โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
นี่คือ ชื่อหนังสือที่ท่านอัส-สะยูฏีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 911) นักวิชาการผู้ได้ชื่อว่าเป็น “มุจญตะฮิด” ท่านสุดท้ายได้เขียนขึ้น เพื่อสนับสนุนแนวคิดการทำเมาลิดหรือพิธีกรรมเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ว่าเป็นเรื่องดีงามควรปฏิบัติหรืออีกนัยหนึ่ง เป็น “บิดอะฮ์ หะสะนะฮ์” ...
หนังสือนี้ ถูกบรรจุอยู่ในเล่มที่ 1 หน้า 292-305 ของหนังสือชุดรวมเล่มการตอบปัญหาของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่มีชื่อว่า “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” ...
เช่นเดียวกันกับท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ อัล-มักกีย์ นักวิชาการชาวอฺรับยุคหลังท่านหนึ่งที่ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มีความหนาประมาณ 40 หน้า, ในหนังสือเล่มนี้ ท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ ได้อ้าง “เหตุผล” รวม 21 ประการเพื่อยืนยันว่า การจัดงานฉลองวันเกิดของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นสิ่งที่ชอบและควรปฏิบัติ ...
เช่นเดียวกับท่านหัจญีซิรอญุดดีน อับบาส แห่งอินโดนีเซีย ที่ได้เขียนหนังสือรวมเล่มชื่อ “มัสอะละฮ์ อูกามา” ซึ่งในหนังสือดังกล่าว ท่านหัจญีซิรอญุดดีน ก็ได้อ้าง “เหตุผล” มากมายหลายประการมาสนับสนุนการทำเมาลิด ซึ่งเราจะหาอ่านได้จากฉบับคำแปลที่ชื่อว่า “ข้อโต้แย้งปัญหาศาสนา” ของท่านอาจารย์อับดุลการีม วันแอเลาะ .. เล่มที่ 1 หน้า 98-125 ...
.....ฯลฯ .....
แต่, จากหนังสือที่ได้เอ่ยชื่อมาเหล่านี้ ที่ผมเห็นว่า “เข้าท่า” ที่สุด และเป็น “วิชาการ” ที่สุดก็คือ หนังสือ “حسن المقصد فى عمل المولد” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่ผมระบุชื่อมาข้างต้น ...
ส่วนหนังสืออีก 2 เล่มที่เหลือ หรือหนังสืออื่นๆที่เขียนขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำเมาลิด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการอ้าง “เหตุผล” (มิใช่หลักฐาน) มาสนับสนุนเรื่องนี้ .. ซึ่งแน่ละ, จะไปค้นหา “หลักฐาน” เรื่องการทำเมาลิดที่ไหนมาอ้างอิงได้ ?, .. ในเมื่อพิธีกรรมเมาลิดนี้ ถูกก่อกำเนิดขึ้นมาในประเทศอียิปต์ประมาณปี ฮ.ศ. 362 .. (คือหลังจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตายไปแล้วตั้ง 352 ปี) .. โดยสุลฏอนอัล-มุอิซ ลิดีนิลลาฮ์ แห่งวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ ซึ่งเป็น “กษัตริย์ชีอะฮ์” ที่ปกครองประเทศอียิปต์ในยุคนั้นเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เพื่อ “หวังผลแห่งการปกครอง” .. อันเป็นเรื่องของการเมือง ...
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะศึกษาหาความเข้าใจ --- ด้วยใจเป็นธรรม --- เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมเมาลิดว่า เป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ? นั้น .. ก่อนอื่น ก็ให้ท่านลองถามตัวเองดูก่อนว่า เรื่องการจัดงานเมาลิดเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่นิยมจัดกันเป็นพิเศษในประเทศไทยนั้น เป็นปัญหาขัดแย้ง ใช่หรือไม่ ? ...
ถ้าท่านตอบว่าใช่, ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยที่ท่านจะไปยึดติดกับ “เหตุผล” อันมากมายที่ผู้เขียนหนังสือส่งเสริมให้ทำเมาลิดบางคน (หรือแทบจะทุกคน) อ้างขึ้นมา เพื่อสนับสนุนเรื่องการทำเมาลิด .. ตราบใดก็ตามที่ท่านผู้เขียนหนังสือเหล่านั้น ยังไม่สามารถหาสิ่งที่เรียกกันว่า “หลักฐาน”มายืนยันแนวคิดของตนได้ ...
