อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
ที่อภินิหารย์ยิ่งกว่านี้ ก็คือ รายงานดังต่อไปนี้ ...
ท่านหะกีมะฮ์ได้กล่าว... (หลังจากปลอบใจให้นัรฺญิสทำใจให้เข้มแข็งแล้ว) ว่า ...
แล้วฉันก็เริ่มต้นอ่านซูเราะฮ์ ... อินนา อันซัลนาฮุ ฟีย์ลัยละติ้ลก็อดรฺ.... ให้แก่นัรฺญิส และแล้วเด็กในครรภ์ของนางก็ประสานเสียงฉันด้วยการอ่านเหมือนอย่างที่ฉันอ่าน และยังกล่าวสล่ามแก่ฉันด้วย ซึ่งพอได้ยินฉันก็ตกใจสุดขีด, แต่ท่านอิหม่ามหะซันได้ตะโกนเข้ามาว่า “น้าท่านไม่ต้องแปลกใจต่อภารกิจของอัลลอฮ์หรอก พระองค์จะให้พวกเรา (อะฮ์ลุ้ลบัยต์) พูดได้ตั้งแต่เล็กๆด้วยหิกมะฮ์, และพระองค์จะให้พวกเราเป็นหุจญะฮ์ (ข้อพิสูจน์) ของพระองค์ในโลกนี้เมื่อโตขึ้น” ...
ท่านอิหม่ามพูดยังไม่ทันขาดคำ นัรฺญิสก็หายวับไปจากสายตาของฉัน.. ฉันมองไม่เห็นนางอีกเลย ... ประหนึ่งว่ามีม่านทึบมาบังกั้นระหว่างฉันกับนางไว้, ฉันวิ่งพรวดพราดไปหาท่านอิหม่ามพร้อมกับตะโกนเสียงดัง(ด้วยความตกใจ) .. ท่านอิหม่ามหะซันก็ปลอบโยนฉันว่า .... “น้าท่านกลับไปเถอะ แล้วก็จะพบว่า นางยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ” ...
ท่านหะกีมะฮ์เล่าต่อไปว่า .... ฉันจึงหวนกลับไปอีกครั้งโดยไม่รั้งรอ, แล้วฉันก็เปิดม่านที่กั้นระหว่างฉันกับนางออก ฉับพลันก็ประจักษ์ว่านางอยู่ต่อหน้าฉัน โดยมีเรืองรองแห่งรัศมีครอบคลุมตัวนางไว้จนตาฉันพร่าพรายไปหมด ...
ทันใดนั้น ฉันก็มองเห็นทารกน้อย (อ) กำลังสุญูดอยู่ .... โดยคุกเข่าทั้งสองลงที่พื้น และชูนิ้วชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า พลางกล่าวปฏิญาณว่า.... “ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และคุณตาของฉันเป็นรอซู้ลของอัลลอฮ์, และบิดาของฉันเป็นประมุขแห่งปวงผู้ศรัทธาทั้งหลาย” ... ต่อจากนั้น ทารกนั้นก็นับจำนวนชื่อของอิหม่ามทีละคน.. ทีละคน จนถึงตัวเอง แล้วก็อ่านดุอาว่า “โอ้อัลลอฮ์, โปรดให้พันธะของข้าฯลุล่วง, โปรดให้ภารกิจของข้าฯเสร็จสมบูรณ์, โปรดให้บาทของข้าฯมั่นคง, โปรดให้โลกนี้เปี่ยมไปด้วยความเป็นธรรมและความยุติธรรมเพราะข้าฯ,” ....
แล้วท่านอิหม่ามหะซันก็ร้องเรียกมาว่า ... “ท่านน้าจ๋า, นำเขามาทางนี้ซิ” ฉันจึงนำทารกนั้นไปหาท่าน, เมื่อฉันไปยืนเผชิญหน้าท่านโดยที่เด็กนั้นยังอยู่ที่ฉัน เขาก็ให้สล่ามแก่บิดาของเขา แล้วท่านอิหม่ามหะซันก็รับเขาไปจากฉัน โดยที่มีนกตัวหนึ่ง กระพือปีกบินอยู่เบื้องบนศีรษะของเขา และท่านก็ป้อนลิ้นของท่านให้แก่เขาแล้วเขาก็ดูดดื่มจากลิ้นนั้น, ...
จากนั้น ท่านอิหม่ามก็กล่าวว่า .. “นำเขาไปให้แม่ของเขาเถอะ เพื่อให้เขาได้ดื่มนมแม่เขา แล้วนำเขากลับมาหาฉันอีกที” ... ฉันจึงนำเขาไปให้แม่เขาแล้วนางก็ให้นมเขา แล้วฉันก็นำเขากลับมามอบให้ท่านอิหม่าม โดยที่นกตัวนั้นยังคงกระพือปีกอยู่เหนือศีรษะของเขา ......ทันใดนั้น นกตัวหนึ่งจากฝูงนกเหล่านั้นก็ส่งเสียงร้องดังขึ้น ท่านอิหม่ามจึงกล่าวว่า ... “นำเขาไปเถอะ, จงดูแลเขาให้ดี และนำเขากลับมาให้เราในทุกๆ 40 วัน,.... นกตัวนั้นก็รับตัวเขาไปจากท่านแล้วพาบินขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยที่ฝูงนกตัวอื่นก็บินตามกันไป ...
แล้วฉันก็ได้ยินท่านอิหม่ามหะซันกล่าวขึ้นว่า ... “ฉันของฝากเจ้าไว้กับผู้ซึ่งแม่ของมูซา เคยฝากมูซาไว้กับพระองค์” ..... ถึงตอนนี้ นางนัรฺญิสก็ร้องให้ ท่านอิหม่ามก็ปลอบโยนว่า ... “นิ่งเถอะ, ไม่มีใครให้นมเขาได้หรอกนอกจากเธอเพียงผู้เดียวเท่านั้น แล้วอีกไม่นานเขาก็จะกลับมาหาเธอเหมือนที่มูซาถูกส่งคืนไปหาแม่ของเขา .. สิ่งนี้ คือสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงดำรัสเอาไว้แล้วว่า ... [แล้วเราก็ส่งเขากลับคืนแก่มารดาของเขา เพื่อนางจะได้สบายใจและไม่เศร้าโศก .. ซูเราะฮ์ อัล-เกาะศ็อศ โองการที่ 13] ...
