โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
เขียนเรื่องวิชาการมามากแล้ว ขอเปลี่ยนมาเขียนเรื่องเบาสมองมั่ง คงไม่ว่ากันนะครับ...
ตั้งหัวข้อเรื่องอย่างนี้ คนมองโลกในแง่สวยบางคนคงอิจฉาผมว่า ทำไมเราไม่โชคดีอย่างนี้บ้างวะ ? .....
ส่วนคนที่มองโลกในแง่ไม่สวยก็อย่าเพิ่งด่วนตำหนิว่า เป็นครูสอนศาสนาภาษาอะไร .. เอาเรื่องอย่างนี้มาเขียนออกอากาศ .. เอ๊ย เขียนลงในเฟส เหมือนประจานตัวเอง ...
ก็เรื่องที่ผมเขียน มันเป็นอดีตผ่านมาหลายสิบปีแล้วนี่ครับ จะให้ผมย้อนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ครั้งนั้นอีก ก็คงไม่ได้ ...
และสมมุติ .. ถ้าผมย้อนอดีตกลับได้ ผมก็คงไม่อยากให้อดีตเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน ...
เพราะอะไร อ่านต่อไปแล้วจะรู้เองครับ ...
เมื่อผมบอกว่า "ดาราโรงเรียน" .. ก็แสดงว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะผมยังเป็นนักเรียน, ยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่ และที่สำคัญ ...
ไม่รู้เรื่องศาสนาเลย ...
บอกกล่าวกันก่อน ชื่อเดิมของผมตามทะเบียนสำมะโนครัว มิใช่ชื่อปราโมทย์หรอกครับ แต่มีชื่อเพราะพริ้งเป็นภาษาอาหรับว่า นายหมะหมูด ...
นามสกุลก็ "ศรีอุทัย" นี่แหละ ...
วันเดือนปีเกิดผมตามการบันทึกนายทะเบียนสมัยโบราณ เขาเขียนเป็นเลขสามตัวครับ ..
เป็นเลข 5 ทั้งหมด .. อยู่ด้านล่างสองตัว ด้านบนหนึ่งตัว เหมือนรูปพีระมิด ...
เลข 5 ตัวแรกมิใช่เป็นวันที่ แต่เป็นวันเกิดคือวันพฤหัสบดี, เลข 5 ตัวบนคือขึ้น 5 ค่ำ, และเลข 5 ตัวหลัง ก็คือเดือน 5 ...
เพราะฉะนั้น วันเดือนปีเกิดผม ถ้าจะเขียนให้ตรงตามคำที่นิยมใช้แทนเสียงหัวเราะในเฟสปัจจุบันก็ต้องเขียนว่า ฮ่าฮ่าฮ่า ...
ชื่อเด็กชายหมะหมูดอยู่ดีๆ แต่พอไปเป็นนักเรียนประถม ครูที่รับสมัครก็เปลี่ยนชื่อผมเป็นชื่อใหม่ที่ไม่เคยได้ยินเฉยเลย ...
จำได้ว่า ตอนนั้น (พ.ศ. 2496) .. ผมซึ่งมีอายุเกือบ 8 ขวบแล้ว (ไม่เคยเรียนอนุบาล เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนอนุบาล) ก็พาร่างดำๆผอมๆของตัวเองเดินตามหลังคุณพ่อไปสมัครเป็นนักเรียนโรงเรียนบ้านหน้าศาล ...
จำได้อีกว่า คุณพ่อแจ้งกับครูประจวบซึ่งเป็นครูประจำชั้นเตรียม ว่า ผมชื่อนายหมะหมูด นั่นแหละ ...
พอตอนเข้าเรียนวันแรกในชั้นเตรียมก็ได้เรื่อง เพราะผมแอบไปนั่งโต๊ะตัวหลังสุด เนื่องจากตื่นกลัวยังไงบอกไม่ถูกตามประสาเด็กใหม่ ...
แต่ครูประจวบไม่ยอม พอแกเห็นเข้าก็ไปดึงตัวผมมานั่งโต๊ะหน้าสุด เพราะผมตัวเล็กกว่าเพื่อนและเป็นน้องใหม่ในชั้นเรียนด้วย ..
ถึงตอนเรียกชื่อ .. ครูเรียกไปถึงชื่อใคร ถ้าเป็นผู้ชายก็ได้ยินเขาขานว่า "มาครับ" และถ้าเป็นผู้หญิงก็จะขานว่า "มาค่ะ" ..
และแล้วครูประจวบก็ไปเรียกซ้ำอยู่ที่ชื่อประหลาดชื่อหนึ่งตั้ง 2-3 ครั้ง ก็ไม่เห็นมีใครขานรับ ...
