น) ได้อย่างไร ? ...
คำตอบสั้นๆในกรณีนี้ก็คือ อิสลามเพียงแต่ “ห้ามสวม” แต่ไม่ได้ “ห้ามมี” หรือการเก็บไว้ซึ่งเครื่องประดับทองคำเหล่านี้เพื่อประกอบธุรกรรมอย่างอื่น เช่นเพื่อขายมันให้แก่คนต่างศาสนาที่สวมใส่มันได้ .. หรือนำมันไปหลอมละลายเพื่อทำเครื่องประดับในรูปลักษณ์อย่างอื่นที่ยังเป็นที่อนุมัติอีกมาก ดังที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้น ...
ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ก็คือ เรื่องภาชนะต่างๆ เช่นจาน, ขันน้ำ, แก้วน้ำ เป็นต้น ที่ทำจากทองคำ ...
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิสลามห้าม “กินหรือดื่ม” จากภาชนะเหล่านี้ที่ทำจากทองคำ, .. แต่ขณะเดียวกันอิสลามก็ไม่เคยห้าม “มีไว้” ซึ่งภาชนะเหล่านี้หากเราจะมีมันไว้เพื่อใช้มันในวัตถุประสงค์อย่างอื่น -- ตามทัศนะที่ถูกต้อง -- ดังคำกล่าวของท่านเช็คอัศ-ศ็อนอานีย์ ในหนังสือ “สุบุลุส สลาม” เล่มที่ 1 หน้า 28 ...
ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้เก็บสะสมเครื่องประดับทองคำเหล่านี้, หรือภาชนะที่ทำจากทองคำเหล่านี้ไว้ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นจากการสวมใส่ หรือใช้เป็นภาชนะดื่มกิน, และปริมาณของทองคำดังกล่าวนั้นครบจำนวน (นิศอบ) ที่จะต้องจ่ายซะกาต เขาก็ต้องจ่ายซะกาตมันเมื่อครบรอบปีตามหลักการอิสลามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการวาญิบจ่ายซะกาต เป็นคนละกรณีกันกับการห้ามสวมใส่เครื่องประดับทองคำ หรือห้ามใช้ภาชนะทองคำเหล่านี้ดื่มกิน .. ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ...
อาจจะมีผู้อ่านบางท่านติงว่า .. มีหะดีษบทหนึ่งในหนังสือ “หะลาลและหะรอมในอิสลาม” กล่าวเอาไว้ว่า ...
(( إَنَّ اللهَ إِذَا حَرَّمَ شَيْئًا حَرَّمَ ثَمَنَهُ ))
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.นั้น เมื่อพระองค์ทรงห้ามสิ่งใดแล้ว พระองค์ก็จะทรงห้ามราคาของมันด้วย”
(จากหนังสือ “اَلْحَلاَلُ وَالْحَرَامُ فِى اْلإِسْلاَمِ” ของท่านเช็คยูซุฟ อัล-ก็อรฺฎอวีย์หน้า 232, และหนังสือ “หะลาลและหะรอมในอิสลาม” จากฉบับคำแปลของท่านอาจารย์บรรจง บิน กาซัน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 393) ...
แสดงว่าการซื้อขายแหวน, หรือสร้อยคอ, หรือกำไลทองคำ ย่อมเป็นเรื่องต้องห้าม, เพราะเมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงห้ามใช้เครื่องประดับทองคำเหล่านั้น ก็เท่ากับพระองค์ทรงห้ามราคาที่ได้จากการซื้อขายมันด้วย ตามนัยของหะดีษบทนี้ ...
คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ สำนวนดังข้างต้นนี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 322, และท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ ในหนังสือ “อัส-สุนัน” เล่มที่ 3 หน้า 7 โดยรายงานมาจากท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง ...
แต่สำนวนที่สมบูรณ์กว่านี้และถูกต้องกว่านี้ ก็คือสำนวนที่ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอับบาส ร.ฎ. ได้รายงานจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งกล่าวว่า ...
(จากหนังสือ “اَلْحَلاَلُ وَالْحَرَامُ فِى اْلإِسْلاَمِ” ของท่านเช็คยูซุฟ อัล-ก็อรฺฎอวีย์หน้า 232, และหนังสือ “หะลาลและหะรอมในอิสลาม” จากฉบับคำแปลของท่านอาจารย์บรรจง บิน กาซัน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 393) ...
แสดงว่าการซื้อขายแหวน, หรือสร้อยคอ, หรือกำไลทองคำ ย่อมเป็นเรื่องต้องห้าม, เพราะเมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงห้ามใช้เครื่องประดับทองคำเหล่านั้น ก็เท่ากับพระองค์ทรงห้ามราคาที่ได้จากการซื้อขายมันด้วย ตามนัยของหะดีษบทนี้ ...
คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ สำนวนดังข้างต้นนี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 322, และท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ ในหนังสือ “อัส-สุนัน” เล่มที่ 3 หน้า 7 โดยรายงานมาจากท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง ...
แต่สำนวนที่สมบูรณ์กว่านี้และถูกต้องกว่านี้ ก็คือสำนวนที่ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอับบาส ร.ฎ. ได้รายงานจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งกล่าวว่า ...
(( لَعَنَ اللهُ الْيَهُوْدَ ثَلاَثًا، إِنَّ اللهَ تَعَالَى حَرَّمَ عَلَيْهِمْ الشُّحُوْمَ فَبَاعُوْهَا وَأَكَلُوْا أَثْمَانَهَا، وَإِنَّ اللهَ تَعَالَى إِذَا حَرَّمَ عَلَى قَوْمٍ أَكْلَ شَيْئٍ حَرَّمَ عَلَيْهِمْ ثَمَنَهُ ))
“พระองค์อัลลอฮ์ ได้สาปแช่งพวกยะฮูดีย์ (ท่านกล่าวคำนี้อยู่ 3 ครั้ง) .. แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงห้ามพวกเขาจาก (การบริโภค)ไขมันสัตว์ แล้วพวกเขากลับขายไขมันนั้นและเอาราคาของมันมาบริโภคแทน, แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.นั้น เมื่อพระองค์ทรงห้ามชนกลุ่มหนึ่งจากการบริโภคสิ่งใด พระองค์ก็จะทรงห้ามพวกเขาจากราคาของสิ่งนั้นด้วย” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 3488, และท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 247, 293) ...