ท่านหะกีมะฮ์เล่าต่อไปว่า ฉันจึงกล่าวถามว่า .... “แล้วนกนี้ เป็นอะไรกัน ?” ... ท่านอิหม่ามจึงชี้แจงว่า .. “นี่คือ วิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบต่อบรรดาอิหม่ามทั้งหลาย. จะคอยช่วยเหลือพวกเขา, จะคอยยับยั้งพวกเขา, และจะคอยปลูกฝังความรู้แก่พวกเขา” ...
ท่านหะกีมะฮ์เล่าว่า ... หลังจาก 40 วันผ่านไป เด็กคนนั้นก็ถูกส่งคืนมาให้ท่านอิหม่ามฯ ท่านก็เรียกฉันเข้าไป และเมื่อฉันเข้าไปหาท่าน.. ปรากฏว่า ที่อยู่ต่อหน้าฉันก็คือ เด็กคนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวและเดินไปมาเบื้องหน้าท่าน ฉันจึงกล่าวว่า .. “โอ, นายท่าน! นี่คือเด็กอายุ 2 ขวบนะเนี่ย”.....ท่านอิหม่ามหะซันก็ยิ้มแล้วเฉลยว่า ... “แท้จริง ลูกๆของบรรดานบีย์ๆและผู้สืบทอด (วะศี้ย์)ของพวกท่านนั้น หากพวกเขาเป็นอิหม่าม ก็จะถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างจากสามัญชนทั่วไป .. คือเด็กๆของพวกเราที่เป็นอิหม่ามนั้น เมื่ออายุได้ 1 เดือน ก็จะเหมือนกับบุคคลธรรมดาที่อายุได้ 1 ปี, และสามารถที่จะพูดได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา, จะอ่านอัล-กุรฺอ่านได้, จะทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ตั้งแต่อยู่ในวัยกินนม, บรรดามลาอิกะฮ์จะมาเฝ้าห้อมล้อมและนำความสันติสุขมาให้ท่านทุกเช้าค่ำ” ท่านหะกีมะฮ์เล่าต่อไปว่า ... ฉันยังคงเห็นเด็กคนนั้นเป็นประจำทุกๆ 40 วัน,.. จนกระทั่งก่อนท่านอิหม่ามหะซันจะเสียชีวิตไม่กี่วัน ฉันก็เห็นเขาเป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งซึ่งฉันจำเขาไม่ได้ ฉันจึงกล่าวถามท่านอิหม่ามฯว่า .. “ผู้ชายที่ท่านสั่งฉันให้นั่งลงข้างหน้าเขาน่ะ คือใคร?” ท่านจึงตอบว่า “นี่แหละคือลูกของนัรฺญิส, เขาคือตัวแทนของฉันหลังจากฉัน, .. อีกไม่นานแล้วที่ฉันจะจากพวกท่านไป ดังนั้น น้าท่านจงเชื่อฟังเขาและปฏิบัติตามเขา” ...
(จากหนังสือ “ญะลาอุ้ล อุยูน” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ หน้า 772, หนังสือ “มุนตะฮา อัล-อามาล” ของท่านอัล-กุมมีย์ หน้า 1206, และหนังสือ “เราเฎาะฮ์ อัล-วาอิซีน” ของท่านอัล-ฟัตตาล อัล-นัยซาบูรีย์ เล่มที่ 2 หน้า 259, ซึ่งทั้งหมดคือหนังสือของชีอะฮ์เอง) ....
มีรายงานเพิ่มเติมมาอีกว่า ........“ตอนที่ท่าน(มะฮ์ดีย์)คลอดออกมานั้น ฉันได้เห็นรังสีจากตัวเขาแผ่กระจายไปทั่วจนจรดขอบฟ้า, และได้เห็นฝูงนกสีขาวฝูงหนึ่งบินลงมาจากท้องฟ้า แล้วใช้ปีกของพวกมันลูบไล้ที่ศีรษะของเขา, ที่หน้าของเขา, และตลอดลำตัวของเขา แล้วก็บินจากไป ... ฉันจึงบอกเรื่องนี้แก่ท่านอิหม่ามหะซัน ท่านก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า ... “ นั่นคือ มลาอิกะฮ์บนฟากฟ้า, พวกเขาลงมาเพื่อประทานความจำเริญแก่เด็กคนนี้, .. และมลาอิกะฮ์เหล่านี้ คือผู้ช่วยเหลือเขาตอนที่เขาปรากฏตัวอีกครั้ง ...
(จากหนังสือ “เราเฎาะฮ์ อัล-วาอิซีน” หน้า 260) ...
------------------------------------------ ฯลฯ -----------------------------------------
นี่คือ เรื่องราวเพียง “บางส่วน” จากประวัติการกำเนิดอันพิลึกพิลั่นของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ตามความเชื่อของชาวชีอะฮ์ หากผู้อ่านท่านใดต้องการอ่านรายละเอียดเต็มๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็อาจจะหาอ่านได้จากหนังสือ “ญะลาอุ้ล อุยูน ภาคที่ 4” และหนังสือ “หักกุ้ล ยะกีน” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ซึ่งตีพิมพ์ที่ประเทศอิหร่านได้ ...
ณ จุดนี้, ที่เรา .. ชาวซุนนะฮ์อยากจะตั้งข้อสังเกตหรือคำถามต่อชาวชีอะฮ์ว่า หากเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง, ... มิใช่เรื่องเท็จและมิใช่นิยายหรือนิทานที่ถูกแต่งขึ้นมาแล้ว พวกท่านจะชี้แจงสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้อย่างไร ? ...
