โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
2. การเร้นกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์
ชาวชีอะฮ์มีความเชื่อมั่นว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา ได้ทำการ “เร้นหาย” ไปจากชาวโลก 2 ครั้ง ในอุโมงค์แห่งหนึ่งภายในบ้านของท่านอิหม่ามหะซันผู้เป็นบิดา... (ยกเว้นจะปรากฏกายต่อญาติใกล้ชิดหรือสาวกบางคนเท่านั้น) ...
การเร้นกายครั้งแรก จะเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 69 ปี, ซึ่งมีขึ้นก่อนการสิ้นชีวิตของท่านอิหม่ามหะซัน ผู้เป็นบิดาประมาณ 10 วัน ... (คือจากฮ.ศ. 260 ถึงฮ.ศ. 329) ... ซึ่งเรียกกันว่า “อัล-ฆ็อยบะฮ์ อัล-ศุฆรออ์” หรือการเร้นกายชั่วคราว ...
ชาวชีอะฮ์มีความเชื่อมั่นว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา ได้ทำการ “เร้นหาย” ไปจากชาวโลก 2 ครั้ง ในอุโมงค์แห่งหนึ่งภายในบ้านของท่านอิหม่ามหะซันผู้เป็นบิดา... (ยกเว้นจะปรากฏกายต่อญาติใกล้ชิดหรือสาวกบางคนเท่านั้น) ...
การเร้นกายครั้งแรก จะเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 69 ปี, ซึ่งมีขึ้นก่อนการสิ้นชีวิตของท่านอิหม่ามหะซัน ผู้เป็นบิดาประมาณ 10 วัน ... (คือจากฮ.ศ. 260 ถึงฮ.ศ. 329) ... ซึ่งเรียกกันว่า “อัล-ฆ็อยบะฮ์ อัล-ศุฆรออ์” หรือการเร้นกายชั่วคราว ...
และหลังจากปี ฮ.ศ. 329 เป็นต้นไปจนถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต, .. จนถึงวันแห่งการปรากฏตัวก่อนวันสิ้นโลก อันถือเป็นการเร้นกายอย่างถาวรนั้น ชาวชีอะฮ์เรียกว่า “อัล-ฆ็อยบะฮ์ อัล-กุบรออ์” หรือการเร้นกายครั้งใหญ่ ...
ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานมาจาก อิสหาก บิน อัมมารฺ, จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (อิหม่ามท่านที่ 6 ) ซึ่งกล่าวว่า ....
ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานมาจาก อิสหาก บิน อัมมารฺ, จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (อิหม่ามท่านที่ 6 ) ซึ่งกล่าวว่า ....
( لِلْقَائِمِ غَيْبَتَانِ، اِحْدَاهُمَا قَصِيْرَةٌ وَالاخْرَى طَوِيْلَةٌ، اَلْغَيْبَةُ الاُوْلَى لاَ يَعْلَمُ بِمَكَانِهِ فِيْهَا اِلاَّ خَاصَّةُ شِيْعَتِهِ، وَالاُخْرَى لاَ يَعْلَمُ بِمَكَانِهِ فِيْهَا اِلاَّ خَاصَّةُ مَوَالِيْهِ ) ........
“สำหรับอัล-กออิมนั้น จะมีการเร้นหายไป 2 ครั้ง, ครั้งแรกจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ และอีกครั้งหนึ่งจะเป็นระยะเวลายาวนาน, .. ในการเร้นกายครั้งแรกนั้น จะไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่านนอกจากชีอะฮ์ผู้ใกล้ชิดโดยเฉพาะ,.... และในการเร้นกายครั้งที่สอง จะไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่านนอกจากมิตรสหายผู้ใกล้ชิดโดยเฉพาะเท่านั้น” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 340, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบอัล-ฆ็อยบะฮ์ หะดีษที่ 19 ) ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 340, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบอัล-ฆ็อยบะฮ์ หะดีษที่ 19 ) ...
ท่านอัล-กุลัยนีย์ ยังได้รายงานมาจาก อุบัยด์ บิน ซุรอเราะฮ์, จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ...
( لِلْقَائِمِ غَيْبَتَانِ، يَشْهَدُفِىْ اِحْدَاهُمَا الْمَوَاسِمَ، يَرَى النَّاسَ وَلاَ يَرَوْنَهُ )...