ทั้งนี้ ก็เพราะในมุมตรงข้ามกับผู้ส่งเสริมการทำเมาลิด เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนักวิชาการ --- ทั้งในอดีตและปัจจุบัน --- จำนวนมากที่คัดค้านเรื่องการทำเมาลิด ! และพวกเขาก็มี “เหตุผล” ของพวกเขา มาหักล้างเหตุผลของฝ่ายสนับสนุนได้เช่นเดียวกัน ...
หนังสือนี้ ถูกบรรจุอยู่ในเล่มที่ 1 หน้า 292-305 ของหนังสือชุดรวมเล่มการตอบปัญหาของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่มีชื่อว่า “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” ...
เช่นเดียวกันกับท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ อัล-มักกีย์ นักวิชาการชาวอฺรับยุคหลังท่านหนึ่งที่ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มีความหนาประมาณ 40 หน้า, ในหนังสือเล่มนี้ ท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ ได้อ้าง “เหตุผล” รวม 21 ประการเพื่อยืนยันว่า การจัดงานฉลองวันเกิดของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นสิ่งที่ชอบและควรปฏิบัติ ...
เช่นเดียวกับท่านหัจญีซิรอญุดดีน อับบาส แห่งอินโดนีเซีย ที่ได้เขียนหนังสือรวมเล่มชื่อ “มัสอะละฮ์ อูกามา” ซึ่งในหนังสือดังกล่าว ท่านหัจญีซิรอญุดดีน ก็ได้อ้าง “เหตุผล” มากมายหลายประการมาสนับสนุนการทำเมาลิด ซึ่งเราจะหาอ่านได้จากฉบับคำแปลที่ชื่อว่า “ข้อโต้แย้งปัญหาศาสนา” ของท่านอาจารย์อับดุลการีม วันแอเลาะ .. เล่มที่ 1 หน้า 98-125 ...
.....ฯลฯ .....
แต่, จากหนังสือที่ได้เอ่ยชื่อมาเหล่านี้ ที่ผมเห็นว่า “เข้าท่า” ที่สุด และเป็น “วิชาการ” ที่สุดก็คือ หนังสือ “حسن المقصد فى عمل المولد” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่ผมระบุชื่อมาข้างต้น ...
ส่วนหนังสืออีก 2 เล่มที่เหลือ หรือหนังสืออื่นๆที่เขียนขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำเมาลิด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการอ้าง “เหตุผล” (มิใช่หลักฐาน) มาสนับสนุนเรื่องนี้ .. ซึ่งแน่ละ, จะไปค้นหา “หลักฐาน” เรื่องการทำเมาลิดที่ไหนมาอ้างอิงได้ ?, .. ในเมื่อพิธีกรรมเมาลิดนี้ ถูกก่อกำเนิดขึ้นมาในประเทศอียิปต์ประมาณปี ฮ.ศ. 362 .. (คือหลังจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตายไปแล้วตั้ง 352 ปี) .. โดยสุลฏอนอัล-มุอิซ ลิดีนิลลาฮ์ แห่งวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ ซึ่งเป็น “กษัตริย์ชีอะฮ์” ที่ปกครองประเทศอียิปต์ในยุคนั้นเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เพื่อ “หวังผลแห่งการปกครอง” .. อันเป็นเรื่องของการเมือง ...
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะศึกษาหาความเข้าใจ --- ด้วยใจเป็นธรรม --- เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมเมาลิดว่า เป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ? นั้น .. ก่อนอื่น ก็ให้ท่านลองถามตัวเองดูก่อนว่า เรื่องการจัดงานเมาลิดเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่นิยมจัดกันเป็นพิเศษในประเทศไทยนั้น เป็นปัญหาขัดแย้ง ใช่หรือไม่ ? ...