"เด็กชายหมัดโหมด, เด็กชายหมัดโหมด ...."
ผมเหลียวหน้าเหลียวหลัง อยากจะดูว่า ใครกันนะที่ชื่ออย่างนี้ .. ทำไมครูเรียกแล้วไม่ขาน
แต่ครูประจวบเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีเรียกชื่อ ชี้มือมาที่ผมแล้วบอกว่า ..
"เธอนั่นแหละชื่อหมัดโหมด ทำไมไม่ขานล่ะ .. ขาน "มาครับ" เหมือนเพื่อนๆนั่นแหละ" ...
ใครๆก็เลยรู้จักผมในนาม "นายหมัดโหมด ศรีอุทัย" ตั้งแต่วันนั้นจนจบ ม. 6 ...
เชย, มหาเชย, บรมเชยเลย .. ชื่อผม ...
ผมเพิ่งมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นคุณปราโมทย์ .. เอ๊ย นายปราโมทย์ .. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 เอง (หลักฐานการเปลี่ยนชื่อผมยังเก็บไว้เรียบร้อย แต่จะกี่ปีมาแล้ว บวกลบคูณหารกันเอาเอง) ...
บทเรียนบางอย่างจากความประทับใจของผมจากการเรียนในชั้นเตรียมก็คือ คราวหนึ่ง ครูมณี พรหมเพ็ญ ซึ่งมาสอนแทนครูประจวบในวันนั้น ถามผมว่า ทำไมเด็กชายสะมะแอจึงไม่มาเรียน ...
ผมตอบว่า "ไม่รู้ครับ" ...
ครูมณีดุผมและสอนว่า คราวหลังเวลาพูดกับครูหรือผู้หลักผู้ใหญ่ อย่าใช้คำว่า "ไม่รู้" แต่ให้พูดว่า "ไม่ทราบ" ...
ผมเลยจำมารยาทข้อนี้ ติดตรึงหัวใจมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ...
เรียนอยู่ชั้นเตรียมประมาณ 3-4 เดือน ผมก็ได้เลื่อนชั้นมาเรียนชั้น ป. 1 ...
หนังสือเรียน ป. 1 สมัยก่อนน่าอ่านมาก เด็กนักเรียนทุกคนจึงสนใจและชอบอ่านกันนัก
เมื่อสนใจ จึงส่งผลให้ความรู้และการอ่านด้านภาษาไทยเด็กๆสมัยก่อนดีกว่าเด็กสมัยนี้ชนิดเทียบกันไม่ได้เลย ...
เพราะขณะนี้ผมเป็นครูอยู่ จึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า ภาษาไทยเด็ก ป. 2 สมัยก่อน ดีกว่าเด็ก ม. 3 สมัยนี้หลายคนด้วยซ้ำไป ...
เพราะขณะนี้ผมเป็นครูอยู่ จึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า ภาษาไทยเด็ก ป. 2 สมัยก่อน ดีกว่าเด็ก ม. 3 สมัยนี้หลายคนด้วยซ้ำไป ...
สาเหตุเพราะอะไร ผมไม่อยากเซด ...
ตัวอย่างเช่น หนังสือแบบหัดอ่าน ป. 1 ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องในเล่มเดียวกัน เช่นเรื่องลูกแมวที่ชื่อสำลี, เรื่องวัวชื่ออ้ายแดง, เรื่องแม่แมวกับลูกกะรอก, ฯลฯ ล้วนชวนอ่านทั้งนั้นสำหรับเด็กๆ ..
แต่ที่ผมชอบมากก็ได้แก่เรื่อง "แมงดานากับลูกกบ" ซึ่งขึ้นต้นเรื่องว่า ...
"มีสระแห่งหนึ่ง ไม่สู้จะกว้างใหญ่นัก เวลาลมพัด น้ำในสระเป็นระลอกคลื่นน้อยๆ ทยอยเข้ากระทบฝั่ง ต้นหญ้าที่ขอบสระโอนเอนไปมาจนใบเสียดสีกัน ในสระนี้ มีไข่เม็ดเล็กๆสีดำๆลอยอยู่แพหนึ่ง คือไข่กบ มีลูกกบตัวเล็กๆอยู่ในไข่นั้น มันนอนอยู่เหมือนเด็กอ่อนๆนอนเปล แต่เปลของมันไม่เหมือนเปลเด็ก เป็นวุ้นกลมๆใสๆ ............................"
เป็นไงครับ ซื่อ, บริสุทธิ์ มองเห็นภาพของธรรมชาติสระน้ำและท้องทุ่งไหม ? ...