จะเห็นได้ว่า หะดีษที่ถูกต้องสำนวนนี้ได้อธิบายถึงที่มาของเรื่องนี้ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้สาปแช่งพวกยะฮูดีย์ที่ถูกห้ามจากการ “บริโภค” ไขมันสัตว์ แต่พวกเขากลับหลีกเลี่ยงหุก่มด้วยการนำไขมันสัตว์ไปขายแล้วนำเอาราคาของมันใช้แทน, แล้วท่านศาสดาก็กล่าวต่อไปว่า เมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงห้ามชนกลุ่มใดจากการบริโภคสิ่งใด พระองค์ก็จะทรงห้ามราคาของสิ่งนั้นด้วย ...
แสดงว่า ข้อห้ามเกี่ยวกับ “ราคา” ที่แท้จริงตามนัยของหะดีษข้างต้นนี้ จะมุ่งประเด็นไปที่ “ราคาของอาหารหรือเครื่องดื่ม” ที่อิสลามห้ามบริโภค เช่นราคาสุกร,ราคาของสัตว์ที่อิสลามห้ามบริโภคทุกชนิด, ราคาสุราหรือเบียร์ เป็นต้น ...
หะดีษนี้จึงมิใช่เป็นข้อห้ามเรื่องราคาเครื่องใช้หรือเครื่องประดับทองคำที่มิใช่เป็นอาหารแต่ประการใด ...
สรุปแล้ว การทำธุรกิจซื้อขายเครื่องประดับทองคำ --- ทุกชนิด --- จึงเป็นที่อนุมัติเพราะไม่มีหลักฐานห้ามซื้อขายสิ่งเหล่านี้ ...
“พระองค์อัลลอฮ์ ได้สาปแช่งพวกยะฮูดีย์ (ท่านกล่าวคำนี้อยู่ 3 ครั้ง) .. แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงห้ามพวกเขาจาก (การบริโภค)ไขมันสัตว์ แล้วพวกเขากลับขายไขมันนั้นและเอาราคาของมันมาบริโภคแทน, แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.นั้น เมื่อพระองค์ทรงห้ามชนกลุ่มหนึ่งจากการบริโภคสิ่งใด พระองค์ก็จะทรงห้ามพวกเขาจากราคาของสิ่งนั้นด้วย” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 3488, และท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 247, 293) ...
จะเห็นได้ว่า หะดีษที่ถูกต้องสำนวนนี้ได้อธิบายถึงที่มาของเรื่องนี้ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้สาปแช่งพวกยะฮูดีย์ที่ถูกห้ามจากการ “บริโภค” ไขมันสัตว์ แต่พวกเขากลับหลีกเลี่ยงหุก่มด้วยการนำไขมันสัตว์ไปขายแล้วนำเอาราคาของมันใช้แทน, แล้วท่านศาสดาก็กล่าวต่อไปว่า เมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงห้ามชนกลุ่มใดจากการบริโภคสิ่งใด พระองค์ก็จะทรงห้ามราคาของสิ่งนั้นด้วย ...
แสดงว่า ข้อห้ามเกี่ยวกับ “ราคา” ที่แท้จริงตามนัยของหะดีษข้างต้นนี้ จะมุ่งประเด็นไปที่ “ราคาของอาหารหรือเครื่องดื่ม” ที่อิสลามห้ามบริโภค เช่นราคาสุกร,ราคาของสัตว์ที่อิสลามห้ามบริโภคทุกชนิด, ราคาสุราหรือเบียร์ เป็นต้น ...
หะดีษนี้จึงมิใช่เป็นข้อห้ามเรื่องราคาเครื่องใช้หรือเครื่องประดับทองคำที่มิใช่เป็นอาหารแต่ประการใด ...
สรุปแล้ว การทำธุรกิจซื้อขายเครื่องประดับทองคำ --- ทุกชนิด --- จึงเป็นที่อนุมัติเพราะไม่มีหลักฐานห้ามซื้อขายสิ่งเหล่านี้ ...
ทัศนะที่ 4. ถือว่า การอนุมัติเครื่องประดับทองคำทุกชนิดแก่สตรี เป็นมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ) ของบรรดานักวิชาการแล้ว จึงไม่สามารถคัดค้านได้อีก ...
เกี่ยวกับข้ออ้างดังกล่าวนี้ ผมขออธิบายนิดหนึ่งว่า มติเอกฉันท์ที่แท้จริงที่ไม่มีความขัดแย้งเลย ก็คือมติเอกฉันท์ของนักวิชาการในเรื่องของสิ่งที่เป็นที่รับรู้กันจากศาสนาโดยง่ายดาย (ضَرُوْرَةٌ) ประเภทที่เด็กๆเพิ่งเรียนฟัรฺฎูอีนก็ยังรู้ .. เช่น การเป็นฟัรฺฎู (ข้อบังคับ) ของนมาซ 5 เวลา, การเป็นฟัรฺฎูของการถือศีลอด, การจ่ายซะกาค, การทำหัจญ์, หรือการห้ามดื่มเหล้า, ห้ามผิดประเวณี, ห้ามรับดอกเบี้ย เป็นต้น ...
ส่วนข้ออ้าง “มติเอกฉันท์” ในเรื่องภาคปฏิบัติปลีกย่อยอื่นๆที่นักวิชาการบางท่านชอบอ้างกัน ข้อเท็จจริงก็คือ มักจะมีความเห็นขัดแย้งจากนักวิชาการท่านอื่นในเรื่องนั้นๆอยู่เสมอ โดยที่นักวิชาการผู้อ้างมติเอกฉันท์ อาจไม่รู้ว่ามีผู้ที่ขัดแย้งอยู่ ...
ตัวอย่างในเรื่องนี้ มีอยู่มากมายในตำราฟิกฮ์ต่างๆ ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่องคือ ...
1. ท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “สุบุลุส สลาม” เล่มที่ 1 หน้า 28 เกี่ยวกับเรื่องการห้ามดื่มกินในภาชนะทองคำว่า ...