“สำหรับอัล-กออิม จะมีการเร้นกาย 2 ครั้ง, ในครั้งหนึ่งจากสองครั้งนั้น ท่านจะปรากฏกายในเทศกาลต่างๆ (หมายถึงเทศกาลทำหัจญ์ : หนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 21) .... โดย ท่านจะมองเห็นผู้อื่น แต่ผู้อื่นจะไม่เห็นท่าน” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 339, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบอัล-ฆ็อยบะฮ์ หะดีษที่ 12) ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 339, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบอัล-ฆ็อยบะฮ์ หะดีษที่ 12) ...
รายงานข้างต้นนี้ สอดคล้องกับการรายงานของท่านอัฏ-ฏูสีย์ ซึ่งรายงานมาจากท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ว่า ...
( فَاِنَّ وَلِيَّ اللَّـهِ يُغَيِّبُهُ اللَّـهُ عَنْ خَلْقِهِ وَيَحْجِبُهُ عَنْ عِبَادِهِ، فَلاَ يَرَاهُ اَحَـدٌ حَتَّى يُقَدِّمَ لَهُ جِبْرَائِيْلُ عَلَيْهِ السَّلاَمُ فَرَسَهُ لِيَقْضِيَ اللَّـهُ اَمْرًا كَانَ مَفْعُوْلاً ) .........
“เพราะผู้ที่เป็นที่รักของพระองค์อัลลอฮ์นั้น พระองค์จะทรงทำให้เขาลับหายไปและกำบังเขาจากปวงบ่าวของพระองค์, .. ดังนั้น จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก จนกว่าท่านญิบรีลจะนำม้าศึกมาให้เขา เพื่อพระองค์อัลลอฮ์จะได้ตัดสินในสิ่งที่ถูกกระทำลงไป” ...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัฏ-ฏูซีย์ หน้า 142)
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัฏ-ฏูซีย์ หน้า 142)
และหลังจากการเร้นกายครั้งแรกของท่านมะฮ์ดีย์ ฝ่ายชีอะฮ์อ้างว่า ท่านได้แต่งตั้ง “ตัวแทนพิเศษ” ที่เรียกกันว่า “นาอิบ ค็อศ” ขึ้นมา 4 ท่านด้วยกัน เพื่อทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ในการติดต่อระหว่างตัวท่านกับชาวชีอะฮ์ทั่วๆไป ได้แก่ ....
1. อุษมาน บิน สะอีด อัม-อัมรีย์ (ชื่อรอง : อบู อัมรฺ) ...
2. มุหัมมัด บิน อุษมาน อัล-อัมรีย์ ( ชื่อรอง : อบู ญะอฺฟัรฺ) ...
3. หุซัยน์ บิน รูห์ อัน-นูบัคตีย์ ( ชื่อรอง : อบู กอซิม) ...
4. อฺลีย์ บิน มุหัมมัด อัซ-ซะมารีย์ (ชื่อรอง : อบู หะซัน) ...
1. อุษมาน บิน สะอีด อัม-อัมรีย์ (ชื่อรอง : อบู อัมรฺ) ...
2. มุหัมมัด บิน อุษมาน อัล-อัมรีย์ ( ชื่อรอง : อบู ญะอฺฟัรฺ) ...
3. หุซัยน์ บิน รูห์ อัน-นูบัคตีย์ ( ชื่อรอง : อบู กอซิม) ...
4. อฺลีย์ บิน มุหัมมัด อัซ-ซะมารีย์ (ชื่อรอง : อบู หะซัน) ...
และในปี ฮ.ศ. 329,... ก่อนการสิ้นชีวิตของ อฺลีย์ บิน มุหัมมัด ซึ่งเป็นตัวแทนพิเศษคนสุดท้ายไม่นาน ก็ถึงยุคแห่งการเร้นกายถาวร .. ในการนี้ ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็ได้มีคำสั่งว่า ..
( لَقَدْ وَقَعَتِ الْغَيْبَةُ التَّامَّةُ، فَلاَ ظُهُوْرَاِلاَّ بَعْدَ اَنْ يَأْذَنَ اللَّـهُ، فَمَنِ ادَّعَى رُؤْيَتِيْ فَهُوَكَذَّابٌ مُغْتَرٌّ )
“ต่อไปนี้ ก็ถึงเวลาแห่งการเร้นกายโดยสมบูรณ์แล้ว,... จะไม่มีการปรากฏตัวใดๆอีกนอกจากพระองค์อัลลอฮ์จะทรงอนุญาตเท่านั้น (หมายถึงการปรากฏกายก่อนวันสิ้นโลก).. ดังนั้น ผู้ใดที่อ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก หลอกลวง” ...