เด็กนักเรียน ป. 1 สมัยนั้นจึงสนใจและติดตามอ่านยิ่งกว่าหนังสือเรียนชั้นประถมสมัยนี้ที่เป็นวิชาการเสียจนเด็กไม่อยากแตะต้อง ...
หรืออย่างเรื่อง แม่ไก่ที่ชื่อนันทาก็ให้ความรู้สึกเศร้า .. โดยเฉพาะบทกลอนที่เจ้าของแม่ไก่ดื้อตัวนี้นำไปแขวนไว้ที่กรงว่างเปล่าของมันด้วยความอาลัยรักมันนั้น ชวนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ...
เขาเขียนกลอนรำพันไว้ว่า ...
"แสนเสียดายนันทาที่น่ารัก ชะล่านักเลี่ยงออกนอกถนน
มัวแต่เพลินปลาบปลื้มจนลืมตน ถูกรถยนต์แล่นทับดับชีวา
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า กลับเหลือแต่กรงเปล่าไม่เห็นหน้า
เคยวิ่งเล่นด้วยกันทุกวันมา ช่างทิ้งข้าเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจเอย" ...
มัวแต่เพลินปลาบปลื้มจนลืมตน ถูกรถยนต์แล่นทับดับชีวา
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า กลับเหลือแต่กรงเปล่าไม่เห็นหน้า
เคยวิ่งเล่นด้วยกันทุกวันมา ช่างทิ้งข้าเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจเอย" ...
ฯลฯ
อ้อ ไหนๆก็เขียนเป็นกลอนแล้ว ก็ขอถือโอกาสเสนอกลอนสั้นๆจากหนังสือการ์ตูน "หนูจ๋า" ของจุ๋มจิ๋ม หรือคุณจำนูญ เล็กสมทิศ ที่ผมชอบอ่านมากๆสมัยเป็นเด็ก มาแถมให้อ่านกันนิดหนึ่ง ..
เป็นกลอนที่จุ๋มจิ๋มแกเขียนพรรณาความงามของนางเอกในการ์ตูนของแกที่มีชื่อว่า "พิมพ์ผกา" ดังนี้ ...
"พิมพ์เอ๋ยพิมพ์ผกาที่น่ารัก ผิวพักตร์เจ้าเหมือนดังเดือนหงาย " ..
ถ้าเขียนมาแค่นี้ แสดงว่า คุณพิมพ์ผกาต้องสวยแน่ๆ ...
แต่ตอนต่อไปซิครับ จุ๋มจิ๋มหักมุมได้เจ็บปวดน่าดูชม เพราะแกเขียนข้อความต่อมาว่า ...
"เนตรคมสมเหตุเหมือนเนตรควาย ยามกรายเยื้องย่างเหมือนช้างเดิน" ...
%%%%
พอจบ ป. 4 จากโรงเรียนบ้านหน้าศาล ผมก็สมัครสอบชิงทุน และได้ทุนเรียนต่อชั้นมัธยม .. จากมัธยม 1 จนจบ ม. 6 .. โดยรัฐให้ทุนเรียนผมปีละ 600 บาท ...
เงิน 600 บาทสมัยนั้นมิใช่เล็กน้อย เพราะขนาดผมไปโรงเรียน คุณแม่ยังให้เงินผมไปซื้ออาหารกลางวันกินที่โรงเรียน .. วันละ 2 บาทเท่านั้น ...
เงิน 2 บาทสมัยนั้นซื้อข้าวราดแกงได้หนึ่งจานใหญ่ๆครับ ...
ทว่า .. ผมไม่ได้นำเงิน 2 บาทที่คุณแม่ให้ ไปซื้ออาหารกินเท่าไหร่หรอก แต่เอาไปซื้อหนังสือประเภทหมัดมวยมาอ่านมากกว่า ...
สารภาพตามตรงว่า ผมเป็นโรคบ้ามวยขึ้นสมอง เพราะนอกจากจะฝึกหัดต่อยมวยแล้ว ขนาดหนังสือหมัดมวยรายสัปดาห์ตอนนั้นออกมา 4 เล่มคือ หนังสือบ็อกซิ่ง, เดอะริง, ยอดกีฬา และแชมเปี้ยน ราคาเล่มละ 1 บาท ผมต้องซื้อหมดทั้ง 4 เล่มทุกสัปดาห์เลย ...
นักมวยไทยในดวงใจของผมก็คือ "เทพบุตรมงกุฏเพชร" อดุลย์ ศรีโสธร .. และนักมวยสากลก็คือโผน กิ่งเพชร ...