ถ้าท่านตอบว่าใช่, ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยที่ท่านจะไปยึดติดกับ “เหตุผล” อันมากมายที่ผู้เขียนหนังสือส่งเสริมให้ทำเมาลิดบางคน (หรือแทบจะทุกคน) อ้างขึ้นมา เพื่อสนับสนุนเรื่องการทำเมาลิด .. ตราบใดก็ตามที่ท่านผู้เขียนหนังสือเหล่านั้น ยังไม่สามารถหาสิ่งที่เรียกกันว่า “หลักฐาน”มายืนยันแนวคิดของตนได้ ...
ทั้งนี้ ก็เพราะในมุมตรงข้ามกับผู้ส่งเสริมการทำเมาลิด เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนักวิชาการ --- ทั้งในอดีตและปัจจุบัน --- จำนวนมากที่คัดค้านเรื่องการทำเมาลิด ! และพวกเขาก็มี “เหตุผล” ของพวกเขา มาหักล้างเหตุผลของฝ่ายสนับสนุนได้เช่นเดียวกัน ...
การ “หักล้าง” กันด้วยเหตุและผล มิใช่เป็น “ทางออกที่ถูกต้อง” ของการแก้ไขปัญหาขัดแย้งตามหลักการและบทบัญญัติศาสนา ..ไม่ว่าในเรื่องการทำเมาลิดหรือเรื่องอะไรก็ตาม ...
ถ้าอย่างนั้น อะไรเล่าคือ “ทางออกที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ? ...
แน่นอน, คำตอบก็คือ การกลับไปหากิตาบุลลอฮ์ และซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม --- ดังคำบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. --- คือสิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหาขัดแย้งของศาสนาได้ สำหรับผู้ที่ “มีอีหม่านต่ออัลลออ์ และวันอาคิเราะฮ์” .. ดังคำกล่าวของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. อีกเช่นกัน ...
ประวัติศาสตร์อิสลามเคยบันทึกไว้ (แม้จะด้วยสายรายงานที่ค่อนข้างอ่อน) ว่า เมื่อตอนที่ท่านศาสดาสิ้นชีพนั้น บรรดาเศาะหาบะฮ์ต่างก็ขัดแย้งกันในเรื่องสถานที่ฝังศพของท่าน, บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่นครมักกะฮ์, บางคนบอกว่า ให้ฝังท่านที่กุบูรฺบะเกี๊ยะอฺในนครมะดีนะฮ์ร่วมกับบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน, บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่บัยตุ้ลมักดิซที่นครเยรูซาเล็ม -- (จากหนังสือ “ตั๊วะห์ฟะตุ้ล อะห์วะซีย์” เล่มที่ 4 หน้า 98) -- โดยแต่ละฝ่ายต่างก็อ้าง “เหตุผล” ที่น่าเชื่อถือ มาสนับสนุนทัศนะของตนด้วยกันทั้งสิ้น ...
แน่ละ หากจะตัดสินข้อขัดแย้งในครั้งนั้นตาม “เหตุผล” ของแต่ละฝ่าย ก็ยากที่จะหาข้อยุติให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ...
จนกระทั่งเมื่อท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ได้อ้าง “ซุนนะฮ์” ในเรื่องนี้ .. อันได้แก่คำสั่งของท่านศาสดาเองที่ว่า ... مَاقُبِضَ نَبِىٌّ إِلاَّ دُفِنَ حَيْثُ يُقْبَضُ ... “ผู้เป็นนบีย์นั้น ตายที่ไหนให้ฝังที่นั่น” .. (ดังการบันทึกของท่านอัต-ติรฺมีซีย์ จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. หะดีษที่ 1018, และท่านอิบนุมาญะฮ์ จากท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. หะดีษที่ 1628 ซึ่งสำนวนข้างต้นเป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุ มาญะฮ์) ข้อขัดแย้งต่างๆในเรื่องนี้จึงยุติลงด้วยดี เพราะ “ซุนนะฮ์” ของท่านนบีย์ ที่พวกเขา – บรรดาเศาะหาบะฮ์ – ต่างก็เคารพเทิดทูนและพร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา ...
แล้วพวกเราล่ะ ! พร้อมที่จะปฏิบัติตามและยอมรับซุนนะฮ์เป็นตัวตัดสินปัญหาขัดแย้ง .. เหมือนบรรดาเศาะหาบะฮ์เหล่านั้นแล้วหรือยัง ? ...