(จากหนังสือ “อะฮ์ลุซซุนนะฮ์และชีอะฮ์” ของอาจารย์มุนีรฺ มูหะหมัด หน้า 199) ..
จากหลักฐานแห่งการ “เร้นกาย” ตามบันทึกของฝ่ายชีอะฮ์เองทั้งหมด ดังที่ผ่านมานั้น ก็พอจะสรุปได้ว่า ...
1. ในการเร้นกายครั้งแรก อิหม่ามมะฮ์ดีย์จะมีการติดต่อกับประชาชนโดยผ่านทางตัวแทนพิเศษ 4 คนนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ที่อยู่ของท่านโดยเฉพาะ ...
2. ในการเร้นกายครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการเร้นกายอย่างถาวร จะไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่าน นอกจากสหายผู้ใกล้ชิดโดยเฉพาะ.. (ซึ่งปัจจุบัน ก็คงไม่มีผู้ใดเหลือรอด, คือ ตายกันไปหมดเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว) ...
3. หลังจากการเร้นกายครั้งที่ 2 นี้ จะไม่มีผู้ใดพบเห็นท่านอีก จนกว่าพระองค์อัลลอฮ์จะให้ท่านปรากฏกายในตอนใกล้วันสิ้นโลก ...
4. ผู้ใดที่อ้างว่า ได้เห็นท่านหลังจากการเร้นกายครั้งที่ 2 แล้ว ผู้นั้นคือ จอมโกหก, ลวงโลก ...
5. ท่านอาจจะเคยปรากฏกายในครั้งหนึ่งจาก 2 ครั้งนั้นในเทศกาลต่างๆ .. โดยที่ท่านมองเห็นผู้อื่น, แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน ...
“ต่อไปนี้ ก็ถึงเวลาแห่งการเร้นกายโดยสมบูรณ์แล้ว,... จะไม่มีการปรากฏตัวใดๆอีกนอกจากพระองค์อัลลอฮ์จะทรงอนุญาตเท่านั้น (หมายถึงการปรากฏกายก่อนวันสิ้นโลก).. ดังนั้น ผู้ใดที่อ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก หลอกลวง” ...
(จากหนังสือ “อะฮ์ลุซซุนนะฮ์และชีอะฮ์” ของอาจารย์มุนีรฺ มูหะหมัด หน้า 199) ..
จากหลักฐานแห่งการ “เร้นกาย” ตามบันทึกของฝ่ายชีอะฮ์เองทั้งหมด ดังที่ผ่านมานั้น ก็พอจะสรุปได้ว่า ...
1. ในการเร้นกายครั้งแรก อิหม่ามมะฮ์ดีย์จะมีการติดต่อกับประชาชนโดยผ่านทางตัวแทนพิเศษ 4 คนนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ที่อยู่ของท่านโดยเฉพาะ ...
2. ในการเร้นกายครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการเร้นกายอย่างถาวร จะไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่าน นอกจากสหายผู้ใกล้ชิดโดยเฉพาะ.. (ซึ่งปัจจุบัน ก็คงไม่มีผู้ใดเหลือรอด, คือ ตายกันไปหมดเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว) ...
3. หลังจากการเร้นกายครั้งที่ 2 นี้ จะไม่มีผู้ใดพบเห็นท่านอีก จนกว่าพระองค์อัลลอฮ์จะให้ท่านปรากฏกายในตอนใกล้วันสิ้นโลก ...
4. ผู้ใดที่อ้างว่า ได้เห็นท่านหลังจากการเร้นกายครั้งที่ 2 แล้ว ผู้นั้นคือ จอมโกหก, ลวงโลก ...
5. ท่านอาจจะเคยปรากฏกายในครั้งหนึ่งจาก 2 ครั้งนั้นในเทศกาลต่างๆ .. โดยที่ท่านมองเห็นผู้อื่น, แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน ...
หมายเหตุ : คำว่า “มองไม่เห็น” กับคำว่า “มองเห็น, แต่ไม่รู้จัก” ความหมายไม่เหมือนกัน, โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ... เพราะในหน้าถัดไป นักเขียนชีอะฮ์บางท่านจะแสร้ง “มั่วนิ่ม” กับคำทั้ง 2 คำนี้ เพื่อให้เข้าใจไขว้เขวว่า มีความหมายเหมือนกัน” ...
