อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

หลักฐาน ต้องการทำเมาลิด (ตอนที่ 4)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

แน่นอน, ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่าน คงจะให้คำตอบได้ตรงกันว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ไม่ใช่เหตุผลที่จะเป็นอุปสรรคต่อการจัดงานเมาลิดของประชาชนในยุคที่ดีเลิศเหล่านั้น (ถ้าพวกท่านเห็นว่ามันเป็นเรื่องดีเหมือนมุมมองของพวกเราในปัจจุบัน) ..
ถ้าอย่างนั้น อะไรเล่าคือ “เหตุผลที่แท้จริง” ที่ขัดขวางพวกท่านจากการจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ท่านศาสดาเยี่ยงการจัดของพวกเรา ? ..
ตามทัศนะส่วนตัวของผม (ไม่ได้พูดลอยๆ แต่ผมมีหลักฐาน) มองว่า สาเหตุที่บรรดาเศาะหาบะฮ์และประชาชนยุคหลังที่ถูกรับรองจากท่านศาสดาว่า เป็นผู้ที่มีคุณธรรมเลอเลิศที่สุด ไม่เคยคิดจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้ท่านศาสดา น่าจะมาจากสาเหตุ 3 ประการด้วยกัน คือ ...
1. เพราะพวกท่านเห็นว่าการจัดงานเมาลิด เป็นการ “ลอกเลียนแบบ” การจัดงานวันคริสต์มาสของพวกคริสเตียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านศาสดาที่พวกเขารัก ห้ามปราม ..
ท่านศาสดา ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ...
مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ
“ผู้ใดที่เลียนแบบชนกลุ่มใด เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย”
(บันทึกโดย ท่านอบู ดาวูด หะดีษที่ 4031, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 2 หน้า 50, และท่านอิบนุ อบีย์ชัยบะฮ์ เล่มที่ 4 หน้า 575 โดยรายงานมาจากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.)
2. เพราะพวกท่านเห็นว่า “ซุนนะฮ์” ของท่านศาสดาในการ “ให้ความสำคัญ”กับวันเกิดของท่านก็คือ การ “อดอาหาร” ด้วยการ “ถือศีลอด” ในวันนั้น .. (หมายถึง “วันจันทร์” ซึ่งถือว่าเป็นวันเกิดตัวจริงเสียงจริงของท่านนบีย์) ...
ท่านอบู เกาะตาดะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ...
أَنَّ رَسُوْلَ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سُئِلَ عَنْ صَوْمِ اْلإِثْنَيْنِ فَقَالَ : فِيْهِ وُلِدْتُ وَفِيْهِ اُنْزِلَ عَلَىَّ ...
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เคยถูกถามถึงเรื่องการ “ถือศีลอด” ในวันจันทร์ ท่านตอบว่า .. วันจันทร์ คือวันเกิดของฉัน, และวันจันทร์ คือวันที่อัล-กุรฺอ่านถูกประทานมาให้แก่ฉัน” ...
(บันทึกโดย ท่านมุสลิม หะดีษที่ 198/1162) .
3. เพราะพวกท่านรู้ดีว่า ท่านศาสดา “รังเกียจ” พฤติกรรมการให้เกียรติท่านในลักษณะฉาบฉวย คล้ายๆการประจบสอพลอ แทนการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่าน ...
ท่านอนัส บิน มาลิก ร.ฎ. เศาะหาบะฮ์ผู้ใกล้ชิดท่านศาสดาที่สุดท่านหนึ่งกล่าวว่า
مَا كَانَ فِى الدُّنْيَا شَخْصٌّ أَحَبَّ إِلَيْهِمْ رُؤْيَةً مِنْ رَسُوْلِ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَكَانُوْا إِذَا رَأَوْهُ لَمْ يَقُوْمُوْا لَهُ لِمَا كَانُوْا يَعْلَمُوْنَ مِنْ كَرَاهِيَتِهِ لِذَلِكَ ..
“ไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ บุคคลที่พวกเขา (เศาะหาบะฮ์) อยากจะเจอหน้ายิ่งไปกว่าท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, แต่เมื่อพวกเขาเจอท่าน พวกเขาไม่เคยยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่านเลย เนื่องจากพวกเขารู้ว่า ท่านรังเกียจพฤติการณ์อย่างนี้” ..”
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์ในหนังสือ “อัล-อะดับ อัล-มุฟร็อด” หะดีษที่ 946, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 2754, ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “มุชกิล อัล-อาษารฺ” หะดีษที่ 1276, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 3 หน้า 132) ...
แค่การยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติ ท่านนบีย์ก็ยัง “รังเกียจ” จนบรรดาเศาะหาบะฮ์ไม่กล้าปฏิบัติ, แล้วการจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ท่าน ซึ่งมัน “เว่อร์” และเอิกเกริกกว่าการยืนให้เกียรติหลายร้อยเท่า คิดหรือว่า หากเศาะหาบะฮ์ท่านใดคิดจัดมันขึ้นมาในขณะนั้น ท่านนบีย์จะปลื้มใจและภูมิใจสุดๆกับความรักความภักดีที่มีผู้หยิบยื่นให้ท่านในลักษณะนั้น ? ...
สิ่งใดที่ท่านศาสดารังเกียจ (ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม) สมควรแล้วหรือที่มุสลิมที่อ้างว่า “รักและให้เกียรติ” ท่าน จะดึงดันกระทำสิ่งนั้น เพียงเพราะยึดมั่นอยู่กับความคิดของตนเองฝ่ายเดียวว่ามัน “เป็นเรื่องดี”.. โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตัวท่านนบีย์เอง ? ...
การเฉลิมฉลองวันเกิดท่านนบีย์ด้วยการจัดงานเมาลิด ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าเป็นเรื่องไม่ดี, .. เหมือนๆกับการยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่านศาสดา ไม่มีเศาะหาบะฮ์ท่านใดมองว่า เป็นเรื่องไม่ดี ...
แต่ปัญหามิได้อยู่ที่ว่า มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ! .. ทว่า, เมื่อมันเป็นสิ่งที่ท่านศาสดารังเกียจ พวกเขาจึงงดเว้นที่จะยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่าน .. ทั้งๆที่ตามเนื้อหาของหะดีษแล้ว บ่งบอกความรู้สึกว่า พวกเขาต้องการยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติเมื่อเห็นท่าน ...
ผมเคยคิด, และจะยังยืนยันความคิดตามประสาคนโง่อย่างผมอยู่เสมอและตลอดไปว่า มุสลิมที่มีอีหม่านจริงๆนั้น จะต้องรักในสิ่งที่ท่านนบีย์รัก และจะต้องรังเกียจในสิ่งที่ท่านนบีย์รังเกียจ ...
อ่านหะดีษของท่านอนัส บิน มาลิก ร.ฎ. ข้างต้น ซ้ำกันหลายๆเที่ยว .. พร้อมกับใช้สมองของท่านใคร่ครวญไปด้วย แล้วบางที ท่านอาจจะมีดวงตาเห็นธรรมก็ได้ ..
(สำหรับข้ออ้างของนักวิชาการหลายท่านที่อ้างว่า มีหลักฐานว่าท่านศาสดาเคยใช้ให้เศาะหาบะฮ์กลุ่มหนึ่งของท่าน “ยืนให้เกียรติ” แก่ท่าน สะอฺด์ (สะอัด) บิน มุอาซ ร.ฎ. นั้น เป็นเรื่องของความเข้าใจผิดในเจตนารมณ์ของหลักฐาน ดังที่ผมจะอธิบายข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในตอนหลัง อินชาอัลลอฮ์) ...
(2). ความเชื่อที่ว่า “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ” ค้านกับคำอธิบายของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ และท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยษะมีย์ สองนักวิชาการดังแห่งมัษฮับชาฟิอีย์ ...
ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “ฟัตหุ้ลบารีย์” เล่มที่ 13 หน้า 253 ว่า ..
فَالْبِدْعَةُ فِىْ عُرْفِ الشَّرْعِ مَذْمُوْمَةٌ ! بِخِلاَفِ اللُّغَةِ فَإِنَّ كُلَّ شَىْءٍ أُحْدِثَ عَلَى غَيْرِ مِثَالٍ سَابِقٍ يُسَمَّى بِدْعَةً، سَوَاءٌ كَانَ مَحْمُوْدًا أَوْ مَذْمُوْمًا ...
“ดังนั้น ความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทั้งหมด) จึงเป็นสิ่งที่ถูกประณาม, ต่างกับความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา, .. เพราะทุกๆสิ่งที่ถูกริเริ่มขึ้นมาโดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน จะถูกเรียกว่า บิดอะฮ์ (ตามหลักภาษา) ทั้งสิ้น ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องเลว” ...
คำอธิบายนี้ ชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องขยายความใดๆเพิ่มเติมอีกแล้ว ...
ส่วนท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ ก็ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือ “อัล-ฟะตาวีย์” ของท่าน ดังการอ้างอิงในหนังสือ “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎอรฺ อัล-อิบติดาอฺ” หน้า 39 ว่า ...
فَإِنَّ الْبِدْعَةَ الشَّرْعِيَّةَ ضَلاَلَةٌ ! كَمَاقَالَ رَسُوْلُ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَمَنْ قَسَّمَهَا مِنَ الْعُلَمَاءِ إِلَى حَسَنٍ وَغَيْرِحَسَنٍ فَإِنَّمَا قَسَّمَ الْبِدْعَةَ اللُّغَوِيَّةَ، وَمَنْ قَالَ : كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ .. فَمَعْنَاهُ الْبِدْعَةُ الشَّرْعِيَّةُ ...
“แน่นอน สิ่งบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทุกอย่าง) เป็นความหลงผิด ! ดังคำกล่าวของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, .. นักวิชาการท่านใดที่แบ่งมันออกเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็เป็นเพียงการแบ่งมันตามหลักภาษาเท่านั้น .. และผู้ใดที่กล่าวว่า ทุกๆบิดอะฮ์ เป็นความหลงผิด ความหมายของเขาก็คือ หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ” ...
จะต้องให้อธิบายซ้ำอีกไหมครับ กับคำกล่าวของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ข้างต้นนี้ ? ...
คำกล่าวของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ ถือว่า เป็นคำอธิบายที่ตรงประเด็นที่สุดในการจำแนกความเข้าใจอันสับสน -- แม้กระทั่งจากผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นนักวิชาการ -- ระหว่าง “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ และบิดอะฮ์ตามหลักภาษา” .. จึงสมควรจะต้องจดจำคำกล่าวนี้ให้ขึ้นใจ เพื่อความเข้าใจอันถูกต้องในเรื่องนี้ตลอดไป ...
(3). ความเชื่อที่ว่า “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ” ค้านกับคำกล่าวของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. ..
ทั้งนี้ เพราะท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. เศาะหาบะฮ์ผู้เคร่งครัดในซุนนะฮ์ที่สุดท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า ...
كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ، وَإِنْ رَآهَـا النَّاسُ حَسَنَةً ...
“ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด, แม้มนุษย์จะเห็นว่า มันเป็นสิ่งดีก็ตาม”
(บันทึกโดย ท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “المدخل إلى السنن الكبرى” หมายเลข 191, ท่านมุหัมมัด บิน นัศรฺ ในหนังสือ “السنة” หน้า 24, และท่านอัล-ลาลิกาอีย์ในหนังสือ “شَرْحُ اُصُوْلِ اعْتِقَادِ أَهْلِ السُّنَّةِ” เล่มที่ 1 หน้า 92) ...
คำว่า “ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด” ตามคำกล่าวของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. ในที่นี้ หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติโดยปราศจากข้อสงสัย, .. และคำกล่าวของท่านตอนหลังที่ว่า “แม้มนุษย์จะเห็นว่า มันเป็นสิ่งดีก็ตาม” แสดงว่า ท่านปฏิเสธและไม่ยอมรับว่า มีบิดอะฮ์ดีในบทบัญญัติอย่างเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งดีในมุมมองมนุษย์อย่างไรก็ตาม ...
(4). ความเชื่อที่ว่า “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ” ค้านกับหะดีษของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
ข้อนี้ ถือเป็น “ตัวชี้ขาด” ความผิดพลาดทั้งมวลของผู้ที่เข้าใจว่า มีบิดอะฮ์ดีตามบทบัญญัติศาสนา ทั้งนี้ เพราะท่านศาสดาได้เคยกล่าวไว้ในหลายๆวาระว่า ...
كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَ لَةٌ
“ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด” ...
และท่านยังเคยกล่าวเอาไว้อีกว่า ...
إِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ اْلأُمُوْرِ، فَإِنَّهَا ضَلاَلةَ ٌ!
“พวกท่านพึงระวังตนเองจาก สิ่งทั้งหลายที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา) เพราะว่า มันคือความหลงผิด” ...
.....ฯลฯ .....
ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มิได้ถูกส่งมาเพื่อสอน “ภาษา” แก่ผู้ใด, แต่ท่านถูกส่งมา เพื่อสอน “บทบัญญัติศาสนา” ของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. แก่มนุษยชาติทั้งมวล ...
เมื่อท่านกล่าวเตือนอุมมะฮ์ของท่านว่า “ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด” ท่านจึงย่อมหมายถึงสิ่งบิดอะฮ์ “ตามบทบัญญัติ”, .. มิใช่บิดอะฮ์ “ตามหลักภาษา” แน่นอน
และก็ไม่เคยมีรายงานหะดีษมาแม้แต่บทเดียวว่า ท่านศาสดาจะเคยกล่าวยกย่องชมเชยสิ่งใดที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ในศาสนาของท่านว่า เป็นสิ่งที่ดี ! ...
ดังนั้น ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็ตาม ก็จะไม่พบคำว่า “มีบิดอะฮ์ดี” ในบทบัญญัติ นอกจากทั้งหมด จะเป็น “บิดอะฮ์ต้องห้าม” เพียงสถานเดียว ...
คำว่า “บิดอะฮ์ดี” ที่มีกล่าวกันแพร่หลายมิใช่อื่นใด แต่เป็นเพียงศัพท์เทคนิคตามหลักภาษาที่ใช้เรียกสิ่งดีๆ -- (ตาม “มุมมอง” ของมนุษย์, .. ต่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่, ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลกหรือทางศาสนา) -- ว่าเป็น บิดอะฮ์ดี (คือ การริเริ่ม, การประดิษฐ์สิ่งใหม่ที่ดี) .. แค่นั้นเอง ...
สรุปแล้ว ผู้ใดก็ตาม, -- จะเป็นนักวิชาการระดับไหนก็ตาม -- ที่กล่าวในลักษณะว่า มีบิดอะฮ์ดีหรือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์อยู่ในบทบัญญัติ ก็พึงรู้เถิดว่า เขากำลัง “สับสน"” กับความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติและความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา ...
และผู้ใดก็ตามที่กล่าวว่า “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (บิดอะฮ์ดี)ในบทบัญญัติ” หากจะมองเพียงว่า คำพูดของเขาไปค้านกับคำนิยามของคำว่า “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์” ตามหลักวิชาอุศูลุลฟิกฮ์, หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ หะญัรฺ ทั้งสองท่าน, หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ.ที่กล่าวมาข้างต้น .. เพียงแค่นั้น ก็คงไม่สู้กระไรนักหรอก ...
ที่สำคัญ คำพูดของเขาดังกล่าวไป “คัดค้าน” คำพูดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่บอกเขาว่า “ทุกๆบิดอะฮ์ (ตามบทบัญญัติ) คือความหลงผิด” นี่สิ มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์สำหรับมุสลิมที่มีอีหม่านทุกคนเหลือเกิน ...
(หน้า24)


วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

หลักฐาน ต้องการทำเมาลิด (ตอนที่ 3)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ดังนั้น การ “กำหนด” เอาวันที่ตรงกับวันเกิดของท่านนบีย์ เพื่อเป็นวันแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติท่านเป็นพิเศษเฉพาะวัน, ทั้งๆที่ศาสนามิได้กำหนดให้มีการแสดงความรักท่านนบีย์เป็นพิเศษ “เฉพาะ” ในวันนี้เอาไว้, .. ( และตามปกติ ในวันที่อื่นจากวันนี้ เราเคยรักและให้เกียรติท่านด้วยการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ?) .. จึงน่าจะจัดเป็นเรื่อง “ต้องห้าม” หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกต้องตามหลักการ ในลักษณะเดียวกันกับตัวอย่างข้างต้นเหล่านั้น ...
ก็มาถึงประเด็นที่สอง คือ การให้ความสำคัญกับ “วันเกิด” ของท่านศาสดา และ “วิธีการ” แสดงออกถึงความรักท่านในวันคล้ายวันเกิดของท่านด้วยการทำพิธีเมาลิดนั้น เป็นบทบัญญัติและมีหลักฐานหรือไม่อย่างไร ? ....
สมมุติว่า ถ้าการให้ความสำคัญกับวันเกิดของท่านเป็นบทบัญญัติและมีหลักฐาน ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า แล้ว “วิธีการ” ให้ความสำคัญกับวันเกิดของท่านนบีย์นั้น เคยมี “แบบอย่าง” จากซุนนะฮ์มาหรือไม่ ? ...
นี่คือ สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาและใคร่ครวญด้วยใจเป็นธรรม ...
ถ้าปรากฏว่า เคยมีหลักฐานและแบบอย่างจากท่านนบีย์มาว่า ท่านเคยปฏิบัติอย่างไรเป็นพิเศษในการให้ความสำคัญและให้เกียรติกับวันที่ตรงกับวันเกิดของท่าน ก็แสดงว่า “ซุนนะฮ์” ที่เรา -- มุสลิมที่มีอีหม่าน – ทุกคนสมควรจะยึดถือและนำมาปฏิบัติในวันตรงกับวันเกิดของท่านนบีย์ก็คือ แบบอย่างดังที่ปรากฏเป็น “ซุนนะฮ์” จากหลักฐานนั้น ...
นี่คือ การกลับไปหา “ซุนนะฮ์” เมื่อเกิดความขัดแย้ง .. ตามที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงบัญชาไว้ ...
สำหรับหนังสือ “حسن المقصد فى عمل المولد” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ ที่ผมกล่าวถึงข้างต้นนั้น นอกเหนือไปจากการอ้างเหตุผลที่สนับสนุนให้มีการทำเมาลิดเหมือนกับหนังสืออื่นๆในแนวเดียวกันนี้แล้ว ท่านยังได้รวบรวมทัศนะที่ “อิง” หลักวิชาการของนักวิชาการบางท่าน อาทิเช่น ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์, ท่านอบูอับดุลลาฮ์ อิบนุล หาจญ์, รวมทั้งทัศนะส่วนตัวของท่านเอง เป็นต้น มาสนับสนุนเรื่องการทำเมาลิด ซึ่งจากการสรุปเนื้อหาเชิงวิชาการทั้งหมดจากหนังสือดังกล่าว ก็พอจะได้ข้อสรุปว่า ....
1. การทำเมาลิด เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (การอุตริที่ดี) ...
2. การทำเมาลิด มี أَصْلٌ คือ ที่มาอันเป็นพื้นฐานหรือหลักฐานที่อ้างอิงได้ตามหลักการศาสนา ...
ต่อไปนี้คือรายละเอียดเกี่ยวกับ 2 ประเด็นข้างต้น ...
(1). การทำเมาลิด เป็นบิดอะฮ์ หะสะนะฮ์
ท่านอัส-สะยูฏีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” เล่มที่ 1 หน้า 292 ในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทำเมาลิดว่า ...
وَالْجَوَابُ عِنْدِىْ : أَنَّ أَصْلَ عَمَلِ الْمَوْلِدِ الَّذِىْ هُوَ اجْتِمَاعُ النَّاسِ وَقِرَاءَةُ مَاتَيَسَّرَمِنَ الْقُرْآنِ وَرِوَايَةُ اْلأَخْبَارِالْوَارِدَةِ فِىْ مَبْدَأِ أَمْرِ النَّبِىِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَمَا وَقَعَ فِىْ مَوْلِدِهِ مِنَ اْلآيَاتِ، ثُمَّ يُمَدُّ لَهُمْ سِمَاطٌ يَأْكُلُوْنَهُ وَيَنْصَرِفُوْنَ مِنْ غَيْرِ زِيَادَةٍ عَلَى ذَلِكَ هُوَ مِنَ الْبِدَعِ الْحَسَنَةِ الَّتِىْ يُثَابُ عَلَيْهَا صَاحِبُهَا، لِمَا فِيْهِ مِنْ تَعْظِيْمِ قَدْرِ النَّبِىِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَإِظْهَارِ الْفَرَحِ وَاْلإسْتِبْشَارِ بِمَوْلِدِهِ الشَّرِيْفِ ...
“คำตอบตามทัศนะของฉันก็คือ : พื้นฐานของงานเมาลิด อันได้แก่การที่ประชาชนมาชุมนุมกัน, มีการอ่านอัล-กุรฺอ่าน, มีการอ่านชีวประวัติที่รายงานมาของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันถือกำเนิดของท่าน หลังจากนั้น ก็มีการเลี้ยงอาหารกันแล้วแยกย้ายกันกลับ โดยไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ถือว่า เป็นหนึ่งจากบิดอะฮ์ที่ดี ซึ่งผู้กระทำจะได้รับผลบุญ ทั้งนี้เพราะงานเมาลิดเป็นการยกย่องให้เกียรติต่อสถานภาพของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และเป็นการแสดงออกถึงความปลาบปลื้มยินดีต่อวันเกิดของท่าน” ...
ท่านอบู ชามะฮ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 599-665) ก็ได้กล่าวไว้ในหนังสือ اَلْبَاعِثُ عَلَى إِنْكَارِالْبِدَعِ وَالْحَوَادِثِ .. หน้า 95 ว่า การทำเมาลิดเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ คล้ายๆกับคำพูดของท่านอัส-สะยูฏีย์ข้างต้น ซึ่งผู้ที่ไม่มีหนังสือของท่านอบู ชามะฮ์ ก็สามารถจะหาดูคำกล่าวของท่านได้จากหนังสือ “อิอานะฮ์ อัฏ-ฏอลิบีน” เล่มที่ 3 หน้า 364 ในตอนที่กล่าวถึงงานวะลีมะฮ์ ...
ข้อโต้แย้ง
คำกล่าวของท่านอัส-สะยูฏีย์และท่านอบู ชามะฮ์ที่ว่า “การทำเมาลิด เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์” ... ถ้าหากหมายถึงความหมายบิดอะฮ์ ตามหลักภาษา (بِدْعَةٌ لُغَوْيَّةٌ) ประเด็นนี้ คงไม่มีความขัดแย้งใดๆ เพราะเป็นความหมายที่ตรงต่อความเป็นจริงตามหลักภาษาที่ว่า การทำเมาลิดเป็น บิดอะฮ์ เนื่องจากมันเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งจะบังเกิดขึ้นหลังจากปี ฮ.ศ. 362 มาแล้ว, .. และที่เรียกว่า หะสะนะฮ์ (ดี) ก็เพราะมันเป็นเรื่องดีในความรู้สึกของผู้กระทำและบุคคลทั่วๆไป (แม้กระทั่งผมเอง) เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม , .. ซึ่งเมื่อรวมความแล้วจึงเรียกการทำเมาลิด ตามหลักภาษา ว่า เป็น “บิดอะฮ์หะสะนะฮ์” หรือ การริเริ่มกระทำสิ่งใหม่ที่ดี (ตามความรู้สึกของผู้กระทำและประชาชนทั่วๆไป) ...
แต่ถ้าความหมายของคำว่า “บิดอะฮ์ หะสะนะฮ์” ของท่านในที่นี้ หมายถึง “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ” (بِدْعَةٌ شَرْعِيَّةٌ .. ซึ่งดูแนวโน้มก็น่าจะเป็นอย่างนี้ เพราะท่านกล่าวว่า ผู้ที่กระทำเมาลิดจะได้รับผลบุญตอบแทน) ... ประเด็นนี้ มิใช่เพียงผมเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย แต่นักวิชาการจำนวนมาก ก็ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน ...
ทั้งนี้ เพราะความเชื่อที่ว่า “มี บิดอะฮ์ หะสะนะฮ์ ในบทบัญญัติ” จะไปค้านและขัดแย้งกับหลายๆอย่างดังต่อไปนี้ ...
1. ค้านกับความหมายของ “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์” หรือบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ ตามคำนิยามของนักวิชาการอุศูลุลฟิกฮ์ (ซึ่งผมยังไม่เคยเจอนักวิชาการท่านใดคัดค้านคำนิยามของบิดอะฮ์ที่จะถึงต่อไปว่า ไม่ถูกต้อง) ...
2. ค้านกับคำอธิบายความหมายบิดอะฮ์ของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ และท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ สองนักวิชาการหะดีษและฟิกฮ์ซึ่งได้รับการยอมรับที่สุดแห่งมัษฮับชาฟิอีย์ ...
3. ค้านกับคำกล่าวของท่านอับดุลลอฮ์ บิน อุมัรฺ ร.ฎ.
4. ค้านกับหะดีษที่ถูกต้องของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวข้างต้น มีคำอธิบายดังต่อไปนี้ ...
(1). ความเชื่อที่ว่า “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดีในบทบัญญัติ” ค้านกับคำนิยามและความหมายของ “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ หรืออุตริกรรมอันเป็นเรื่องต้องห้าม” ที่นักวิชาการอุศูลุลฟิกฮ์ ได้กำหนดเอาไว้ว่า หมายถึง ...
مَاتَرَكَهُ رَسُوْلُ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَعَ قِيَامِ الْمُقْتَضِىْ وَانْتِفَاءِ الْمَانِعِ فَفِعْلُهُ بَعْدَهُ هُوَ الْبِدْعَةُ وَتَرْكُهُ هٌوَ السُّنَّةُ ...
“สิ่งใดก็ตามที่ท่านศาสดาไม่ได้กระทำ ทั้งๆที่ .. 1. มีประเด็นส่งเสริมแล้วว่าควรทำ (ตั้งแต่ในสมัยของท่านมาแล้ว), และ .. 2. ไม่มีอุปสรรคใดๆจะมาขัดขวางท่านจากการกระทำสิ่งนั้น ...
ดังนั้น การกระทำสิ่งนั้นในภายหลังถือว่า เป็นบิดอะฮ์, และการไม่กระทำสิ่งนั้น ก็คือซุนนะฮ์” ...
คำนิยามดังกล่าวนี้ ไม่ใช่นักวิชาการอุศูลุลฟิกฮ์นั่งเทียนเขียน ! แต่เป็นคำนิยามที่ได้ผ่านการกลั่นกรองและวิเคราะห์มาอย่างละเอียดในทุกแง่ทุกมุมจาก “เหตุการณ์จริง” ที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และสมัยเศาะหาบะฮ์ของท่าน ... ซึ่งถือว่าเป็นคำนิยามของคำว่า “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์” หรือบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ ที่ตรงประเด็นที่สุด และได้รับการยอมรับมากที่สุด ...
ซึ่งเมื่อเราพิจารณาดูที่มาที่ไปของพิธีกรรมเมาลิดแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า จัดอยู่ในความหมายของ “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ” ตามคำนิยามข้างต้นทุกประการ คือ เป็นสิ่งที่ท่านศาสดาหรือบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน --- หรือแม้แต่ตาบิอีน หรืออิหม่ามทั้งสี่ หรือประชาชนในยุคที่ท่านศาสดารับรองว่า เป็นยุคที่ดีเลิศที่สุด --- ไม่เคยกระทำ .. ทั้งๆที่มีประเด็นส่งเสริมเต็มเปี่ยม คือเป็นการแสดงออกถึงความรักและการให้เกียรติต่อท่านศาสดาซึ่งตรงกับความรู้สึกของมุสลิมที่มีอีหม่านทุกคน ... และก็ไม่มีอุปสรรคใดๆจะมาขัดขวางพวกท่านเหล่านั้นจากการจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านศาสดาด้วยในยุคนั้น ...
โดยนัยนี้ การไม่อุตริจัดงานเมาลิดขึ้นมา จึงถือว่า เป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์, ส่วนผู้ที่อุตริจัดงานเมาลิด จึงเป็นผู้ทำบิดอะฮ์ เพราะไม่รักษากติกาของรัฐธรรมนูญ เอ๊ย, กติกาของความหมายบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ ที่นักวิชาการได้ร่างคำนิยามของมันขึ้นมาเอง .. (แหม ! พูดเหมือนท่านนายกทักษิณเปี๊ยบเลย) ...
เอาเถิด, ท่านศาสดาไม่ส่งเสริมหรือชี้แนะให้มีการจัดงานเมาลิดเฉลิมฉลองวันเกิดของท่าน เหตุผลข้อนี้ เราพอจะมองออก, แต่ หลังจากท่านสิ้นชีพไปแล้วและสมมุติว่า หากว่าการทำเมาลิด คือสิ่งดีที่ถูกท่านศาสดาปล่อยวางไว้เพราะมีอุปสรรค (คือความถ่อมตัวจึงไม่ส่งเสริมให้ใครจัดงานวันเกิดเพื่อท่าน)) .. เสมือนการที่ท่านต้องปล่อยวางการรวบรวมอัล-กุรฺอ่านเป็นเล่มเพราะมีอุปสรรค (คือ การประทานวะห์ยุยังไม่สิ้นสุดจนกว่าท่านจะสิ้นชีวิต) .. และท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ก็มาจัดการรวบรวมขึ้นหลังจากท่านตายไปแล้ว, .. หรือการที่ท่านต้องปล่อยวางการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์ไว้ เพราะมีอุปสรรค (คือกลัวมันจะกลายเป็นฟัรฺฎู) .. จนท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ต้องมารวมประชาชนให้นมาซญะมาอะฮ์ตะรอเวี๊ยะห์หลังจากการสิ้นชีวิตของท่าน เป็นต้น ..
ในเรื่องของการจัดงานเมาลิดเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านก็เช่นเดียวกัน ..
เมื่อท่านศาสดาตายไปแล้ว อุปสรรคขัดขวางการจัดงานเมาลิด (คือเกรงว่าความถ่อมตัวจะทำให้ท่านศาสดาขัดขวางมัน) ก็ย่อมหมดสิ้นตามไปด้วย ...
แล้วทำไม บรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน, บรรดาตาบิอีน, หรือแม้กระทั่งบรรดาอิหม่ามทั้งสี่ท่านในยุคหลังๆ จึงไม่มีผู้ใดคิด “ริเริ่ม” การจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านศาสดา ... เหมือนดังที่ท่านอบู บัก ร.ฎ. ได้ริเริ่มรวบรวมอัล-กุรฺอ่านให้เป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์ขึ้นมา, หรือดังที่ท่านอุมัรฺ อิบนุล ค็อฏฏอบ ร.ฎ. ได้รื้อฟื้นให้ประชาชนกลับมาทำนมาซตะรอเวี๊ยะฮ์ร่วมกันอีก หลังจากการสิ้นชีวิตของท่านศาสดา ? ...
นี่คือ ปริศนาที่เราจะต้องตีให้แตก ....
 ประชาชนในยุคที่ดีเลิศเหล่านั้น รักและให้เกียรติท่านศาสดาน้อยกว่าพวกเราอย่างนั้นหรือ ?
 พวกเขาจำวันเกิดท่านศาสดาไม่ได้ หรือไม่อยากจะให้เกียรติต่อวันเกิดของท่านเลยหรือ ?
 พวกเขามีภารกิจมากเกินไปจนไม่มีเวลา “แม้เพียงแค่วันเดียว” ที่จะสละมันเพื่อจะให้เกียรติท่านศาสดาในวันนั้นเชียวหรือ ?
 พวกเขาขี้เกียจที่จะจัดงานฉลองวันเกิดให้ท่านหรือ ?
 พวกเขายากจนและไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จัดงานฉลองวันเกิดของท่านอย่างพวกเราหรือ ?
.....ฯลฯ .....
(18)



หลักฐาน ต้องการทำเมาลิด (ตอนที่ 2)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
สำหรับ “วิธีการ” แสดงความรักและให้เกียรติ “ตัว” ท่านศาสดาดังหลักฐานข้างต้นนั้น ตัวอย่างที่ดีที่สุดของสิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งหมด ก็คือพฤติการณ์ของบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านศาสดาเองในอดีต ...
การแสดงออกถึงความรักที่มีต่อ “ตัว” ท่านศาสดาตามแบบฉบับของบรรดาเศาะหาบะฮ์ก็คือ การปฏิบัติตามท่าน, เชื่อฟังท่าน, กระทำตามคำสั่งของท่าน, ละเว้นข้อห้ามของท่าน, ฟื้นฟูซุนนะฮ์ของท่านทั้งที่ลับและที่แจ้ง, เผยแผ่สารของท่าน, เสียสละเพื่อท่านและเพื่อสิ่งเหล่านี้ทั้งกาย วาจา และใจ, และหันกลับไปหา “ซุนนะฮ์” ของท่านเมื่อยามเกิดความขัดแย้งในระหว่างพวกเขา และต้องการจะยุติมัน... ซึ่งการกระทำสิ่งต่างๆดังกล่าวข้างต้นนี้ได้ พวกท่านจะปฏิบัติมัน เท่าที่พวกท่านสามารถและโอกาสอำนวยให้ โดยไม่ได้จำกัดเวลา, ไม่จำกัดสถานที่, และไม่ได้กำหนดรูปแบบใดๆขึ้นมาเองโดยพลการ ...
ส่วนวิธีการแสดงความรักหรือให้เกียรติท่านด้วยรูปแบบ “ประจบสอพลอ” ดังที่นิยมปฏิบัติกันในปัจจุบัน .. อย่างเช่น การยืนขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติเมื่อเห็นท่าน ... ปรากฏว่า ในกรณีนี้ เป็นสิ่งที่ท่านศาสดารังเกียจจนบรรดาเศาะหาบะฮ์ “แหยง” และไม่กล้าปฏิบัติต่อท่าน ดังรายละเอียดที่ผมจะเขียนชี้แจงในตอนหลัง อินชาอัลลอฮ์
ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความรักในตัวท่านศาสดามากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่า จะมีเศาะหาบะฮ์ท่านใดแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติท่าน ด้วยการจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้แก่ท่านเสียใหญ่โตอย่างที่เรียกกันว่า “การทำเมาลิด” เหมือนพวกเราบางคนในปัจจุบัน ...
ส่วนการให้ความสำคัญต่อ “วันเกิด” ของท่านศาสดา ด้วยการจัดงานเมาลิดหรือพิธีกรรมเฉลิมฉลองวันเกิดของท่าน, เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ทั้ง “เป้าหมาย” และ “วิธีการ” ของมัน แตกต่างกับ “เป้าหมาย” และ “วิธีการ” แสดงความรักใน “ตัว” ท่านดังที่กล่าวมาแล้ว ...
ทั้งนี้ เพราะการจัดงานเมาลิด ถือเป็นพิธีกรรม “ใหม่” ที่ถูกริเริ่มขึ้นมาหลังจากปี ฮ.ศ. 362, โดยมี “เป้าหมาย” เพื่อให้ความสำคัญและให้เกียรติกับ “วันเกิด” ของท่านนบีย์, .. แถมยังมี “วิธีการ” และ “รูปแบบ” การให้เกียรติเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งเท่าที่เห็นทำกันมาก็คือหากมีการจัดกันที่บ้าน ก็จะมีการร่วมกันอ่านหนังสือ “บัรฺซันญีย์” หรือ “บุรฺดะฮ์” .. อันเป็นบทร้อยกรองบรรยายถึงชีวประวัติของท่าน .. และเมื่อถึงตอนที่กล่าวถึงการกำเนิดของท่านนบีย์ ทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน นัยว่าเพื่อให้เกียรติท่าน (แถมบางคนยังเชื่อว่า ท่านนบีย์จะมาร่วมปรากฏตัวและสัมผัสมือกับพวกเขาในขณะนั้นด้วย หลายคนจึงยืนในลักษณะแบมือออกเพื่อรับการ “สัมผัสมือ” กับท่านนบีย์) ... และหลังจากการอ่านดุอาที่ถูกรัอยกรองขึ้นอย่างไพเราะเพราะพริ้งและยืดยาวจบลง ก็จะมีการร่วมรับประทานอาหารกันเป็นการส่งท้าย, ... แถมในบางท้องที่เมื่อเสร็จพิธีเมาลิดแล้ว ยังมีการแจก “จาด” คือของชำร่วยอันเป็นขนมต่างๆที่ถูกใส่ในหม้อหรือถังน้ำใบเล็กๆหุ้มด้วยกระดาษแก้วสวยงาม ให้ผู้มาร่วมงานเมาลิดได้ถือติดไม้ติดมือกลับไปฝากลูกหลานที่บ้านอีกต่างหาก ..
ต่อมา การทำเมาลิดด้วยวิธีการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็ได้ขยายตัวออกไปในบางท้องที่ด้วยการจัดให้มีพิธีกรรมเมาลิดและอ่านหนังสือบัรฺซันญีย์ใน “ทุกๆงานเลี้ยง” ที่จัดขึ้น .. ไม่ใช่เฉพาะในวันเกิดท่านนบีย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังแพร่ระบาดและครอบคลุมไปถึงงานแต่งงาน, การทำอะกีเกาะฮ์, การขึ้นบ้านใหม่ และไม่เว้นแม้แต่ในการทำบุญ (??) บ้านคนตาย โดยที่นอกจากจะไม่มีเสียงคัดค้านใดๆแล้ว ยังได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ท่านผู้รู้” ในท้องที่เป็นอย่างดีอีกด้วย ...
ที่กล่าวมานี้ คือรูปแบบการทำเมาลิด ที่จัดขึ้นในประเทศไทย, --- โดยเฉพาะในภาคใต้ --- เข้าใจว่า ในต่างประเทศ แม้แต่ประเทศอียิปต์อันเป็นต้นกำเนิดของงานเมาลิดเอง ก็คงจะไม่มีการอ่านหนังสือบัรฺซันญีย์, หรือการแจกจาด, หรือการเดิน “กิน” งานเมาลิดวันละ 4-5 บ้านหรือมากกว่านั้น .. อย่างในประเทศไทยแน่ๆ ...
การให้เกียรติและให้ความสำคัญกับ “วันเกิด” ของท่านนบีย์ด้วยวิธีการ ดังกล่าว ถือเป็นรูปแบบที่มุสลิมยุคแรกอันถือว่าเป็นยุคที่เลอเลิศที่สุด คือ ยุคของท่านศาสดาเอง, ยุคของเศาะหาบะฮ์, ยุคของตาบิอีน, ยุคของตาบิอิตตาบิอีน หรือยุคหลังจากนั้นมาอีกร่วมร้อยกว่าปี ไม่เคยมีใครรู้จัก “วิธีการ” แสดงความรักต่อตัวท่านนบีย์หรือต่อวันเกิดของท่านนบีย์ ในรูปแบบนี้มาก่อนเลย .. ด้วยมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ ...
ด้วยเหตุนี้ จึงมิใช่เรื่องแปลกที่มีนักวิชาการจำนวนมากคัดค้านพิธีกรรมเมาลิดและมองว่า การทำเมาลิด ถือว่าเป็น “อุตริกรรม” หรือเป็น “บิดอะฮ์ที่ต้องห้าม” ..
การคัดค้านดังกล่าว มิใช่เพิ่งจะมีขึ้นในยุคหลังๆนี้เท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีขึ้นตั้งแต่มีการริเริ่มพิธีกรรมเมาลิดในประเทศอียิปต์ยุคแรกด้วยซ้ำไป ... ดังที่ผู้เขียนประวัติงานเมาลิดแทบทุกท่าน ต่างก็ได้บันทึกเอาไว้ว่า พิธีกรรมเมาลิดในประเทศอียิปต์อันเป็นแหล่งกำเนิด ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง กว่าผู้ที่นิยมในพิธีกรรมดังกล่าวนี้ จะพยายามอนุรักษ์มันไว้อย่างสุดความสามารถ แล้วสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในที่สุด ...
หากจะมีการอ้างว่า ... งานเมาลิดที่จัดขึ้นมิใช่มีเป้าหมายเพื่อให้เกียรติวันเกิดของท่านศาสดาเป็นการเฉพาะหรอก แต่เป้าหมายจริงๆก็เพื่อเป็นการแสดงความรักและให้เกียรติตัวท่านศาสดานั่นแหละ .. เพียงแต่มา “กำหนด” จัดงานแสดงความรักขึ้นในวันที่ตรงกับวันเกิดของท่านเท่านั้น เพราะถือว่า วันเกิดของท่านเป็นวันที่มุสลิมทุกคนควรจะปลาบปลื้มยินดีในความโปรดปรานที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงให้ท่านศาสดาถือกำเนิดมาในวันนั้น .. และสิ่งที่มีการปฏิบัติกันในงานเมาลิด ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมทั้งสิ้น อาทิเช่น การเลี้ยงอาหาร, การอ่านหนังสือชีวประวัติของท่าน, การอ่านอัล-กุรฺอ่าน, การซิกรุ้ลลอฮ์ เป็นต้น ...
ก็ขอเรียนว่า ข้ออ้างดังกล่าวนี้แหละ จะยิ่ง “ตอกย้ำ” ความเป็น “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ” อันเป็นเรื่องต้องห้ามของงานเมาลิดให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ...
จริงอยู่, ความรักและการให้เกียรติท่านนบีย์ เป็นสิ่งที่ดี และสิ่งที่มีการปฏิบัติกันในงานเมาลิดดังที่กล่าวมานั้นโดยหลักการทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ดีและเป็นเรื่องที่ศาสนาส่งเสริม แต่เราต้องไม่ลืมว่า สิ่ง “ดี” ใดๆที่จะถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติให้ถูกต้องตามกาลเทศะของมันด้วย ...
หากปฏิบัติให้ผิดกาลเทศะเมื่อไร สิ่ง “ดีๆ” ก็อาจจะกลายเป็น “สิ่งไม่ดี” ได้เช่นเดียวกัน ...
และดังได้กล่าวมาแล้วในหน้าที่ 6 ว่า การแสดงออกถึงความรักและการให้เกียรติท่านศาสดาตามแบบฉบับที่ถูกต้องของบรรดาเศาะหาบะฮ์นั้น หลักใหญ่ของมันก็คือ การ “ปฏิบัติตามและฟื้นฟูซุนนะฮ์ของท่าน” อย่างเคร่งครัดเท่าที่สามารถและโอกาสอำนวยให้ โดยพวกท่านจะไม่เคยไปกำหนดเวลา, กำหนดสถานที่, หรือกำหนดรูปแบบใดๆเพื่อแสดงความรักท่านศาสดาขึ้นมาเองโดยพลการอย่างพวกเราเลย ...
ท่านเช็คอะลีย์ มะห์ฟูศ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎอรฺ อัล-อิบติดาอฺ” ของท่าน หน้าที่ 281 ว่า ...
فَإِنَّ السَّلَفَ الصَّالِحَ لَمْ يَكُنْ لَهُمْ عَادَةٌ بِتَخْصِيْصِ يَوْمٍ أَوْ لَيْلَةٍ بِالْعِبَادَاتِ إِلاَّ إِذَا ثَبَتَ ذَلِكَ عَنِ النَّبِىِّ عَلَيْهِ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمَ وَصَحَابَتِهِ الْكِرَامِ فَجَاءَ بَعْدَهُمْ هَؤُلاَءِ وَعَكَسُواالْحَالَ ....
“บรรดาบรรพชนผู้ทรงคุณธรรมยุคแรกๆนั้น ปกติแล้วพวกเขาจะไม่เคยไป “กำหนด” วันไหนหรือคืนไหนเพื่อทำอิบาดะฮ์ใดๆเป็นพิเศษเลย นอกจากจะมีหลักฐาน “กำหนด” ชัดเจนมาจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมหรือจากเศาะหาบะฮ์ผู้ทรงเกียรติของท่านเท่านั้น .. แล้วต่อมา ชนยุคหลังจากพวกท่านก็ได้มาเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ดังกล่าว (โดยการกำหนดวันเวลา, สถานที่ หรือรูปแบบในการทำอิบาดะฮ์หรือทำความดีใดๆกันเองโดยพลการ) ...
สรุปแล้ว การทำ “สิ่งดี” ตามหลักการศาสนา จึงตั้งอยู่บนพื้นฐาน 2 ประการคือ ...
1. ทำสิ่งดีนั้นให้ถูกกาลเทศะของมัน ...
2. อย่าไปกำหนดเวลา, สถานที่, หรือรูปแบบการทำความดีใดๆเอาเองโดยพลการ หากศาสนามิได้กำหนดสิ่งดังกล่าวเอาไว้ในการทำความดีนั้นๆ ...
หากขาดพื้นฐานประการใดประการหนึ่งจาก 2 ประการนี้ การกระทำสิ่งดีนั้นก็อาจจะส่ง “ผลลัพธ์” ในด้านตรงข้ามไปก็ได้ ....
ความจริง “ตัวอย่างเปรียบเทียบ” เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เคยมีให้เห็นมากมาย ... แม้กระทั่งหลักฐานที่มาจากตัวท่านศาสดาเอง ...
ตัวอย่างเช่น ...
1. วันศุกร์ คือวันที่ประเสริฐที่สุดในรอบสัปดาห์, การถือศีลอด ก็เป็นอิบาดะฮ์ที่สำคัญและเป็นหนึ่งจากรุก่นอิสลามทั้งห้า ...
แต่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กลับ “ห้าม” จากการ “กำหนด” เอาวันศุกร์ โดยเฉพาะ เป็นวันถือศีลอด ? ...
การทำสิ่งดี .. ในเวลาที่ดี .. ทำไมจึงเป็นเรื่องต้องห้ามด้วย ? ...
2. การอ่านอัล-กุรฺอ่าน เป็นงานที่ดีที่สุด, การรุกั๊วะอฺและการสุญูดในการนมาซ ก็เป็นอิริยาบถที่ดีที่สุดในขณะนมาซ ...
แต่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กลับ “ห้าม” จากการอ่านอัล-กุรฺอ่าน ไม่ว่าซูเราะฮ์ใด .. ในขณะรุกั๊วะอฺและขณะสุญูด ? ...
การทำสิ่งดี .. ในเวลาที่ดี .. ในอิริยาบถที่ดี ทำไมจึงเป็นเรื่องต้องห้ามด้วย ? ...
3. มัสญิดทุกๆมัสญิดในโลกนี้ เป็นสถานที่ดีเลิศที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำอิบาดะฮ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. และการทำอิบาดะฮ์ก็เป็นเรื่องดีที่ไม่มีข้อขัดแย้ง ...
แต่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กลับ “ห้าม” เดินทางโดยมี “เป้าหมาย” เพื่อไปทำอิบาดะฮ์ในมัสญิดใดๆเป็นการเฉพาะ .. ยกเว้น 3 มัสญิด คือมัสญิดหะรอมที่มักกะฮ์, มัสญิดนะบะวีย์ที่มะดีนะฮ์, และมัสญิดอัล-อักซอที่เยรูซาเล็ม ? ...
การทำสิ่งดี คือไปนมาซในมัสญิด ทำไมจึงเป็นเรื่องต้องห้ามด้วย ? ...
4. การกล่าวสล่ามให้แก่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นบทบัญญัติที่มุสลิมทุกคนพึงปฏิบัติเสมอเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ..
แล้วเหตุใด ท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. จึงกล่าวห้ามปรามชายผู้หนึ่งที่กล่าวสล่ามให้แก่ท่านนบีย์ เพียงเพราะเขาไป “กำหนด” การให้สล่ามดังกล่าวร่วมกับการกล่าวสรรเสริญพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. หลังจากการจาม ...
ชายผู้นั้น มิได้ละทิ้งการกล่าว اَلْحَمْدُ لِلَّـهِ หลังจากการจามแต่อย่างใด เขาเพียงแต่เพิ่ม “สิ่งดี” คือ การกล่าวสล่ามให้แก่ท่านนบีย์เข้าไปด้วยเท่านั้น ...
การกล่าวสล่ามแก่ท่านนบีย์ เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยหรือ ? ...
5. การร่วมกันกล่าว “ซิกรุ้ลลอฮ์” ในมัสญิดหรือในสถานที่เหมาะสมใดๆ เป็นสิ่งดีที่ท่านศาสดากล่าวสนับสนุน และท่านกล่าวรับรองว่า ผู้ที่ร่วมกันซิกรุ้ลลอฮ์ดังกล่าวจะได้รับความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ...
แต่ทำไม ท่านอิบนุ มัสอูด ร.ฎ. จึงได้กล่าว “ตำหนิ” และประณามกลุ่มชนที่ “ร่วมกัน” กล่าวซิกรุ้ลลอฮ์ในมัสญิดแห่งหนึ่ง ว่า เป็นพวกที่ทำอุตริกรรมของศาสนา ดังการบันทึกของท่าน อัด-ดาริมีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน เล่มที่ 1 หน้า 79 หรือหะดีษที่ 204, ...
กลุ่มชนเหล่านั้น ทำผิดอะไรหรือในเมื่อสิ่งที่พวกเขากระทำก็เป็นสิ่งดี คือ การร่วมกันซิกรุลลอฮ์ในมัสญิด .. ตามที่ท่านนบีย์ส่งเสริมให้ทำ, เพียงแต่พวกเขาได้ “กำหนด” รูปแบบการซิกรุ้ลลอฮ์ของพวกเขาให้แตกต่างจากผู้อื่นไปบ้างเท่านั้น ? ...
ตัวอย่างต่างๆที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่า การทำ “สิ่งดี” ที่ศาสนาอนุญาตให้เราทำได้โดยทั่วๆไปนั้น ถ้าเรามา “กำหนด” เวลา, สถานที่, หรือรูปแบบการทำสิ่งดีเหล่านั้นเอาเองโดยพลการก็ดี, .. หรือทำสิ่งดีผิดกาลเทศะก็ดี ถือว่า เป็นเรื่องต้องห้ามหรืออย่างน้อยก็เป็นเรื่อง “ไม่สมควร” ในมุมมองของเศาะหาบะฮ์และบรรพชนยุคแรกของอิสลาม ...
(13)

