อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนที่ 8)



โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย 

ข้อที่ 4
ภารกิจ และเหตุการณ์หลังการปรากฏกายอิหม่ามมะฮ์ดีย์
การปรากฏกาย, และภารกิจหลังการปรากฏกาย (อย่างที่ชีอะฮ์เรียกว่า “การกิยาม” หรือการลุกขึ้นมาปฏิวัติโลก) ของอิหม่ามมะฮ์ดีย์,... ตามความเชื่อของชีอะฮ์นั้น... ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง, เพราะส่วนใหญ่, จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการปรากฏกายของท่านมะฮ์ดีย์ตามความเชื่อของชาวซุนนะฮ์ ดังที่ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบจากข้อมูลของชีอะฮ์เองต่อไป ...
ลำดับแรกนี้... ผมขออนุญาตนำเอาข้อเขียนของนักวิชาการชีอะฮ์ที่เป็นภาษาไทยจากหนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” ... หน้า 87-89 มาเสนอให้อ่านกันดังนี้
การกิยาม (ลุกขึ้นมาปฏิวัติ) ของอิมามมะฮ์ดี (อ)
สรุปรายงานบรรดาอิมามมะอฺศูม ที่เกี่ยวกับการกิยามของมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญาไว้มีดังนี้คือ ....
เขาผู้ถูกสัญญาไว้จะปรากฏตัวที่กะอฺบะฮ์ หลังจากการเร้นหายอันยาวนาน เขาจะปรากฏตัวพร้อมกับธง, ดาบ, อะมามะฮ์ (ผ้าพันศีรษะ) และเสื้อของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล), บรรดามะลาอิกะฮ์จะช่วยเหลือเขา, เขาจะกิยามด้วยความเคียดแค้นต่อศัตรู, จะทำการเข่นฆ่าศัตรูของศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า, ผู้ที่กดขี่และอยุติธรรมจะถูกแก้แค้น
สหายที่ใกล้ชิดของเขาจะมีสามร้อยสิบสามคน ซึ่งจะทำการบัยอัตให้กับเขาที่มักกะฮ์, อิมามอยู่ที่มักกะฮ์ระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ก็จะมุ่งหน้าสู่มะดีนะฮ์ ผู้ช่วยเหลือเขาจะเป็นนักรบที่แท้จริง, ชำนาญในอาวุธ, เป็นคนที่ศอและห์ มีศรัทธาที่มั่นคง เข้มแข็งต่ออิบาดะฮ์ในยามค่ำคืนและเป็นสิงห์ร้ายในยามกลางวัน เคร่งครัดต่อคำสั่งของอิสลาม, มุ่งหน้าไปทางทิศไหนจะนำชัยชนะไปสู่ที่นั้น ...
หลังจากชัยชนะในมะดีนะฮ์ อิมามจะนำทัพเข้าสู่อิรักและกูฟะฮ์, ท่านจะพบกับซัยยิดฮาซานี ที่กูฟะฮ์, ซัยยิดฮาซานี จะนำทหารของเขาเข้าบัยอัตกับอิมาม (อ), นบีอีซาจะลงมาจากฟากฟ้าเพื่อช่วยเหลืออิมาม และอีซา (อ) จะนมาซตามอิมามมะฮ์ดี, รัฐบาลกลางของอิมามจะอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์ อิมามจะพิชิตทั้งตะวันตกและตะวันออกของโลก อิสลามจะปกครองไปทั้งโลก ศาสนาจะกลับมาใหม่ อิสลามที่แท้จริงจะกำจัดความจอมปลอมในศาสนา การปกครองและกฎหมายจะเป็นไปตามคัมภีร์ของพระเจ้า และแบบฉบับของศาสดา อิมามจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย, กินอาหาร และสวมใส่เสื้อผ้าแบบอิมามอะลี (อ)
ในยุคการปกครองของอิมาม (อ) แผ่นดินจะมีบารอกะฮ์เป็นอันมาก ผลิตผลทางเกษตรจะมีอย่างล้นเหลือ ความยากจนจะหมดไป มนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างมีความผาสุกและมีศิริมงคล จนถึงขั้นที่ผู้ที่จะจ่ายซะกาตหรือบริจาคทาน (เศาะดะเกาะฮ์) ไม่สามารถหาคนยากจนที่จะมารับของได้, เขานำไปให้ใครก็รับการปฏิเสธที่จะรับของนั้น ความรักที่จะอยู่ใกล้ชิดกับอิมามทำให้ผู้ศรัทธาจำนวนมาก ปักหลักและอาศัยในเมืองกูฟะฮ์ เพื่อที่จะนมาซรวม (ญะมาอะฮ์) กับอิมาม ถึงขั้นที่ได้สร้างมัสญิดขึ้นมาหลังหนึ่ง ซึ่งมีประตูทางเข้าถึงหนึ่งพันประตู
ในยุคของการปกครองของอิมาม (อ) โลกจะอยู่ใต้ร่มเงาของความยุติธรรมและความปลอดภัย ถึงขั้นที่ถ้าหญิงชราคนหนึ่งได้ทูนหม้อทองคำซึ่งมีเพชรนิลจินดาอยู่ในนั้น, และเดินทางมาคนเดียวจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง จะไม่มีใครรบกวนนางหรือมีความโลภในทรัพย์สินของนางเลย