และในสำนวนหะดีษของชีอะฮ์เองที่นำมาเสนอทั้งหมด จะใช้คำว่า “ไม่มีผู้ใดมองเห็น, ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่” .. ซึ่งมีความหมายชัดเจนเกินกว่าที่จะเบี่ยงเบนหรือบิดเบือน (ตะอ์วีล) ให้เข้าใจไปเป็นอย่างอื่นอีกทั้งสิ้น ...
จึงเป็นเรื่องแปลกและน่าตลกที่ชีอะฮ์ – ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน – จะพากันไปยืนที่หน้าอุโมงค์ (ซิรฺดาบ) แห่งหนึ่งที่เมืองซาร์มัรฺรอ ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา เร้นกายเข้าไปในอุโมงค์นี้ตั้งแต่เมื่อปี ฮ.ศ. 260, ... แล้วจะพากันวิงวอนขอให้ท่านปรากฏกายขึ้นมาโดยเร็ว (คงจะเพราะความเข้าใจว่า ท่านอิหม่ามฯ ยังคงเร้นกายอยู่ในอุโมงค์นั้นตลอดเวลากระมัง ?) ...
ทั้งๆที่ท่านกุลัยนีย์ ก็ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” -- ซึ่งชาวชีอะฮ์ถือว่า เป็นตำราหะดีษที่ถูกต้องที่สุด – ว่า “ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่าน”,... ดังกล่าวมาแล้ว ...
เช็คมุห์ซิน อัล-อุศฟูรฺ นักวิชาการชีอะฮ์ยุคปัจจุบันท่านหนึ่ง ได้กล่าวเอาไว้ว่า ...
และในสำนวนหะดีษของชีอะฮ์เองที่นำมาเสนอทั้งหมด จะใช้คำว่า “ไม่มีผู้ใดมองเห็น, ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่” .. ซึ่งมีความหมายชัดเจนเกินกว่าที่จะเบี่ยงเบนหรือบิดเบือน (ตะอ์วีล) ให้เข้าใจไปเป็นอย่างอื่นอีกทั้งสิ้น ...
จึงเป็นเรื่องแปลกและน่าตลกที่ชีอะฮ์ – ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน – จะพากันไปยืนที่หน้าอุโมงค์ (ซิรฺดาบ) แห่งหนึ่งที่เมืองซาร์มัรฺรอ ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา เร้นกายเข้าไปในอุโมงค์นี้ตั้งแต่เมื่อปี ฮ.ศ. 260, ... แล้วจะพากันวิงวอนขอให้ท่านปรากฏกายขึ้นมาโดยเร็ว (คงจะเพราะความเข้าใจว่า ท่านอิหม่ามฯ ยังคงเร้นกายอยู่ในอุโมงค์นั้นตลอดเวลากระมัง ?) ...
ทั้งๆที่ท่านกุลัยนีย์ ก็ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” -- ซึ่งชาวชีอะฮ์ถือว่า เป็นตำราหะดีษที่ถูกต้องที่สุด – ว่า “ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่าน”,... ดังกล่าวมาแล้ว ...
เช็คมุห์ซิน อัล-อุศฟูรฺ นักวิชาการชีอะฮ์ยุคปัจจุบันท่านหนึ่ง ได้กล่าวเอาไว้ว่า ...
( وَيُسْتَحَبُّ زِيَارَتُهُ ( اَيِ اْلمَهْدِىِّ ) فِيْ كُلِّ زَمَانٍ وَمَكَانٍ، وَالدُّعَاءُبِتَعْجِيْلِ الْفَرْجِ عِنْدَ زِيَارَتِهِ، وَتَتَأَكَّدُ زِيَارَتُهُ فِي السِّرْدَابِ بِسَرْ مَنْ رَّأى ) ........
“และชอบที่จะให้มีการซิยาเราะฮ์ (เยี่ยมเยียน)ท่าน (มะฮ์ดีย์) ในทุกๆเวลาและทุกๆสถานที่ ..(ซิยาเราะฮ์ยังไง ?.. ทุกๆเวลา, ทุกๆสถานที่ ... ไม่เข้าใจแฮะ!.. ??????????) และให้วิงวอนขอให้ท่านรีบปรากฏกายโดยเร็ว, และที่เน้นพิเศษ คือให้ซิยาเราะฮ์ท่านที่อุโมงค์แห่งเมืองซาร์มัรฺรอ” ...