ขอคุยซะหน่อย ตอนนั้น เพื่อนๆจะเรียกผมว่า "โผนน้อย" เพราะมีรูปร่างบอบบาง, แย้ปซ้ายเร็วและแม่น เหมือนโผน กิ่งเพชร ยังไงยังงั้น ...
ครั้งหนึ่ง ผมลงนวมซ้อมกับเพื่อนคนหนึ่ง .. ก่อนประหมัดกัน เพื่อนเอ่ยปากให้ได้ยินว่า กูกลัวหมัดแย้ปซ้ายมึงจริงๆ มึงอย่าเล่นแรงนักนะ ...
ก็ฮึกเหิมซิครับ หัวใจพองโตเลยเมื่อได้ยินคำชมซึ่งๆหน้า ...
และเมื่อลงมือประหมัดกัน ผมโชว์ศักยภาพหมัดแย้ปซ้ายเต็มที่ และเพื่อนก็หลบไม่ค่อยทันเสียด้วย เพราะเขาช้ากว่าผมเยอะ ...
แต่มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ผมพุ่งเข้าแย้ปซ้าย แล้วเขาก็ดักฮุ้คซ้ายสวนออกมาเต็มเหนี่ยว เป็น 2 แรงบวก ...
ฮุ้คซ้ายหมัดนั้นจับเปาะเข้าตรงกะโดงคางของผมพอดี ..
จาก "โผน" ก็เลยกลายเป็น "ผล็อย" ... คือ กระเด็นลงไปนอนหงายผลึ่ง, มือกางตีนกางแอ้งแม้ง ชนิดนับ 20 ก็ลุกไม่ไหวนะซีครับ ...
เพิ่งจะรู้ซึ้งคราวนั้นแหละครับว่า นักมวยที่โดนต่อยเข้าจุดโฟกัส - คือปลายคาง - ลงไปน็อคดาวน์นั้น มันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย ...
แต่มันวูบไปเฉยๆน่ะครับ ...
ก็ขอวกเข้าเรื่องที่ผมจั่วหัวข้อไว้ดีกว่า ...
โรงเรียนที่ผมเข้าเรียนเป็นโรงเรียนราษฎร์ .. อยู่ในตลาดหัวไทรห่างจากบ้านผมกิโลเมตรกว่าๆ ชื่อ "โรงเรียนราษฎร์นิยมวิทยา" ...
เหตุการณ์ดังจั่วหัวเรื่องข้างต้น เกิดขึ้นตอนผมเรียนชั้นมัธยม 6 ที่โรงเรียนนี้แหละครับ.
ตอนนั้นผมเป็นวัยรุ่นแล้ว, เริ่มรู้จักความสวยความงามของผู้หญิงแล้ว แหะ แหะ ...
ส่วน "ดาว" หรือ "ดารา" ของโรงเรียนคนนั้น เธออยู่ชั้นมัธยม 5, เป็นรุ่นน้องผม 1 ปี
สมมุติชื่อย่อของเธอ คือ "น้อง ส." ก็แล้วกัน ...
อย่าเดาให้เสียเวลาเลยครับว่า เธออาจจะชื่อสุพรรษา (ที่นามสกุลไม่ใช่เนื่องภิรมย์), หรือชื่อโสภา (ที่นามสกุลไม่น่าจะใช่สถาพร), หรือสุทธิดา (นุ้ก) เป็นต้น เพราะผิดทั้งนั้นครับ ...
น้อง ส. (ในสายตาผม และสายตานักเรียน ม. ปลายทุกคนขณะนั้น) สวยจริงๆครับ ...
ผิวขาวผ่อง, วงหน้าสวย, หน้าผากสวย, คิ้วสวย, ตาสวย, จมูกสวย, พวงแก้มสวย, ริมฝีปากสวย, รูปร่างสวย ...
เรียกว่า สวยไปหมดทั่วสารพางค์กาย ว่างั้นเถอะ ...
หากจะกล่าวว่า น้อง ส. คือ "ดาว" ของโรงเรียนชนิดนอนมาและไร้คู่แข่ง หรืออีกนัยหนึ่ง .. เป็นมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ) ของนักเรียน ม. ปลายทุกคนว่าเธอคือ "ดาวจรัสแสง" ประจำโรงเรียน ก็คงไม่ผิดกติกาแต่ประการใด ...
นักเรียน ม.ปลาย .. ทั้ง ม. 5, ม. 6 - ทุกคน - แย่งกันจีบเธอทั้งนั้นแหละครับ ...
อย่าถามนะว่า แล้วผมล่ะ แอบชอบเธอด้วยหรือไม่ ? ...
