โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย ...
หลังจากนำบทความเรื่องนี้ตอนที่ 2 ลงในเฟสเรียบร้อยแล้ว ก็บังเอิญไปอ่านเจอข้อเขียนของพี่น้องมุสลิมที่นิยมแนวอะชาอิเราะฮ์ท่านหนึ่งในเฟส ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องคำกล่าวของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ที่ว่า...
نِعْمَتِ الْبِدْعَةُ هَذِهِ
.. ที่ผมเพิ่งอธิบายผ่านมา ...
ข้อเขียนในเฟสของพี่น้องมุสลิมแนวอะชาอิเราะฮ์ท่านนั้น มีดังนี้ ..
ท่านอิบนุ อะษีรฺได้กล่าวยืนยันไว้ว่า ..
والبدعة الحسنة فى الحقيقة سنة، وعلى هذاالتأويل يحمل الحديث .. كل محدثة بدعة .. على ما خالف اصول الشريعة، وما لم يخالف السنة
"และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ในความเป็นจริงแล้วคือซุนนะฮ์ และบนการอธิบายตามนัยนี้ ก็ถูกตีความหะดิษที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้นเป็นบิดอะฮ์" นั้น บนสิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐานของศาสนา และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์" ดูหนังสือ อันนิฮายะฮ์ เล่ม 1 หน้า 80 (ถ่ายทอดจากหนังสือ "อัลบะยาน" หน้า 206 ฟัตวาที่ 50
แล้วพี่น้องมุสลิมแนวอะชาอิเราะฮ์ท่านนั้นก็กล่าวตบท้ายว่า ...
"ช่วยหักล้างหลักฐานคำกล่าวของท่านอิบนุอะษีรฺตรงนี้ก่อนครับ .. อย่าเพิ่งหนีไปประเด็นอื่น " ...
จะเห็นได้ว่า ข้อเขียนข้างต้นนี้ เจ้าของเฟสอ้างแหล่งข้อมูลมาจากหนังสือ "อัลบะยาน" หน้า 206 ฟัตวาที่ 50 ...
ขอเรียนว่า ...
ผมไม่มีความประสงค์จะเข้าไปก้าวก่ายและร่วมวงเสวนากับข้อเขียนของพี่น้องอะชาอิเราะฮ์ท่านนั้น และผมก็ไม่ทราบว่าเจ้าของหนังสือ "อัลบะยาน" คือใคร? ...
แต่ผมพูดได้เต็มปากว่า ข้อมูลที่เจ้าของหนังสืออัลบะยานอ้างถึงท่านอิบนุ้ลอะษีรฺในหนังสือ "อัน-นิฮายะฮ์ ฟีเฆาะรีบิ้ลหะดีษ" ดังข้างต้นนั้น เป็นข้อมูลที่ "ถูกบิดเบือน" - บิดเบือนทั้งถ้อยคำและเจตนารมณ์ของท่านอิบนุ้ลอะษีรฺ - เพื่อลากเข้าสู่เป้าหมายตัวเองอย่างน่าเกลียดที่สุด ..
ก่อนอื่นก็อยากจะให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบข้อเขียนของท่านอิบนุ้ลอะษีรฺในหนังสือ "อัน-นิฮายะฮ์ ฟีเฆาะรีบิ้ลหะดีษ" เล่มที่ 1 (ที่อ้างมาเป็นหน้า 80 แต่ฉบับในมือของผมเป็นหน้าที่ 107) ก่อนหน้าข้อความที่เจ้าของหนังสือ "อัลบะยาน" อ้างมา - ซึ่งผมขอแปลเป็นภาษาไทยเพื่อประหยัดเวลา - ดังนี้ ...
(หมายเหตุ สิ่งที่อยู่ในวงเล็บ เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมของผม) ...
"และหนึ่งจากประเภทนี้ (คือหนึ่งจากความหมายบิดอะฮ์ที่ท่านอิบนุ้ลอะษีรฺอธิบายไปแล้ว) ก็คือคำพูดท่านอุมัรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ที่ว่า نِعْمَتِ الْبِدْعَةُ هَذِهِ (บิดอะฮ์ที่ดี คือสิ่งนี้) .. ในเมื่อมัน (คือ การละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์) เป็นส่วนหนึ่งจากการทำสิ่งดีและจัดเข้าอยู่ในกรอบแห่งการยกย่อง ท่านอุมัรฺจึงเรียกมันว่าบิดอะฮ์และยกย่องมัน .. เนื่องจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้นำแบบอย่างละหมาดนี้(ในลักษณะญะมาอะฮ์)แก่พวกเขา(อย่างสม่ำเสมอ) .. ท่านเพียงละหมาดมันบางคืนเท่านั้น หลังจากนั้น ท่านก็ละทิ้งมัน โดยมิได้ทำมันเป็นประจำ และประชาชน(หลังจากท่าน)ก็มิได้รวมตัวกระทำมัน และก็มิได้มีการกระทำกัน(อย่างนี้)ในสมัยท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. .. ท่านอุมัรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เพียงแต่(รื้อฟื้นมันด้วยการ)รวมและสนับสนุนประชาชนให้ทำละหมาดนี้ .. ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงเรียกมันว่า บิดอะฮ์"
และ .. ต่อไปนี้ คือคำพูด - จริงๆ - ของท่านอิบนุ้ลอะษีรฺ ..