ถ้าเราจะพิจารณาพฤติการณ์ของมุสลิมเราในส่วนที่เกี่ยวข้องกับท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม --- ในแง่ของการให้ความสำคัญ, ให้ความรัก, ให้เกียรติต่อท่าน --- ในทางปฏิบัติเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ ...
(1). การให้ให้ความสำคัญ, ความรัก, และให้เกียรติใน “ตัว” ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, และ “วิธีการ” แสดงความรักและการให้เกียรติใน ตัวท่าน ...
(2). การให้ความสำคัญกับ “วันเกิด” .. และ “วิธีการ” แสดงการให้เกียรติวันเกิดของท่าน ...
ทั้ง 2 ประการนี้ ตามหลักการแล้วไม่เหมือนกัน, แต่คนส่วนใหญ่กลับมองเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ...
สำหรับข้อแรก คือความรักใน “ตัว” ท่านนบีย์นั้น ข้อนี้ไม่มีความขัดแย้งใดๆไม่ว่าจากมุสลิมกลุ่มซุนหนี่, ชีอะฮ์, หรือกลุ่มไหนว่า เป็นเป็นบทบัญญัติที่จำเป็นสำหรับมุสลิมผู้มีอีหม่านทุกคน จะต้องรักและให้เกียรติในตัวท่าน, ใช่เพียงแต่แค่นั้น แต่จะต้องรักท่านให้มากกว่ารักตัวเอง, มากกว่ารักพ่อแม่หรือลูกๆของตัวเอง, และมากกว่ารักมนุษย์ทุกคนในโลกด้วยซ้ำไป ...
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ...
ถ้าอย่างนั้น อะไรเล่าคือ “ทางออกที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ? ...
แน่นอน, คำตอบก็คือ การกลับไปหากิตาบุลลอฮ์ และซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม --- ดังคำบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. --- คือสิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหาขัดแย้งของศาสนาได้ สำหรับผู้ที่ “มีอีหม่านต่ออัลลออ์ และวันอาคิเราะฮ์” .. ดังคำกล่าวของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. อีกเช่นกัน ...
ประวัติศาสตร์อิสลามเคยบันทึกไว้ (แม้จะด้วยสายรายงานที่ค่อนข้างอ่อน) ว่า เมื่อตอนที่ท่านศาสดาสิ้นชีพนั้น บรรดาเศาะหาบะฮ์ต่างก็ขัดแย้งกันในเรื่องสถานที่ฝังศพของท่าน, บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่นครมักกะฮ์, บางคนบอกว่า ให้ฝังท่านที่กุบูรฺบะเกี๊ยะอฺในนครมะดีนะฮ์ร่วมกับบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน, บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่บัยตุ้ลมักดิซที่นครเยรูซาเล็ม -- (จากหนังสือ “ตั๊วะห์ฟะตุ้ล อะห์วะซีย์” เล่มที่ 4 หน้า 98) -- โดยแต่ละฝ่ายต่างก็อ้าง “เหตุผล” ที่น่าเชื่อถือ มาสนับสนุนทัศนะของตนด้วยกันทั้งสิ้น ...
แน่ละ หากจะตัดสินข้อขัดแย้งในครั้งนั้นตาม “เหตุผล” ของแต่ละฝ่าย ก็ยากที่จะหาข้อยุติให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ...
จนกระทั่งเมื่อท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ได้อ้าง “ซุนนะฮ์” ในเรื่องนี้ .. อันได้แก่คำสั่งของท่านศาสดาเองที่ว่า ... مَاقُبِضَ نَبِىٌّ إِلاَّ دُفِنَ حَيْثُ يُقْبَضُ ... “ผู้เป็นนบีย์นั้น ตายที่ไหนให้ฝังที่นั่น” .. (ดังการบันทึกของท่านอัต-ติรฺมีซีย์ จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. หะดีษที่ 1018, และท่านอิบนุมาญะฮ์ จากท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ. หะดีษที่ 1628 ซึ่งสำนวนข้างต้นเป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุ มาญะฮ์) ข้อขัดแย้งต่างๆในเรื่องนี้จึงยุติลงด้วยดี เพราะ “ซุนนะฮ์” ของท่านนบีย์ ที่พวกเขา – บรรดาเศาะหาบะฮ์ – ต่างก็เคารพเทิดทูนและพร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา ...