หลักฐาน ต้องการทำเมาลิด (ตอนที่ 1)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
นี่คือ ชื่อหนังสือที่ท่านอัส-สะยูฏีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 911) นักวิชาการผู้ได้ชื่อว่าเป็น “มุจญตะฮิด” ท่านสุดท้ายได้เขียนขึ้น เพื่อสนับสนุนแนวคิดการทำเมาลิดหรือพิธีกรรมเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ว่าเป็นเรื่องดีงามควรปฏิบัติหรืออีกนัยหนึ่ง เป็น “บิดอะฮ์ หะสะนะฮ์” ...
หนังสือนี้ ถูกบรรจุอยู่ในเล่มที่ 1 หน้า 292-305 ของหนังสือชุดรวมเล่มการตอบปัญหาของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่มีชื่อว่า “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” ...
เช่นเดียวกันกับท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ อัล-มักกีย์ นักวิชาการชาวอฺรับยุคหลังท่านหนึ่งที่ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มีความหนาประมาณ 40 หน้า, ในหนังสือเล่มนี้ ท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ ได้อ้าง “เหตุผล” รวม 21 ประการเพื่อยืนยันว่า การจัดงานฉลองวันเกิดของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นสิ่งที่ชอบและควรปฏิบัติ ...
เช่นเดียวกับท่านหัจญีซิรอญุดดีน อับบาส แห่งอินโดนีเซีย ที่ได้เขียนหนังสือรวมเล่มชื่อ “มัสอะละฮ์ อูกามา” ซึ่งในหนังสือดังกล่าว ท่านหัจญีซิรอญุดดีน ก็ได้อ้าง “เหตุผล” มากมายหลายประการมาสนับสนุนการทำเมาลิด ซึ่งเราจะหาอ่านได้จากฉบับคำแปลที่ชื่อว่า “ข้อโต้แย้งปัญหาศาสนา” ของท่านอาจารย์อับดุลการีม วันแอเลาะ .. เล่มที่ 1 หน้า 98-125 ...
.....ฯลฯ .....
แต่, จากหนังสือที่ได้เอ่ยชื่อมาเหล่านี้ ที่ผมเห็นว่า “เข้าท่า” ที่สุด และเป็น “วิชาการ” ที่สุดก็คือ หนังสือ “حسن المقصد فى عمل المولد” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่ผมระบุชื่อมาข้างต้น ...
ส่วนหนังสืออีก 2 เล่มที่เหลือ หรือหนังสืออื่นๆที่เขียนขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำเมาลิด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการอ้าง “เหตุผล” (มิใช่หลักฐาน) มาสนับสนุนเรื่องนี้ .. ซึ่งแน่ละ, จะไปค้นหา “หลักฐาน” เรื่องการทำเมาลิดที่ไหนมาอ้างอิงได้ ?, .. ในเมื่อพิธีกรรมเมาลิดนี้ ถูกก่อกำเนิดขึ้นมาในประเทศอียิปต์ประมาณปี ฮ.ศ. 362 .. (คือหลังจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตายไปแล้วตั้ง 352 ปี) .. โดยสุลฏอนอัล-มุอิซ ลิดีนิลลาฮ์ แห่งวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ ซึ่งเป็น “กษัตริย์ชีอะฮ์” ที่ปกครองประเทศอียิปต์ในยุคนั้นเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เพื่อ “หวังผลแห่งการปกครอง” .. อันเป็นเรื่องของการเมือง ...
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะศึกษาหาความเข้าใจ --- ด้วยใจเป็นธรรม --- เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมเมาลิดว่า เป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ? นั้น .. ก่อนอื่น ก็ให้ท่านลองถามตัวเองดูก่อนว่า เรื่องการจัดงานเมาลิดเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่นิยมจัดกันเป็นพิเศษในประเทศไทยนั้น เป็นปัญหาขัดแย้ง ใช่หรือไม่ ? ...
ถ้าท่านตอบว่าใช่, ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยที่ท่านจะไปยึดติดกับ “เหตุผล” อันมากมายที่ผู้เขียนหนังสือส่งเสริมให้ทำเมาลิดบางคน (หรือแทบจะทุกคน) อ้างขึ้นมา เพื่อสนับสนุนเรื่องการทำเมาลิด .. ตราบใดก็ตามที่ท่านผู้เขียนหนังสือเหล่านั้น ยังไม่สามารถหาสิ่งที่เรียกกันว่า “หลักฐาน”มายืนยันแนวคิดของตนได้ ...
ทั้งนี้ ก็เพราะในมุมตรงข้ามกับผู้ส่งเสริมการทำเมาลิด เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนักวิชาการ --- ทั้งในอดีตและปัจจุบัน --- จำนวนมากที่คัดค้านเรื่องการทำเมาลิด ! และพวกเขาก็มี “เหตุผล” ของพวกเขา มาหักล้างเหตุผลของฝ่ายสนับสนุนได้เช่นเดียวกัน ...
การ “หักล้าง” กันด้วยเหตุและผล มิใช่เป็น “ทางออกที่ถูกต้อง” ของการแก้ไขปัญหาขัดแย้งตามหลักการและบทบัญญัติศาสนา ..ไม่ว่าในเรื่องการทำเมาลิดหรือเรื่องอะไรก็ตาม ...
ถ้าอย่างนั้น อะไรเล่าคือ “ทางออกที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ? ...
แน่นอน, คำตอบก็คือ การกลับไปหากิตาบุลลอฮ์ และซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม --- ดังคำบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. --- คือสิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหาขัดแย้งของศาสนาได้ สำหรับผู้ที่ “มีอีหม่านต่ออัลลออ์ และวันอาคิเราะฮ์” .. ดังคำกล่าวของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. อีกเช่นกัน ...
ประวัติศาสตร์อิสลามเคยบันทึกไว้ (แม้จะด้วยสายรายงานที่ค่อนข้างอ่อน) ว่า เมื่อตอนที่ท่านศาสดาสิ้นชีพนั้น บรรดาเศาะหาบะฮ์ต่างก็ขัดแย้งกันในเรื่องสถานที่ฝังศพของท่าน, บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่นครมักกะฮ์, บางคนบอกว่า ให้ฝังท่านที่กุบูรฺบะเกี๊ยะอฺในนครมะดีนะฮ์ร่วมกับบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน, บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่บัยตุ้ลมักดิซที่นครเยรูซาเล็ม -- (จากหนังสือ “ตั๊วะห์ฟะตุ้ล อะห์วะซีย์” เล่มที่ 4 หน้า 98) -- โดยแต่ละฝ่ายต่างก็อ้าง “เหตุผล” ที่น่าเชื่อถือ มาสนับสนุนทัศนะของตนด้วยกันทั้งสิ้น ...
แน่ละ หากจะตัดสินข้อขัดแย้งในครั้งนั้นตาม “เหตุผล” ของแต่ละฝ่าย ก็ยากที่จะหาข้อยุติให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ...
จนกระทั่งเมื่อท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ได้อ้าง “ซุนนะฮ์” ในเรื่องนี้ .. อันได้แก่คำสั่งของท่านศาสดาเองที่ว่า ... مَاقُبِضَ نَبِىٌّ إِلاَّ دُفِنَ حَيْثُ يُقْبَضُ ... “ผู้เป็นนบีย์นั้น ตายที่ไหนให้ฝังที่นั่น” .. (ดังการบันทึกของท่านอัต-ติรฺมีซีย์ จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. หะดีษที่ 1018, และท่านอิบนุมาญะฮ์ จากท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. หะดีษที่ 1628 ซึ่งสำนวนข้างต้นเป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุ มาญะฮ์) ข้อขัดแย้งต่างๆในเรื่องนี้จึงยุติลงด้วยดี เพราะ “ซุนนะฮ์” ของท่านนบีย์ ที่พวกเขา – บรรดาเศาะหาบะฮ์ – ต่างก็เคารพเทิดทูนและพร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา ...
แล้วพวกเราล่ะ ! พร้อมที่จะปฏิบัติตามและยอมรับซุนนะฮ์เป็นตัวตัดสินปัญหาขัดแย้ง .. เหมือนบรรดาเศาะหาบะฮ์เหล่านั้นแล้วหรือยัง ? ...
ถ้าเราจะพิจารณาพฤติการณ์ของมุสลิมเราในส่วนที่เกี่ยวข้องกับท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม --- ในแง่ของการให้ความสำคัญ, ให้ความรัก, ให้เกียรติต่อท่าน --- ในทางปฏิบัติเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ ...
(1). การให้ให้ความสำคัญ, ความรัก, และให้เกียรติใน “ตัว” ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, และ “วิธีการ” แสดงความรักและการให้เกียรติใน ตัวท่าน ...
(2). การให้ความสำคัญกับ “วันเกิด” .. และ “วิธีการ” แสดงการให้เกียรติวันเกิดของท่าน ...
ทั้ง 2 ประการนี้ ตามหลักการแล้วไม่เหมือนกัน, แต่คนส่วนใหญ่กลับมองเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ...
สำหรับข้อแรก คือความรักใน “ตัว” ท่านนบีย์นั้น ข้อนี้ไม่มีความขัดแย้งใดๆไม่ว่าจากมุสลิมกลุ่มซุนหนี่, ชีอะฮ์, หรือกลุ่มไหนว่า เป็นเป็นบทบัญญัติที่จำเป็นสำหรับมุสลิมผู้มีอีหม่านทุกคน จะต้องรักและให้เกียรติในตัวท่าน, ใช่เพียงแต่แค่นั้น แต่จะต้องรักท่านให้มากกว่ารักตัวเอง, มากกว่ารักพ่อแม่หรือลูกๆของตัวเอง, และมากกว่ารักมนุษย์ทุกคนในโลกด้วยซ้ำไป ...
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ...
لاَيُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى أَكُوْنَ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِدِهِ وَوَلَدِهِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِيْنَ
“คนใดจากพวกท่านจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าฉัน (หมายถึงท่านนบีย์) จะเป็นที่รักของเขายิ่งกว่าพ่อแม่ของเขา, ลูกๆของเขา, และยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งมวล” ..
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 15, และท่านมุสลิม หะดีษที่ 70/44)
ประเด็นต่อมาก็คือ เมื่อเรารักท่านนบีย์แล้ว “วิธีการ” ที่จะแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติในตัวท่านตามบทบัญญัติล่ะ เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร ? ...
เรื่องนี้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงกำชับไว้ในอัล-กุรฺอ่านหลายต่อหลายโองการ อาทิเช่น ...
مَنْ يُّطِعِ الرَّسُوْلَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّـهَ
“ผู้ใดที่เคารพเชื่อฟังรอซู้ล แน่นอน เขาเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์ด้วย”
(จากซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ อายะฮ์ที่ 80)
หรือจากโองการที่ว่า ...
وَمآ أَتَاكُمُ الرَّسُوْلُ فَخُذُوْهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوْا
“และสิ่งใดที่รอซู้ลนำมาให้พวกสูเจ้า ก็จงรับไปปฏิบัติ, และสิ่งใดที่รอซู้ลห้ามพวกสูเจ้า ก็จงยุติ” ..
(จากซูเราะฮ์ อัล-หัชร์ โองการที่ 7)
หรือจากโองการที่ว่า ...
قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّوْنَ اللَّـهَ فَاتَّبِعُوْنِىْ يُحْبِبْكُمُ اللَّـهُ وَيَغْفِرْلَكُمْ ذُنُوْبَكُمْ
“จงบอกเถิด (โอ้ มุหัมมัด) ว่า หากพวกสูเจ้ารักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน แล้วอัลลอฮ์ก็จะรักพวกสูเจ้า และพระองค์จะอภัยโทษแก่พวกสูเจ้า” ..
(จากซูเราะฮ์ อาลิ อิมรอน โองการที่ 30)
หรือจากโองการที่ว่า ...
فَلْيَحْذَرِالَّذِيْنَ يُخَالِفُوْنَ عَنْ أَمْرِهِ أَنْ تُصِيْبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيْبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيْمٌ
“ดังนั้น บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุหัมมัด) พึงระวังเคราะห์ร้ายจะบังเกิดกับพวกเขา, หรือการลงโทษทัณฑ์อันเจ็บปวดจะประสบต่อพวกเขา” ...
(จากซูเราะฮ์ อัน-นูรฺ โองการที่ 63)
หรือจากโองการที่ว่า ...
فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِىْ شَيْءٍ فَرُدُّوْهُ إِلَى اللَّـهِ وَالرَّسُوْلِ إِنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُوْنَ بِاللَّـهِ وَالْيَوْمِ اْلآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيْلاً
“แล้วเมื่อพวกสูเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ดังนั้น จงนำมันกลับไปหาอัลลอฮ์ (คือคัมภีร์อัล-กุรฺอ่าน) และรอซู้ล (คือ ตัวท่านศาสดาเองหรือซุนนะฮ์ของท่าน) หากพวกสูเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์จริง, นั่นคือ สิ่งที่ดีที่สุด และเป็นการกลับ (คือทางออก)ที่ดีที่สุดด้วย” ...
(จากซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ โองการที่ 59) ...
หรือจากหะดีษของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเองที่กล่าวว่า ..
مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلاَفاً كَثِيْرًا فعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِىْ وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ الْمَهْدِيِّيْنَ مِنْ بَعْدِىْ عَضُّوْا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ....
“พวกท่านคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อไปเขาก็จะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้น หน้าที่ของพวกท่านก็คือ การปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของฉัน, และซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ผู้ปราดเปรื่องและทรงคุณธรรมหลังจากฉัน, จงกัดมัน (ซุนนะฮ์ของฉันและซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ของฉัน) ให้แน่นด้วยฟันกราม ..... ”
มีไหม .. หลักฐานที่ว่า ให้เราปฏิบัติตามทัศนะของใครก็ได้เมื่อเกิดขัดแย้ง ? .. หลักฐานต่างๆเหล่านี้ ไม่ใช่หลักฐานเรื่องความรักและให้เกียรติ “วันเกิด” ท่านศาสดา แต่เป็นหลักฐานเรื่องความรักและการให้เกียรติ “ตัว” ท่านศาสดาเองโดยปราศจากข้อขัดแย้งจากนักวิชาการท่านใดทั้งสิ้น ...
..(8)

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

ผู้หญิงใส่ สร้อยแหวน กำไล ทองคำได้หรือไม่ (ตอนจบ)