وَهِىَ عَلَى الْحَقِيْقَةِ سُنَّةٌ ! لِقَوْلِهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : عَلَيْكُمْ بِسُنَّتِىْ وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ مِنْ بَعْدِىْ، .. وَقَوْلِهِ : إِقْتَدُوْا بِاللَّذَيْنِ مِنْ بَعْدِىْ، أَبِىْ بَكْرٍ وَعُمَرَ.. وَعَلَى هَذَاالتَّأْوِيْلِ يُحْمَلُ الْحَدِيْثُ اْلآخَرُ : كُلُّ مُحْدَثَةٍ بِدْعَةٌ .. إِنَّمَا يُرِيْدُ مَاخَالَفَ اُصُوْلَ الشَّرِيْعَةِ وَلَمْ يُوَافِقِ السُّنَّةَ .....
"และมัน (คือ ละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์) ที่จริงแล้วคือซุนนะฮ !(หมายถึงซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์) .. ทั้งนี้ เนื่องจากคำกล่าวของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า .. "จำเป็นสำหรับพวกท่านจะต้องตามซุนนะฮ์ของฉัน และ "ซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์" ผู้ปราดเปรื่องหลังจากฉัน" .. และคำกล่าวของท่านที่ว่า .. "พวกท่านจงปฏิบัติตาม 2 ท่านหลังจากฉัน คือ "อบูบักรฺ และอุมัรฺ" ... ซึ่ง(คำว่าบิดอะฮ์จาก)หะดีษอีกบทหนึ่งที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่ถูกริเริ่มขึ้นมาใหม่ เป็นบิดอะฮ์" .. ก็ให้ถือตามความหมายจากตามคำอธิบายนี้ .. (นั่นคือ) ท่านศาสดามิได้ประสงค์อื่นใด(จากคำว่าบิดอะฮ์ในหะดีษบทนี้) นอกจาก (หมายถึง) .. "สิ่งที่ขัดแย้งกับพื้นฐานของบทบัญญัติ และไม่สอดคล้องกับซุนนะฮ์ ....."
จะเห็นได้ว่า "ข้อมูลเท็จ" ในหนังสือ "อัลบะยาน" ข้างต้น กับ "ข้อมูลจริง" ของท่านอิบนุ้ลอะษีรฺ มีความแตกต่างกันดังนี้ ...
(1). บิดเบือนถ้อยคำ .. ท่านอิบนุ้ลอะษีรฺ กล่าวว่า وَهِىَ عَلَى الْحَقِيْقَةِ سُنَّةٌ ! (โดยใช้สรรพนามว่า هِىَ ) ซึ่งมีความหมายว่า "ละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์นั้น - ตามความเป็นจริงแล้ว - คือซุนนะฮ์ ! "...
แต่เจ้าของหนังสืออัลบะยานมาแก้ใหม่เป็น وَالْبِدْعَةُ الْحَسَنَةُ فِى الْحَقِيْقَةِ سُنَّةٌ (และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ในความเป็นจริงแล้วคือซุนนะฮ์) ดังที่เห็น เพื่อหลอกลวงให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ท่านอิบนุ้ลอะษีรฺกล่าวว่า บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้นคือซุนนะฮ์ . . ซึ่งทั้งสองประโยคนี้มีความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ...
พฤติการณ์ข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นถึงเจตนาไม่บริสุทธิ์และไม่มีอมานะฮ์ในเรื่องวิชาการของเจ้าของหนังสืออัลบะยานนั้น ...
(2). ตัดทอนถ้อยคำและบิดเบือนเจตนารมณ์ .. ผู้เขียนหนังสืออัลบะยาน มีเจตนา "ตัด" หะดีษ 2 บทที่ท่านอิบนุ้ลอะษีรฺนำมาเป็นหลักฐานเรื่องให้ปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ เพื่อยืนยันมุมมองของท่านว่า การรื้อฟื้นละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์ขึ้นมาใหม่ของท่านอุมัรฺ - ตามความเป็นจริงแล้ว - เป็น "ซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์" .. มิใช่เป็น "บิดอะฮ์" ตามนัยคำกล่าวของท่านศาสดา แม้ท่านอุมัรฺจะใช้สำนวนกล่าวว่า เป็น "บิดอะฮ์ดี" ก็ตาม ..
แต่เจ้าของหนังสืออัลบะยานได้บิดเบือนเจตนารมณ์ข้อนี้ของท่านอิบนุ้ลอะษีรฺ ทั้งด้วยการตัดข้อความสำคัญออกและเปลี่ยนแปลงคำพูดบางคำ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่า .. ท่านอิบนุ้ลอะษีรฺถือว่า ละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์ที่ท่านอุมัรฺรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดีในศาสนา ....
พฤติการณ์อย่างนี้ นักวิชาการจริงๆจะไม่มีใครทำกัน ...
ก็อยากจะขอแนะนำท่านเจ้าของโพสน์ว่า ต่อไปก่อนที่จะพูดจาในทำนองท้าทายใครอีก ก็ขอให้ท่านตรวจสอบข้อมูลที่ท่านคัดลอกมาอ้างอิงให้ดีเสียก่อน เพราะมิฉะนั้น ท่านจะหน้าแตก ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น