(1). มี “แม่” คนไหนบ้างในโลกนี้ที่ตั้งครรภ์และคลอดภายในคืนเดียว ? ...
ท่านเฮาวาฮ์? .. ท่านอามินะฮ์? .. ท่านคอดีญะฮ์, .. ท่านฟาฏิมะฮ์? .. ท่านมัรฺยัม?
(2). มี “แม่” คนไหนบ้างในโลกที่ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด ?... (แต่สามีที่เป็นผู้ชายกลับรู้ดีกว่าเจ้าตัว ?) ...
ท่านเฮาวาอ์? .. ท่านอามินะฮ์? .. ท่านคอดีญะฮ์, .. ท่านฟาฏิมะฮ์? .. ท่านมัรฺยัม?
เพราะ, ..ท่านนัรฺญิส ได้กล่าวยืนยันกับท่านหะกีมะฮ์ว่า ....
(يَا مَوْلاَتِىْ ! مَاأَرَى بِىْ شَيْأً مِنْ هَذَا)
“โอ, นายท่าน ! ฉันไม่เห็นว่าสิ่งนี้ (การตั้งครรภ์) จะมีแก่ตัวฉันเลย” ...
และเมื่อท่านหะกีมะฮ์นำคำกล่าวนี้ไปแจ้งแก่ท่านอิหม่ามหะซันผู้เป็นสามีของนัรฺญิส ท่านอิหม่ามฯ กลับรู้ดีกว่าตัวภรรยาและยืนยันอย่างแข็งขันต่อท่านหะกีมะฮ์ว่า ....
( اِذَاكَانَ وَقْتُ الْفَجْـرِ يَظْهَرُلَكِ الْحَبْلُ )
“เมื่อถึงเวลารุ่งอรุณ การตั้งครรภ์ก็จะปรากฏแก่ท่านเองแหละ” ...
(ข้อมูลทั้งสอง จากหนังสือ “อิกมาลุดดีน” ของท่านอิบนุ บาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ หน้า 404) ...
(3). ผู้เป็นแม่ของเด็ก คือใครกันแน่ ? นัรฺญิส หรือ ซูซัน ? ....
ข้อมูลจากการบันทึกของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ ในหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ข้างต้นที่ว่า... เมื่อท่านหะกีมะฮ์ถามว่า แม่ของเด็กคือใคร ? ท่านอิหม่ามหะซันก็ตอบว่า คือนัรฺญิส ! ...
แต่,... จากการบันทึกของท่าน อัฏ-ฏูสีย์ ในหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” หน้า 141 กลับปรากฏข้อความว่า ...
( فَقَالَتْ : جَعَلْتُ فِدَاكَ يَا سَيِّدِىْ، اَلْخَلْفُ ِممَّنْ هُـوَ ؟ ... قَالَ : سُوْسَنُ )..
นาง (ท่านหะกีมะฮ์) ได้กล่าวว่า .. “ขอให้ฉันได้เป็นพลีแก่ท่านเถิด โอ้ นายท่าน, ตัวแทนของท่านจะมาจากผู้ใด ?” ..... ท่านอิหม่ามหะซันก็ตอบว่า .. “(มาจาก) ซูซัน !”
รายงานไหนจริง? .. รายงานไหนไม่จริง?
(หมายเหตุ : จะอ้างว่า ... ไม่ว่านัรฺญิส, หรือซูซัน, หรือเศาะกีล, หรือร็อยหานะฮ์, หรือมุลัยกะฮ์ ก็คือ บุคคลคนๆเดียวกันดังที่ได้อ้างมาแล้วข้างต้น... ดูยังไงก็ไม่สมเหตุสมผล นอกจากเพราะการวาง “พล็อต” ในการแต่งเรื่องไม่สอดคล้องกันอย่างเดียวเท่านั้น, ... ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ที่จะอ้าง “ชื่อจริง” ได้มากมายหลายชื่อ, ต่างกรรมต่างวาระอย่างนี้ คนดีๆไม่มีใครทำกันนอกจาก “ทุจริตชน” เท่านั้นที่จะกระทำเพื่อผลประโยชน์แอบแฝงบางอย่างของตนเอง .... ซึ่งก็คงจะไม่ใช่บุคคลระดับเจ้าหญิงแน่ๆ ..
(4). การตั้งครรภ์ดังกล่าว,....จากคำบอกเล่าของนัรฺญิสเองตอนต้นที่ว่านางไม่เห็นว่าตัวเองจะตั้งครรภ์เลย, .. ซึ่งก็ตรงกับคำให้การและการตรวจสอบของท่านหะกีมะฮ์ที่พลิกดูทั้งด้านหลังและหน้าท้องของนัรฺญิสแล้วไม่เจอร่อยรอยการตั้งครรภ์ใดๆจากนัรฺญิสเช่นเดียวกัน... (จากหนังสือ “อิกมาลุดดีน” ของท่านอิบนุ บาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ หน้า 404) .... และก็ตรงกับคำกล่าวของท่านอิหม่ามหะซันที่ว่า เมื่อถึงยามอรุณรุ่ง การตั้งครรภ์ของนางก็จะปรากฏให้เห็นเอง ... แสดงว่า ตลอดทั้งราตรีนั้น ไม่มีหลักฐานการตั้งครรภ์ของนัรฺญิสเลยจนถึงรุ่งอรุณอันเป็นเวลาคลอด !...
ก็แล้วคำกล่าวของท่านอัฏ-ฏูสีย์ ที่อ้างการรายงานมาจากท่านหะกีมะฮ์เช่นเดียวกัน... ที่กล่าวหลังจากที่ท่านอิหม่ามหะซันบอกกับท่านว่า แม่ของเด็กคือ ซูซัน .....ว่า ...
( فَأَدَرْتُ نَظَرِىْ فِيْهِنَّ فَلَمْ اَرَ جَارِيَةً عَلَيْهَا اَثَرٌ غَيْرَسُوْسَنَ ) ......