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย


สรุป
จากข้อมูลและการวิเคราะห์ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับทองคำของสตรีที่ผมได้เขียนมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ หากท่านผู้อ่านได้อ่านมันอย่างใช้วิจารณญาณ และต้องการค้นคว้าหาความจริงตามหลักวิชาการ, .. โดยละทิ้งความเชื่อมั่นเดิมๆและความอคติชนิดที่ว่า ยอมรับไม่ได้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้อ่าน, และ/หรือละทิ้งความศรัทธาในข้อเขียนและตัวผู้เขียนจนมองข้ามความบกพร่องของข้อมูลบางอย่างที่อาจจะมีอยู่ ผมเชื่อว่า ท่านก็คงจะได้รับทางนำที่แท้จริงเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป และตลอดไป ...
จากบรรดาข้อมูลเหล่านี้แหละที่ท่านเช็คอัล-อัลบานีย์มั่นใจถึงกับกล้า “ฟันธง” ในหนังสือ “อาดาบุซ-ซะฟาฟ” ของท่านว่า แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ, และกำไลทองคำ (รวมทั้งเครื่องประดับทองคำอื่นๆที่มีลักษณะเป็นห่วงหรือวงกลม เช่นตุ้มหูทองคำชนิดเป็นห่วงกลม เป็นต้น) เป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) สำหรับสตรี .. เหมือนกับที่มันเป็นที่ต้องห้ามสำหรับบุรุษเช่นเดียวกัน ...
แต่สำหรับผม ยอมรับว่ายังไม่กล้าหาญพอที่จะหุก่มในลักษณะฟันธงอย่างนั้น นอกจากจะพูดเพียงว่า ไม่อยากให้สตรีใช้เครื่องประดับทองคำอย่างที่ว่ามานี้เลย ...
ขอยืนยันว่า ผมจะพูดอย่างนี้อยู่ต่อไป ตราบใดที่ยังไม่มีผู้ใด “ให้คำตอบ” ต่อคำถามของผมทั้งหมดในหน้าที่ 33 ให้เคลียร์หรือกระจ่างได้ ...
ส่วนเหตุผลที่ผมยังไม่กล้าฟันธงว่าเครื่องประดับดังกล่าวนั้นหะรอม ก็เพราะผมยัง “คาใจ” อยู่กับรายงานบทหนึ่งซึ่งท่านอัมร์ บิน อบีย์อัมร์ ได้รายงานมาว่า ...
(( سَأَلْتُ الْقَاسِمَ بْنَ مُحَمَّدٍ، قُلْتُ : إِنَّ نَاسًا يَزْعَمُوْنَ أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنْ اْلأَحْمَرَيْنِ، اَلْمُعَصْفَرِ وَالذَّهَبِ، فَقَالَ : كَذَبُوْا وَاللهِ ! لَقَدْ رَأَيْتُ عَائِشَةَ تَلْبَسُ الْمُعَصْفَرَاتِ وَتَلْبَسُ خَوَاتِيْمَ الذَّهَبِ ))
“ฉันได้ถามท่านอัล-กอซิม บิน มุหัมมัด (เป็นหลานชายของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.) ว่า : ประชาชนทั่วไปเข้าใจกันว่า ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามจาก “ของแดง” สองชนิด คือ เสื้อผ้าที่ย้อมฝาดและทองคำ ? .. ท่านอัล-กอซิมตอบว่า .. “ไม่จริงหรอก, ขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮ์, ขอยืนยันว่าฉันเคยเห็นท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. สวมเสื้อผ้าที่ย้อมฝาด และสวมแหวนทองคำหลายวง” ...
(บันทึกโดย ท่านอิบนุสะอัด ในหนังสือ “อัฏ-เฏาะบะกอต” เล่มที่ 8 หน้า 278 ด้วยสายรายงานที่สวยงาม, และท่านบุคอรีย์ก็ได้บันทึกหะดีษนี้ไว้เช่นกันในหนังสือ “อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์” ของท่านใน كِتَابُ اللِّبَاسِ، بَابُ الْخَاتَمِ لِلنِّسَاءِ ในลักษณะมุอัลลัก คือ มิได้ระบุสายรายงานไว้ .. ด้วยข้อความว่า وَكاَن َعَلَىعَائِشَةَ خَوَاتِيْمُ الذَّهَبِ : เคยปรากฏว่า มีแหวนทองคำหลายวงที่ตัวท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.) ...
ท่านเช็คอัล-อัลบานีย์ ได้พยายามอธิบายเชิง “ตะอ์วีล” ความหมายหะดีษบทนี้ในหลายลักษณะ อาทิเช่น เป็นไปได้ว่าท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ไม่ได้รับทราบข้อห้ามครั้งสุดท้ายของท่านรอซู้ลฯ, หรือแหวนทองคำที่ท่านสวมนั้น อาจจะเป็นแหวนทองคำชุบ ไม่ใช่แหวนทองคำแท้ เป็นต้น, พร้อมกันนี้ ท่านอัล-อัลบานีย์ยังได้นำหะดีษอีก 2-3 บทมาเป็นหลักฐานยืนยันว่า บางครั้ง คำพูดหรือการกระทำของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ยังขัดแย้งกับซุนนะฮ์ที่ถูกต้องในบางเรื่อง .. และสุดท้ายท่านอัล-อัลบานีย์ก็สรุปว่า ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลกลใดก็ตาม การกระทำของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ก็ไม่ถือว่าเป็นหลักฐานชี้ขาด (حُجَّةٌ)ในเรื่องนี้ เพราะหลักฐานชี้ขาดของศาสนา ต้องมาจากคำพูดหรือการกระทำของท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัญอิวะซัลลัมเพียงผู้เดียว ...
ในทัศนะส่วนตัวของผม .. มองว่า จากเหตุผลข้อแรกที่ว่า ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. อาจจะยังไม่ทราบข้อห้ามครั้งสุดท้ายของท่านรอซู้ลฯ ที่ห้ามสตรีใส่เครื่องประดับทองคำบางชนิดนั้น แม้ว่าตามข้อเท็จจริงอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเหตุผลที่อ่อนเกินไป ทั้งนี้ เพราะการที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดท่านศาสดาที่สุด จะไม่ทราบข้อห้ามนี้ เปอร์เซ็นของความเป็นไปได้มีน้อยมาก ...
ส่วนเหตุผลข้อสองที่ว่า แหวนทองคำที่ท่านอาอิชะฮ์สวมนั้นอาจจะมิใช่เป็นแหวนทองคำแท้ แต่เป็นแหวนทองคำชุบ ...
เหตุผลข้อนี้ เป็นเรื่องน่าคิด และโอกาส “เป็นไปได้” มีมากกว่าเหตุผลข้อแรก ...
เพราะคำกล่าวที่ว่า แหวนนั้นเป็นแหวนทองคำ ก็มิใช่เป็นคำบอกเล่าที่ออกจากปากของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. เอง .. แต่เป็นคำพูดของท่านอัล-กอซิม บิน มุหัมมัด หลานชายของท่าน อันเป็นการบอกเล่าจากการ “เห็น” ด้วยสายตาเท่านั้น ...
ข้อเท็จจริงที่ใครๆจะปฏิเสธมิได้ก็คือ แหวนทองคำแท้กับแหวนทองคำชุบ – ไม่ว่าสมัยนี้หรือสมัยไหน – หากมองดูสายตาเพียงผิวเผิน ก็แทบจะมองไม่ออก ...
ที่สำคัญอย่างยิ่ง ท่านอัล-กอซิมผู้นี้ ยังเคยรายงานหะดีษที่ถูกต้องมาอีกบทหนึ่งซึ่งมีการระบุอย่างชัดเจนว่า เครื่องประดับที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.ใช้นั้น เป็นเครื่องประดับที่ถูกชุบด้วยทองคำ ! ...
ดังนั้น แหวนทองคำที่ถูกกล่าวถึงในหะดีษบทนี้ จึง مُحْتَمَلٌ .. คือ “เป็นไปได้” ที่จะเป็น “แหวนทองคำชุบ” เช่นเดียวกับหะดีษบทนั้น ...
ท่านอิบนุสะอัด ได้บันทึกในหนังสือ “อัฏ-เฏาะบะกอต” เล่มที่ 8 หน้า 277-278 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง, จากท่านอัมร์ บิน อบีย์อัมร์ (ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้รายงานหะดีษข้างต้น) ว่า ...
(( سَمِعْتُ الْقَاسِمَ بْنَ مُحَمَّدٍ يُحَدِّثُ أَنَّ عَائِشَةَ كَانَتْ تَلْبَسُ اْلأَحْمَرَيْنِ، اَلْمُذَهَّبَ وَالْمُعَصْفَرَ وَهِىَ مُحْرِمَةٌ ))
“ฉันได้ยินท่านอัล-กอซิมพูดว่า แท้จริง ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. เคยใส่ “ของแดง” สองชนิดคือ(เครื่องประดับ) ทองคำชุบ และเสื้อผ้าย้อมฝาด ขณะท่านอยู่ในสภาพเอี๊ยะห์รอม” ...
รายงานทั้ง 2 บทนี้ แม้ดูแล้วจะเป็นคนละเหตุการณ์กัน แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า หลังจากที่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิด และสิ้นชีพไปแล้ว ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ก็หันมาใช้เครื่องประดับที่เป็นทองคำชุบเหมือนกัน ...
จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า ทำไมท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. จึงไม่ใช้เครื่องประดับจากทองคำแท้ตลอดไป หากมันเป็นที่อนุมัติ ? ...
“แหวนทองคำ” ที่ท่านอัล-กอซิม เห็นท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. สวมใส่ดังปรากฏในรายงานแรกนั้น จะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นแหวนทองคำแท้ ? ...
แบบนี้ ตามหลักวิชา “อุศูลุลฟิกฮ์” ถือว่า รายงานของท่านอัล-กอซิมที่อ้างว่าท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. เคยสวมแหวนทองคำหลังจากท่านศาสดาสิ้นชีพไปแล้ว ย่อมจะนำมาอ้างเป็นหลักฐานเรื่องอนุญาตแหวนทองคำแก่สตรีไม่ได้ ...
ทั้งนี้ เพราะมี เอี๊ยะห์ติมาล (إِحْتِمَالٌ) ในกรณีนี้ .. คือ ความเป็นไปได้ว่า แหวนทองคำที่ว่านั้น มิใช่ทองคำแท้, แต่อาจเป็นทองคำชุบ .. ดังที่มีปรากฏในอีกรายงานหนึ่งจากท่านอัมร์ บิน อบีย์อัมร์, จากท่านอัล-กอซิมเช่นเดียวกัน ...
มีกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งของวิชาอุศูลุลฟิกฮ์ กล่าวเอาไว้ว่า ...
(( إِذَا تَطَرَّقَ عَلَى الدَّلِيْلِ اْلإحْتِمَالُ سَقَطَ بِهِ اْلإسْتِدْلاَلُ))
“เมื่อหลักฐานใดปรากฏมีการเอี๊ยะห์ติมาล ก็ย่อมเป็นสาเหตุทำให้การอ้างมันเป็นหลักฐาน ต้องตก (คือสิ้นสภาพ) ไป” ...
เรื่องนี้ มันทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของตนเองเมื่อไม่นานมานี้ ...
สุภาพสตรีท่านหนึ่งโทรศัพท์มาหาผม เพื่อปรับทุกข์ให้ฟังว่า รู้สึกเป็นห่วง (แกมหมั่นไส้) เพื่อนคนหนึ่งที่ชอบใส่เครื่องเพชรทองพราวไปทั้งตัวจนดูเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่อย่างที่เขาชอบว่ากัน เกรงว่าจะไปเจอ(ไม่) ดีเข้าให้ .. ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพราะยุคนี้โจรมันชุม ...
เมื่อผมไปถาม (แกมเตือน) เพื่อนคนที่ (ถูก) ว่านี้ เธอหัวเราะก๊ากแล้วบอกผมว่า ขณะนี้เธอไม่มีของแท้ให้ใส่หรอก ไอ้เพชรก็ดี, ทองคำก็ดีที่เห็นเธอใส่น่ะ เป็นของเก๊ทั้งนั้นแหละ .. แล้วเธอก็ย้อนถามผมว่า .. “เค๊าดูไม่ออกจริงๆหรือว่า ไอ้ที่ฉันใส่อยู่ทุกวันนี้น่ะ มันเป็นของแท้หรือของเทียม ?” ...
ก็นั่นนะซิครับ ขนาดสตรีระดับ “ผู้ชำนาญการ” และชอบเครื่องประดับเพชรพลอยเป็นชีวิตจิตใจด้วยกันแท้ๆยังดูไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับท่านอัล-กอซิม บิน มุหัมมัด ซึ่งเป็นผู้ชายคนหนึ่ง จะไปดูออกหรือครับว่า อันแหวนทองคำที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. สวมอยู่นั้น มันเป็นทองแท้หรือทองชุบ ? ...
สรุปแล้วผมขอแนะนำว่า ทางออกที่ชัวร์ๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ มุสลิมะฮ์เราอย่าไปสวมใส่แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำแหละครับจะเป็นการดีที่สุด ทั้งนี้ เพื่อสวัสดิภาพของท่านเองทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์ ...
ربنا آتنا فى الدنيا حسنة، وفى الآخرة حسنة، وقنا عذاب النار، وصلى الله على سيدنا محمد وعلى آله وصحبه وسلم.



ผู้หญิงใส่ สร้อยแหวน กำไล ทองคำได้หรือไม่ (ตอนที่ 8)