(จากหนังสือ “มะศอเบี๊ยะห์ อัล-ญันนาต” ของเช็คมุห์ซิน อัล-อุศฟูรฺ, หน้า 255)
ยิ่งไปกว่านั้น ในตำราของชีอะฮ์หลายเล่ม ยังได้เขียนเล่าถึงเรื่องราวของผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นอิหม่ามมะฮ์ดีย์หรือได้ประสบกับมุอฺญิซะฮ์ของท่าน ซึ่งอ้างว่า มีจำนวน 100 กว่าคนทีเดียว, นักวิชาการผู้เขียนหนังสือดังกล่าว อาทิเช่น ท่านฏ็อบริสีย์ (ในหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์”) .... ท่านหุซัยน์ อัน-นูรีย์ อัฏ-ฏ็อบริสีย์ (ในหนังสือ “กัชฟุ้ล อัสตารฺ”และหนังสือ “อัน-นัจญมุ อัษ-ษากิบ”) และท่านอัล-มัจญลิสีย์ (ในหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ”) เป็นต้น ...
ในหนังสือ “อิมามมะฮ์ดีย์ ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 62 มีข้อความว่า ..
“นอกเหนือจากนี้ ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ยังเข้าร่วมพิธีหัจญ์ทุกปี ท่านยังเข้ารวมในการประชุมชุมนุมของชีอะฮ์, และบางครั้ง ปัญหาของผู้ศรัทธาก็ได้รับการแก้ไขจากอิมามโดยผ่านสื่อและโดยตรงและเป็นไปได้ว่า บางครั้ง ประชาชนเคยเห็นท่าน แต่พวกเขาไม่รู้จัก (????) แต่อิมามรู้จักพวกเขาส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ศอและห์ (ประกอบการดี) อยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่าน มีคนจำนวนมากที่เคยพบเจอกับท่าน ทั้งในช่วงของการเร้นหายครั้งแรก (ศุฆรอ) และครั้งใหญ่ (กุบรอ) และได้เห็นถึงกะรอมะฮ์และมุอฺญิซะฮ์ต่างๆของท่าน ..
(จากหนังสือ “มะศอเบี๊ยะห์ อัล-ญันนาต” ของเช็คมุห์ซิน อัล-อุศฟูรฺ, หน้า 255)
ยิ่งไปกว่านั้น ในตำราของชีอะฮ์หลายเล่ม ยังได้เขียนเล่าถึงเรื่องราวของผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นอิหม่ามมะฮ์ดีย์หรือได้ประสบกับมุอฺญิซะฮ์ของท่าน ซึ่งอ้างว่า มีจำนวน 100 กว่าคนทีเดียว, นักวิชาการผู้เขียนหนังสือดังกล่าว อาทิเช่น ท่านฏ็อบริสีย์ (ในหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์”) .... ท่านหุซัยน์ อัน-นูรีย์ อัฏ-ฏ็อบริสีย์ (ในหนังสือ “กัชฟุ้ล อัสตารฺ”และหนังสือ “อัน-นัจญมุ อัษ-ษากิบ”) และท่านอัล-มัจญลิสีย์ (ในหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ”) เป็นต้น ...
ในหนังสือ “อิมามมะฮ์ดีย์ ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 62 มีข้อความว่า ..
“นอกเหนือจากนี้ ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ยังเข้าร่วมพิธีหัจญ์ทุกปี ท่านยังเข้ารวมในการประชุมชุมนุมของชีอะฮ์, และบางครั้ง ปัญหาของผู้ศรัทธาก็ได้รับการแก้ไขจากอิมามโดยผ่านสื่อและโดยตรงและเป็นไปได้ว่า บางครั้ง ประชาชนเคยเห็นท่าน แต่พวกเขาไม่รู้จัก (????) แต่อิมามรู้จักพวกเขาส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ศอและห์ (ประกอบการดี) อยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่าน มีคนจำนวนมากที่เคยพบเจอกับท่าน ทั้งในช่วงของการเร้นหายครั้งแรก (ศุฆรอ) และครั้งใหญ่ (กุบรอ) และได้เห็นถึงกะรอมะฮ์และมุอฺญิซะฮ์ต่างๆของท่าน ..
มัรฺฮูม ซัยยิด ศ็อดรุดดีน ศ็อดร์ ได้กล่าวในหนังสือของท่านว่า จากรายงานต่างๆทำให้เราทราบว่า มีประชาชนกลุ่มหนึ่งได้พบเจออิมาม และได้รับเกียรติในการรับใช้ท่านในยุคสมัยของการเร้นหาย และสิ่งนี้นั้น ไม่ขัดกับรายงานที่สั่งให้เราปฏิเสธผู้ที่อ้างว่า เขาพบเจอกับอิมาม เพราะการมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า รายงานที่ให้เราปฏิเสธนั้น เป้าหมายคือ ผู้ที่อ้างว่าเขาเป็นตัวแทนโดยตรงของอิมาม” ...