แผ่นดินจะคายทรัพยากรและของมีค่าต่างๆ ออกมาให้อิมาม และอิมามจะทำการสร้างและทดแทนความสูญเสียต่างๆ ให้กับผู้ที่ถูกกดขี่บนหน้าแผ่นดิน ในขณะที่อิมาม (อ) ทำการปฏิวัติ อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทำให้การเห็นและการได้ยินของผู้ศรัทธาไร้ขอบเขต, พวกเขาสามารถพูดคุย หรือปรึกษาปัญหากับอิมามได้โดยตรง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในจุดไหนของโลก เขาสามารถได้ยินเสียงและเห็นอิมาม ในยุคนั้น อัลลอฮ์จะประทานให้สติปัญญาและความรู้ของมนุษย์ถึงจุดสมบูรณ์
อิมามจะปกครองประชาชนเหมือนกับศาสดามุฮัมมัดและศาสดาดาวูด ปกครองประชาชน, สิ่งใดที่ศาสดามุฮัมมัดได้ปฏิบัติ อิมามก็จะปฏิบัติสิ่งนั้น, อิมามจะทำลายแบบฉบับแห่งญาฮิลียะฮ์ (ยุคมืดของอาหรับ) ยุคใหม่เหมือนกับที่ศาสดามุฮัมมัดได้ทำลายมาแล้ว และแสงแห่งสัจธรรมของอิสลามก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ...
นี่คือ ข้อความจากหนังสือที่กล่าวนามมาแล้วข้างต้น ...
เนื้อหาของข้อความดังกล่าว ยังขาดรายละเอียดอีกมากหากเราจะว่ากันตามข้อมูลการบันทึกจากตำราของชีอะฮ์ที่เป็นต้นฉบับภาษาอฺรับจริงๆ ...
ข้อความบางตอน หากดูเผินๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องอภินิหารน่าเลื่อมใส แต่ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องปกติธรรมดานี่เอง ...
ตัวอย่างเช่น ข้อความที่ว่า ... ในขณะที่อิมาม (อ) ทำการปฏิวัติ อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทำให้การเห็นและการได้ยินของผู้ศรัทธาไร้ขอบเขต, พวกเขาสามารถพูดคุยหรือปรึกษาปัญหากับอิมามได้โดยตรง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในจุดไหนของโลก ...........”
ผมคิดว่า ประเด็นนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาอิหม่ามท่านมาปฏิวัติอะไรหรอก ... เอาแค่ปัจจุบันนี้แหละ มนุษย์, จะมีศรัทธาหรือไม่มีศรัทธา, ... ก็สามารถจะพูดคุยกันเองได้ (โดยไม่ต้องรอคุยกับอิหม่าม, .. และอีกไม่นานเกินรอ ก็คงจะมองเห็นหน้าคู่สนทนากันได้) จากประดิษฐกรรมทางด้านโทรศัพท์มือถือยุคใหม่ ... ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ... ได้แล้วมิใช่หรือครับ ? ...
ทว่า, ข้อความบางตอนนี่สิ ที่หากดูเพียงผิวเผินก็ไม่สู้กระไรนัก.....แต่หากได้ทราบความจริงแล้ว ชาวโลกทุกคนจะหนาว ...
อย่างเช่นข้อความที่ว่า ... เขาจะกิยามด้วยความเคียดแค้นต่อศัตรู .... นั้น
ทราบกันหรือไม่ว่า “ศัตรู” ของเขา (มะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์) ใคร ?
ไม่ใช่เฉพาะ “ศัตรูของศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า” ดังข้ออ้างในวรรคหลังเท่านั้น ....แต่รวมถึง “ศัตรูส่วนตัว” ตามความเชื่อของชีอะฮ์ .. จะถูกแก้แค้นเป็นอันดับแรกก่อนใครอื่นทั้งสิ้น ...
ท่านอบูบักรฺ, ท่านอุมัรฺ ร.ฎ. สองเคาะลีฟะฮ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งโลกอิสลามตามความเชื่อมั่นของชาวซุนนะฮ์ ... และบุตรีของทั้งสองท่าน, ... คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. บุตรีของท่านอบูบักรฺ และท่านหญิงหัฟเศาะฮ์ ร.ฎ. บุตรีของท่านอุมัรฺ ...
ทั้ง 4 ท่านจะต้องถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรองรับการ “แก้แค้น” ของท่านมะฮ์ดีย์, โทษฐานแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์จากท่านอฺลีย์ ร.ฎ. และสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. (ตามข้อกล่าวหาของชีอะฮ์) ...