แล้วพวกเราล่ะ ! พร้อมที่จะปฏิบัติตามและยอมรับซุนนะฮ์เป็นตัวตัดสินปัญหาขัดแย้ง .. เหมือนบรรดาเศาะหาบะฮ์เหล่านั้นแล้วหรือยัง ? ...
ถ้าเราจะพิจารณาพฤติการณ์ของมุสลิมเราในส่วนที่เกี่ยวข้องกับท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม --- ในแง่ของการให้ความสำคัญ, ให้ความรัก, ให้เกียรติต่อท่าน --- ในทางปฏิบัติเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ ...
(1). การให้ให้ความสำคัญ, ความรัก, และให้เกียรติใน “ตัว” ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, และ “วิธีการ” แสดงความรักและการให้เกียรติใน ตัวท่าน ...
(2). การให้ความสำคัญกับ “วันเกิด” .. และ “วิธีการ” แสดงการให้เกียรติวันเกิดของท่าน ...
ทั้ง 2 ประการนี้ ตามหลักการแล้วไม่เหมือนกัน, แต่คนส่วนใหญ่กลับมองเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ...
สำหรับข้อแรก คือความรักใน “ตัว” ท่านนบีย์นั้น ข้อนี้ไม่มีความขัดแย้งใดๆไม่ว่าจากมุสลิมกลุ่มซุนหนี่, ชีอะฮ์, หรือกลุ่มไหนว่า เป็นเป็นบทบัญญัติที่จำเป็นสำหรับมุสลิมผู้มีอีหม่านทุกคน จะต้องรักและให้เกียรติในตัวท่าน, ใช่เพียงแต่แค่นั้น แต่จะต้องรักท่านให้มากกว่ารักตัวเอง, มากกว่ารักพ่อแม่หรือลูกๆของตัวเอง, และมากกว่ารักมนุษย์ทุกคนในโลกด้วยซ้ำไป ...
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ...
لاَيُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى أَكُوْنَ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِدِهِ وَوَلَدِهِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِيْنَ
“คนใดจากพวกท่านจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าฉัน (หมายถึงท่านนบีย์) จะเป็นที่รักของเขายิ่งกว่าพ่อแม่ของเขา, ลูกๆของเขา, และยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งมวล” ..
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 15, และท่านมุสลิม หะดีษที่ 70/44)
ประเด็นต่อมาก็คือ เมื่อเรารักท่านนบีย์แล้ว “วิธีการ” ที่จะแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติในตัวท่านตามบทบัญญัติล่ะ เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร ? ...
เรื่องนี้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงกำชับไว้ในอัล-กุรฺอ่านหลายต่อหลายโองการ อาทิเช่น ...
مَنْ يُّطِعِ الرَّسُوْلَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّـهَ
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 15, และท่านมุสลิม หะดีษที่ 70/44)
ประเด็นต่อมาก็คือ เมื่อเรารักท่านนบีย์แล้ว “วิธีการ” ที่จะแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติในตัวท่านตามบทบัญญัติล่ะ เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร ? ...
เรื่องนี้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงกำชับไว้ในอัล-กุรฺอ่านหลายต่อหลายโองการ อาทิเช่น ...
مَنْ يُّطِعِ الرَّسُوْلَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّـهَ
“ผู้ใดที่เคารพเชื่อฟังรอซู้ล แน่นอน เขาเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์ด้วย”
(จากซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ อายะฮ์ที่ 80)
หรือจากโองการที่ว่า ...
(จากซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ อายะฮ์ที่ 80)
หรือจากโองการที่ว่า ...
وَمآ أَتَاكُمُ الرَّسُوْلُ فَخُذُوْهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوْا
“และสิ่งใดที่รอซู้ลนำมาให้พวกสูเจ้า ก็จงรับไปปฏิบัติ, และสิ่งใดที่รอซู้ลห้ามพวกสูเจ้า ก็จงยุติ” ..
(จากซูเราะฮ์ อัล-หัชร์ โองการที่ 7)
หรือจากโองการที่ว่า ...