เกี่ยวกับข้ออ้างดังกล่าวนี้ ผมขออธิบายนิดหนึ่งว่า มติเอกฉันท์ที่แท้จริงที่ไม่มีความขัดแย้งเลย ก็คือมติเอกฉันท์ของนักวิชาการในเรื่องของสิ่งที่เป็นที่รับรู้กันจากศาสนาโดยง่ายดาย (ضَرُوْرَةٌ) ประเภทที่เด็กๆเพิ่งเรียนฟัรฺฎูอีนก็ยังรู้ .. เช่น การเป็นฟัรฺฎู (ข้อบังคับ) ของนมาซ 5 เวลา, การเป็นฟัรฺฎูของการถือศีลอด, การจ่ายซะกาค, การทำหัจญ์, หรือการห้ามดื่มเหล้า, ห้ามผิดประเวณี, ห้ามรับดอกเบี้ย เป็นต้น ...
ส่วนข้ออ้าง “มติเอกฉันท์” ในเรื่องภาคปฏิบัติปลีกย่อยอื่นๆที่นักวิชาการบางท่านชอบอ้างกัน ข้อเท็จจริงก็คือ มักจะมีความเห็นขัดแย้งจากนักวิชาการท่านอื่นในเรื่องนั้นๆอยู่เสมอ โดยที่นักวิชาการผู้อ้างมติเอกฉันท์ อาจไม่รู้ว่ามีผู้ที่ขัดแย้งอยู่ ...
ตัวอย่างในเรื่องนี้ มีอยู่มากมายในตำราฟิกฮ์ต่างๆ ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่องคือ ...
1. ท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “สุบุลุส สลาม” เล่มที่ 1 หน้า 28 เกี่ยวกับเรื่องการห้ามดื่มกินในภาชนะทองคำว่า ...
(( وَهَذَا فِى اْلأَكْلِ وَالشُّرْبِ فِيْمَا ذُكِرَ لاَ خِلاَفَ فِيْهِ، فَأَمَّا غَيْرُهُمَا مِنْ سَائِرِاْلاِسْتِعْمَالاَتِ .... وَقِيْلَ يَحْرُمُ سَائِرُاْلاِسْتِعْمَالاَتِ إِجْمَاعًا ))
“เรื่องการห้ามดื่มกินในภาชนะทองคำนั้น ไม่ปรากฏความขัดแย้งแต่อย่างใด, อนึ่ง การนำภาชนะทองคำมาใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆจากการดื่มกิน ...... นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องต้องห้ามเช่นเดียวกัน ตามมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ” ...
แล้วท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ก็ได้นำทัศนะของนักวิชาการที่อนุญาตให้นำภาชนะทองคำไปใช้ในด้านอื่นจากการดื่มกินได้ --- ซึ่งท่านถือว่าเป็นทัศนะที่ถูกต้อง --- มาลงบันทึกไว้ อันเป็นการขัดแย้งกับข้ออ้างอิจญมาอฺข้างต้น แล้วท่านก็กล่าวสรุปว่า ...
“เรื่องการห้ามดื่มกินในภาชนะทองคำนั้น ไม่ปรากฏความขัดแย้งแต่อย่างใด, อนึ่ง การนำภาชนะทองคำมาใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆจากการดื่มกิน ...... นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องต้องห้ามเช่นเดียวกัน ตามมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ” ...
แล้วท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ก็ได้นำทัศนะของนักวิชาการที่อนุญาตให้นำภาชนะทองคำไปใช้ในด้านอื่นจากการดื่มกินได้ --- ซึ่งท่านถือว่าเป็นทัศนะที่ถูกต้อง --- มาลงบันทึกไว้ อันเป็นการขัดแย้งกับข้ออ้างอิจญมาอฺข้างต้น แล้วท่านก็กล่าวสรุปว่า ...
(( وَدَعْوَى اْلإِجْمَاعِ غَيْرُ صَحِيْحَةٍ ))
“ข้ออ้างมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ .. ในกรณีนี้) เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง”
ท่านซัยยิด ซาบิก ก็ได้กล่าวอย่างเดียวกันกับท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ในหนังสือ “ฟิกฮุซ ซุนนะฮ์” เล่มที่ 2 หน้า 365 ...
2. ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มุฆนีย์” เล่มที่ 2 หน้า 429 ว่า
ท่านซัยยิด ซาบิก ก็ได้กล่าวอย่างเดียวกันกับท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ในหนังสือ “ฟิกฮุซ ซุนนะฮ์” เล่มที่ 2 หน้า 365 ...
2. ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มุฆนีย์” เล่มที่ 2 หน้า 429 ว่า
(( وَلَنَا مَاذَكَرْنَاهُ، وَإِنَّهُ إِجْمَاعُ الْمُسْلِمِيْنَ، فَإِنَّهُمْ فِىْ كُلِّ عَصْرٍ وَمِصْرٍ يَجْتَمِعُوْنَ وَيَقْرَءُوْنَ الْقُرْآنَ وَيُهْدُوْنَ ثَوَابَهُ إِلَى مَوْتَاهُمْ مِنْ غَيْرِ نَكِيْرٍ .... ))
“สำหรับพวกเรา .. ผู้สังกัดมัษฮับหัมบะลีย์ .. ก็คือสิ่งที่เราได้กล่าวไปแล้ว (ในเรื่องการอุทิศผลบุญการอ่านอัล-กุรฺอ่านให้แก่ผู้ตายได้) .. และแน่นอน บรรดามุสลิมได้มีมติเป็นเอกฉันท์แล้วในเรื่องนี้ เพราะพวกเขา, ในทุกยุคสมัยและทุกเมืองใหญ่ จะร่วมกันอ่านอัล-กุรฺอ่าน และอุทิศผลบุญของมันให้แก่ผู้ตายของพวกเขา โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ............”
ท่านอิบนุ กุดามะฮ์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 620) อ้างว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ผู้ตาย เป็นมติเอกฉันท์ของบรรดามุสลิม .. ทั้งๆที่ทุกคนย่อมทราบดีแล้วว่า เรื่องนี้ คือปัญหาขัดแย้ง, .. และท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 204) ก็ได้กล่าวมาตั้งนานแล้วว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านนั้น อุทิศผลบุญให้ผู้ตายไม่ได้ (ไม่ถึง) ...