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

 ทัศนะนักวิชาการเกี่ยวกับทางออกของความขัดแย้งเรื่องเครื่องประดับทองคำสตรี

ทัศนะที่ 1. หะดีษที่ห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำดังที่กล่าวมาตอนต้น เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ...
เกี่ยวกับทัศนะที่หนึ่งนี้ ผมคงจะไม่ต้องชี้แจงอะไรมาก เพราะนักวิชาการหะดีษจำนวนมากยอมรับแล้วว่า หะดีษที่ห้ามสตรีจากการใช้แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำดังข้างต้นนั้น เป็นหะดีษที่ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ์) .. ดังที่ผมได้วิเคราะห์และได้ตีแผ่รายงานของพวกท่านไปแล้ว ทัศนะนี้จึงรับฟังไม่ขึ้น ...
ทัศนะที่ 2. ถือว่า ข้อห้ามดังกล่าวนั้น หมายถึงการสวมใส่โดยเจตนาโอ้อวด,
นักวิชาการที่มีทัศนะดังกล่าว ได้อ้างหลักฐานจากหะดีษบทหนึ่งซึ่งท่านริบอีย์ บินหิรอช (เป็นตาบิอีนระดับอาวุโส, สิ้นชีวิตประมาณปี ฮ.ศ. 100), ได้รายงานมาจากภรรยาของท่าน, จากน้องสาวของท่านหุซัยฟะฮ์ บินอัล-ยะมาน ร.ฎ. ซึ่งกล่าวว่า ...
خَطَبَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالَ : يَا مَعْشَرَالنِّسَاءِ! أَمَا لَكُنَّ فِى الْفِضَّةِ مَا تَحَلَّيْنَ ؟ أَمَا إِنَّهُ لَيْسَ مِنْكُنَّ امْرَأَةٌ تُحَلِّىذَهَبًا تُظْهِرُهُ إِلاَّ عُذِّبَتْ بِهِ ...
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวอบรมพวกเรา, ท่านกล่าวว่า .. “สุภาพสตรีทั้งหลาย ! ไม่มีสำหรับพวกเธอซึ่งธาตุเงินที่พวกเธอจะใช้ประดับประดากันแล้วหรือ ? .. แท้จริง ไม่มีสตรีใดจากพวกเธอที่ใช้เครื่องประดับทองคำและโชว์ (อวด) มัน เว้นแต่นางจะถูกลงโทษเพราะการโชว์นั้น” ...
(บันทึกโดยท่าน อัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 5153, ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 437, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 398, เล่มที่ 6 หน้า 357, 358, 369, และท่านอัด-ดาริมีย์ หะดีษที่ 2645) ...
หะดีษบทนี้แสดงว่า สตรีที่ใส่เครื่องประดับทองคำโดยเจตนาโชว์หรืออวดมัน นางก็จะถูกลงโทษฐานอวดเครื่องประดับนั้น, เพราะฉะนั้น ความหมายในมุมกลับก็ คือ ถ้านางสวมใส่มัน แต่ไม่ได้มีเจตนาโชว์หรืออวดแก่ผู้ใด นางก็จะไม่ถูกลงโทษ ...
ข้อชี้แจง
1. สถานภาพของหะดีษบทนี้ เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ! จึงนำมาอ้างเป็นหลักฐานเรื่องเจตนาโชว์หรือไม่เจตนาโชว์เครื่องประดับทองคำไม่ได้, เพราะภรรยาของท่านริบอีย์ บินหิรอช ผู้รายงานท่านหนึ่ง ไม่เป็นที่รู้จัก (มัจญฮูล) ...
ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัต-ตักรีบ” เล่มที่ 2 หน้า 630 ว่า .. لَمْ أَقِفْ عَلَى اسْمِهَا .. คือ ฉันไม่เคยรู้ชื่อของเธอเลย ...
2. ในกรณีที่ “สมมุติ” ว่าหะดีษบทนี้ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ์) แต่ข้ออ้างที่ว่า การโชว์เครื่องประดับทองคำคือเหตุผลที่ทำให้ห้ามใส่เครื่องประดับนั้น ก็ยังรับฟังไม่ขึ้น ..
ทั้งนี้ ถ้าเหตุผลแห่งการห้ามคือการอวดหรือโชว์ เหตุผลเดียวกันนี้ก็จะครอบคลุมเครื่องประดับทุกชนิด ไม่ใช่เฉพาะทองคำเท่านั้นที่ถูกห้ามใส่โชว์ แต่เครื่องประดับที่ทำจากเงินก็จะถูกห้ามใส่โชว์ด้วยเช่นเดียวกัน, .. ซึ่งประเด็นนี้ขัดแย้งกับข้อความตอนท้ายของหะดีษซึ่งรายงานโดยท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ที่ผ่านมาแล้วจากหน้า 15 .. โดยท่านศาสดานอกจากมิได้ห้ามแล้ว ท่านกลับ “ส่งเสริม” ให้ใช้เงินด้วยการกล่าวว่า “พวกท่านจงหาความเพลิดเพลินด้วยเงินเถิด” ...
ท่านอิหม่าม อัซ-ซินดี้ย์ ได้อธิบายในลักษณะคล้ายกันกับคำอธิบายของผมข้างต้นนี้ในหนังสืออธิบาย “สุนัน อัน-นะซาอีย์” เล่มที่ 8 หน้า 535 ...
3. หรือแม้กระทั่งหะดีษห้ามใส่เครื่องประดับทองคำจากบทที่สอง อันเป็นเรื่องของบุตรีท่านฮุบัยเราะฮ์และเรื่องท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ.ที่ผ่านมาแล้ว .. จะเห็นได้ว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. มิได้อวดหรือโชว์สร้อยคอทองคำเส้นนั้นเลย ตรงข้ามท่านพยายามปกปิดมันด้วยการกำไว้ในมือด้วยซ้ำ แต่ท่านศาสดาก็กล่าวตำหนิและไม่พอใจเธออย่างรุนแรงเมื่อเห็นสร้อยทองคำนั้นอยู่ในมือของเธอ ...
แสดงว่า ข้อห้ามในเรื่องนี้ เหตุผลหลักก็คือ “ห้ามใส่เพราะมันเป็นสร้อยคอทองคำ” .. ส่วนการห้ามโชว์หรืออวดนั้น ถือเป็นการ “เน้น” เรื่องนี้ให้มีน้ำหนักแห่งการห้ามมากยิ่งขึ้น คือนอกจากจะห้ามบรรดาสตรีจากการสวมใส่เครื่องประดับทองคำประเภทแหวน, สร้อยคอ และกำไลแล้ว ยังต้องการให้พวกเธอรังเกียจและหลีกห่างจากเครื่องประดับชนิดนี้ให้มากขึ้นอีก ทั้งนี้ เพราะสตรีแทบจะ .. หรือทุกคน ที่ใส่เครื่องประดับทองคำ ก็ล้วนต้องการอวดหรือโชว์มันด้วยกันทั้งนั้น ...
ข้ออ้างที่ว่า เหตุผลในการห้ามเครื่องประดับทองคำแก่สตรี หมายถึงในกรณีต้องการอวดหรือโชว์ จึงรับฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ...
ทัศนะที่ 3. ถือว่า การห้ามดังกล่าว หมายถึงกรณียังไม่จ่ายซะกาต ...
ทัศนะนี้ ได้อ้างหลักฐานจากหะดีษที่ถูกต้องบทหนึ่งซึ่งรายงานมาจากอัมร์ บินชุอัยบ์, จากบิดาของท่าน, จากปู่ของท่าน ซึ่งกล่าวว่า ...
(( إِنَّ امْرَأَةً أَتَتْ رَسُوْلَ الله ِصَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلََّمَ وَمَعَهَا ابْنَةٌ لَهَا، وَفِىْ يَدِ ابْنَتِهَا مَسَكَتَانِ (أَىْ سِوَارَانِ) غَلِيْظَتَانِ مِنْ ذَهَبٍ، فَقَالَ لَهَا : أَتُعْطِيْنَ زَكَاةَ هَذَا ؟ قَالَتْ : لاَ قَالَ : أَيَسُرُّكِ أَنْ يُسَوِّرَكِ اللهُ بِهِمَا يَوْمَ الْقِيَامَةِ سِوَارَيْنِ مِنْ نَارٍ ؟ قَالَ : فَخَلَعَتْهُمَا فَأَلْقَتْهُمَا إِلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَقَالَتْ : هُمَا لِلهِ عَزَّ وَجَلَّ وَلِرَسُوْلِهِ ))
“สตรีผู้หนึ่งได้ไปหาท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมโดยนำบุตรสาวเล็กๆไปด้วย ซึ่งในมือบุตรสาวของนางมีกำไลทองคำใหญ่ 2 วงสวมอยู่ ท่านศาสดาจึงกล่าวแก่นางว่า .. “เธอจะจ่ายซะกาตสิ่งนี้ไหม ?” .. นางตอบว่า .. “ไม่ค่ะ” .. ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า .. “เธอชอบที่จะให้อัลลอฮ์สวมกำไล 2 วงจากไฟนรกแก่เธอในวันกิยามะฮ์เพราะมันทั้งสองกระนั้นหรือ ?” .. ปู่ของท่านอัมร์กล่าวต่อไปว่า .. นางจึงถอดกำไลทั้งสองนั้นออก แล้ววางมันให้แก่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมแล้วนางก็กล่าวว่า .. “ทั้งสองเส้นนี้ เป็นของพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงเกรียงไกร, ทรงยิ่งใหญ่ และเป็นของรอซู้ลของพระองค์” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 1563, ท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 2478 และท่านอบูอุบัยด์ในหนังสือ “อัล-อัมวาล” หะดีษที่ 1260) ...
หะดีษบทนี้ ถูกอธิบายเหมือนหะดีษบทก่อน .. คือเหตุผลที่ท่านนบีย์ฯ ห้ามสวมกำไลทองคำนั้น ก็เพราะเจ้าของปฏิเสธการจ่ายซะกาต, .. ดังเนื้อหาของหะดีษบทนี้ ...
ข้อชี้แจง
หะดีษบทนี้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่มีทัศนะว่า เครื่องประดับทองคำทุกชนิด วาญิบต้องจ่ายซะกาตด้วย .. ซึ่งถือว่าเป็นทัศนะที่ถูกต้อง ...
โปรดสังเกตด้วยว่า หะดีษนี้กล่าวถึงเฉพาะในประเด็นวาญิบต้องจ่ายซะกาตกำไลทองคำ และโทษของการไม่จ่ายซะกาตมันในวันอาคิเราะฮ์เท่านั้น แต่มิได้กล่าวถึงเรื่องการ “อนุมัติ” หรือการ “ห้าม” สวมกำไลทองคำแต่ประการใด .. ซึ่งตรงข้ามกับ “หะดีษห้าม” ในตอนต้น ที่ระบุชัดเจนถึงการห้ามสตรีใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิด โดยมิได้เอ่ยถึงเรื่องการจ่ายซะกาตแม้แต่คำเดียว ...
ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่า อนุมัติให้สตรีสวมกำไลทองคำได้หากมีการจ่ายซะกาตแล้ว จึงเป็นเพียง “ความเห็น” ที่ไม่มีตัวบ่งชี้ (اَلدِّلاَلَةُ) ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจากหะดีษบทนี้หรือบทไหน ...
ทั้งนี้ เพราะการที่ผู้ครอบครองกำไลทองคำจะถูกพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ลงโทษฐานไม่ยอมจ่ายซะกาตเป็นเรื่องหนึ่ง, แต่การห้ามสวมกำไลทองคำเพราะมันเป็นทองคำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีส่วนสัมพันธ์กัน ...
สำนวนหะดีษจากการรายงานของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ.บทแรกจากหน้า 15 ซึ่งท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า .. “ผู้ใดพึงใจจะให้ผู้ที่เขารักสวมแหวนจากไฟนรก ก็จงสวมแหวนทองคำให้เขาเถิด ฯลฯ .......” ก็บ่งบอกความหมายชัดเจนแล้วว่า เจตนารมณ์ของท่านศาสดาจากหะดีษบทนี้ก็คือ ห้ามสวมแหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ, และกำไลทองคำ, .. และ สาเหตุที่ท่านห้ามสวมก็เพราะมันเป็นทองคำ, .. ซึ่งท่านกล่าวว่า มันเป็นแหวน, สร้อย และกำไลจากไฟนรก ...
ส่วนหะดีษบุตรีของท่านฮุบัยเราะฮ์และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. บทถัดมาก็เช่นเดียวกัน คือท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มิได้เอ่ยถึงเรื่องการจ่ายหรือไม่จ่ายซะกาต, และก็ไม่มีข้อความใดจากหะดีษบ่งบอกว่า สร้อยคอทองคำเส้นนั้นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. มีขนาดใหญ่จนครบนิศอบ (ปริมาณ) ของซะกาต แต่ท่านศาสดาได้กล่าวแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. เพียงว่า สร้อยที่เธอถืออยู่นั้น คือสร้อยจากไฟนรก .. จนทำให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. ต้องรีบนำมันไปขาย ...
เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลอันชัดเจนว่า สาเหตุที่ท่านศาสดาห้ามสวมสร้อยคอ, หรือแหวน หรือกำไลทองคำ มิใช่เพราะไม่จ่ายซะกาต .. แต่เพราะมันเป็นทองคำ ! ซึ่งท่านเรียกมันว่า เป็นแหวน, สร้อยคอ และกำไลจากไฟนรกต่างหาก ...
ผู้อ่านบางท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่า ถ้าหากว่าการสวมใส่เครื่องประดับทองคำบางชนิดเหล่านี้เป็นที่ต้องห้ามแล้ว อิสลามจะมีความชอบธรรมในการเก็บซะกาตจากมัน (ดังหะดีษข้างต้นนั้น) ได้อย่างไร ? ...
คำตอบสั้นๆในกรณีนี้ก็คือ อิสลามเพียงแต่ “ห้ามสวม” แต่ไม่ได้ “ห้ามมี” หรือการเก็บไว้ซึ่งเครื่องประดับทองคำเหล่านี้เพื่อประกอบธุรกรรมอย่างอื่น เช่นเพื่อขายมันให้แก่คนต่างศาสนาที่สวมใส่มันได้ .. หรือนำมันไปหลอมละลายเพื่อทำเครื่องประดับในรูปลักษณ์อย่างอื่นที่ยังเป็นที่อนุมัติอีกมาก ดังที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้น ...
ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ก็คือ เรื่องภาชนะต่างๆ เช่นจาน, ขันน้ำ, แก้วน้ำ เป็นต้น ที่ทำจากทองคำ ...
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิสลามห้าม “กินหรือดื่ม” จากภาชนะเหล่านี้ที่ทำจากทองคำ, .. แต่ขณะเดียวกันอิสลามก็ไม่เคยห้าม “มีไว้” ซึ่งภาชนะเหล่านี้หากเราจะมีมันไว้เพื่อใช้มันในวัตถุประสงค์อย่างอื่น -- ตามทัศนะที่ถูกต้อง -- ดังคำกล่าวของท่านเช็คอัศ-ศ็อนอานีย์ ในหนังสือ “สุบุลุส สลาม” เล่มที่ 1 หน้า 28 ...
ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้เก็บสะสมเครื่องประดับทองคำเหล่านี้, หรือภาชนะที่ทำจากทองคำเหล่านี้ไว้ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นจากการสวมใส่ หรือใช้เป็นภาชนะดื่มกิน, และปริมาณของทองคำดังกล่าวนั้นครบจำนวน (นิศอบ) ที่จะต้องจ่ายซะกาต เขาก็ต้องจ่ายซะกาตมันเมื่อครบรอบปีตามหลักการอิสลามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการวาญิบจ่ายซะกาต เป็นคนละกรณีกันกับการห้ามสวมใส่เครื่องประดับทองคำ หรือห้ามใช้ภาชนะทองคำเหล่านี้ดื่มกิน .. ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ...
อาจจะมีผู้อ่านบางท่านติงว่า .. มีหะดีษบทหนึ่งในหนังสือ “หะลาลและหะรอมในอิสลาม” กล่าวเอาไว้ว่า ...
(( إَنَّ اللهَ إِذَا حَرَّمَ شَيْئًا حَرَّمَ ثَمَنَهُ ))
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.นั้น เมื่อพระองค์ทรงห้ามสิ่งใดแล้ว พระองค์ก็จะทรงห้ามราคาของมันด้วย”
(จากหนังสือ “اَلْحَلاَلُ وَالْحَرَامُ فِى اْلإِسْلاَمِ” ของท่านเช็คยูซุฟ อัล-ก็อรฺฎอวีย์หน้า 232, และหนังสือ “หะลาลและหะรอมในอิสลาม” จากฉบับคำแปลของท่านอาจารย์บรรจง บิน กาซัน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 393) ...
แสดงว่าการซื้อขายแหวน, หรือสร้อยคอ, หรือกำไลทองคำ ย่อมเป็นเรื่องต้องห้าม, เพราะเมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงห้ามใช้เครื่องประดับทองคำเหล่านั้น ก็เท่ากับพระองค์ทรงห้ามราคาที่ได้จากการซื้อขายมันด้วย ตามนัยของหะดีษบทนี้ ...
คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ สำนวนดังข้างต้นนี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 322, และท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ ในหนังสือ “อัส-สุนัน” เล่มที่ 3 หน้า 7 โดยรายงานมาจากท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง ...
แต่สำนวนที่สมบูรณ์กว่านี้และถูกต้องกว่านี้ ก็คือสำนวนที่ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอับบาส ร.ฎ. ได้รายงานจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งกล่าวว่า ...
(( لَعَنَ اللهُ الْيَهُوْدَ ثَلاَثًا، إِنَّ اللهَ تَعَالَى حَرَّمَ عَلَيْهِمْ الشُّحُوْمَ فَبَاعُوْهَا وَأَكَلُوْا أَثْمَانَهَا، وَإِنَّ اللهَ تَعَالَى إِذَا حَرَّمَ عَلَى قَوْمٍ أَكْلَ شَيْئٍ حَرَّمَ عَلَيْهِمْ ثَمَنَهُ ))
“พระองค์อัลลอฮ์ ได้สาปแช่งพวกยะฮูดีย์ (ท่านกล่าวคำนี้อยู่ 3 ครั้ง) .. แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงห้ามพวกเขาจาก (การบริโภค)ไขมันสัตว์ แล้วพวกเขากลับขายไขมันนั้นและเอาราคาของมันมาบริโภคแทน, แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.นั้น เมื่อพระองค์ทรงห้ามชนกลุ่มหนึ่งจากการบริโภคสิ่งใด พระองค์ก็จะทรงห้ามพวกเขาจากราคาของสิ่งนั้นด้วย” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 3488, และท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 247, 293) ...
จะเห็นได้ว่า หะดีษที่ถูกต้องสำนวนนี้ได้อธิบายถึงที่มาของเรื่องนี้ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้สาปแช่งพวกยะฮูดีย์ที่ถูกห้ามจากการ “บริโภค” ไขมันสัตว์ แต่พวกเขากลับหลีกเลี่ยงหุก่มด้วยการนำไขมันสัตว์ไปขายแล้วนำเอาราคาของมันใช้แทน, แล้วท่านศาสดาก็กล่าวต่อไปว่า เมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงห้ามชนกลุ่มใดจากการบริโภคสิ่งใด พระองค์ก็จะทรงห้ามราคาของสิ่งนั้นด้วย ...
แสดงว่า ข้อห้ามเกี่ยวกับ “ราคา” ที่แท้จริงตามนัยของหะดีษข้างต้นนี้ จะมุ่งประเด็นไปที่ “ราคาของอาหารหรือเครื่องดื่ม” ที่อิสลามห้ามบริโภค เช่นราคาสุกร,ราคาของสัตว์ที่อิสลามห้ามบริโภคทุกชนิด, ราคาสุราหรือเบียร์ เป็นต้น ...
หะดีษนี้จึงมิใช่เป็นข้อห้ามเรื่องราคาเครื่องใช้หรือเครื่องประดับทองคำที่มิใช่เป็นอาหารแต่ประการใด ...
สรุปแล้ว การทำธุรกิจซื้อขายเครื่องประดับทองคำ --- ทุกชนิด --- จึงเป็นที่อนุมัติเพราะไม่มีหลักฐานห้ามซื้อขายสิ่งเหล่านี้ ...
ทัศนะที่ 4. ถือว่า การอนุมัติเครื่องประดับทองคำทุกชนิดแก่สตรี เป็นมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ) ของบรรดานักวิชาการแล้ว จึงไม่สามารถคัดค้านได้อีก ...
เกี่ยวกับข้ออ้างดังกล่าวนี้ ผมขออธิบายนิดหนึ่งว่า มติเอกฉันท์ที่แท้จริงที่ไม่มีความขัดแย้งเลย ก็คือมติเอกฉันท์ของนักวิชาการในเรื่องของสิ่งที่เป็นที่รับรู้กันจากศาสนาโดยง่ายดาย (ضَرُوْرَةٌ) ประเภทที่เด็กๆเพิ่งเรียนฟัรฺฎูอีนก็ยังรู้ .. เช่น การเป็นฟัรฺฎู (ข้อบังคับ) ของนมาซ 5 เวลา, การเป็นฟัรฺฎูของการถือศีลอด, การจ่ายซะกาค, การทำหัจญ์, หรือการห้ามดื่มเหล้า, ห้ามผิดประเวณี, ห้ามรับดอกเบี้ย เป็นต้น ...