“ฉันจึงใช้สายตาสำรวจดูในกลุ่มสาวใช้ทั้งหลาย(ของท่านอิหม่าม) ก็ไม่เห็นผู้ใดจะมีร่องรอย(แห่งการตั้งครรภ์) นอกจากซูซัน เพียงผู้เดียว” ...
( จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัฏ-ฏูสีย์ หน้า 141) ...
จากรายงานนี้แสดงว่า....แค่ท่านหะกีมะฮ์มองดูด้วยตาเปล่าตั้งแต่ตอนกลางวัน(โดยไม่ต้องตรวจสอบอะไรเลย) ก็มองเห็นแล้วว่า ซูซันกำลังตั้งครรภ์ ...
รายงานไหนจริง? .. รายงานไหนไม่จริง ? ...
(5). ตอนใกล้อรุณรุ่ง, รายงานแรกบอกว่า ท่านหะกีมะฮ์เข้าไปปลอบโยนท่านนัรฺญิสให้ทำใจให้เข้มแข็ง จากนั้น รายงานดังกล่าวอ้างคำพูดของท่านหะกีมะฮ์ว่า ...
( ثُمَّ اَخَـذَتْنِيْ فَتْرَةٌ وَاَخَـذَ تْـهَافَتْرَةٌ فَانْتَبَهْتُ بِحِـسِّ سَيِّدِىْ...)
“หลังจากนั้น ความเงียบก็เข้ามาครอบงำฉัน และความเงียบก็ครอบงำนางด้วย(ชั่วขณะหนึ่ง), แล้วต่อมา ฉันรู้สึกว่านายหญิงของฉันมีอาการ .............”
คำว่า “ฟัตเราะฮ์” ในภาษาอรับ หมายถึง “ความเงียบหรือความว่างเปล่า”, ซึ่งหมายความว่าทั้งท่านหะกีมะฮ์และท่านนัรฺญิส มิได้พูดอะไรกันอีกเลยในช่วงนั้น ...จนท่านหะกีมะฮ์รู้สึกว่า ท่านนัรฺญิสมีอาการแปลกไป (เพราะเด็กถูกคลอดออกมาแล้ว) จึงรีบเข้าไปเปิดผ้าดู และมองเห็นเด็กทารกกำลังสุญูดดังข้อความที่ผ่านมาแล้ว ...
แต่ในรายงานตอนหลัง บอกว่า หลังจากปลอบโยนท่านนัรฺญิสแล้ว ท่านหะกีมะฮ์ก็อ่านซูเราะฮ์อินนา อันซัลนาฮุ ฟีย์ ลัยละติ้ลก็อดริ .. ให้แก่นัรฺญิส, แล้วก็ได้ยินทารกในครรภ์ของนัรฺญิสอ่านประสานเสียงท่านและให้สล่ามแก่ท่านด้วย จนทำให้ท่านตกใจสุดขีดในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ...
รายงานไหนจริง?,.. รายงานไหนไม่จริง ? ....
(6). ตอนที่ท่านนัรฺญิสใกล้จะคลอดเพียงเล็กน้อย, รายงานแรกได้รายงานมาเพียงว่า ความเงียบได้เข้ามาปกคลุมระหว่างท่านหะกีมะฮ์และท่านนัรฺญิสอยู่ขณะหนึ่ง แล้วท่านนัรฺญิสก็มีอาการ, ท่านหะกีมะฮ์จึงเข้าไปเปิดผ้าถุงดู ก็พบว่า ท่านนัรฺญิสคลอดทารกออกมาแล้ว ซึ่งแสดงว่า ท่านนัรฺญิส อยู่ในสายตาและการรู้เห็นของท่านหะกีมะฮ์ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนคลอด...
แต่ในรายงานตอนหลัง ... กลับปรากฏข้อความว่า ท่านนัรฺญิสได้อันตรธาน, คือ หายตัวไปชั่วขณะหนึ่ง จนท่านหะกีมะฮ์ตกใจถึงกับวิ่งพรวดพราดไปหาท่านอิหม่ามหะซัน ... และเมื่อเปิดม่านเข้าไปดู ก็เห็นแสงพร่างพรายก่อนแล้วก็เห็นทารกถูกคลอดออกมาแล้ว โดยไม่ต้องไปเปิดผ้าดูแต่ประการใด ....
รายงานไหนจริง? .. รายงานไหนไม่จริง ? ...
(7). หลังจากคลอดออกมาแล้ว ในรายงานของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ บอกว่า ท่านหะกีมะฮ์ก็เข้าไปอุ้มทารกออกมา แล้วท่านอิหม่ามหะซันก็สั่งให้นำไปให้ท่าน และเมื่อท่านสั่งให้พูด ทารกนั้นก็พูดโดยการกล่าวกะลิมะฮ์ ชะฮาดะฮ์ และกล่าวประโยคอื่นๆต่อไป ดังรายงานข้างต้นที่ผ่านมาแล้ว ....
แต่ในรายงานตอนหลังบอกว่า เมื่อท่านหะกีมะฮ์เปิดม่านเข้าไป ก็มองเห็นทารกกำลังสุญูดอยู่และชูนิ้วชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮ์และคำอื่นๆเลย (โดยที่ยังมิได้ถูกอุ้มขึ้นมาและโดยท่านอิหม่ามฯผู้เป็นบิดายังมิได้สั่ง) ...... และเมื่อท่านหะกีมะฮ์นำทารกนั้นไปให้ท่านอิหม่ามฯ ทารกก็เพียงแต่ให้สล่ามแก่ผู้เป็นบิดาเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีรายงานการกล่าวชะฮาดะฮ์ และคำพูดอื่นใดอีก ...
รายงานไหนจริง? .. รายงานไหนไม่จริง ? ..
8). หลังจากทารกถูกคลอดออกมาแล้ว รายงานแรกบอกว่า ท่านอิหม่ามหะซันสั่งท่านหะกีมะฮ์ว่า อีก 7 วันให้มาหาท่านอีกที,... ซึ่งพอรุ่งขึ้น ท่านหะกีมะฮ์ได้ไปบ้านท่านอิหม่ามฯตามปกติ แต่ไม่เจอทารกคนนั้น พอท่านหะกีมะฮ์ถามถึงเด็ก ท่านอิหม่ามฯก็บอกว่า ท่านได้ฝากเด็กนั้นกับพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ไว้แล้ว, ...