นี่คือ ข้อความบรรทัดต่อบรรทัดจากหนังสือเล่มนั้น ...
โปรดสังเกตด้วยว่า ข้อเขียนดังกล่าวนี้ อ้างว่า .. เป็นไปได้ว่า บางครั้ง ประชาชนเคยเห็นท่าน แต่พวกเขาไม่รู้จัก ... ซึ่งขัดแย้งอย่างชัดเจนกับข้อความที่ท่านกุลัยนีย์ - บุคอรีย์ของพวกเขา - ที่ได้รายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ว่า ... ท่านจะมองเห็นผู้อื่น แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน.. ดังกล่าวมาแล้ว,... และผมก็ได้ติงไว้ก่อนแล้วเช่นกันว่า “มองไม่เห็น” กับ “มองเห็น แต่ไม่รู้จัก” ความหมายจะไม่เหมือนกัน ...
อีกประการหนึ่งก็คือ การ “ตะอ์วีล” หรือการบิดเบือนความหมายของพวกเขาที่ว่า --- ความหมายที่อิหม่ามของพวกเขากล่าวว่า.. “แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน” ตามการบันทึกของท่านกุลัยนีย์ก็ดี, หรือคำว่า “จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก” ตามการบันทึกของท่านอัฏ-ฏูสีย์ก็ดี, หรือสำนวนที่ว่า “ผู้ใดอ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก, หลอกลวง” ก็ดี --- ว่า หมายถึง “ผู้ที่อ้างว่า เขาเป็นตัวแทนของท่านอิหม่าม” เท่านั้น,.. มิได้หมายถึงชาวชีอะฮ์โดยทั่วๆไป ซึ่งแสดงว่าเขามีสิทธิ์ที่จะอ้างว่า เห็นท่านมะฮ์ดีย์ได้ หากไม่มีการแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของท่าน ...
นี่คือ ข้อความบรรทัดต่อบรรทัดจากหนังสือเล่มนั้น ...
โปรดสังเกตด้วยว่า ข้อเขียนดังกล่าวนี้ อ้างว่า .. เป็นไปได้ว่า บางครั้ง ประชาชนเคยเห็นท่าน แต่พวกเขาไม่รู้จัก ... ซึ่งขัดแย้งอย่างชัดเจนกับข้อความที่ท่านกุลัยนีย์ - บุคอรีย์ของพวกเขา - ที่ได้รายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ว่า ... ท่านจะมองเห็นผู้อื่น แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน.. ดังกล่าวมาแล้ว,... และผมก็ได้ติงไว้ก่อนแล้วเช่นกันว่า “มองไม่เห็น” กับ “มองเห็น แต่ไม่รู้จัก” ความหมายจะไม่เหมือนกัน ...
อีกประการหนึ่งก็คือ การ “ตะอ์วีล” หรือการบิดเบือนความหมายของพวกเขาที่ว่า --- ความหมายที่อิหม่ามของพวกเขากล่าวว่า.. “แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน” ตามการบันทึกของท่านกุลัยนีย์ก็ดี, หรือคำว่า “จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก” ตามการบันทึกของท่านอัฏ-ฏูสีย์ก็ดี, หรือสำนวนที่ว่า “ผู้ใดอ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก, หลอกลวง” ก็ดี --- ว่า หมายถึง “ผู้ที่อ้างว่า เขาเป็นตัวแทนของท่านอิหม่าม” เท่านั้น,.. มิได้หมายถึงชาวชีอะฮ์โดยทั่วๆไป ซึ่งแสดงว่าเขามีสิทธิ์ที่จะอ้างว่า เห็นท่านมะฮ์ดีย์ได้ หากไม่มีการแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของท่าน ...
การ “ตะอ์วีล” ดังกล่าว ต่อให้มองด้วยใจเป็นธรรมอย่างไรก็รับฟังไม่ขึ้น หากไม่คลั่งไคล้หรือลำเอียงจนเกินกว่าเหตุ ...
ความจริง หากจะดูลักษณะสำนวนของภาษาอรับหรือกฎเกณฑ์ใดๆของวิชาไวยากรณ์อรับเกี่ยวกับรายงานข้างต้นทั้งหมดนั้น... ต่อให้ดูจนตาเหล่ยังไงก็ไม่มีช่องทางที่จะตีความหมายไปในลักษณะ “จำกัดความ”ดังกล่าวได้เลย นอกจากจะมีความหมายใน “มุมกว้าง” (หรืออาม) เพียงอย่างเดียว...... คือ ไม่ว่าใครก็ตาม, จะอ้างว่าเป็นตัวแทนของท่านหรือไม่ก็ตาม, ย่อมไม่สามารถจะมองเห็นท่านได้ทั้งสิ้น ....