ถึงถาม ผมก็คงไม่บอกให้ท่านผู้อ่านรู้หรอกว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่แอบชอบเธอด้วยเหมือนกัน ...
ธ่อ .. ลงสวยขนาดนั้น ใครไม่ชอบก็บ้าแล้ว ...
แล้ววันที่ประวัติศาสตร์ส่วนตัวของผมต้องจารึกไว้ก็มาถึง ..
จำได้ว่า วันนั้นคือวันศุกร์ ครับ ...
ทุกเย็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเรียนประจำสัปดาห์ นักเรียนไทยพุทธทุกคนจะต้องลงไปสวดมนต์พร้อมกันยังห้อมประชุมชั้นล่าง .. ส่วนนักเรียนที่เป็นมุสลิมก็จะอยู่ในชั้นเรียนของตัวเอง ไม่ต้องไปร่วมสวดมนต์กับเขาด้วย ...
ห้อง ม. 5 ของน้อง ส. และห้อง ม. 6 ของผมอยู่อาคารชั้นบน และอยู่ติดกัน ...
วันนั้น พอนักเรียนไทยพุทธทั้ง ม. 5 และ ม. 6 ลงไปข้างล่างหมดแล้ว ผมก็ถือโอกาสไปนั่งคุยกับเด็กมุสลิมอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกันในห้อง ม. 5 ของน้อง ส. นั่นแหละ ...
คุยกันได้ครู่ใหญ่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งแข่งโครมๆกันขึ้นมาชั้นบน บ่งบอกให้รู้ว่า การสวดมนต์เสร็จสิ้นแล้ว ...
ผมจึงบอกเพื่อนว่า ไปละนะ .. แล้วก็รีบเดินจะออกจากห้อง ม. 5 กลับไปห้องเรียนของผม ...
อันเนื่องมาจากบันไดขึ้นอาคารชั้นบน ตรงกับประตูห้อง ม. 5 พอดี .. และนักเรียนคนแรกที่ถลาพรวดพราดเข้ามาในห้อง ม. 5 ก็คือ น้อง ส. .. และผมเองก็กำลังจะรีบเร่งออกไปจากห้องเรียนของเธอ ...
อันเนื่องมาจากบันไดขึ้นอาคารชั้นบน ตรงกับประตูห้อง ม. 5 พอดี .. และนักเรียนคนแรกที่ถลาพรวดพราดเข้ามาในห้อง ม. 5 ก็คือ น้อง ส. .. และผมเองก็กำลังจะรีบเร่งออกไปจากห้องเรียนของเธอ ...
ผมกับน้อง ส. จึงจ๊ะเอ๋กันตรงประตูห้องพอดิบพอดี ...
เพราะส่วนสูงของเธอต่ำกว่าผมเล็กน้อย เมื่อมาจ๊ะเอ๋กันชนิดยั้งตัวไม่ทันทั้งคู่ หน้าผากงามของเธอจึง "จุมพิต" เต็มรักที่ปากครึ่ง, จมูกครึ่งของผม ...
เสียงน้อง ส. อุทานด้วยความตกใจว่า "อุ๊ย ! ขอโทษค่ะ พี่โหมด " ...
ผมเองก็ทั้งตกใจ, มึนงง, ระคนตื่นเต้นนิดๆ ...
ที่ตื่นเต้นนิดๆก็เพราะภูมิใจว่า ผมคงเป็นคนแรกที่ได้จุมพิตหน้าผากงามของเธอชนิดถึงเนื้อถึงตัวจริงๆ สมดังใฝ่ฝัน ...
แต่ที่มากกว่าตื่นเต้นหลายเท่าตัวก็คือ เจ็บ ! .. ครับ ...
เพราะ .. ผลจากการ "จุมพิต" คราวนั้น ทำเอาผมเลือดกำเดาทะลัก, ฟันหน้าด้านบนรวนไป 2 ซี่, แถมปากแตกเจ่อเป็นครุฑ อดกินของเผ็ดไปหลายวันจากพิษสงหน้าผากงามของเธอ ...
สรุปแล้ว .. มันเป็น "จูบ" ที่ไม่คุ้ม และไม่น่าชื่นใจเอาเสียเลย ...
ผมถึงได้บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า สมมุติถ้าผมหมุนวันเวลากลับคืนไปได้ ก็ขออย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง ...
สวยยังไงก็ไม่เอาแล้วครับ เข็ดจนตายเลย ...
ก็ขอจบ "เรื่องจริง" ที่ค่อนข้างไร้สาระนี้ ชนิดดื้อๆแบบหน้าด้านๆแค่นี้แหละครับ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น