พอวันที่ 7 ท่านหะกีมะฮ์ก็ไปอีกและเจอทารกนั้นกำลังคลานอยู่ จึงอุ้มมาส่งให้ท่านอิหม่ามฯตามคำสั่งของท่าน แล้วเด็กคนนั้นก็กล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮ์ และประโยคอื่นๆตามคำสั่งของท่านอิหม่ามฯ ผู้เป็นบิดา ...
แต่ในรายงานหลังบอกว่า หลังจากทารกถูกคลอดออกมาแล้วไม่นานก็มีนกฝูงหนึ่ง (วิญญาณบริสุทธิ์จำแลงตัว) มารับเอาทารกขึ้นไปบนท้องฟ้า(ต่อหน้าท่านหะกีมะฮ์ที่เห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย เพราะท่านคือผู้รายงานเหตุการณ์ณ์เหล่านี้ ),.. แล้วอีก 40 วันต่อมา ทารกนั้นก็ถูกส่งกลับคืนมายังบิดามารดาตามเดิม ...
สงสัยว่า ..ในวันรุ่งขึ้น ท่านหะกีมะฮ์ไปถามหาเด็กทารกนั้นอีกทำไม .... ในเมื่อท่านได้ประจักษ์ด้วยสายตาตนเองแล้วว่า เด็กคนนั้นถูกฝูงนกนำบินขึ้นฟ้าไปแล้วตั้งแต่วันคลอดวันแรก ?...
สงสัยว่า .. ในเมื่อเด็กคนนั้นถูกนำมาส่งในอีก 40 วันต่อมา, ... ก็แล้วเด็กคนที่ท่านหะกีมะฮ์มาอุ้มไปส่งให้ท่านอิหม่ามหะซันในวันที่ 7 ตามคำสั่งของอิหม่าม, และกล่าวชะฮาดะฮ์และประโยคอื่นๆตามคำสั่งของท่านอิหม่ามฯดังรายงานแรก .... เป็นลูกคนไหนของท่านอิหม่ามฯ อีก ? ...
รายงานไหนจริง ? .. รายงานไหนไม่จริง ? .. หรือไม่จริงทั้งสองรายงาน ? ...
(9). เรื่องการเจริญวัยของทารกคนนั้น หรืออีกนัยหนึ่ง อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์, ... รายงานตอนหลังบอกว่า เมื่อนกนำไปครบ 40 วันและถูกส่งตัวคืนมาหาบิดามารดาแล้ว ท่านหะกีมะฮ์ไปเจอเด็กนั้นกำลังเดินไปมาต่อหน้าท่านอิหม่ามฯ ผู้เป็นบิดา ก็ถึงกับอุทานว่านี่คือเด็ก 2 ขวบแล้ว, .. ซึ่งท่านอิหม่ามฯ ก็ชี้แจงให้ทราบว่า ผู้เป็นอิหม่ามทุกคน จะเติบโตเร็วกว่าเด็กธรรมดาทั่วๆไป คือ 1 เดือน เทียบเท่ากับ 1 ปีของสามัญชน .... (ซึ่งแสดงว่าเจริญวัย และเติบโตเร็วมาก) ...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, ... คำกล่าวของท่านหะกีมะฮ์ตอนท้ายที่ว่า ...
فَلَمْ اَزَلْ أَرَى ذَلِكَ الصَّبِيَّ فِيْ كُلِّ اَرْبَعِيْنَ يَوْمًاِ اِلَى اَنْ رَأََيْتُهُ رَجُلاً قَبْلَ مُضِيِّ اَبِيْ مُحَمَّدٍ بِأَيَّامٍ قَلاَ ئِلَ فَلَمْ اَعْرِفْهُ، فَقُلْتُ لإِابْنِ اَخِيْ (ع ) " مَنْ هَـذَاالَّذِىْ تَأْمُرُنِيْ اَنْ اَجْلِسَ بَيْنَ يَدَيْهِ ؟" ... فَقَالَ لِيْ ًهَذَااِبْنُ نَرْجِـسَ ................")
“ฉันยังคงเห็นเด็กคนนั้นในทุกๆ 40 วันเป็นประจำ จนกระทั่งก่อนหน้าท่านอิหม่ามหะซันจะเสียชีวิตไม่กี่วัน ฉันก็เห็นเขาเป็นชายฉกรรจ์ ซึ่งฉันไม่รู้จัก( คือจำเขาไม่ได้), ฉันจึงถามท่านอิหม่ามฯว่า ... ผู้ชายที่ท่านใช้ให้ฉันนั่งลงข้างหน้าเขา คือใคร? ท่านอิหม่ามหะซันก็ตอบว่า... นี่แหละ คือลูกของนัรฺญิส ...
ปัญหาก็คือ ตอนที่ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์, อิหม่ามท่านที่ 11 ของชีอะฮ์ (และถูกอ้างว่า เป็นบิดาของท่านอิหม่ามะดี) สิ้นชีวิตนั้น ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์อายุประมาณเท่าใด ? ...
ท่านอัล-มัจญลิสีย์ นักวิชาการหะดีษชีอะฮ์ท่านหนึ่ง ได้กล่าวว่า ...
(اَكْثَرُالْرِوَايَاتِ عَلَي اَنَّهُ اِبْنٌ اَقَلٌّ مِنْ خَمْسِ سِنِيْنَ بِأَشْهُرٍ، اَوْبِسَنَةٍ وَاَشْهُرٍ )
“ที่มากที่สุดจากรายงานต่างๆก็คือ (ตอนที่ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์สิ้นชีวิตนั้น) ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ยังเป็นทารกที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบอยู่หลายเดือน, หรือน้อยกว่า 5 ขวบอยู่หนึ่งปีกับอีกหลายเดือน” ...