(จากซูเราะฮ์ อัล-หัชร์ โองการที่ 7)
หรือจากโองการที่ว่า ...
قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّوْنَ اللَّـهَ فَاتَّبِعُوْنِىْ يُحْبِبْكُمُ اللَّـهُ وَيَغْفِرْلَكُمْ ذُنُوْبَكُمْ
“จงบอกเถิด (โอ้ มุหัมมัด) ว่า หากพวกสูเจ้ารักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน แล้วอัลลอฮ์ก็จะรักพวกสูเจ้า และพระองค์จะอภัยโทษแก่พวกสูเจ้า” ..
(จากซูเราะฮ์ อาลิ อิมรอน โองการที่ 30)
หรือจากโองการที่ว่า ...
(จากซูเราะฮ์ อาลิ อิมรอน โองการที่ 30)
หรือจากโองการที่ว่า ...
فَلْيَحْذَرِالَّذِيْنَ يُخَالِفُوْنَ عَنْ أَمْرِهِ أَنْ تُصِيْبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيْبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيْمٌ
“ดังนั้น บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุหัมมัด) พึงระวังเคราะห์ร้ายจะบังเกิดกับพวกเขา, หรือการลงโทษทัณฑ์อันเจ็บปวดจะประสบต่อพวกเขา” ...
(จากซูเราะฮ์ อัน-นูรฺ โองการที่ 63)
หรือจากโองการที่ว่า ...
(จากซูเราะฮ์ อัน-นูรฺ โองการที่ 63)
หรือจากโองการที่ว่า ...
فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِىْ شَيْءٍ فَرُدُّوْهُ إِلَى اللَّـهِ وَالرَّسُوْلِ إِنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُوْنَ بِاللَّـهِ وَالْيَوْمِ اْلآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيْلاً
“แล้วเมื่อพวกสูเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ดังนั้น จงนำมันกลับไปหาอัลลอฮ์ (คือคัมภีร์อัล-กุรฺอ่าน) และรอซู้ล (คือ ตัวท่านศาสดาเองหรือซุนนะฮ์ของท่าน) หากพวกสูเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์จริง, นั่นคือ สิ่งที่ดีที่สุด และเป็นการกลับ (คือทางออก)ที่ดีที่สุดด้วย” ...
(จากซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ โองการที่ 59) ...
หรือจากหะดีษของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเองที่กล่าวว่า ..
(จากซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ โองการที่ 59) ...
หรือจากหะดีษของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเองที่กล่าวว่า ..
مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلاَفاً كَثِيْرًا فعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِىْ وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ الْمَهْدِيِّيْنَ مِنْ بَعْدِىْ عَضُّوْا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ....
“พวกท่านคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อไปเขาก็จะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้น หน้าที่ของพวกท่านก็คือ การปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของฉัน, และซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ผู้ปราดเปรื่องและทรงคุณธรรมหลังจากฉัน, จงกัดมัน (ซุนนะฮ์ของฉันและซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ของฉัน) ให้แน่นด้วยฟันกราม ..... ”
มีไหม .. หลักฐานที่ว่า ให้เราปฏิบัติตามทัศนะของใครก็ได้เมื่อเกิดขัดแย้ง ? .. หลักฐานต่างๆเหล่านี้ ไม่ใช่หลักฐานเรื่องความรักและให้เกียรติ “วันเกิด” ท่านศาสดา แต่เป็นหลักฐานเรื่องความรักและการให้เกียรติ “ตัว” ท่านศาสดาเองโดยปราศจากข้อขัดแย้งจากนักวิชาการท่านใดทั้งสิ้น ...
..(8)
มีไหม .. หลักฐานที่ว่า ให้เราปฏิบัติตามทัศนะของใครก็ได้เมื่อเกิดขัดแย้ง ? .. หลักฐานต่างๆเหล่านี้ ไม่ใช่หลักฐานเรื่องความรักและให้เกียรติ “วันเกิด” ท่านศาสดา แต่เป็นหลักฐานเรื่องความรักและการให้เกียรติ “ตัว” ท่านศาสดาเองโดยปราศจากข้อขัดแย้งจากนักวิชาการท่านใดทั้งสิ้น ...
..(8)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น