ท่านเช็ครอชิด ริฎอ ได้กล่าวคัดค้านข้ออ้างของท่านอิบนุ กุดามะฮ์ข้างต้นว่า ...
ท่านอิบนุ กุดามะฮ์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 620) อ้างว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ผู้ตาย เป็นมติเอกฉันท์ของบรรดามุสลิม .. ทั้งๆที่ทุกคนย่อมทราบดีแล้วว่า เรื่องนี้ คือปัญหาขัดแย้ง, .. และท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 204) ก็ได้กล่าวมาตั้งนานแล้วว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านนั้น อุทิศผลบุญให้ผู้ตายไม่ได้ (ไม่ถึง) ...
ท่านเช็ครอชิด ริฎอ ได้กล่าวคัดค้านข้ออ้างของท่านอิบนุ กุดามะฮ์ข้างต้นว่า ...
(( فَأَمَّا دَعْوَاهُ اْلإِجْمَاعَ فَهِىَ بَاطِلَةٌ قَطْعًا لَمْ يَعْبَأْ بِهَا أَحَدٌ ......... ))
“อนึ่ง ข้ออ้างของเขา (ท่านอิบนุ กุดามะฮ์) ที่ว่าเรื่องนี้ (การอ่านอัล-กุรฺอ่านอุทิศผลบุญให้กับผู้ตายได้) เป็นอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์) ของมุสลิมนั้น ถือเป็นข้ออ้างที่เป็นโมฆะอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ต่อข้ออ้างนี้ .....”
(จากฟุตโน้ตของท่านเช็ครอชิด ริฎอ ซึ่งตีพิมพ์ร่วมกับหนังสือ “อัล-มุฆนีย์” ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 365 ) ...
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัล จึงได้กล่าวว่า ...
“อนึ่ง ข้ออ้างของเขา (ท่านอิบนุ กุดามะฮ์) ที่ว่าเรื่องนี้ (การอ่านอัล-กุรฺอ่านอุทิศผลบุญให้กับผู้ตายได้) เป็นอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์) ของมุสลิมนั้น ถือเป็นข้ออ้างที่เป็นโมฆะอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ต่อข้ออ้างนี้ .....”
(จากฟุตโน้ตของท่านเช็ครอชิด ริฎอ ซึ่งตีพิมพ์ร่วมกับหนังสือ “อัล-มุฆนีย์” ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 365 ) ...
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัล จึงได้กล่าวว่า ...
(( مَنِ ادَّعَى إِجْمَاعًا فَهُوَكَذَبَ ! لَعَلَّ النَّاسَ قَدِ اخْتَلَفُوْا ))
“ผู้ใดก็ตามที่อ้างว่ามีมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ) เขาก็กล่าวเท็จแล้ว เพราะ (เขาไม่รู้หรอกว่า) บางทีประชาชนอาจมีความขัดแย้งกัน (ในเรื่องนั้น) ก็ได้” ...
(จากหนังสือ “อัล-มะซาอิล” ของท่านอิหม่ามอะห์มัดซึ่งรายงานโดยบุตรชายของท่าน คือท่านอับดุลลอฮ์, หน้าที่ 439) ...
ท่านอิบนุหัสมิน ได้กล่าวเอาไว้ว่า ...
“ผู้ใดก็ตามที่อ้างว่ามีมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ) เขาก็กล่าวเท็จแล้ว เพราะ (เขาไม่รู้หรอกว่า) บางทีประชาชนอาจมีความขัดแย้งกัน (ในเรื่องนั้น) ก็ได้” ...
(จากหนังสือ “อัล-มะซาอิล” ของท่านอิหม่ามอะห์มัดซึ่งรายงานโดยบุตรชายของท่าน คือท่านอับดุลลอฮ์, หน้าที่ 439) ...
ท่านอิบนุหัสมิน ได้กล่าวเอาไว้ว่า ...
(( وَقَدْ أَجَازَ بَعْضُ أَصْحَابِنَا أَنْ يُرَدَّ حَدِيْثٌ صَحِيْحٌ عَنِ النَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَيَكُوْنُ اْلإِجْمَاعُ عَلَى خِلاَفِهِ، قَالَ : وَذَلِكَ دَلِيْلٌ عَلَى أَنَّهُ مَنْسُوْخٌ! وَهَذَا عِنْدَنَا خَطَأٌ فَاحِشٌ .......... ))
“และแน่นอน มีสหายของเราบางคนอนุญาตให้ปฏิเสธหะดีษที่ถูกต้องจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้ หากมีอิจญมาอฺขัดแย้งกับหะดีษบทนั้นอยู่ พวกเขากล่าวอ้างว่า .. “การมีอิจญมาอฺแสดงว่า หะดีษบทนั้นถูกยกเลิกแล้ว” .. สิ่งนี้ (การปฏิเสธหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ที่ขัดแย้งกับอิจญมาอฺ, และถือว่า การมีอิจญมาอฺ คือการยกเลิกหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์) ..ในทัศนะของเรา ถือว่ามันเป็นข้อผิดพลาดที่น่าเกลียดมาก ......”
(จากหนังสือ أُصُوْلُ اْلأَحْكَامِ อันเป็นหนังสืออุศูลุลฟิกฮ์ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 2 หน้า 71) ...
นอกจากนี้ ท่านอิบนุ้ล ก็อยยิม อัล-ญูซียะฮ์ ก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ...
(จากหนังสือ أُصُوْلُ اْلأَحْكَامِ อันเป็นหนังสืออุศูลุลฟิกฮ์ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 2 หน้า 71) ...
นอกจากนี้ ท่านอิบนุ้ล ก็อยยิม อัล-ญูซียะฮ์ ก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ...
(( صَارَ مَنْ لاَ يَعْرِفُ الْخِلاَفَ مِنَ الْمُقَلِّدِيْنَ إِذَا احْتُجَّ عَلَيْهِ بِالْقُرْآنِ وَالسُّنَّةِ قَالَ : هَذَا خِلاَفُ اْلإِجْمَاعِ ))
“กลายเป็นว่า ผู้ที่ไม่รู้ว่ามีความขัดแย้ง อยู่ -- จากบรรดานักตักลีดทั้งหลาย -- เมื่อ(ทัศนะใดๆของ) เขา ถูกหักล้างด้วยอัล-กุรฺอ่านและซุนนะฮ์ เขาก็จะกล่าว (อ้าง) ว่า สิ่งนี้ ขัดแย้งกับมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ ของนักวิชาการ) ...