(จากหนังสือ “บิหารุล อันวารฺ” ของท่านมัจญลิสีย์ เล่มที่ 25 หน้า 123)
นั่นก็คือ ตอนท่านอิหม่ามหะซันสิ้นชีวิต ท่านมะฮ์ดีย์จะมีอายุประมาณ 4 ปี 6 เดือน 23 วัน,... หรือ 3 ปี 6 เดือน 23 วัน (ตามความขัดแย้งของชีอะฮ์เองในปีเกิดของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ว่า เป็นปี ฮ.ศ. 255 หรือ 256) ...
ทั้งนี้ ก็เพราะท่านมะฮ์ดีย์ ถือกำเนิด (ตามข้ออ้างของชีอะฮ์) เมื่อวันที่ 15 เดือนชะอฺบาน ปีฮ.ศ. 255 หรือ 256, ขณะที่ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ สิ้นชีวิตในวันที่ 8 เดือนรอบีย์อุ้ลเอาวัล ปี ฮ.ศ. 260 ...
ดังนั้น ถ้าจะว่ากันในเรื่องการเจริญวัยตามหลักฐานข้างต้นทั้งหมด ก็แสดงว่า ตอนอายุได้ 3 ขวบ ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็คงจะโตเป็นหนุ่มน้อยหรือเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ...
เพราะแค่ 3 ปี 6 เดือน (หรือ 4 ปี 6 เดือน) ก็โตเป็นหนุ่มฉกรรจ์จนท่านหะกีมะฮ์ที่เห็นทุกๆ 40 วันยังจำไม่ได้ ...
ตอนนี้,.. ให้เราลองมาอ่านดูข้อเขียนของนักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่ง ในหนังสือชื่อ “อิมามมะฮ์ดี, ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 31 ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้ ...
1. อะฮ์มัด บิน อิสหาก ซึ่งเป็นสาวกอาวุโสคนสำคัญของท่านอิมามอัสการี ได้รายงานว่า “วันหนึ่ง ฉันได้รับเกียรติไปเยี่ยมอิมามอัสการี และฉันประสงค์ที่จะถามท่านถึงเรื่องผู้นำหลังจากท่านแต่ท่านอิมามอัสการีพูดขึ้นโดยที่ฉันไม่ทันที่จะตั้งคำถาม“โอ้ อะฮ์มัด, ตั้งแต่อัลลอฮ์ (ซ.บ.)ได้สร้างอาดัมขึ้นมา และตั้งแต่นั้นมา แผ่นดินก็ไม่เคยว่างจากฮุจญัตของพระองค์ ดังนั้น ตราบจนถึงวันกิยามะฮ์ พระองค์ก็จะไม่ปล่อยให้แผ่นดินของพระองค์ว่างจากฮุจญัตของพระองค์ และจากสาเหตุของการมีฮุจญัตนี้ จึงทำให้การลงโทษ (บาลาอ์ต่างๆ) ได้ถูกยกไปจากชาวโลก ทำให้ฝนได้ตกลงมา และทำให้บารอกะฮ์ (ความเป็นศิริมงคล) ต่างๆงอกเงยจากแผ่นดิน” ฉันได้ถามขึ้นว่า “โอ้ ลูกแห่งรอซูล, อิมามและตัวแทนหลังจากท่านคือใคร ? ท่านอัสการีได้วิ่งเข้าห้องอย่างรีบเร่ง และท่านได้ออกมาพร้อมกับทารกน้อย วัยสามขวบ ที่มีรัศมีเหมือนพระจันทร์เต็มดวง อยู่ในอ้อมแขนของท่าน
ทารกวัยสามขวบกว่าๆ (หรือสี่ขวบกว่าๆ)ที่ท่านหะกีมะฮ์, น้าสาวของท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์รายงานว่า โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วจนท่านจำไม่ได้... .กับทารกวัยสามขวบที่อยู่ในอ้อมแขนของท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ตามรายงานของท่านอะฮ์มัด บิน อิสหากสาวกคนสำคัญของท่านอิหม่ามหะซันเอง,.. ดังข้อความที่มี ระบุไว้ในหนังสือดังกล่าว นั้น ..
ฝ่ายชีอะฮ์พอจะชี้แจงได้ไหมว่า เป็นคนเดียวกันหรือไม่ ?? ...
ถ้าเป็นคนเดียวกัน ทำไมขนาดแห่งสรีระจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างนี้ ?..
หรือร่างกายของทารกนั้น ยืดได้, หดได้ ? ...
แต่ถ้าเป็นคนละคนกัน ก็อยากจะถามว่า แล้วอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์ มีกี่คน ?
รายงานไหนจริง? .. รายงานไหนไม่จริง? .. หรือว่าไม่จริงทั้งสองรายงาน ? ...
หมายเหตุ
อันเนื่องมาจากความเชื่อของชีอะฮ์ที่ว่า การกำเนิดของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ถือเป็นความลับสุดยอด ดังนั้น ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ จึงได้สั่งกำชับท่านหะกีมะฮ์มิให้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดได้รับทราบเด็ดขาดนอกจากเมื่อถึงวาระ, และแก่ญาติใกล้ชิดจริงๆ และสาวกผู้ภักดีของท่านอิหม่ามฯ ไม่กี่คนเท่านั้น ....
มีรายงานมาจากท่าน อัฏ-ฏูสีย์ ดังต่อไปนี้ ....
ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ได้กล่าวแก่ท่านหะกีมะฮ์ว่า ...
( فَاِذَاغَيَّبَ اللَّـهُ شَخْصِيْ وَتَوَفَّانِيْ وَرَأَيْتِ شِيْعَتِيْ قَدِ اخْتَلَفُوْا فَأَخْبِرِىْ الثِّقَاتِ مِنْهُمْ، فَاِنَّ وَلِيَّ اللَّـِه يُغَيِّبُهُ اللَّـهُ عَنْ خَلْقِهِ، وَيَحْجِبُهُ عَنْ عِبَادِهِ فَلاَ يَرَاهُ اَحَـدٌ،. حَتَّى يُقَدِّمَ لَهُ جِبْرَائِيْلُ عَلَيْهِ السَّلاَمُ فَرَسَهُ لِيَقْضِيَ اللَّـهُ أَمْرًا كَانَ مَفْعُوْلاً ) .......