ส่วนข้ออ้าง “มติเอกฉันท์” ในเรื่องภาคปฏิบัติปลีกย่อยอื่นๆที่นักวิชาการบางท่านชอบอ้างกัน ข้อเท็จจริงก็คือ มักจะมีความเห็นขัดแย้งจากนักวิชาการท่านอื่นในเรื่องนั้นๆอยู่เสมอ โดยที่นักวิชาการผู้อ้างมติเอกฉันท์ อาจไม่รู้ว่ามีผู้ที่ขัดแย้งอยู่ ...
ตัวอย่างในเรื่องนี้ มีอยู่มากมายในตำราฟิกฮ์ต่างๆ ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่องคือ ...
1. ท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “สุบุลุส สลาม” เล่มที่ 1 หน้า 28 เกี่ยวกับเรื่องการห้ามดื่มกินในภาชนะทองคำว่า ...
(( وَهَذَا فِى اْلأَكْلِ وَالشُّرْبِ فِيْمَا ذُكِرَ لاَ خِلاَفَ فِيْهِ، فَأَمَّا غَيْرُهُمَا مِنْ سَائِرِاْلاِسْتِعْمَالاَتِ .... وَقِيْلَ يَحْرُمُ سَائِرُاْلاِسْتِعْمَالاَتِ إِجْمَاعًا ))
“เรื่องการห้ามดื่มกินในภาชนะทองคำนั้น ไม่ปรากฏความขัดแย้งแต่อย่างใด, อนึ่ง การนำภาชนะทองคำมาใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆจากการดื่มกิน ...... นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องต้องห้ามเช่นเดียวกัน ตามมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ” ...
แล้วท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ก็ได้นำทัศนะของนักวิชาการที่อนุญาตให้นำภาชนะทองคำไปใช้ในด้านอื่นจากการดื่มกินได้ --- ซึ่งท่านถือว่าเป็นทัศนะที่ถูกต้อง --- มาลงบันทึกไว้ อันเป็นการขัดแย้งกับข้ออ้างอิจญมาอฺข้างต้น แล้วท่านก็กล่าวสรุปว่า ...
(( وَدَعْوَى اْلإِجْمَاعِ غَيْرُ صَحِيْحَةٍ ))
“ข้ออ้างมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ .. ในกรณีนี้) เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง”
ท่านซัยยิด ซาบิก ก็ได้กล่าวอย่างเดียวกันกับท่านอัศ-ศ็อนอานีย์ในหนังสือ “ฟิกฮุซ ซุนนะฮ์” เล่มที่ 2 หน้า 365 ...
2. ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มุฆนีย์” เล่มที่ 2 หน้า 429 ว่า
(( وَلَنَا مَاذَكَرْنَاهُ، وَإِنَّهُ إِجْمَاعُ الْمُسْلِمِيْنَ، فَإِنَّهُمْ فِىْ كُلِّ عَصْرٍ وَمِصْرٍ يَجْتَمِعُوْنَ وَيَقْرَءُوْنَ الْقُرْآنَ وَيُهْدُوْنَ ثَوَابَهُ إِلَى مَوْتَاهُمْ مِنْ غَيْرِ نَكِيْرٍ .... ))
“สำหรับพวกเรา .. ผู้สังกัดมัษฮับหัมบะลีย์ .. ก็คือสิ่งที่เราได้กล่าวไปแล้ว (ในเรื่องการอุทิศผลบุญการอ่านอัล-กุรฺอ่านให้แก่ผู้ตายได้) .. และแน่นอน บรรดามุสลิมได้มีมติเป็นเอกฉันท์แล้วในเรื่องนี้ เพราะพวกเขา, ในทุกยุคสมัยและทุกเมืองใหญ่ จะร่วมกันอ่านอัล-กุรฺอ่าน และอุทิศผลบุญของมันให้แก่ผู้ตายของพวกเขา โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ............”
ท่านอิบนุ กุดามะฮ์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 620) อ้างว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ผู้ตาย เป็นมติเอกฉันท์ของบรรดามุสลิม .. ทั้งๆที่ทุกคนย่อมทราบดีแล้วว่า เรื่องนี้ คือปัญหาขัดแย้ง, .. และท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 204) ก็ได้กล่าวมาตั้งนานแล้วว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านนั้น อุทิศผลบุญให้ผู้ตายไม่ได้ (ไม่ถึง) ...
ท่านเช็ครอชิด ริฎอ ได้กล่าวคัดค้านข้ออ้างของท่านอิบนุ กุดามะฮ์ข้างต้นว่า ...
(( فَأَمَّا دَعْوَاهُ اْلإِجْمَاعَ فَهِىَ بَاطِلَةٌ قَطْعًا لَمْ يَعْبَأْ بِهَا أَحَدٌ ......... ))
“อนึ่ง ข้ออ้างของเขา (ท่านอิบนุ กุดามะฮ์) ที่ว่าเรื่องนี้ (การอ่านอัล-กุรฺอ่านอุทิศผลบุญให้กับผู้ตายได้) เป็นอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์) ของมุสลิมนั้น ถือเป็นข้ออ้างที่เป็นโมฆะอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ต่อข้ออ้างนี้ .....”
(จากฟุตโน้ตของท่านเช็ครอชิด ริฎอ ซึ่งตีพิมพ์ร่วมกับหนังสือ “อัล-มุฆนีย์” ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 365 ) ...
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัล จึงได้กล่าวว่า ...
(( مَنِ ادَّعَى إِجْمَاعًا فَهُوَكَذَبَ ! لَعَلَّ النَّاسَ قَدِ اخْتَلَفُوْا ))
“ผู้ใดก็ตามที่อ้างว่ามีมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ) เขาก็กล่าวเท็จแล้ว เพราะ (เขาไม่รู้หรอกว่า) บางทีประชาชนอาจมีความขัดแย้งกัน (ในเรื่องนั้น) ก็ได้” ...
(จากหนังสือ “อัล-มะซาอิล” ของท่านอิหม่ามอะห์มัดซึ่งรายงานโดยบุตรชายของท่าน คือท่านอับดุลลอฮ์, หน้าที่ 439) ...
ท่านอิบนุหัสมิน ได้กล่าวเอาไว้ว่า ...
(( وَقَدْ أَجَازَ بَعْضُ أَصْحَابِنَا أَنْ يُرَدَّ حَدِيْثٌ صَحِيْحٌ عَنِ النَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَيَكُوْنُ اْلإِجْمَاعُ عَلَى خِلاَفِهِ، قَالَ : وَذَلِكَ دَلِيْلٌ عَلَى أَنَّهُ مَنْسُوْخٌ! وَهَذَا عِنْدَنَا خَطَأٌ فَاحِشٌ .......... ))
“และแน่นอน มีสหายของเราบางคนอนุญาตให้ปฏิเสธหะดีษที่ถูกต้องจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้ หากมีอิจญมาอฺขัดแย้งกับหะดีษบทนั้นอยู่ พวกเขากล่าวอ้างว่า .. “การมีอิจญมาอฺแสดงว่า หะดีษบทนั้นถูกยกเลิกแล้ว” .. สิ่งนี้ (การปฏิเสธหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ที่ขัดแย้งกับอิจญมาอฺ, และถือว่า การมีอิจญมาอฺ คือการยกเลิกหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์) ..ในทัศนะของเรา ถือว่ามันเป็นข้อผิดพลาดที่น่าเกลียดมาก ......”
(จากหนังสือ أُصُوْلُ اْلأَحْكَامِ อันเป็นหนังสืออุศูลุลฟิกฮ์ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 2 หน้า 71) ...
นอกจากนี้ ท่านอิบนุ้ล ก็อยยิม อัล-ญูซียะฮ์ ก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ...
(( صَارَ مَنْ لاَ يَعْرِفُ الْخِلاَفَ مِنَ الْمُقَلِّدِيْنَ إِذَا احْتُجَّ عَلَيْهِ بِالْقُرْآنِ وَالسُّنَّةِ قَالَ : هَذَا خِلاَفُ اْلإِجْمَاعِ ))
“กลายเป็นว่า ผู้ที่ไม่รู้ว่ามีความขัดแย้ง อยู่ -- จากบรรดานักตักลีดทั้งหลาย -- เมื่อ(ทัศนะใดๆของ) เขา ถูกหักล้างด้วยอัล-กุรฺอ่านและซุนนะฮ์ เขาก็จะกล่าว (อ้าง) ว่า สิ่งนี้ ขัดแย้งกับมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ ของนักวิชาการ) ...
(จากหนังสือ “อาดาบุซ ซะฟาฟ” หน้า 44) ...
จากข้อมูลบางประการที่ผมได้นำเสนอมานี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบมุมมองของนักวิชาการที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับ “การให้ราคา” ของข้ออ้างอิจญมาอฺของนักวิชาการบางท่านในเรื่องที่อื่นจากเรื่องอันเป็นที่รับรู้กันของศาสนาโดยง่ายดาย (ضَرُوْرَةٌ) .. ดังที่อธิบายไปแล้วในหน้าที่ 46 ...
เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้จึงปัญหามีอยู่ว่า ข้ออ้างของนักวิชาการบางท่าน -- อาทิเช่นท่านอัล-บัยฮะกีย์ -- ที่อ้างในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรอ” เล่มที่ 4 หน้า 124 ว่า การอนุมัติให้สตรีใช้เครื่องประดับทองคำได้ทุกชนิด เป็นมติเอกฉันท์หรืออิจญมาอฺของนักวิชาการแล้วนั้น ...
แน่ใจหรือว่า ปัญหานี้เป็นมติเอกฉันท์จริง และไม่มีผู้ใดขัดแย้ง ? ...
สำหรับผม มีความเห็นตรงกันข้าม, คือเห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาขัดแย้งแน่นอน, --- ดังการยอมรับของท่านอิบนุหัสมิน --- เพราะมีรายงานที่ถูกต้องเป็นหลักฐานยืนยันความขัดแย้งในเรื่องนี้ ...
ข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องการอนุญาตทองคำแก่สตรี มีดังนี้ ...
(1). ท่านอิบนุหัสมิน .. ได้กล่าวยอมรับว่า นักวิชาการมีทัศนะขัดแย้งกันในเรื่องนี้ โดยท่านได้กล่าวว่า ...
(( وَلِبَاسُ الْمَرْأَةِ الْحَرِيْرُ وَالذَّهَبُ فِى الصَّلاَةِ وَغَيْرِهَا حَلاَلٌ، عَلَى أَنَّهُ قَدِ اخْتُلِفَ فِىْ ذَلِكَ، فَلَمْ يُجَوِّزْ ذَلِكَ قَوْمٌ لَهُنَّ .........))
“เครื่องแต่งกายของสตรี อันได้แก่ผ้าไหมและทองคำนั้น .. ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกการนมาซ ถือว่าเป็นที่อนุมัติ, .. เพียงแต่ยังมีความขัดแย้งกันในเรื่องนี้ โดยมีนักวิชาการบางกลุ่มไม่อนุญาตสิ่งเหล่านี้ (ผ้าไหมและทองคำ) แก่พวกนาง ......”
(จากหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 10 หน้า 82) ...
(2). ท่านอัล-บัฆวีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “ชัรฺหุส ซุนนะฮ์” --- หลังจากที่ได้นำเสนอทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ที่อนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับจากทองคำทุกชนิดได้ --- ว่า ...
(( وَكَرِهَ ذَلِكَ قَوْمٌ ))
“แต่นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ถือว่า สิ่งนี้ (สตรีใช้เครื่องประดับจากทองคำ) เป็นเรื่องน่ารังเกียจ (คือเป็นเรื่องต้องห้าม)” ...
(จากหนังสือ “อาดาบุซ ซะฟาฟ” หน้า 244)
(3). ท่านวะเกี๊ยะอฺ ได้รายงานจากท่านมุบาร็อก บินฟะฎอละฮ์ ว่า ท่านอัล-หะซัน อัล-บัศรีย์ รังเกียจ (คือห้าม) สตรีจากใช้ (เครื่องประดับ) ทองคำ ...
(จากหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสมิน เล่มที่ 10 หน้า 82)
(4). มีรายงานมาจากท่านอะฏออ์ บิน อบีย์รอบาห์ ว่า ...
(( أَنَّهُ كَانَ يَكْرَهُ الذَّهَبَ كُلَّهُ، وَيَقُوْلُ : هُوَ زِيْنَهٌ ! وَيَكْرَهُهُ لِلْمُتَوَفَّىعَنْهَاوَلِغَيْرِهَا ))
“แท้จริง ท่านอะฏออ์จะรังเกียจทองคำทุกชนิด, ท่านกล่าวว่า “มันคือเครื่องประดับ” .. และท่านจะรังเกียจ (คือ ห้าม)มัน ไม่ว่าแก่สตรีที่สามีสิ้นชีวิตหรือสตรีอื่นใดก็ตาม” ...
(จากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺ ร็อซซาก เล่มที่ 7 หน้า 15 และหน้า 51-52) ...
(5). ท่านมุหัมมัด บินซีรีน ได้รายงานมาว่า ...
(( إِنَّ ابْنَةً ِلأَبِىْ هُرَيْرَةَ قَالَتْ لَهُ : إِنَّ الْجَوَارِىَ يُعَيِّرْنَنِىْ، يَقُلْنَ : إِنَّ أَبَاكِ لاَ يُحَلِّيْكِ الذَّهَبَ ! فَقَالَ : قُوْلِىْ لَهُنَّ : إِنَّ أَبِىْ لاَ يُحَلِّيْنِىْ الذَّهَبَ، يَخْشَى عَلَىَّ مِنَ اللَّهَبِ ))
“บุตรีคนหนึ่งของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวกับท่านว่า .. “แม่สาวๆพวกนั้นกล่าวตำหนิฉัน, พวกหล่อนบอกว่า คุณพ่อของเธอไม่ยอมใส่เครื่องประดับทองคำแก่เธอเลย” .. ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. จึงกล่าวว่า .. “ลูกบอกพวกเขาเถิดว่า คุณพ่อของฉันไม่ยอมใส่เครื่องประดับทองคำให้ฉัน เพราะท่านกลัวฉัน (จะพินาศ) จากเปลวไฟ (นรก)” ...
(บันทึกโดย ท่านอับดุรฺ ร็อซซากในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” หะดีษที่ 19935, 19938, ท่านอิบนุหัสมินในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 10 หน้า 82, ท่านอิบนุอะซากิรฺ 19/124/2, ... สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุอะซากิรฺ)
จากข้อมูลเท่าที่ได้อธิบายมานี้ ย่อมเป็นสิ่งยืนยันว่า การอนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับทองคำ เป็น “ปัญหาขัดแย้ง” .. ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวมิใช่จะเพิ่งปรากฏขึ้นในยุคหลังนี้ดังความเข้าใจของบุคคลบางคน แต่ปรากฏว่า เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคเศาะหาบะฮ์และยุคตาบิอีนแล้ว ซึ่งแม้แต่นักวิชาการยุคหลังอย่างท่านอิบนุหัสมินและท่านอัล-บัฆวีย์ ก็ยังยอมรับความจริงข้อนี้ .. ดังข้อมูลหมายเลข 1 และหมายเลข 2 ...
เพราะฉะนั้น ข้ออ้างของนักวิชาการบางท่านที่ว่า .. การอนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับที่ทำจากทองคำได้ทุกชนิด เป็นอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์) ของนักวิชาการแล้ว .. จึงรับฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ...
ทัศนะที่ 5. ถือว่า ข้อห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำบางลักษณะดังหะดีษข้างต้นเป็นเรื่องจริง แต่ถูกยกเลิก (مَنْسُوْخٌ)ไปแล้ว ...
ก่อนที่จะชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของประเด็นนี้ ผมก็ขออธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความหมายและแนวทางของคำว่า “ถูกยกเลิก” ตามข้ออ้างของทัศนะที่ 5 ดังต่อไปนี้ ...
คำว่า ยกเลิก (نَسْخٌ) หมายถึง “การบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของหุก่มที่ถูกกล่าวไว้ก่อน -- เรื่องใดเรื่องหนึ่ง -- เพราะปรากฏมีหลักฐานที่ถูกต้องซึ่งถูกกล่าวภายหลัง ไปขัดแย้งและหักล้างหุก่มเดิมของเรื่องนั้นจนหมดสิ้น” ...
กฎการ “ยกเลิก” จึงเป็นเรื่องความขัดแย้งของหลักฐาน 2 บทจนไม่มีทางออกไม่ว่าด้วยวิธีใด .. และจะต้องมีหลักฐานชัดเจนเรื่องการมาก่อน -มาหลังของหุก่มที่ถูกยกเลิก และหุก่มที่มายกเลิกนั้น ...
ท่านอิบนุชาฮีน (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 385) ได้เขียนหนังสือ “اَلنَّاسِخُ وَالْمَنْسُوْخُ” (สิ่งที่มายกเลิกและสิ่งที่ถูกยกเลิก) แล้วได้อธิบายไว้ในหน้าที่ 18-19 ถึงเงื่อนไขต่างๆของการยกเลิกหุก่มดังข้างต้น .. โดยมีทั้งเงื่อนไขที่นักวิชาการมีทัศนะสอดคล้องกัน 3 เงื่อนไข และมีทัศนะขัดแย้งกันอีก 4 เงื่อนไข ซึ่งผมจะไม่อธิบายรายละเอียด ณ ที่นี้ ...
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ แนวทางรู้จักการยกเลิกหุก่มใดๆ .. ซึ่งท่านอิบนุชาฮีนได้เขียนไว้ในหน้าที่ 25 ของหนังสือเล่มนั้นดังต่อไปนี้ ...
(( لاَ بُدَّ فِىْ تَحَقُّقِ النَّسْخِ مِنْ وُرُوْدِ دَلِيْلَيْنِ عَنِ الشَّرْعِ، وَهُمَا مُتَعَارِضَانِ حَقِيْقِيًّا لاَ سَبِيْلَ إِلَى تَلاَقِيْهِ بِإِمْكَانِ الْجَمْعِ بَيْنَهُمَا عَلَى أَىِّ وَجْهٍ مِنْ وُجُوْهِ التَّأْوِيْلِ ))
“เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับ “การยกเลิก” ที่แท้จริงก็คือ การปรากฏมีหลักฐานจากบทบัญญัติ 2 บท, .. ซึ่งทั้งสองบทนั้นขัดแย้งกันอย่างแท้จริง .. จนไม่สามารถที่จะประสานเข้าด้วยกันได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม” ...
จากแนวทางข้างต้นนี้ จึงทำให้เราได้รับรู้ว่า หากปรากฏว่าหลักฐาน 2 บทขัดแย้งกันจริง แต่เป็นการขัดแย้งกันในบางแง่มุม และสามารถหา “ทางออก” (ซึ่งก็มีอยู่หลายแนวทาง) ได้ จนทั้งสองหลักฐานนั้น สามารถสอดประสานกันตามหลักวิชาการได้ ก็จะนำกฎเกณฑ์เรื่อง “การยกเลิก” มาใช้กับหลักฐานทั้งสองนั้นไม่ได้ ...
คำว่า “ยกเลิก” จึงถือเป็น “ทางออกสุดท้าย” ของ 2 หลักฐานที่ขัดแย้งกันเท่านั้น ...
สรุปอีกครั้งก็คือ แนวทางสำหรับการยกเลิกหุก่มใดๆ จะต้องประกอบขึ้นจากหลักการที่สำคัญ 2 ประการดังต่อไปนี้ ...
1. มีข้อมูลที่ชัดเจนเรื่องระยะเวลาการถูกกล่าวก่อน-กล่าวหลัง ของหลักฐานที่ถูกยกเลิกและหลักฐานที่มายกเลิก ...
2. ทั้งสองหลักฐานนั้น ขัดแย้งกัน .. จนไม่สามารถหาทางประสานกันตามหลักวิชาการได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆก็ตาม ...
เมื่อเราหันกลับมาพิจารณาดูข้ออ้างที่ว่า การห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิด ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว .. ดังที่เรากำลังวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกันอยู่นี้ ...
ปรากฏว่า ข้ออ้างดังกล่าวนั้น ท่านอิบนุชาฮีนได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัน-นาซิค วัล-มันซูค” หน้า 266 .. มีข้อความซึ่งพอจะสรุปได้คือ ...
1. ในตอนเริ่มแรกของอิสลาม เครื่องประดับทองคำทั้งหมด – ทุกชนิด – ถูกอนุมัติทั้งแก่ผู้ชายและผู้หญิง .. (ดังที่ผมได้อธิบายไปแล้วในหน้าที่ 8) ...
2. ต่อมา อิสลามก็ได้ห้ามเครื่องประดับทองคำทั้งแก่ผู้ชายและผู้หญิง .. ถือเป็นการยกเลิก (نَسْخٌ) หุก่มอนุญาตทองคำตามหลักการเดิมนั้นเป็นครั้งแรก ...
(หลักฐานห้ามที่มายกเลิกการอนุญาตในที่นี้ก็คือ หะดีษที่ห้ามสตรีใช้แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำที่กล่าวมาในตอนต้น, รวมทั้งหะดีษต่างๆที่ห้ามผู้ชายใช้เครื่องประดับทองคำ อันเป็นที่ทราบกันดีนั่นเอง) ...
3. และสุดท้าย อิสลามก็กลับมาอนุญาตให้ผู้หญิงใช้เครื่องประดับทองคำทุกชนิดได้อีก (โดยที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า .. “ของสองสิ่งนี้ (ผ้าไหมและทองคำ) เป็นที่ต้องห้ามสำหรับบุรุ�


ผู้หญิงใส่ สร้อยแหวน กำไล ทองคำได้หรือไม่ (ตอนที่ 7)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

หลักฐานอนุมัติเครื่องประดับทองคำแก่สตรี

มีหลักฐานจากหะดีษบางบทที่แสดงว่า เครื่องประดับทองคำ --- ทุกชนิด --- เป็นที่อนุมัติแก่ผู้หญิง ซึ่งในมุมมองของนักวิชาการหลายท่านถือว่า หะดีษเหล่านี้ขัดแย้งกันกับหะดีษที่กล่าวมาแล้วตอนต้นว่า เครื่องประดับทองคำบางชนิด เป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้หญิง .. ทั้งที่ความจริงมันมิได้ขัดแย้งอะไรกันเลย ดังจะได้อธิบายต่อไปในหน้าที่ 59 ...
หะดีษดังกล่าวได้แก่ ...
(1). หะดีษซึ่งรายงานโดยท่านอะลีย์ บิน อบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. มีข้อความว่า ...
أَخَذَالنَّبِىُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حَرِيْرًا فَجَعَلَهُ فِىْ يَمِيْنِهِ، وَأَخَذَ ذَهَبًا فَجَعَلَهُ فِىْ شِمَالِهِ، ثُمَّ قَالَ : إِنَّ هَذَيْنِ حَرَامٌ عَلَى ذُكُوْرِأُمَّتِىْ، حِلٌّ ِلإنَاثِهِمْ ...
“ ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้เอาผ้าไหมมาถือไว้ในมือขวา และเอาทองคำมาถือไว้ในมือซ้าย แล้วท่านก็กล่าวว่า .. “สองอย่างนี้ เป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) สำหรับบุรุษเพศจากอุมมะฮ์ของฉัน, และเป็นที่อนุมัติแก่สตรีเพศของพวกเขา” ...
หะดีษบทนี้ บันทึกโดยท่านอบูดาวูด, ท่านอัน-นะซาอีย์, ท่านอะห์มัด, ท่านอิบนุมาญะฮ์, และท่านอิบนุหิบบาน ซึ่งในภาพรวมถือว่าเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ .. ดังที่อธิบายผ่านมาแล้วจากหน้า 11-12 ...
(2). ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ...
(( قَدِمَتْ عَلَى النَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حِلْيَةٌ مِنْ عِنْدِ النَّجَاشِىِّ أَهْدَاهَالَهُ، فِيْهَا خَاتَمٌ مِنْ ذَهَبٍ فِيْهِ فَصٌّ حَبَشِىٌّ، قَالَتْ : فَأَخَذَهُ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّم بِعُوْدٍ مُعْرِضًا عَنْهُ _ أَوْ بِبَعْضِ أَصَابِعِهِ _ ثُمَّ دَعَا أُمَامَةَ بِنْتَ أَبِى الْعَاصِ اِبْنَةَ ابْنَتِهِ، فَقَالَ : تَحَلَّىْ بِهَذَا يَا بُنَيَّةُ ! ))
“ของขวัญจากเครื่องประดับซึ่งกษัตริย์นะญาชีย์ (แห่งเอธิโอเปีย) มอบให้เป็นบรรณาการ ได้ถึงมายังท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม .. ในนั้นมีแหวนทองคำอยู่วงหนึ่งซึ่งหัวของมันเป็น (พลอย) แห่งเอธิโอเปีย, ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ใช้กิ่งไม้ (หรือนิ้วบางนิ้วของท่าน) หยิบมันขึ้นมาด้วยท่าทางขยะแขยง แล้วท่านก็เรียกท่านอุมามะฮ์ ซึ่งเป็นบุตรีของท่านอบีย์ อัล-อาศ กับท่านหญิงซัยหนับ ร.ฎ.บุตรสาวของท่านเข้ามา แล้วกล่าวว่า .. “เอามันไปสวมซิ แม่หนูน้อย !” ..
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 4235, ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 3644, ท่านอิบนุ อบีย์ชัยบะฮ์ เล่มที่ 6 หน้า 65, ท่านอิบนุหัสมินในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มทื่ 10 หน้า 85 และท่านอิบนุสะอัด ในหนังสือ “อัฏ-เฏาะบะกอตฯ” เล่มทื่ 8 หน้า 263 ด้วยสายรายงานที่หะซัน (สวยงาม) ...
(3). ท่านซัยหนับ บินติ นุบัยฏ์ ภริยาของท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ...
(( إِنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حَلَّى أُمَّهَا وَخَالَتَهَا، وَكَانَ أَبُوْهُمَا أَبُوْأُمَامَةَ أَسْعَدُ بْنُ زُرَارَةَ أَوْصَى بِهِمَا إِلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَحَلاَّهُمَا رِعَاثًا مِنْ تِبْرِ ذَهَبٍ فِيْهِ لُؤْلُؤٌ، قَالَتْ زَيْنَبُ : فَأَدْرَكْتُ بَعْضَ ذَلِكَ الْحُلِىِّ عِنْدَ أَهْلِىْ ))
“แท้จริง ท่านรอซู้ลลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ใส่เครื่องประดับให้แก่มารดาของเธอ (คือท่านหะบีบะฮ์ บินติ อบีย์อุมามะฮ์) และให้แก่น้าสาวของเธอ -- โดยบิดาของทั้งสองท่านนั้น คือท่านอบีย์อุมามะฮ์ (ชื่อจริงคือท่านอัซอัด บิน ซุรอเราะฮ์ ร.ฎ. ได้สั่งให้ทั้งสองไปหาท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม) – แล้วท่านศาสดาก็ได้ใส่เครื่องประดับอันเป็นพวงตุ้มหูที่ทำจากแร่ทองคำซึ่งมีไข่มุกประดับอยู่ด้วยให้แก่ทั้งสอง .. ท่านซัยหนับกล่าวต่อไปว่า .. “แล้วดิฉันก็เคยเจอบางส่วนของเครื่องประดับเหล่านั้นที่บุคคลในครอบครัวของดิฉันเอง” ...
(บันทึกโดย ท่านอัล-หากิม เล่มที่ 3 หน้า 207, ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ในหนังสือ “อัล-อิศอบะฮ์” เล่มที่ 8 หน้า 47, และท่านอิบนุล-อะษีรฺ ในหนังสือ "อัน-นิฮายะฮ์ ฟี เฆาะรีบิลหะดีษ” เล่มที่ 2 หน้า 234 .. สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอัล-หากิม) ...
สถานภาพของหะดีษบทนี้ เป็นหะดีษหะซัน (สวยงาม) เช่นเดียวกัน ...
(4). มีรายงานมาจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ว่า ...
(( عَثَرَ أُسَامَةُ بِعَتَبَةِ الْبَابِ، فَشُجَّ فِىْ وَجْهِهِ، فَقَالَ رَسُوْلُ الله ِصَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : يَا عَائِشَةُ ! أَمِيْطِىْ عَنْهُ اْلأَذَى ! فَتَقَذَّرْتُهُ، فَجَعَلَ يَمُصُّ عَنْهُ الدَّمَ وَيَمُجُّهُ عَنْ وَجْهِهِ، ثُمَّ قَالَ : لَوْ كَانَ أُسَامَةُ جَارِيَةً لَحَلَّيْتُهُ وَكَسَوْتُهُ حَتَّى أُنَفِّقَهُ ))
“อุซามะฮ์ (บิน ซัยด์) ได้ลื่นล้มลงที่ธรณีประตู และมีบาดแผลที่หน้า, ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมจึงกล่าวว่า .. “นี่ อาอิชะฮ์ ! เช็ดเลือดให้เขาทีซิ” แต่ฉันขยะแขยงมัน ท่านจึงลงมือดูดเลือดนั้นจากหน้าของเขาและถ่มมันออกไป เสร็จแล้วท่านจึงกล่าวว่า .. “สมมุติถ้าอุซามะฮ์เป็นเด็กผู้หญิงนะหรือ ฉันจะประดับประดาและแต่งตัวเขาให้สวยเช้ง เพื่อจะให้เขาขายดี (หมายถึง มีผู้มาจีบเยอะ) เลยเชียว” ...
(บันทึกโดย ท่านอะห์มัด เล่มที่ 6 หน้า 139, 222, ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 1976, ท่านอิบนุสะอัดในหนังสือ “อัฏ-เฏาะบะกอต” เล่มที่ 4 หน้า 349, ท่านอบูยะอฺลา เล่มที่ 3 หน้า 1131) ...
หะดีษบทนี้ในภาพรวม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ ดังการวิเคราะห์ของท่านอัล-อัลบานีย์ในหนังสือ “อัศเศาะหี้หะฮ์” เล่มที่ 3 หน้า 16 ...
(5). ท่านสะอีด บิน อัล-มุซัยยับ ได้กล่าวว่า ...
قَدِمَتْ صَفِيَّةُ بِنْتُ حُيَيٍّ َوَفِىْ أُذُنَيْهَا خُرْصَةٌ مِنْ ذَهَبٍ، فَوَهَبَتْ مِنْهُ لِفَاطِمَةَ وَلِنِسَاءٍ مَعَهَا ...
“ท่านหญิงศอฟียะฮ์ บินติ หุยัยย์ ร.ฎ. (ภริยาของท่านรอซู้ลลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, สมรสกับท่านเมื่อเสร็จสิ้นสงครามค็อยบัรฺในปี ฮ.ศ. ที่ 7) ได้มุ่งหน้ามา (นครมะดีนะฮ์) โดยที่หูทั้งสองของท่านมีตุ้มหูทองคำอยู่, แล้วท่านก็มอบตุ้มหูบางอันแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. และแก่สตรีที่อยู่พร้อมกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ด้วย” ...
(หะดีษนี้ บันทึกโดยท่านอิบนุ สะอัด ในหนังสือ “อัฏ-เฏาะบะกอต” เล่มที่ 8 หน้า 309, แต่การรายงานมีลักษณะมุรฺซัล (ขาดตอน) เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีที่ 7 ของฮิจญเราะฮ์ศักราช, .. แต่ท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับผู้รายงานเกิดในปีที่ 2 ของการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอุมัรฺ อิบนุลค็อฏฏอบ ร.ฎ. .. คือเกิดหลังจากที่เหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วประมาณ 8 ปี ...
หะดีษบทนี้ตามรูปการ จึงไม่น่าจะเป็นหลักฐานในเรื่องอนุญาตให้ใช้เครื่องประดับทองคำแก่สตรีได้ ...
สรุปแล้ว หะดีษมัรฺฟูอฺ (คือ หะดีษที่อ้างการรายงานมาจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม) ที่อนุมัติให้สตรีใช้เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ (เท่าที่ผมพอจะรวบรวมได้) ก็น่าจะมีอยู่แค่นี้ หรือหากจะมีหลงเหลืออยู่บ้างก็คงไม่มากนัก ...
นักวิชาการ “ส่วนใหญ่” ที่มีทัศนะว่า เครื่องประดับทองคำทุกชนิดเป็นที่อนุมัติแก่สตรี ได้พยายามหา “ทางออก” จากความขัดแย้ง -- ตามความเข้าใจของพวกท่าน -- กับหะดีษที่ห้ามสตรีใช้เครื่องประดับทองคำบางชนิดดังในตอนต้น .. โดยทางออกตามทัศนะของพวกท่าน ยังขัดแย้งกันเองเป็นหลายทฤษฎีด้วยกันดังต่อไปนี้ ...
1. ถือว่า หะดีษที่ห้ามสตรีจากการใช้เครื่องประดับทองคำ เป็นหะดีษเฎาะอีฟ
2. ถือว่า การห้ามดังกล่าว หมายถึงกรณีสวมใส่เพื่อโชว์หรือโอ้อวด
3. ถือว่า การห้ามดังกล่าว หมายถึงกรณียังไม่ได้จ่ายซะกาต
4. ถือว่า การอนุมัติเครื่องประดับทองคำทุกชนิดแก่สตรี เป็นมติเอกฉันท์ (อิจญมาอฺ) ของบรรดานักวิชาการแล้ว จึงไม่สามารถห้ามหรือคัดค้านได้อีก
5. ถือว่า การห้ามดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในช่วงแรกของอิสลาม แต่ถูกยกเลิกไปแล้ว
6. ถือว่า ข้อห้ามดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงหลังสุดของอิสลามก่อนการสิ้นชีพของท่านศาสดาไม่นาน, แต่เป็นการห้ามเฉพาะเครื่องประดับทองคำที่ถูกระบุมาในหะดีษ คือ แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำเท่านั้น, มิได้ห้ามทองคำทั้งหมดแก่สตรี ...
ต่อไปนี้ คือรายละเอียดของแต่ละทฤษฎีหรือแต่ละทัศนะเหล่านั้น พร้อมด้วยข้อชี้แจงหรือโต้แย้งเท่าที่จำเป็น ...