(จากหนังสือ “อาดาบุซ ซะฟาฟ” หน้า 44) ...
จากข้อมูลบางประการที่ผมได้นำเสนอมานี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบมุมมองของนักวิชาการที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับ “การให้ราคา” ของข้ออ้างอิจญมาอฺของนักวิชาการบางท่านในเรื่องที่อื่นจากเรื่องอันเป็นที่รับรู้กันของศาสนาโดยง่ายดาย (ضَرُوْرَةٌ) .. ดังที่อธิบายไปแล้วในหน้าที่ 46 ...
เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้จึงปัญหามีอยู่ว่า ข้ออ้างของนักวิชาการบางท่าน -- อาทิเช่นท่านอัล-บัยฮะกีย์ -- ที่อ้างในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรอ” เล่มที่ 4 หน้า 124 ว่า การอนุมัติให้สตรีใช้เครื่องประดับทองคำได้ทุกชนิด เป็นมติเอกฉันท์หรืออิจญมาอฺของนักวิชาการแล้วนั้น ...
แน่ใจหรือว่า ปัญหานี้เป็นมติเอกฉันท์จริง และไม่มีผู้ใดขัดแย้ง ? ...
สำหรับผม มีความเห็นตรงกันข้าม, คือเห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาขัดแย้งแน่นอน, --- ดังการยอมรับของท่านอิบนุหัสมิน --- เพราะมีรายงานที่ถูกต้องเป็นหลักฐานยืนยันความขัดแย้งในเรื่องนี้ ...
ข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องการอนุญาตทองคำแก่สตรี มีดังนี้ ...
(1). ท่านอิบนุหัสมิน .. ได้กล่าวยอมรับว่า นักวิชาการมีทัศนะขัดแย้งกันในเรื่องนี้ โดยท่านได้กล่าวว่า ...
“กลายเป็นว่า ผู้ที่ไม่รู้ว่ามีความขัดแย้ง อยู่ -- จากบรรดานักตักลีดทั้งหลาย -- เมื่อ(ทัศนะใดๆของ) เขา ถูกหักล้างด้วยอัล-กุรฺอ่านและซุนนะฮ์ เขาก็จะกล่าว (อ้าง) ว่า สิ่งนี้ ขัดแย้งกับมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ ของนักวิชาการ) ...
(จากหนังสือ “อาดาบุซ ซะฟาฟ” หน้า 44) ...
จากข้อมูลบางประการที่ผมได้นำเสนอมานี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบมุมมองของนักวิชาการที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับ “การให้ราคา” ของข้ออ้างอิจญมาอฺของนักวิชาการบางท่านในเรื่องที่อื่นจากเรื่องอันเป็นที่รับรู้กันของศาสนาโดยง่ายดาย (ضَرُوْرَةٌ) .. ดังที่อธิบายไปแล้วในหน้าที่ 46 ...
เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้จึงปัญหามีอยู่ว่า ข้ออ้างของนักวิชาการบางท่าน -- อาทิเช่นท่านอัล-บัยฮะกีย์ -- ที่อ้างในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรอ” เล่มที่ 4 หน้า 124 ว่า การอนุมัติให้สตรีใช้เครื่องประดับทองคำได้ทุกชนิด เป็นมติเอกฉันท์หรืออิจญมาอฺของนักวิชาการแล้วนั้น ...
แน่ใจหรือว่า ปัญหานี้เป็นมติเอกฉันท์จริง และไม่มีผู้ใดขัดแย้ง ? ...
สำหรับผม มีความเห็นตรงกันข้าม, คือเห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาขัดแย้งแน่นอน, --- ดังการยอมรับของท่านอิบนุหัสมิน --- เพราะมีรายงานที่ถูกต้องเป็นหลักฐานยืนยันความขัดแย้งในเรื่องนี้ ...
ข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องการอนุญาตทองคำแก่สตรี มีดังนี้ ...
(1). ท่านอิบนุหัสมิน .. ได้กล่าวยอมรับว่า นักวิชาการมีทัศนะขัดแย้งกันในเรื่องนี้ โดยท่านได้กล่าวว่า ...
(( وَلِبَاسُ الْمَرْأَةِ الْحَرِيْرُ وَالذَّهَبُ فِى الصَّلاَةِ وَغَيْرِهَا حَلاَلٌ، عَلَى أَنَّهُ قَدِ اخْتُلِفَ فِىْ ذَلِكَ، فَلَمْ يُجَوِّزْ ذَلِكَ قَوْمٌ لَهُنَّ .........))
“เครื่องแต่งกายของสตรี อันได้แก่ผ้าไหมและทองคำนั้น .. ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกการนมาซ ถือว่าเป็นที่อนุมัติ, .. เพียงแต่ยังมีความขัดแย้งกันในเรื่องนี้ โดยมีนักวิชาการบางกลุ่มไม่อนุญาตสิ่งเหล่านี้ (ผ้าไหมและทองคำ) แก่พวกนาง ......”
(จากหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 10 หน้า 82) ...
(2). ท่านอัล-บัฆวีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “ชัรฺหุส ซุนนะฮ์” --- หลังจากที่ได้นำเสนอทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ที่อนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับจากทองคำทุกชนิดได้ --- ว่า ...
(( وَكَرِهَ ذَلِكَ قَوْمٌ ))
“แต่นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ถือว่า สิ่งนี้ (สตรีใช้เครื่องประดับจากทองคำ) เป็นเรื่องน่ารังเกียจ (คือเป็นเรื่องต้องห้าม)” ...
(จากหนังสือ “อาดาบุซ ซะฟาฟ” หน้า 244)
(3). ท่านวะเกี๊ยะอฺ ได้รายงานจากท่านมุบาร็อก บินฟะฎอละฮ์ ว่า ท่านอัล-หะซัน อัล-บัศรีย์ รังเกียจ (คือห้าม) สตรีจากใช้ (เครื่องประดับ) ทองคำ ...
(จากหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 10 หน้า 82)
(4). มีรายงานมาจากท่านอะฏออ์ บิน อบีย์รอบาห์ ว่า ...
(จากหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 10 หน้า 82) ...
(2). ท่านอัล-บัฆวีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “ชัรฺหุส ซุนนะฮ์” --- หลังจากที่ได้นำเสนอทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ที่อนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับจากทองคำทุกชนิดได้ --- ว่า ...
(( وَكَرِهَ ذَلِكَ قَوْمٌ ))
“แต่นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ถือว่า สิ่งนี้ (สตรีใช้เครื่องประดับจากทองคำ) เป็นเรื่องน่ารังเกียจ (คือเป็นเรื่องต้องห้าม)” ...
(จากหนังสือ “อาดาบุซ ซะฟาฟ” หน้า 244)
(3). ท่านวะเกี๊ยะอฺ ได้รายงานจากท่านมุบาร็อก บินฟะฎอละฮ์ ว่า ท่านอัล-หะซัน อัล-บัศรีย์ รังเกียจ (คือห้าม) สตรีจากใช้ (เครื่องประดับ) ทองคำ ...
(จากหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 10 หน้า 82)
(4). มีรายงานมาจากท่านอะฏออ์ บิน อบีย์รอบาห์ ว่า ...
(( أَنَّهُ كَانَ يَكْرَهُ الذَّهَبَ كُلَّهُ، وَيَقُوْلُ : هُوَ زِيْنَهٌ ! وَيَكْرَهُهُ لِلْمُتَوَفَّىعَنْهَاوَلِغَيْرِهَا ))
“แท้จริง ท่านอะฏออ์จะรังเกียจทองคำทุกชนิด, ท่านกล่าวว่า “มันคือเครื่องประดับ” .. และท่านจะรังเกียจ (คือ ห้าม)มัน ไม่ว่าแก่สตรีที่สามีสิ้นชีวิตหรือสตรีอื่นใดก็ตาม” ...
(จากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺ ร็อซซาก เล่มที่ 7 หน้า 15 และหน้า 51-52) ...
(5). ท่านมุหัมมัด บินซีรีน ได้รายงานมาว่า ...
(( إِنَّ ابْنَةً ِلأَبِىْ هُرَيْرَةَ قَالَتْ لَهُ : إِنَّ الْجَوَارِىَ يُعَيِّرْنَنِىْ، يَقُلْنَ : إِنَّ أَبَاكِ لاَ يُحَلِّيْكِ الذَّهَبَ ! فَقَالَ : قُوْلِىْ لَهُنَّ : إِنَّ أَبِىْ لاَ يُحَلِّيْنِىْ الذَّهَبَ، يَخْشَى عَلَىَّ مِنَ اللَّهَبِ ))
“บุตรีคนหนึ่งของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวกับท่านว่า .. “แม่สาวๆพวกนั้นกล่าวตำหนิฉัน, พวกหล่อนบอกว่า คุณพ่อของเธอไม่ยอมใส่เครื่องประดับทองคำแก่เธอเลย” .. ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. จึงกล่าวว่า .. “ลูกบอกพวกเขาเถิดว่า คุณพ่อของฉันไม่ยอมใส่เครื่องประดับทองคำให้ฉัน เพราะท่านกลัวฉัน (จะพินาศ) จากเปลวไฟ (นรก)” ...
(บันทึกโดย ท่านอับดุรฺ ร็อซซากในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” หะดีษที่ 19935, 19938, ท่านอิบนุหัสมินในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 10 หน้า 82, ท่านอิบนุอะซากิรฺ 19/124/2, ... สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุอะซากิรฺ)
จากข้อมูลเท่าที่ได้อธิบายมานี้ ย่อมเป็นสิ่งยืนยันว่า การอนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับทองคำ เป็น “ปัญหาขัดแย้ง” .. ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวมิใช่จะเพิ่งปรากฏขึ้นในยุคหลังนี้ดังความเข้าใจของบุคคลบางคน แต่ปรากฏว่า เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคเศาะหาบะฮ์และยุคตาบิอีนแล้ว ซึ่งแม้แต่นักวิชาการยุคหลังอย่างท่านอิบนุหัสมินและท่านอัล-บัฆวีย์ ก็ยังยอมรับความจริงข้อนี้ .. ดังข้อมูลหมายเลข 1 และหมายเลข 2 ...
เพราะฉะนั้น ข้ออ้างของนักวิชาการบางท่านที่ว่า .. การอนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับที่ทำจากทองคำได้ทุกชนิด เป็นอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์) ของนักวิชาการแล้ว .. จึงรับฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ...
(จากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺ ร็อซซาก เล่มที่ 7 หน้า 15 และหน้า 51-52) ...
(5). ท่านมุหัมมัด บินซีรีน ได้รายงานมาว่า ...
(( إِنَّ ابْنَةً ِلأَبِىْ هُرَيْرَةَ قَالَتْ لَهُ : إِنَّ الْجَوَارِىَ يُعَيِّرْنَنِىْ، يَقُلْنَ : إِنَّ أَبَاكِ لاَ يُحَلِّيْكِ الذَّهَبَ ! فَقَالَ : قُوْلِىْ لَهُنَّ : إِنَّ أَبِىْ لاَ يُحَلِّيْنِىْ الذَّهَبَ، يَخْشَى عَلَىَّ مِنَ اللَّهَبِ ))
“บุตรีคนหนึ่งของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวกับท่านว่า .. “แม่สาวๆพวกนั้นกล่าวตำหนิฉัน, พวกหล่อนบอกว่า คุณพ่อของเธอไม่ยอมใส่เครื่องประดับทองคำแก่เธอเลย” .. ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. จึงกล่าวว่า .. “ลูกบอกพวกเขาเถิดว่า คุณพ่อของฉันไม่ยอมใส่เครื่องประดับทองคำให้ฉัน เพราะท่านกลัวฉัน (จะพินาศ) จากเปลวไฟ (นรก)” ...