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีหะดีษที่ถูกต้องบทใดที่ “อ้างการรายงานถึงอิหม่ามของพวกเขา.... จะมาจำกัดความหมายกว้างๆของข้อความข้างต้นดังกล่าวเลย ดังการอ้างของหนังสือเล่มนั้น ...
ตามหลักการแล้ว การรายงานมาจากอิหม่ามทั้ง 3 ท่าน, คืออิหม่ามญะอฺฟัร์ อัศ-ศอดืก, อิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์, และอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง, ... ตรงกันอย่างนี้ ย่อมจะเป็นข้อชี้ขาด, และเป็นการ“หักล้าง"” การรายงานอื่นใดที่รายงานมาให้ขัดแย้งกับรายงานของพวกท่าน. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อรายงานที่ขัดแย้งนั้น มาจากสามัญชน ...
ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตามปกติ ชาวชีอะฮ์จะเชื่อทุกอย่างที่ถูกอ้างว่า เป็นการรายงานมาจากอิหม่ามๆของพวกเขาทุกท่าน และจะเชื่อมากยิ่งขึ้นหากการรายงานนั้น มาจากการบันทึกของท่านกุลัยนีย์ในหนังสือ “อัล-กาฟีย์”...
แต่มาคราวนี้,.... เพราะเหตุใด ?... คำพูดท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (จากการบันทึกของท่านกุลัยนีย์) ที่ว่า หลังจากการเร้นกายอย่างสมบูรณ์แล้ว .. ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน, ... หรือคำพูดของท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ผู้ถูกอ้างว่า เป็นบิดาของท่านมะฮ์ดีย์ (จากการบันทึกของท่านอัฏ-ฏูสีย์) ที่ว่า ... จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก จนกว่าท่านญิบรีลจะนำม้าศึกมาให้เขา, ... หรือคำพูดของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง ที่กล่าวก่อนจะเร้นกายอย่างยาวนานว่า.... จะไม่มีการปรากฏตัวใดๆอีก ... นอกจากพระองค์อัลลอฮ์ จะทรงอนุญาตเท่านั้น, ดังนั้น ผู้ใดอ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก, หลอกลวง ...
ตามหลักการแล้ว การรายงานมาจากอิหม่ามทั้ง 3 ท่าน, คืออิหม่ามญะอฺฟัร์ อัศ-ศอดืก, อิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์, และอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง, ... ตรงกันอย่างนี้ ย่อมจะเป็นข้อชี้ขาด, และเป็นการ“หักล้าง"” การรายงานอื่นใดที่รายงานมาให้ขัดแย้งกับรายงานของพวกท่าน. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อรายงานที่ขัดแย้งนั้น มาจากสามัญชน ...
ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตามปกติ ชาวชีอะฮ์จะเชื่อทุกอย่างที่ถูกอ้างว่า เป็นการรายงานมาจากอิหม่ามๆของพวกเขาทุกท่าน และจะเชื่อมากยิ่งขึ้นหากการรายงานนั้น มาจากการบันทึกของท่านกุลัยนีย์ในหนังสือ “อัล-กาฟีย์”...
แต่มาคราวนี้,.... เพราะเหตุใด ?... คำพูดท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (จากการบันทึกของท่านกุลัยนีย์) ที่ว่า หลังจากการเร้นกายอย่างสมบูรณ์แล้ว .. ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน, ... หรือคำพูดของท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ผู้ถูกอ้างว่า เป็นบิดาของท่านมะฮ์ดีย์ (จากการบันทึกของท่านอัฏ-ฏูสีย์) ที่ว่า ... จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก จนกว่าท่านญิบรีลจะนำม้าศึกมาให้เขา, ... หรือคำพูดของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง ที่กล่าวก่อนจะเร้นกายอย่างยาวนานว่า.... จะไม่มีการปรากฏตัวใดๆอีก ... นอกจากพระองค์อัลลอฮ์ จะทรงอนุญาตเท่านั้น, ดังนั้น ผู้ใดอ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก, หลอกลวง ...