ผู้หญิงใส่ สร้อยแหวน กำไล ทองคำได้หรือไม่ (ตอนที่ 6)



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

 ข้อโต้แย้งของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์เกี่ยวกับหะดีษบทนี้
ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ ได้วิจารณ์เชิงโต้แย้งหะดีษบทนี้ใน 2 ลักษณะคือ ในด้านสายรายงานของหะดีษ, และในด้านความหมายของหะดีษ ...
(1). ในด้านสายรายงานของหะดีษ
ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ได้กล่าวโต้แย้งในหนังสือ “อัล-อิบาหะฮ์” ของท่าน หน้า 87-88 เกี่ยวกับสายรายงานของหะดีษบทนี้เพียงประเด็นเดียว โดยพุ่งเป้าไปที่ “ท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีด อัล-บัรฺรอด” .. ซึ่งท่านเช็คอิสมาอีล ถือว่าไม่น่าเชื่อถือ .. โดยได้อ้างการวิจารณ์ของท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ จากหนังสือ “ตะฮ์ซีบ อัต-ตะฮ์ซีบ” เล่มทื่ 1 หน้า 300 ที่กล่าวว่า ...
(( يُعْتَبَرُبِهِ ))
“เขา (อะซีด บินอบีย์อะซีด อัล-บัรฺรอด) จะถูกนำมาพิจารณา (ประกอบการรายงานของผู้อื่น) ได้” ...
ความหมายดังกล่าวก็คือ ท่านอะซีด บินอบีย์ อะซีด มิใช่เป็นผู้รายงานที่ได้รับความเชื่อถือโดยตรงในตัวเอง นอกจากการนำมาพิจารณาร่วมกับการรายงานของผู้อื่นเท่านั้น, ดังนั้น หะดีษบทใดที่ท่านอะซีดรายงานมาเพียงผู้เดียว (อย่างกรณีหะดีษบทนี้) โดยไม่มีผู้อื่นรายงานมายืนยันหรือสอดคล้องด้วย หะดีษบทนั้นจากการรายงานของท่านก็จะนำมาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้ ...
ข้อชี้แจง
ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ ได้นำข้อวิจารณ์เกี่ยวกับตัวท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีด มาจากท่านอัด-ดารุกุฏนีย์เพียงผู้เดียวที่กล่าวถึงท่านอะซีดผู้นี้ในด้านลบ, ...
แต่การกล่าววิจารณ์ของนักวิชาการท่านอื่นอีกมากที่ให้ความความเชื่อถือแก่ท่านอะซีด ท่านเช็คอิสมาอีล กลับมิได้กล่าวถึงแต่ประการใด ...
ท่านอบูดาวูด, ท่านอัน-นะซาอีย์, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์, และท่านอิบนุมาญะฮ์ ได้ยอมรับท่านอะซีด บินอบีย์อะซีด เป็นผู้รายงานที่เชื่อถือได้ในตำราหะดีษ “อัส-สุนัน” ของพวกท่าน, ท่านบุคอรีย์ก็ยอมรับท่านอะซีด เป็นผู้รายงานในหนังสือ “อัล-อะดับ อัล-มุฟร็อด” ของท่าน ดังมีการบันทึกในหนังสือ “ตะฮ์ซีบ อัต-ตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 1 หน้า 300, และท่านอิบนุหิบบาน ก็ถือว่าท่านอะซีด เป็นผู้รายงานที่เชื่อถือได้ ดังกล่าวมาแล้วในหน้า 16 ...
นอกจากนี้ ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์, ท่านอัล-หากิม ก็ถือว่า หะดีษต่างๆที่ถูกรายงานโดยท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีด เป็นหะดีษที่แข็งแรง (จากหนังสือ “อาดาบุซ-ซะฟาฟ” หน้า 12) ...
ท่านอัษ-ษะฮะบีย์ ได้กล่าวสรุปประวัติของท่านอะซีด ผู้นี้ในหนังสือ “อัล-กาชิฟ” เล่มที่ 1 หน้า 81, และท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ก็ได้กล่าวสรุปมาตรงกันในหนังสือ “อัต-ตักรีบ” เล่มที่ 1 หน้า 77 ว่า ท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีด อัล-บัรฺรอดนั้น صَدُوْقٌ .. คือ เป็นผู้รายงานที่พอจะเชื่อถือได้, .. อันถือได้ว่า จัดอยู่ในสถานภาพของผู้รายงานหะดีษหะซัน ที่สามารถนำมาอ้างเป็นหลักฐานได้ ...
นอกจากนี้ นักวิชาการหะดีษหลายท่านตามที่ระบุนามมาข้างต้น คือท่านอัล-มุนซิรีย์, ท่านอัช-เชากานีย์, ท่านอะห์มัด มุหัมมัดชากิรฺ และท่านอิบนุหัสมิน ต่างก็ยอมรับหะดีษบทนี้จากการรายงานของท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีดว่า เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ ดังกล่าวมาแล้ว, ...
ส่วนคำกล่าวของท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ที่วิจารณ์ท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีดในลักษณะว่า มิใช่เป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือโดยตรงนอกจากในกรณีที่มีผู้อื่นรายงานมาให้สอดคล้องกันเท่านั้น .. คำวิจารณ์ดังกล่าวนี้ -- ตามหลักวิชาการหะดีษ -- ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะไปหักล้างทัศนะนักวิชาการหะดีษท่านอื่นอีกหลายท่านที่ให้ความเชื่อถือต่อท่านอะซีด, ทั้งนี้ เนื่องจากท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ “มิได้อธิบายเหตุผล” ด้วยว่า ท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีดมีความบกพร่องด้วยเหตุใด ? ...
กฎเกณฑ์ของวิชามุศเฏาะลาห์ อัล-หะดีษข้อหนึ่ง กล่าวเอาไว้ว่า ...
اَلْجَرْحُ الْمُفَسَّرُ مُقَدَّمٌ عَلَى التَّعْدِيْلِ
“ข้อบกพร่องที่ได้รับการชี้แจงหรืออธิบาย ต้องมาก่อนการให้ความเชื่อถือ”
ในกรณีของท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีดนี้ ปรากฏว่ามีทั้งผู้ที่ให้ความเชื่อถืออยู่หลายท่าน ขณะเดียวกันก็ผู้ไม่ให้ความเชื่อถืออยู่ 1 ท่าน คือท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ ...
ถ้าหากว่า ท่านอัด-ดารุกุฏนีย์มีการชี้แจงมาด้วยว่า ท่านอะซีดผู้นี้ไม่น่าเชื่อถือเพราะเหตุใด ? มีความบกพร่องอย่างไร .. คำกล่าวของท่านย่อมมีน้ำหนักและจะได้รับการยอมรับมากกว่าผู้ที่ให้ความเชื่อถือ ตามนัยของกฎเกณฑ์ของวิชาการหะดีษข้อนี้ ...
แต่เมื่อท่านอัด-ดารุกุฎนีย์มิได้ชี้แจงเหตุผลและจุดบกพร่องของท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีดไว้ด้วย จึงถือว่าการวิจารณ์ของท่านดังข้างต้น เป็นข้อวิจารณ์ลอยๆที่ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอที่จะไปหักล้างความน่าเชื่อถือที่นักวิชาการท่านอื่นๆมีให้แก่ท่านอะซีดบิน อบีย์อะซีดลงได้ ...
สรุปแล้ว การโต้แย้งของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ ต่อท่านเช็คอัล-อัลบานีย์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของท่านอะซีด บิน อบีย์อะซีด อันเป็นหนึ่งของผู้ที่มีชื่อในสายรายงานหะดีษบทนี้ จึงรับฟังไม่ขึ้น ...
(2). ในด้านความหมายของหะดีษ
ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-อิบาหะฮ์” ของท่าน หน้า 76-78 โดยอ้างอิงข้อมูลจากทัศนะของนักวิชาการบางท่านว่า คำว่า حَبِيْبَهُ ซึ่งแปลว่า “ผู้ที่เขารัก” ที่ถูกกล่าวถึงในหะดีษบทนี้ .. ว่าหมายถึง ทารกเพศชาย,.. มิได้หมายถึง “ภรรยาหรือบุตรสาวที่บรรลุศาสนภาวะ” แต่ประการใด ...
ข้อชี้แจง
1. คำว่า حَبِيْبَهُ ซึ่งแปลว่า “ผู้ที่เขารัก” ตามหลักเกณฑ์ด้านภาษาอาหรับแล้ว จะใช้บ่งความหมายเป็นเพศชายก็ได้, เป็นเพศหญิงก็ได้ .. ซึ่งการที่ท่านศาสดากล่าวถึงเครื่องประดับประเภทแหวน, สร้อยคอ และกำไลในหะดีษบทนี้ ตามรูปการน่าจะหมายถึงเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ทั้งนี้ เพราะเพศหญิงคือเพศที่ชอบใช้เครื่องประดับเหล่านี้มากกว่าเพศชาย ...
2. หากข้อห้ามจากการใช้แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ และกำไลทองคำในหะดีษนี้ หมายถึง เด็กทารกเพศชาย .. ดังคำอธิบายของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์แล้ว ข้อห้ามดังกล่าวของท่านศาสดาย่อมแสดงว่า เด็กทารกเพศชายที่ถูกผู้ปกครองสวมใส่เครื่องประดับทองคำเหล่านี้ให้ จะต้องมีบาปหรือจะต้องตกนรก .. ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงตามหลักการศาสนาอิสลามที่ว่า เด็กๆที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะนั้น อยู่ในภาวะไร้บาปโดยสิ้นเชิง ...
3. ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ อธิบายว่า การห้ามสวมเครื่องประดับทองคำเหล่านี้แก่ผู้ที่เรารักอันได้แก่ทารกเพศชาย .. เหตุผลก็คือ เพื่อฝึกฝนให้พวกเขาหลีกเลี่ยงจากเครื่องประดับเหล่านี้ที่ทำจากทองคำเมื่อเติบโตขึ้น ...
ผมก็อยากจะขอเรียนว่า ถ้าเหตุผลของการห้ามสวมใส่เครื่องประดับทองคำจากหะดีษข้างต้น เป็นดังที่ว่ามานี้ เราก็ควรจะห้ามผู้ปกครอง สวมใส่เครื่องประดับเหล่านี้ที่ทำจากเงินแก่ทารกเพศชายด้วย .. ด้วยเหตุผลเดียวกัน .. คือเพื่อฝึกฝนพวกเขาให้รู้จักหลีกเลี่ยงจากการใช้เครื่องประดับเหล่านี้ที่ทำจากเงินเมื่อโตขึ้น เพราะนักวิชาการต่างก็เห็นพ้องกันแล้วว่า ห้ามผู้ชายใช้เครื่องประดับทุกชนิดที่ทำจากเงิน อย่างเดียวกับการห้ามใช้เครื่องประดับทองคำ .. ยกเว้น “แหวนเงิน” อย่างเดียวเท่านั้น ...
ทว่า ข้อความตอนท้ายของหะดีษบทนี้ที่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ “ส่งเสริม” ให้ใช้เครื่องประดับที่ “ทำด้วยเงิน” แก่ผู้ที่เรารัก แสดงว่า “ผู้ที่เรารัก” ในที่นี้ ย่อมมิใช่เป็นทารกเพศชายที่ “ถูกห้าม” ใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยเงินตามเหตุผลข้างต้นแน่นอน, .. แต่จะต้องเป็นเพศหญิงซึ่งถูกส่งเสริมและได้รับอนุญาตให้สวมใส่เครื่องประดับที่ทำจากเงินได้ ไม่ว่าในยามเยาวัยหรือตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วโดยไม่มีข้อห้ามใดๆ ...
เพราะฉะนั้น เหตุผลและคำอธิบายของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ที่อ้างว่า คำว่า “ผู้ที่เขารัก” ในหะดีษบทนี้ มีความหมายถึงทารกเพศชาย .. จึงรับฟังไม่ขึ้น ...
4. คำอธิบายคำว่า “ผู้ที่เขารัก” ว่าหมายถึงทารกเพศชาย เป็นเพียงทัศนะหนึ่งซึ่งขัดแย้งกับความเข้าใจของนักวิชาการส่วนใหญ่ที่ถือว่า “ผู้ที่เขารัก” ในหะดีษบทนี้ หมายถึงเพศหญิง, แต่เนื่องจากความเชื่อที่ว่า เครื่องประดับทองคำทุกชนิดเป็นที่อนุมัติแก่สตรี บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่เหล่านั้นจึงพยายาม تَأْوِيْلٌ คือ เบี่ยงเบนข้อห้ามสตรีจากการสวมใส่แหวนทองคำ, สร้อยคอทองคำ, และกำไลทองคำดังที่ระบุไว้ในหะดีษบทนี้ ออกเป็นหลายทฤษฎีด้วยกัน .. อาทิเช่น ข้อห้ามสตรีใส่เครื่องประดับทองคำในหะดีษบทนี้ ถูกยกเลิกไปแล้ว, หรือหมายถึงในกรณีสวมใส่มันโดยมิได้จ่ายซะกาต, หรือสวมใส่มันเพื่อโอ้อวด เป็นต้น .. ทั้งนี้ เพื่อให้มันสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า เครื่องประดับทองคำนั้น เป็นที่อนุมัติแก่สตรีในทุกรูปแบบ ดังกล่าวมาแล้ว ...
ท่านอาบาดีย์ ได้กล่าวอธิบายคำว่า حَبِيْبَهُ นี้ในหนังสือ “เอานุ้ลมะอฺบูด” เล่มที่ 11 หน้า 295 ว่า ...
(حَبِيْبَهُ) أَيْ مَحْبُوْبَهُ مِنْ زَوْجَةٍ، أَوْوَلَدٍ أَوْغَيْرِهِمَا
“คำว่า حَبِيْبَهُ หมายถึงผู้ที่เขารัก, อันได้แก่ภรรยาของเขา, ลูกๆของเขา, หรือบุคคลอื่นจากทั้งสองนั้น” ...
5. ท่านอับดุรฺ ร็อซซาก, ท่านอิบนุศออิด, ท่านอิบนุหัสมิน ได้บันทึกรายงานมาจากท่านมุหัมมัด บิน ซีรีน (ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง, ดังจะได้กล่าวต่อไปในตอนหลัง) .. ว่า ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้เคยกล่าวแก่ บุตรสาว ของท่านว่า .. “ลูกอย่าสวมเครื่องประดับทองคำเป็นอันขาด, เพราะพ่อกลัวว่าลูกจะพินาศจากไฟนรก” ...
ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. คือเศาะหาบะฮ์ผู้รายงานหะดีษบทข้างต้นที่ว่า .. “ผู้ใดพึงใจจะให้ผู้ที่เขารักสวมแหวน, สร้อยคอ, และกำไลจากไฟนรก ก็ให้สวมแหวน หรือสร้อยคอ หรือกำไลจากทองคำให้เถิด” ...
การที่ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ผู้ซึ่งรายงานหะดีษบทนี้ด้วยตนเอง ได้ห้ามปรามบุตรสาวของท่านจากการใช้เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ แสดงว่า คำว่า “ผู้ที่เขารัก” ในหะดีษบทนี้ตามความเข้าใจของท่าน หมายถึงผู้หญิง ...
เพราะฉะนั้น เมื่อได้พิจารณาอย่างละเอียดในทุกแง่ทุกมุมแล้ว ข้อโต้แย้งของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ที่มีต่อท่านเช็คอัล-อัลบานีย์เกี่ยวกับหะดีษบทนี้ .. ไม่ว่าในด้านสายรายงานหรือในด้านความหมายของหะดีษ จึงรับฟังไม่ขึ้น ...
หลักฐานที่ 2
ท่านเษาบาน อัล-ฮาชิมีย์ คนรับใช้ผู้ใกล้ชิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 54 ที่เมืองฮิมศ์) ได้กล่าวว่า ...
جَاءَتْ بِنْتُ هُبَيْرَةَ إِلَىالنَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَفِىْ يَدِهَا فَتَخٌ (مِنْ ذَهَبٍ) فَجَعَلَ النَّبِىُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَضْرِبُ يَدَهَا (بِعُصَيَّةٍ مَعَهُ، يَقُوْلُ لَهَا : أَيَسُرُّكِ أَنْ يَجْعَلَ اللهُ فِىْ يَدِكِ خَوَاتِيْمَ مِنْ نَارٍ؟) فَأَتَتْ فَاطِمَةَ تَشْكُوْ إِلَيْهَا، قَالَ ثَوْبَانُ : فَدَخَلَ النَّبِىُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَىفَاطِمَةَ وَأَنَا مَعَهُ، وَقَدْ أَخَذَتْ مِنْ عُنُقِهَا سِلْسِلَةً مِنْ ذَهَبٍ، فَقَالَتْ : هَذَا أَهْدَى لِىْ أَبُوْحَسَنٍ _ وَفِىْ يَدِهَا السِّلْسِلَةُ _ فَقَالَ النَّبِىُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : يَا فَاطِمَةُ ! أَيَسُرُّكِ أَنْ يَقُوْلَ النَّاسُ : فَاطِمَةُ بِنْتُ مُحَمَّدٍ فِىْ يَدِهَا سِلْسِلَةٌ مِنْ نَارٍ؟ .. (ثُمَّ عَذِمَهَا عَذْمًا شَدِيْدًا) فَخَرَجَ وَلَمْ يَقْعُدْ، فَعََمَدَتْ فَاطِمَةُ إِلَى السِّلْسِلَةِ فَبَاعَتْهَا، فَاشْتَرَتْ بِهَا نَسَمَةً فَأَعْتَقَتْهَا، فَبَلَغَ ذَلِكَ النَّبِىَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ : اَلْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِىْ نَجَّى فَاطِمَةَ مِنَ النَّارِ ...
“บุตรสาวของท่านฮุบัยเราะฮ์ ได้ไปหาท่านนบีย์ ศ็อลลัลลออุ อะลัยฮิวะซัลลัม โดยที่มือของนางสวมแหวน (ทองคำ) วงใหญ่อยู่หลายวง, ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะวัลลัม ได้ตีมือของนาง (ด้วยไม้เท้าเล็กๆที่ท่านถืออยู่ แล้วกล่าวแก่นางว่า “เธอชอบที่จะให้อัลลอฮ์เอาแหวนจากไฟนรกใส่ในมือของเธอหรือ ?”) .. นางจึงเข้าไปหาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง .. ท่านเษาบานกล่าวต่อไปว่า .. “แล้วท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมก็เข้าไปหาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ โดยที่ฉันก็อยู่พร้อมกับท่านด้วย, ขณะนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ได้ถอดสร้อยคอทองคำออกจากคอของเธอแล้ว และบอกว่า .. “สิ่งนี้ ท่านอบูหะซัน (หมายถึงท่านอะลีย์สามีของเธอ) ได้ให้เป็นของขวัญแก่ฉัน” -- โดยที่ขณะนั้น สร้อยยังอยู่ในมือของเธอ -- ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวแก่เธอว่า .. “ฟาฏิมะฮ์เอ๋ย, เจ้าชอบหรือที่จะให้ประชาชนพูดกันว่า ฟาฏิมะฮ์, บุตรสาวของมุหัมมัด, .. ในมือของนาง มีสร้อยจากไฟนรกอยู่ ?” (จากนั้น ท่านก็ดุเธออย่างรุนแรง) แล้วก็เดินออกไปโดยไม่ยอมนั่ง, ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ จึงกำสร้อยเส้นนั้นแน่นแล้วนำมันไปขาย และนำเอาราคาของมันซื้อทาสคนหนึ่งแล้วปล่อยให้เป็นอิสระ, เมื่อข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ท่านจึงกล่าวว่า .. “มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิของอัลลอฮ์ผู้ทรงปลดปล่อยฟาฏิมะฮ์ให้พ้นจากไฟนรก” ...
หะดีษบทนี้ บันทึกโดยท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 5155, 5156, ท่านอบูดาวูด อัฏเฏาะยาลิซีย์ เล่มที่ 1 หน้า 354, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 278, ท่านอัล-หากิมเล่มที่ 3 หน้า 165, 166, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 4 หน้า 141, และท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-กะบีรฺ” หะดีษที่ 1448 ...
สำนวนข้างต้นนี้ เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอัล-บัยฮะกีย์, ส่วนข้อความตัวหนาในวงเล็บ เป็นสำนวนเพิ่มเติมจากการบันทึกของท่านอะห์มัด จากเล่มและหน้าดังกล่าว ...
สายรายงานของหะดีษบทนี้ มีดังต่อไปนี้ ...
1. ท่านฮิชาม อัล-ดัสติวาอีย์ .. (จากการบันทึกของท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 5155), และท่านฮัมมาม บินยะห์ยา อัล-อัซดีย์ หรืออัล-เอาซีย์ .. (จากการบันทึกของท่านอะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 278) ...
2. ท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ
3. ท่านซัยด์ บิน ซัลลาม
4. ท่านอบีย์ ซัลลาม
5. ท่านอบีย์อัสมาอ์ อัรฺ-เราะหะบีย์
6. ท่านเษาบาน อัล-ฮาชิมีย์ ร.ฎ.
อธิบาย
หะดีษบทนี้ ถูกรายงานมาจากท่านเษาบาน อัล-ฮาชิมีย์ ร.ฎ. เป็น 2 กระแส, กระแสที่ 1 คือกระแสรายงานดังข้างต้นนี้ .. ส่วนกระแสที่ 2 เป็นกระแสรายงานของท่านอบู กิลาบะฮ์ อัล-ญัรฺมีย์ จากการบันทึกของท่านอัรฺ-เรายานีย์ที่จะกล่าวถึงต่อไป ...
ท่านอัล-อัลบานีย์ ได้กล่าวสรุปเกี่ยวกับหะดีษกระแสแรกนี้ในหนังสือ “อาดาบุซ-ซะฟาฟ” หน้า 231 ว่า “إِسْنَادُهُ صَحِيْحٌ، مَوْصُوْلٌ” .. คือ สายรายงานของมันถูกต้อง และต่อเนื่องกัน ...
นักวิชาการในอดีตที่ถือว่า หะดีษบทนี้จากกระแสที่หนึ่งนี้เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ ได้แก่ท่านอิบนุหัสมิน, ท่านอัล-หากิม, ท่านอัษ-ษะฮะบีย์, ท่านอัล-มุนซิรีย์ และท่านอัล-อิรอกีย์ เป็นต้น ...
(จากหนังสือ “อาดาบุซ-ซะฟาฟ” หน้าเดียวกัน) ...
ท่านอิบนุหัสมิน ได้บันทึกหะดีษบทนี้ไว้ในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่าน เล่มที่ 10 หน้า 84, .. ทว่า สำนวนในช่วงแรกของหะดีษจากการบันทึกของท่าน มีข้อความดังนี้ ...
“บุตรีของท่านฮุบัยเราะฮ์ ได้ไปหาท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม โดยที่มือของนางมีแหวนอยู่หลายวง ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้ตีที่มือของนาง นางจึงเข้าไปหาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. ............”
จะเห็นได้ว่า สำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุหัสมิน มิได้ระบุไว้ด้วยว่า แหวนนั้นเป็นแหวนทองคำ, .. และคำพูดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมหลังจากตีมือของนางแล้วที่ว่า .. “เธอชอบที่จะให้อัลลอฮ์ เอาแหวนจากไฟนรกใส่ในมือของเธอหรือ ?” .. ก็ไม่มีระบุไว้ในรายงานของท่านอิบนุ หัสมินเช่นกัน ...
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิบนุหัสมินจึงกล่าววิจารณ์ว่า ไม่มีหลักฐานว่า การที่ท่านนบีย์ตีมือบุตรีของท่านฮุบัยเราะฮ์นั้น เพราะนางสวมแหวน, .. แต่อาจจะเป็นเพราะนางทำให้ข้อมือโผล่ออกมาก็ได้, .. และไม่มีหลักฐานอีกเช่นกันว่า แหวนที่นางสวมอยู่นั้น เป็นแหวนทองคำ, ดังนั้น หะดีษบทนี้จึงมิใช่หลักฐานห้ามสตรีใช้เครื่องประดับทองคำ ...
แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว หะดีษบทนี้จากการบันทึกของนักวิชาการท่านอื่นๆ อาทิเช่น ท่านอะห์มัด (เล่มที่ 5 หน้า 278), ท่านอัล-หากิม (เล่มที่ 3 หน้า 166), ท่านอัน-นะซาอีย์ (หะดีษที่ 5156), และท่านอัรฺ-เรายานีย์ (อัล-มุสนัด 14/126/1 ซึ่งถือเป็นรายงานที่ถูกต้องที่สุดของหะดีษบทนี้ดังจะได้กล่าวต่อไป) .. ล้วนระบุตรงกันว่า แหวนที่นางสวมอยู่นั้น เป็นแหวนทองคำ, .. และคำกล่าวของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่กล่าวแก่นางว่า .. “เธอชอบที่จะให้อัลลอฮ์ เอาแหวนจากไฟนรกใส่ในมือของเธอหรือ” .. นั้น ก็บ่งบอกความหมายชัดเจนว่า เหตุผลที่ท่านตีมือของนางนั้น ก็เพราะนางสวมแหวนทองคำนั่นเอง ...
ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ และท่านเช็คอัรฺชัด อัส-สะละฟีย์ ได้กล่าววิจารณ์ความบกพร่องของหะดีษกระแสนี้ในหนังสือ “อัล-อิบาหะฮ์” ใน 3 ประเด็นคือ ...
1. การรายงานของท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ จากท่านซัยด์ บิน ซัลลามนั้น เชื่อถือไม่ได้, เพราะท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ เป็นผู้รายงานประเภทมุดัลลิซ หรือชอบมั่วนิ่ม, ..
2. สายรายงานของหะดีษบทนี้ ขาดตอน (مُنْقَطِعٌ) ในระหว่างท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ กับท่านอบีย์ซัลลาม ...
3. และท่านฮัมมาม บิน ยะห์ยา อัล-อัซดีย์ ผู้รายงานหมายเลข 1/2 เชื่อถือไม่ได้ ...
ข้อชี้แจง
เพื่อมิให้เป็นการยืดเยื้อ ผมจึงขอสรุปการชี้แจงข้ออ้างดังกล่าวดังนี้คือ ...
(1). ข้ออ้างที่ว่า .. การรายงานของท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ จากท่านซัยด์ บิน ซัลลาม เชื่อถือไม่ได้นั้น .. ถูกหักล้างโดยหะดีษบทหนึ่งซึ่งท่านอัต-ติรฺมีซีย์ได้บันทึกไว้ใน “อัส-สุนัน” ของท่าน อันเป็นหะดีษที่ 3235, เป็นการรายงานของท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ, จากท่านซัยด์ บิน ซัลลาม, จากท่านอบีย์ซัลลาม .. เหมือนกับสายรายงานหะดีษนี้ทุกประการ (โปรดพลิกกลับไปดูสายรายงานหะดีษนี้อีกครั้งในหน้าที่ 24) ...
ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ ได้กล่าวในตอนท้ายของหะดีษดังกล่าวว่า ...
هَذَا حَدِيْثٌ صَحِيْحٌ، سَأَلْتُ مُحَمَّدَ بْنَ إِسْمَاعِيْلَ عَنْ هَذَاالْحَدِيْثِ فَقَالَ : هَذَا حَدِيْثٌ صَحِيْحٌ ...
“นี่คือ หะดีษที่สวยงามและถูกต้อง, ฉันได้ถามท่านมุหัมมัด บิน อิสมาอีล (หมายถึงท่านบุคอรีย์) เกี่ยวกับหะดีษนี้ ท่านตอบว่า มันเป็นหะดีษที่สวยงามและถูกต้อง” ...
(โปรดดูหนังสือ “สุนันอัต-ติรฺมีซีย์” จากการตะห์กีกของท่านอะห์มัด มุหัมมัดชากิรฺ เล่มที่ 5 หน้า 343-344) ...
ท่านเช็คชุอัยบ์ อัล-อัรฺนาโอ็ต นักวิชาการหะดีษผู้มีชื่อเสียงยุคปัจจุบันอีกท่านหนึ่ง ได้กล่าวในหนังสือ “اَلتَّعْلِيْقُ عَلَى شَرْحِ السُّنَّةِ” เล่มที่ 4 หน้า 37 เกี่ยวกับหะดีษบทหนึ่งซึ่งเป็นการรายงานของท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ, จากท่านซัยด์ บิน ซัลลาม, จากท่านอบีย์ซัลลาม -- เหมือนสายรายงานของหะดีษบทนี้ -- โดยท่านเช็คชุอัยบ์กล่าวว่า ...
(( إِسْنَادُهُ صَحِيْحٌ ))
“สายรายงานของมัน ถูกต้อง”
ส่วนประวัติของท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ ผู้รายงานหะดีษบทนี้ที่ถูกท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์กล่าววิจารณ์ว่า เป็นผู้รายงานประเภทมุดัลลิซ(มั่วนิ่ม) นั้น ปรากฏว่าข้อเท็จจริงก็คือ ท่านเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสูงมากท่านหนึ่ง ...
ท่านอัยยูบ นักวิชาการท่านหนึ่งกล่าวว่า ...
(( مَابَقِىَ عَلَى وَجْهِ اْلأَرْضِ مِثْلُ يَحْيَى بْنِ أَبِىْ كَثِيْرٍ ))
“ไม่มีอีกแล้ว ผู้ซึ่งยังหลงเหลือในโลกนี้ ที่จะเหมือนท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ” ...
(จากหนังสือ “อัล-กาชิฟ” ของท่านอัษ-ษะฮะบีย์ เล่มที่ 3 หน้า 233)
ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวในอารัมภบทของหนังสือฟัตหุ้ลบารีย์ .. คือหนังสือ “อิรฺชาด อัซ-ซารีย์” หน้า 452 ว่า ...
يَحْيَى بْنُ أَبِىْكَثِيْرٍ الِيَمَامِىُّ، أَحَدُ اْلأَئِمَّةِ اْلأَثْبَاتِ الِمُكْثِرِيْنَ ..... إِحْتَجَّ بِهِ اْلأَئِمَّةُ
“ยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ อัล-ยะมามีย์, คือหนึ่งจากนักวิชาการระดับแนวหน้าที่เชื่อถือได้ และรายงานหะดีษไว้มากมาย, ....... บรรดานักวิชาการชั้นนำต่างให้ความเชื่อถือต่อเขา” ...
ส่วนหนึ่งจากข้อยืนยันคำกล่าวของท่านอิบนุหะญัรฺข้างต้นนี้ก็คือ ท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ คือผู้รายงานหะดีษที่ได้รับการยอมรับจากท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม, ท่านอบูดาวูด, ท่านอัน-นะซาอีย์, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ และท่านอิบนุมาญะฮ์ .. ดังที่มีระบุไว้ในหนังสือ “ตะฮ์ซีบ อัต-ตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 11 หน้า 235 ...
สำหรับกรณีที่อ้างว่า ท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ เป็นผู้รายงานประเภทมั่วนิ่ม (مُدَلِّسٌ) .. ดังการบันทึกของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ในหนังสือ “อัต-ตักรีบ” เล่มที่ 2 หน้า 356 นั้น ...
ข้อเท็จจริงก็คือ หะดีษนี้เรื่องที่ท่านนบีย์ได้ตีมือที่สวมแหวนทองคำของบุตรีท่านฮุบัยเราะฮ์, และเรื่องเกี่ยวกับสร้อยคอของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ.ฯลฯ นั้น .. จากการบันทึกของท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 5155, และการบันทึกของท่านอะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 278, และการบันทึกของท่านอิบนุหัสมินในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 10 หน้า 84 .. ปรากฏว่าท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ ได้กล่าวอย่างชัดเจนในการรายงานว่า ...
حَدَّثَنِىْ زَيْدُ بْنُ سَلاَّمٍ ...
... คือ “ท่านซัยด์ บิน ซัลลาม ได้พูด กับฉันว่า ...” .. ซึ่งการรายงานในลักษณะนี้ ถือว่า เป็นการรายงานที่ถูกต้องตามหลักวิชาหะดีษ, มิใช่เป็นรายงานประเภทมั่วนิ่มหรือตัดลิซ ...
ท่านอบูหาติม อัล-มัรฺวะซีย์ นักวิจารณ์ประวัติผู้รายงานหะดีษที่ได้รับความเชื่อถืออย่างมากท่านหนึ่ง ก็ได้กล่าวยืนยันในหนังสือ “อัล-มะรอซีล” ของท่าน หน้าที่ 244 ว่า .. ท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ เคยได้รับฟังหะดีษจากท่านซัยด์ บิน ซัลลามจริง
(ดูข้อมูลจากหนังสือ “อัต-ตัดลีซ ฟิลหะดีษ” ของท่านด็อกเตอร์ มิสฟิรฺ บิน ฆ็อรฺมุลลอฮ์ หน้า 284) ...
(2). ส่วนข้ออ้างที่ว่า .. หะดีษบทนี้ สายรายงาน “ขาดตอน” ในระหว่างท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ กับท่าน อบีย์ ซัลลามนั้น ...
ข้อเท็จจริงก็คือ การขาดตอนดังกล่าวมีปรากฏอยู่ในสายรายงานของผู้บันทึกบางท่านเท่านั้น .. อาทิเช่น ในสายรายงานของท่านอัล-หากิม เล่มที่ 3 หน้า 165, 166, .. และในสายรายงานของท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 4 หน้า 140 เป็นต้น ...
แต่จากการบันทึกอันเชื่อถือได้ของท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 5155, และการบันทึกของท่านอะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 278 ปรากฏว่า สายรายงานของหะดีษนี้จากการบันทึกของทั้งสองท่านนั้นมิได้ขาดตอนดังสายรายงานข้างต้น แต่เป็นสายรายงานที่ ต่อเนื่อง, เพราะมีการระบุชื่อ “ท่านซัยด์ บิน ซัลลาม” ในระหว่างท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺกับท่านอบีย์ ซัลลาม เอาไว้ด้วย (โปรดเปิดดูสายรายงานหะดีษนี้อีกครั้งในหน้าที่ 24) ...
สายรายงานหะดีษบทข้างต้นนี้จึงมิได้ “ขาดตอน” ดังการวิจารณ์ของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์และท่านเช็คอัรฺชัด อัส-สะละฟีย์ ...
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้อธิบายมานี้ จึงเป็นหลักฐานหักล้างข้ออ้างของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ และท่านอัรฺชัด อัส-สะละฟีย์ ที่ว่า ... การรายงานของท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ จากท่านซัยด์ บิน ซัลลามนั้น เชื่อถือไม่ได้, .. ท่านยะห์ยาบิน อบีย์กะษีรฺ เป็นผู้รายงานประเภทมั่วนิ่ม, .. และสายรายงานของหะดีษนี้มีลักษณะขาดตอน .. ลงได้อย่างสิ้นเชิง ...
(3). ส่วนคำวิจารณ์ของทั้งสองท่านนั้นที่ว่า .. ท่านฮัมมาม บิน ยะห์ยา อัล-อัซดีย์ (หรืออัล-เอาซีย์) หนึ่งในผู้รายงานหะดีษนี้ เป็นผุ้รายงานที่ขาดความเชื่อถือนั้น ...
ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ ได้อ้างทัศนะของนักวิจารณ์บางท่านจากหนังสือ “ตะห์ซีบ อัต-ตะห์ซีบ” เล่มที่ 11 หน้า 60-62, และหนังสือ “มีซาน อัล-เอี๊ยะอฺติดาล” เล่มที่ 4 หน้า 309-310 มายืนยันคำวิจารณ์ดังกล่าวนี้ ...
แม้ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์มิได้กล่าวถึงก็คือ บทสรุปเกี่ยวกับคุณสมบัติและภาพพจน์ที่แท้จริงของท่านฮัมมาม บิน ยะห์ยา อัล-อัซดีย์ .. ตามที่ตำราทั้ง 2 เล่มนั้นและตำราอื่นๆได้กล่าวเอาไว้ ดังต่อไปนี้ ...
1. คำกล่าวของท่านอัษ-ษะฮะบีย์ในหนังสือ “อัล-มีซานฯ” เล่มที่ 4 หน้า 309 ตอนเริ่มต้นประวัติของท่านฮัมมาม ว่า ... هَمَّامُ بْنُ يَحْيَى أَحَدُ عُلَمَاءِ الْبَصْرَةِ وَثِقَاتِهَا .. คือ ท่านฮัมมาม บินยะห์ยา อัล-อัซดีย์ เป็นหนึ่งจากนักวิชาการแห่งเมืองบัศเราะฮ์ และเป็นหนึ่งจากผู้ที่เชื่อถือได้แห่งเมืองนั้น ...
2. คำกล่าวของท่านอัษ-ษะฮะบีย์ในตอนท้ายของประวัติท่านฮัมมามว่า ...
قَالَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ : هَمَّامٌ ثَبْتٌ فِىْ كُلِّ مَشَايِخِهِ،... وَقَالَ أَبُوْ زُرْعَةَ : لاَ بَأْسَ بِهِ
“ท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัลกล่าวว่า .. ท่านฮัมมาม เชื่อถือได้ในทุกๆคนที่ท่านรายงานมา ... ท่านอบูซุรฺอะฮ์กล่าวว่า .. ท่านฮัมมาม (เชื่อถือได้) ไม่มีปัญหาใดๆ”
3. มีบันทึกในหนังสือ “ตะฮ์ซีบ อัต-ตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 11 หน้า 60, และหนังสือ “อิรฺชาด อัซ-ซารีย์ หน้า 449 .. ว่า ท่านฮัมมาม บินยะห์ยา เป็นผู้รายงานใน(اَلصِّحَاحُ السِّـتَّةُ) คือในตำราหะดีษของผู้บันทึกที่โลกมุสลิมยอมรับทั้ง 6 .. คือท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม, ท่านอบูดาวูด, ท่านอัน-นะซาอีย์, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ และท่านอิบนุมาญะฮ์,
4. ท่านอิบนุ อะดีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-กามิล” หน้า 2592 ว่า ...
(( وَهَمَّامٌ أَشْهَرُ وَأَصْدَقُ مِنْ أَنْ يُذْكَرَ، لَهُ حَدِيْثٌ مُنْكَرٌ، وَأَحَادِيْثُهُ مُسْتَقِيْمَةٌ عَنْ قَنَادَةَ، وَهُوَ مُقَدَّمٌ فِىْ يَحْيَى بْنِ أَبِىْ كَثِيْرٍ، وَعَآمَّةُ مَايَرْوِيْهِ مُسْتَقِيْمَةٌ ))
“ท่านฮัมมาม เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงแพร่หลาย และน่าเชื่อถือมากเสียยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านถูกกล่าวขวัญถึง, ท่านรายงานหะดีษที่มุงกัรฺ (อ่อนมาก) มาบทหนึ่ง, หะดีษต่างๆที่ท่านรายงานมาจากท่านเกาะตาดะฮ์ ถือว่าเที่ยงตรง, และท่านต้องถูกยอมรับก่อนใครอื่นในการรายงานมาจากท่านยะห์ยา บิน อบีย์กะษีรฺ (อย่างหะดีษเรื่องบุตรีของท่านฮุบัยเราะฮ์บทนี้ เป็นต้น) .. และภาพรวมของสิ่งที่ท่านรายงานมาถือว่า เที่ยงตรง” ...
5. ท่านอิบนุหะญัรฺ ได้บันทึกในหนังสือ “ตะฮ์ซีบ อัต-ตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 11 หน้า 61 จากคำพูดของท่านอับดุรฺเราะห์มาน อัล-มะฮ์ดีย์ว่า ...
((ظَلِمَ يَحْيَى بْنُ سَعِيْدٍ هَمَّامَ بْنَ يَحْيَى، لَمْ يَكُنْ لَهُ بِهِ عِلْمٌ وَلاَ مُجَالَسَةٌ ))
“ท่านยะห์ยา บินสะอีด ได้อธรรมต่อท่านฮัมมาม บิน ยะห์ยาเกินไป, เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับท่านฮัมมาม และก็ไม่เคยนั่งร่วมกับท่านฮัมมามเลยด้วยซ้ำ” ...
หมายเหตุ ท่านยะห์ยา บิน สะอีด ก็เป็นผู้หนึ่งที่กล่าวหาท่านฮัมมามว่า ไม่น่าเชื่อถือ, .. และท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ ก็ได้อ้างทัศนะของท่านยะห์ยา บินสะอีดมาเป็นข้อมูลในการวิจารณ์ท่านฮัมมามด้วย .. ซึ่งตอนนี้ ท่านผู้อ่านก็คงได้รับทราบจากคำพูดของท่านอับดุรฺเราะห์มาน อัล-มะฮ์ดีย์แล้วว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ...
.......ฯลฯ ......
เหนือสิ่งอื่นใด หะดีษกระแสนี้ถูกรับรองความถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ์) จากนักวิชาการหะดีษที่มีชื่อเสียงในอดีตหลายท่าน .. ดังข้อมูลที่ได้นำเสนอไปแล้วในหน้าที่ 24 ...
แต่ “ตัวชี้ขาด” ที่แท้จริงของหะดีษเรื่องบุตรีท่านฮุบัยเราะฮ์และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ.บทนี้ ก็คือ รายงานกระแสที่สองของหะดีษนี้จากท่านอบู กิลาบะฮ์ อัล-ญัรฺมีย์ดังที่ผมได้เกริ่นไว้แล้วในหน้าที่ 24 .. อันถือว่าเป็นสายรายงานที่ถูกต้องที่สุดและไม่มีข้อบกพร่องใดๆเลย ...
ความจริง สายรายงานกระแสที่สองของหะดีษนี้ ท่านอัล-อัลบานีย์ก็ได้อ้างถึงเอาไว้แล้วในหนังสือ “อาดาบุซ-ซะฟาฟ” ของท่าน หน้า 231 ...
แต่เท่าที่ผมได้ตรวจสอบหนังสือ “อัล-อิบาหะฮ์” ของท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ที่เขียนโต้แย้งท่านอัล-อัลบานีย์เกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับทองคำตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ไม่พบว่า ท่านจะเอ่ยถึงหรือ “แตะต้อง” หะดีษกระแสนี้แต่อย่างใด ...
ผมไม่ทราบว่า เพราะเหตุใดท่านเช็คอิสมาอีล อัล-อันศอรีย์ จึงไม่ยอมเอ่ยถึงและไม่ยอมโต้แย้งหะดีษกระแสนี้ ? .. เพราะเผลอหรือเจตนามองข้าม เนื่องจากมันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สนับสนุนข้ออ้างของท่านเช็คอัล-