(บันทึกโดย ท่านอับดุรฺ ร็อซซากในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” หะดีษที่ 19935, 19938, ท่านอิบนุหัสมินในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 10 หน้า 82, ท่านอิบนุอะซากิรฺ 19/124/2, ... สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุอะซากิรฺ)
จากข้อมูลเท่าที่ได้อธิบายมานี้ ย่อมเป็นสิ่งยืนยันว่า การอนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับทองคำ เป็น “ปัญหาขัดแย้ง” .. ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวมิใช่จะเพิ่งปรากฏขึ้นในยุคหลังนี้ดังความเข้าใจของบุคคลบางคน แต่ปรากฏว่า เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคเศาะหาบะฮ์และยุคตาบิอีนแล้ว ซึ่งแม้แต่นักวิชาการยุคหลังอย่างท่านอิบนุหัสมินและท่านอัล-บัฆวีย์ ก็ยังยอมรับความจริงข้อนี้ .. ดังข้อมูลหมายเลข 1 และหมายเลข 2 ...
เพราะฉะนั้น ข้ออ้างของนักวิชาการบางท่านที่ว่า .. การอนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับที่ทำจากทองคำได้ทุกชนิด เป็นอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์) ของนักวิชาการแล้ว .. จึงรับฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ...
ทัศนะที่ 5. ถือว่า ข้อห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำบางลักษณะดังหะดีษข้างต้นเป็นเรื่องจริง แต่ถูกยกเลิก (مَنْسُوْخٌ)ไปแล้ว ...
ก่อนที่จะชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของประเด็นนี้ ผมก็ขออธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความหมายและแนวทางของคำว่า “ถูกยกเลิก” ตามข้ออ้างของทัศนะที่ 5 ดังต่อไปนี้ ...
คำว่า ยกเลิก (نَسْخٌ) หมายถึง “การบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของหุก่มที่ถูกกล่าวไว้ก่อน -- เรื่องใดเรื่องหนึ่ง -- เพราะปรากฏมีหลักฐานที่ถูกต้องซึ่งถูกกล่าวภายหลัง ไปขัดแย้งและหักล้างหุก่มเดิมของเรื่องนั้นจนหมดสิ้น” ...
กฎการ “ยกเลิก” จึงเป็นเรื่องความขัดแย้งของหลักฐาน 2 บทจนไม่มีทางออกไม่ว่าด้วยวิธีใด .. และจะต้องมีหลักฐานชัดเจนเรื่องการมาก่อน -มาหลังของหุก่มที่ถูกยกเลิก และหุก่มที่มายกเลิกนั้น ...
ท่านอิบนุชาฮีน (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 385) ได้เขียนหนังสือ “اَلنَّاسِخُ وَالْمَنْسُوْخُ” (สิ่งที่มายกเลิกและสิ่งที่ถูกยกเลิก) แล้วได้อธิบายไว้ในหน้าที่ 18-19 ถึงเงื่อนไขต่างๆของการยกเลิกหุก่มดังข้างต้น .. โดยมีทั้งเงื่อนไขที่นักวิชาการมีทัศนะสอดคล้องกัน 3 เงื่อนไข และมีทัศนะขัดแย้งกันอีก 4 เงื่อนไข ซึ่งผมจะไม่อธิบายรายละเอียด ณ ที่นี้ ...
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ แนวทางรู้จักการยกเลิกหุก่มใดๆ .. ซึ่งท่านอิบนุชาฮีนได้เขียนไว้ในหน้าที่ 25 ของหนังสือเล่มนั้นดังต่อไปนี้ ...
ก่อนที่จะชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของประเด็นนี้ ผมก็ขออธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความหมายและแนวทางของคำว่า “ถูกยกเลิก” ตามข้ออ้างของทัศนะที่ 5 ดังต่อไปนี้ ...
คำว่า ยกเลิก (نَسْخٌ) หมายถึง “การบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของหุก่มที่ถูกกล่าวไว้ก่อน -- เรื่องใดเรื่องหนึ่ง -- เพราะปรากฏมีหลักฐานที่ถูกต้องซึ่งถูกกล่าวภายหลัง ไปขัดแย้งและหักล้างหุก่มเดิมของเรื่องนั้นจนหมดสิ้น” ...
กฎการ “ยกเลิก” จึงเป็นเรื่องความขัดแย้งของหลักฐาน 2 บทจนไม่มีทางออกไม่ว่าด้วยวิธีใด .. และจะต้องมีหลักฐานชัดเจนเรื่องการมาก่อน -มาหลังของหุก่มที่ถูกยกเลิก และหุก่มที่มายกเลิกนั้น ...
ท่านอิบนุชาฮีน (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 385) ได้เขียนหนังสือ “اَلنَّاسِخُ وَالْمَنْسُوْخُ” (สิ่งที่มายกเลิกและสิ่งที่ถูกยกเลิก) แล้วได้อธิบายไว้ในหน้าที่ 18-19 ถึงเงื่อนไขต่างๆของการยกเลิกหุก่มดังข้างต้น .. โดยมีทั้งเงื่อนไขที่นักวิชาการมีทัศนะสอดคล้องกัน 3 เงื่อนไข และมีทัศนะขัดแย้งกันอีก 4 เงื่อนไข ซึ่งผมจะไม่อธิบายรายละเอียด ณ ที่นี้ ...
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ แนวทางรู้จักการยกเลิกหุก่มใดๆ .. ซึ่งท่านอิบนุชาฮีนได้เขียนไว้ในหน้าที่ 25 ของหนังสือเล่มนั้นดังต่อไปนี้ ...
(( لاَ بُدَّ فِىْ تَحَقُّقِ النَّسْخِ مِنْ وُرُوْدِ دَلِيْلَيْنِ عَنِ الشَّرْعِ، وَهُمَا مُتَعَارِضَانِ حَقِيْقِيًّا لاَ سَبِيْلَ إِلَى تَلاَقِيْهِ بِإِمْكَانِ الْجَمْعِ بَيْنَهُمَا عَلَى أَىِّ وَجْهٍ مِنْ وُجُوْهِ التَّأْوِيْلِ ))
“เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับ “การยกเลิก” ที่แท้จริงก็คือ การปรากฏมีหลักฐานจากบทบัญญัติ 2 บท, .. ซึ่งทั้งสองบทนั้นขัดแย้งกันอย่างแท้จริง .. จนไม่สามารถที่จะประสานเข้าด้วยกันได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม” ...