“เมื่อพระองค์อัลลอฮ์ ทรงให้ฉันล่วงลับและตายจากไป .. และท่านน้ามองเห็นความขัดแย้งของกลุ่มชีอะฮ์ของฉันเกิดขึ้น ก็จงบอก (เรื่องการกำเนิดอิหม่ามมะฮ์ดีย์) ต่อบรรดาผู้ซึ่งไว้วางใจได้จากพวกเขา, เพราะผู้ที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์นั้น พระองค์จะทรงทำให้เขาลับหายและกำบังเขาจากปวงบ่าวของพระองค์, ดังนั้น จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก จนกว่าท่านญิบรีลจะนำม้าศึกมาให้เขา เพื่อพระองค์อัลลอฮ์จะได้ตัดสินในสิ่งที่ถูกกระทำลงไป” ...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัฏ-ฏูสีย์ หน้า 142)
สรุปแล้ว เรื่องราวการกำเนิดอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์ดังที่เล่ามานั้น นักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า เป็นเรื่องที่ถูก “กุและอุปโลกน์ขึ้นมา” โดยน้ำมือของชาวชีอะฮ์ทั้งสิ้น ....
หากจะมีคำถามว่า ทำไมชีอะฮ์จึงต้องกุเรื่องการกำเนิดอิหม่ามมะฮ์ดีย์ขึ้นมา ? ..
คำตอบก็คือ การกุเรื่องนี้ขึ้นมา ถือเป็นความจำเป็นชนิดคอขาดบาดตายและหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียวสำหรับชาวชีอะฮ์ทั้งหลาย, ทั้งนี้ก็เพราะ ...
1. ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์อิหม่ามท่านที่ 11 ... ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์และตำราของชีอะฮ์ที่เชื่อถือได้หลายเล่ม ระบุว่า ท่านตายไปโดยไม่มีทายาท ขณะที่ ...
2. ชาวชีอะฮ์เชื่อว่า หากอิหม่ามตายไปโดยไม่มีทายาท (ซึ่งจะต้องเป็นบุตรคนโตโดยเฉพาะ, มารับช่วงการเป็นอิหม่ามต่อ) แล้ว ก็หมายถึงว่าแผ่นดินนี้ขาดผู้สืบทอดหรืออิหม่าม, ซึ่งหากเป็นดังนั้น ชาวโลกทั้งหมดจะถูกธรณีสูบทันที ...
เพราะฉะนั้น โลกนี้จะขาดอิหม่ามไม่ได้ .. ว่างั้นเถอะ ...
ท่านกุลัยนีย์ ได้บันทึกในหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” จาก อบีย์หัมซะฮ์ ว่า ...
(قُلْتُ ِلاَبِيْ عَبْدِاللَّـهِ (ع) : اَتَبْقَي اْلاَرْضُ بِغَيْرِاِمَامٍ ؟ ... قَالَ : لَوْبَقِيَتِ اْلاَرْضُ بِغَيْرِاِمَامٍ لَسَاخَتْ ) ..........
“ฉันได้ถามท่านอบีย์อับดิลลาฮ์ (หมายถึงท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก อิหม่ามท่านที่ 6 ของชีอะฮ์) ว่า โลกนี้จะอยู่โดยปราศจากอิหม่ามได้ไหม ?.. ท่านก็ตอบว่า : สมมุติหากโลกนี้ไม่มีอิหม่ามแล้ว แน่นอน มนุษย์ก็จะถูกธรณีสูบทันที” ....
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 179, กิตาบอัล-หุจญะฮ์ บาบว่าด้วยเรื่อง โลกนี้จะปราศจากหุจญะฮ์ไม่ได้) ...
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านอิหม่ามท่านที่ 11 ตายไปโดยไม่มีทายาทสืบทอด...., (และธรณีก็ยังไม่ได้สูบใครแม้แต่คนเดียวหลังจากอิหม่ามหะซันตายและโลกอยู่ในช่วงขาดอิหม่าม)......ซึ่งแน่ละ,หากไม่มีการทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์แล้ว...... ก็เท่ากับเป็นการ “ยอมรับ” ว่า ความเชื่อของชีอะฮ์ทั้งหมดตั้งแต่เรื่องการกำหนด “ผู้สืบทอด” หรือตัวแทนของท่านรอซู้ลฯ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ตั้งแต่คนแรกยันคนสุดท้ายหรือเรื่องอื่นๆ ... ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ,.....และยังเท่ากับเป็นการ “ทำลาย” หลักการและความเชื่อทั้งหลายแหล่ของชีอะฮ์ข้างต้น ... ให้ภินท์พังราบเป็นหน้ากลองลงอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ...
ดังนั้น การ “กำหนด” และ “อุปโลกน์” เรื่องอิหม่ามมะฮ์ดีย์ซึ่ง “ยังไม่มีตัวตน” ให้จำเป็นต้อง “มีตัวตนขึ้นมา” เพื่อแก้ไขความคับขันดังกล่าว ..... ด้วยเรื่องราวความรักอันพิลึกพิลั่นของอิหม่ามหะซันกับนัรฺญิส, และการกำเนิดอิหม่ามมะฮ์ดีย์ด้วยอภินิหาริย์ต่างๆดังเรื่องเล่าข้างต้น จึง “จำเป็น” ต้องเกิดขึ้นมาด้วยประการฉะนี้ ...
เอาหลักฐานมาจากไหนว่า ท่านอิหม่ามหะซัน ตายไปโดยไม่มีบุตร ? ...