เพราะเหตุใด, คำพูดทั้งหมดข้างต้น “ของอิหม่ามมะอฺศูม” หรือผู้ไร้บาปทั้ง 3 ท่าน (ตามความเชื่อของชีอะฮ์เอง)... มาคราวนี้ กลับถูกเมินและไม่ได้รับความเชื่อถือ ?
ทว่า,.... คำพูดของสามัญชนกิเลสหนาธรรมดาๆที่แอบอ้างว่า ได้เห็นท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ... แทนที่ผู้พูดจะถูกประณามว่า เป็น “จอมโกหก, ลวงโลก” ดังคำประกาศของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง การณ์กลับกลายเป็นว่า ข้อแอบอ้างเหล่านั้นกลับได้รับการปกป้อง, ยอมรับ, และได้รับความศรัทธาเชื่อถือ...มากเสียยิ่งกว่าคำพูดของอิหม่ามมะอฺศูมผู้ไร้บาปทั้ง 3 ท่านนั้น ...
ทว่า,.... คำพูดของสามัญชนกิเลสหนาธรรมดาๆที่แอบอ้างว่า ได้เห็นท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ... แทนที่ผู้พูดจะถูกประณามว่า เป็น “จอมโกหก, ลวงโลก” ดังคำประกาศของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง การณ์กลับกลายเป็นว่า ข้อแอบอ้างเหล่านั้นกลับได้รับการปกป้อง, ยอมรับ, และได้รับความศรัทธาเชื่อถือ...มากเสียยิ่งกว่าคำพูดของอิหม่ามมะอฺศูมผู้ไร้บาปทั้ง 3 ท่านนั้น ...
เหตุการณ์อย่างนี้.. เกิดขี้นกับชาวชีอะฮ์ได้อย่างไร ?...
จะว่า .. ท่านญิบรีลได้นำ “ม้าศึก” มามอบให้ท่านมะฮ์ดีย์ เพื่อประกาศตัวสร้างความเป็นธรรมให้แก่ชาวโลกแล้ว ? .... ก็ไม่ใช่ ...
ประกาศว่า อยู่ใน “ภาวะเร้นหาย” อย่างสมบูรณ์แบบและยาวนานแล้ว, จะไม่มีใครพบเห็นอีกแล้ว,... แต่กลับมีคนจำนวนมากอ้างว่า เคยพบเห็นตามสถานที่ต่างๆมากมายหลายแห่ง... แล้วอย่างนี้ หากว่าข้ออ้างนี้เป็นความจริง คำประกาศนั้น จะคงความศักดิ์สิทธิ์อะไรหลงเหลืออยู่อีก ?... และหากการอ้างการพบเห็นดังกล่าวเป็นความจริง.... แล้วจะให้อธิบายความหมายคำว่า “เร้นหาย” ว่า หมายความว่าอย่างไร?...
ประกาศว่า ใครอ้างว่าพบเห็นหลังจากการเร้นหายครั้งนี้ ถือว่าผู้นั้นเป็นจอมโกหก,ลวงโลก แต่พอมีผู้อ้างว่าพบเห็นก็มีคนเชื่อและคำประกาศดังกล่าวกลับถูกเมินอย่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง... แล้วอย่างนี้ ในทางตรรกศาสตร์ ... ใครกันแน่ที่เป็น “จอมโกหก”... ผู้ประกาศว่าจะไม่มีใครพบเห็น, หรือผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ? ...
ตัดการ “ตะอัศศุบ” หรือความเชื่ออย่างคลั่งไคล้ออกไปสักนิด, ... ลองใช้สมองไตร่ตรองและพิจารณาอย่างมีสติสักหน่อย, แล้วบางที,.. บางที ท่านอาจจะมีดวงตาเห็นธรรมก็ได้ ..
ตัดการ “ตะอัศศุบ” หรือความเชื่ออย่างคลั่งไคล้ออกไปสักนิด, ... ลองใช้สมองไตร่ตรองและพิจารณาอย่างมีสติสักหน่อย, แล้วบางที,.. บางที ท่านอาจจะมีดวงตาเห็นธรรมก็ได้ ..
แน่ใจไหมว่า,. ไม่มี “นัย” อะไร แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในความเชื่อที่พลิกผันเหล่านี้? ...
และหากว่ามี, ...“นัย” .. ดังกล่าว หมายถึงอะไร ? ...
และหากว่ามี, ...“นัย” .. ดังกล่าว หมายถึงอะไร ? ...
ข้อวิสัชนาของปุจฉาข้อนี้ จะมีส่วนสัมพันธ์เป็นลูกโซ่กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และสิ่งที่กำลังจะถึงต่อไปนี้ คือ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น