จากแนวทางข้างต้นนี้ จึงทำให้เราได้รับรู้ว่า หากปรากฏว่าหลักฐาน 2 บทขัดแย้งกันจริง แต่เป็นการขัดแย้งกันในบางแง่มุม และสามารถหา “ทางออก” (ซึ่งก็มีอยู่หลายแนวทาง) ได้ จนทั้งสองหลักฐานนั้น สามารถสอดประสานกันตามหลักวิชาการได้ ก็จะนำกฎเกณฑ์เรื่อง “การยกเลิก” มาใช้กับหลักฐานทั้งสองนั้นไม่ได้ ...
คำว่า “ยกเลิก” จึงถือเป็น “ทางออกสุดท้าย” ของ 2 หลักฐานที่ขัดแย้งกันเท่านั้น ...
สรุปอีกครั้งก็คือ แนวทางสำหรับการยกเลิกหุก่มใดๆ จะต้องประกอบขึ้นจากหลักการที่สำคัญ 2 ประการดังต่อไปนี้ ...
1. มีข้อมูลที่ชัดเจนเรื่องระยะเวลาการถูกกล่าวก่อน-กล่าวหลัง ของหลักฐานที่ถูกยกเลิกและหลักฐานที่มายกเลิก ...
2. ทั้งสองหลักฐานนั้น ขัดแย้งกัน .. จนไม่สามารถหาทางประสานกันตามหลักวิชาการได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆก็ตาม ...
เมื่อเราหันกลับมาพิจารณาดูข้ออ้างที่ว่า การห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิด ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว .. ดังที่เรากำลังวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกันอยู่นี้ ...
ปรากฏว่า ข้ออ้างดังกล่าวนั้น ท่านอิบนุชาฮีนได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัน-นาซิค วัล-มันซูค” หน้า 266 .. มีข้อความซึ่งพอจะสรุปได้คือ ...
1. ในตอนเริ่มแรกของอิสลาม เครื่องประดับทองคำทั้งหมด – ทุกชนิด – ถูกอนุมัติทั้งแก่ผู้ชายและผู้หญิง .. (ดังที่ผมได้อธิบายไปแล้วในหน้าที่ 8) ...
2. ต่อมา อิสลามก็ได้ห้ามเครื่องประดับทองคำทั้งแก่ผู้ชายและผู้หญิง .. ถือเป็นการยกเลิก (نَسْخٌ) หุก่มอนุญาตทองคำตามหลักการเดิมนั้นเป็นครั้งแรก ...
(หลักฐานห้ามที่มายกเลิกการอนุญาตในที่นี้ก็คือ หะดีษที่ห้ามสตรีใช้แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำที่กล่าวมาในตอนต้น, รวมทั้งหะดีษต่างๆที่ห้ามผู้ชายใช้เครื่องประดับทองคำ อันเป็นที่ทราบกันดีนั่นเอง) ...
3. และสุดท้าย อิสลามก็กลับมาอนุญาตให้ผู้หญิงใช้เครื่องประดับทองคำทุกชนิดได้อีก (โดยที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า .. “ของสองสิ่งนี้ (ผ้าไหมและทองคำ) เป็นที่ต้องห้ามสำหรับบุรุ�
จากแนวทางข้างต้นนี้ จึงทำให้เราได้รับรู้ว่า หากปรากฏว่าหลักฐาน 2 บทขัดแย้งกันจริง แต่เป็นการขัดแย้งกันในบางแง่มุม และสามารถหา “ทางออก” (ซึ่งก็มีอยู่หลายแนวทาง) ได้ จนทั้งสองหลักฐานนั้น สามารถสอดประสานกันตามหลักวิชาการได้ ก็จะนำกฎเกณฑ์เรื่อง “การยกเลิก” มาใช้กับหลักฐานทั้งสองนั้นไม่ได้ ...
คำว่า “ยกเลิก” จึงถือเป็น “ทางออกสุดท้าย” ของ 2 หลักฐานที่ขัดแย้งกันเท่านั้น ...
สรุปอีกครั้งก็คือ แนวทางสำหรับการยกเลิกหุก่มใดๆ จะต้องประกอบขึ้นจากหลักการที่สำคัญ 2 ประการดังต่อไปนี้ ...
1. มีข้อมูลที่ชัดเจนเรื่องระยะเวลาการถูกกล่าวก่อน-กล่าวหลัง ของหลักฐานที่ถูกยกเลิกและหลักฐานที่มายกเลิก ...
2. ทั้งสองหลักฐานนั้น ขัดแย้งกัน .. จนไม่สามารถหาทางประสานกันตามหลักวิชาการได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆก็ตาม ...
เมื่อเราหันกลับมาพิจารณาดูข้ออ้างที่ว่า การห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิด ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว .. ดังที่เรากำลังวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกันอยู่นี้ ...
ปรากฏว่า ข้ออ้างดังกล่าวนั้น ท่านอิบนุชาฮีนได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัน-นาซิค วัล-มันซูค” หน้า 266 .. มีข้อความซึ่งพอจะสรุปได้คือ ...
1. ในตอนเริ่มแรกของอิสลาม เครื่องประดับทองคำทั้งหมด – ทุกชนิด – ถูกอนุมัติทั้งแก่ผู้ชายและผู้หญิง .. (ดังที่ผมได้อธิบายไปแล้วในหน้าที่ 8) ...
2. ต่อมา อิสลามก็ได้ห้ามเครื่องประดับทองคำทั้งแก่ผู้ชายและผู้หญิง .. ถือเป็นการยกเลิก (نَسْخٌ) หุก่มอนุญาตทองคำตามหลักการเดิมนั้นเป็นครั้งแรก ...
(หลักฐานห้ามที่มายกเลิกการอนุญาตในที่นี้ก็คือ หะดีษที่ห้ามสตรีใช้แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำที่กล่าวมาในตอนต้น, รวมทั้งหะดีษต่างๆที่ห้ามผู้ชายใช้เครื่องประดับทองคำ อันเป็นที่ทราบกันดีนั่นเอง) ...
3. และสุดท้าย อิสลามก็กลับมาอนุญาตให้ผู้หญิงใช้เครื่องประดับทองคำทุกชนิดได้อีก (โดยที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า .. “ของสองสิ่งนี้ (ผ้าไหมและทองคำ) เป็นที่ต้องห้ามสำหรับบุรุ�
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น