ขอตอบว่า หลักฐานที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็คือ บันทึกของท่านกุลัยนีย์---บุคอรีย์ของชีอะฮ์ --- เอง ในหนังสือ “อัล-กาฟีย์”.... โดยอ้างการรายงานไปถึง “ท่านอะห์มัด บิน อุบัยดิลลาฮ์ บิน คอกอน” ... ซึ่งท่านอุบัยดิลลาฮ์ผู้นี้ ถือว่าเป็นสหายสนิทที่สุดคนหนึ่งของอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ...
ท่านอะห์มัด บิน อุบัยดิลลาฮ์ ได้เล่ามาดังนี้ ...
لَمااعتل بعث الى ابي ان ابن الرضاقداعتل فركب من ساعته فيبادرالى دارالخلافة، ثم رجع مستعجلا
ومعه خمسة من خدم اميرالمؤمنين كلهم من ثقاته وخاصته، فيهم نحرير فأمرهم بلزوم دارالحسن وتعرف خبره وحاله، وبعث الى نفرمن المتطببين، فأمرهم بالاختلاف اليه وتعاهده صباحاومساء، فلماكان بعدذلك بيومين اوثلاثة أخبرانه قد ضعف، فأمرالمتطببين بلزوم داره وبعث الى قاضى القضاة فأحضره مجلسه، وامران يحتارمن اصجابه عشرة ممن يوثق به في دينه وأمانته وورعه، فأحضرهم فبعث بـهم الى دارالحسن وامرهم بلزومه ليلا ونـهارا، فلم يزالواهناك حتى توفي عليه السلام، فصارت سر من رأى ضجة واحدة، وبعث السلطان الى داره من فتشها وفتش حجرها،
وختم على جميع مافيها وطلبوا اثرولده وجاؤوابنساء يعرفن الحمل، فدخلن الى جواريه ينظرن اليهن ، فذكربـهضهن ان هناك جارية بـهاحمل، فجعلت في حجرة ووكل بـهانحرير الخادمواصحابه ونسوة معهم، ثم اخذوابعدذلك في تهيئته وعطلت الاسواق وركبت بنوهاشم والقواد وابي وسائرالناس الى جنازته، فكانت سر من رأى يومئذ شبيهابالقيامة، فلمافرغوا من تهيئته بعث ا لسلطان الى ابي عيسى بن المتوكل فأمره بالصلاة عليه، فلماوضعت الجنازة للصلاة عليه دناابوعيسى منه، فكشف عن وجهه فعرضه على بني هاشم من العلوية والعباسـية والقواد والكتاب والقضاة والمعدلين، وقال : هذا الحسن بن علي بن محمد بن الرضا، مات حتف انفه على فراشـه جضره من حضره من خدم أميرالمؤمنين وثقاته فلان وفلان، ومن القضاة فلان وفلان، ومن المتطببين فلان وفلان، ثم غطى وجـهه وأمربحمله فحمل من وسط داره ودفن بالبيت الذى دفن فيه ابوه، فلمادفن أجذالسلطان والناس في طلب ولده، وكثرالتفتيش في المنازل والدور وتوقفواعن قسمة ميراثه ولم يزل الذين وكلوابحفظ الجارية التي توهم عليهاالحمل لازمين حتى تبين بطلان الحمل، فلمابطل الحمل عنهن قسم ميراثه بين امه وأخيه جعفر وادعت امه وصيته وثبت ذلك عندالقاضي ..............................
“เมื่อท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ล้มป่วยลง สุลฏอน (อัล-มุอฺตะมิด บิลลาฮ์, สุลฏอนท่านที่ 15 แห่งวงศ์อับบาซียะฮ์) ก็ได้แจ้งข่าวแก่บิดาของฉัน (คือ ท่านอุบัยดิลลาฮ์) ให้รับทราบว่า บุตรของท่านอัรฺ-ริฎอได้ล้มป่วยลงแล้ว ท่านบิดาจึงรีบไปในทันทีนั้น โดยไปที่วังของสุลฏอนก่อน แล้วท่านก็รีบกลับออกมาพร้อมด้วยคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และคนใกล้ชิดของท่านอิหม่ามฯ อีก 5 คน ซึ่งในกลุ่มนั้นมีอำมาตย์คนสนิทของสุลฎอนรวมอยู่ด้วย, แล้วท่านบิดาก็สั่งให้พวกเขาเหล่านั้นให้เฝ้าประจำอยู่ที่บ้านของท่านของอิหม่ามหะซัน และคอยแจ้งข่าวและอาการของท่านอิหม่ามฯ ให้ทราบ ..... แล้วท่านก็สั่งให้แพทย์คณะหนึ่งมาคอยผลัดเปลี่ยนดูแลและเอาใจใส่ท่านอิหม่ามฯ ทั้งเช้าเย็น, ...
หลังจากนั้นต่อมาอีก 2-3 วัน ก็มีข่าวแจ้งมายังท่านบิดาว่า อาการป่วยของท่านอิหม่ามฯ ทรุดหนักลง ท่านจึงสั่งคณะแพทย์ให้คอยเฝ้าประจำอยู่ที่บ้านท่านอิหม่ามฯ แล้วท่านก็ให้ไปตามหัวหน้าผู้พิพากษามาหาที่บ้าน และบอกให้เขาคัดเลือกสหายของเขาที่ไว้วางใจได้, มีความซื่อตรง และเคร่งครัดในเรื่องศาสนา มา 10 คน, แล้วสั่งให้บุคคลเหล่านั้นเฝ้าประจำอยู่ที่บ้านของท่านอิหม่ามฯทั้งกลางคืนกลางวัน ซึ่งพวกเขาก็ปฏิบัติตาม จนกระทั่งท่านอิหม่ามหะซัน สิ้นชีพลง,...
เมืองซาร์มัรฺรอขณะนั้น เกิดความโกลาหลขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน, สุลฏอนฯ จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปที่บ้านของท่านอิหม่ามฯ แล้วทำการตรวจสอบห้องหับต่างๆของท่าน และประทับตราทุกสิ่งที่อยู่ในบ้าน, และให้ค้นหาร่วม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น