ยัง, .. ยังไม่จบสิ้นเพียงแค่นั้น .... อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์จะทำการสังหารชาวอฺรับ, โดยเฉพาะ, บรรดาเคาะลีฟะฮ์และบรรดาผู้นำ ชาวกุเรช ที่เป็นต้นตระกูลของท่านเอง รวมทั้งชาวซุนนะฮ์อื่นๆ .... จนกระทั่ง,ประชาชนในโลกจะยังคงเหลืออยู่เพียงแค่ “หนึ่งในสาม” เท่านั้น,.. ซึ่งก็คงเป็นชาวชีอะฮ์ล้วนๆ, .... ดังการรายงานจากตำราของชีอะฮ์ที่จะถึงต่อไป ...
เรียกได้ว่า เป็นการ “ฆ่า” ล้างโคตรและล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งกว่าการฆ่าครั้งใดๆ ทั้งสิ้นเท่าที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก ... จากผู้ซึ่งได้ชื่อว่า “จะนำความสงบสุขมาให้แก่ชาวโลก” ...
ต่อไปนี้ คือรายงานเรื่องการปรากฏกายและภารกิจหลังการปรากฏกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์จากตำราของชีอะฮ์ ...
(1). อิหม่ามมะฮ์ดีย์ จะเรียกพระนามอัลลอฮ์เป็นภาษาฮิบรู...
ท่านอัล-นุอฺมานีย์ นักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่งได้รายงานมาว่า ....
أِذَااَذَّنَ ْالإمَامُ دَعَااللَّـهَ بِاسْـمِهِ الْعِبْرَانِيِّ، فَأُتِيْحَتْ لَهُ صَحَابَتُهُ الثَّلاَثُمِائَةِ وَالثَّلاَثَةَ عَشَرَ، قَزَعَ كَقَزَعِ الْخَرِيْفِ، فَمِنْهُمْ أَصْحَابُ ْالأَلَوِيَّةِ، مِنْهُمْ مَنْ يَفْقِدُ عَنْ فِرَاشِـهِ لَيْلاً فَيُصْبِحُ بِمَكَّةَ ....
“เมื่อท่านอิหม่ามประกาศตัว ท่านก็จะเรียกอัลลอฮ์ด้วยพระนามของพระองค์ที่เป็นภาษาฮิบรูสาวกของท่านจำนวน 313 คนก็จะถูกบันดาลขึ้นมาด้วยความกระวีกระวาดประหนึ่งสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง, ส่วนหนึ่งมาจากตระกูลอะละวียะฮ์, ส่วนหนึ่งหายตัวจากที่นอนของเขาในยามราตรี และจะปรากฏตัวตอนเช้าที่มักกะฮ์ ...........”
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัล-นุอฺมานีย์, หน้า 169 .... คัดมาจากหนังสือ “อัช-ชีอะฮ์ วัต-ตะชัยยุอฺ” ของท่านอิหฺซาน อิลาฮีย์ เศาะฮีรีย์ หน้า 371) ...
ก็ทำให้สงสัยว่า ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์นี่ ท่านเป็นมุสลิมหรือเป็นยิวกันแน่ ? เพราะพระนามของอัลลอฮ์ที่เป็นภาษาอฺรับก็มี แต่ไม่เรียก กลับไปเรียกพระนามในภาษาฮิบรู,.... และภาษาฮิบรู ก็คือภาษาดั้งเดิมของชาวยิว ...
(2). ชาวชีอะฮ์จากทุกมุมโลกและทุกประเทศ,ทั้งหมด, ...จะมาชุมนุมร่วมกับท่าน ...
ท่านมุหัมมัด บากิรฺ อัล-มัจญลิสีย์ ได้บันทึกรายงานมาจากสหายบางคนของท่านอิหม่ามอฺลีย์ อัล-ฮาดีย์ อิหม่ามท่านที่ 10 ของชีอะฮ์ว่า ...
[ سَأَلْتُ أَبَاالْحَسَنِ عَلَيْهِ السَّلاَمُ عَنْ قَوْلِهِ : (أَيْنَمَاتَكُوْنُوْا يَأْتِ بِكُمُ اللَّـهُ جَمِيْعًا) قَالَ : وَذَلِكَ وَاللَّـهِ ! أَنْ لَوْقَدْقَامَ قَائِمُنَا يَجْمَعُ اللَّـهُ اِلَيْهِ شِيْعَتَـنَامِنْ جَمِيْعِ الْبُلْدَانِ ]
ฉันได้ถามท่านอบา อัล-หะซัน (ชื่อรองของอิหม่ามอฺลีย์) อะลัยฮิสสลาม ว่า ... โองการที่ว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณที่ใด อัลลอฮ์ก็จะทรงนำพวกเจ้ามาทั้งหมด” ... (ซูเราะฮ์อัล-บะเกาะเราะฮ์, โองการที่ 148) .... หมายความว่าอย่างไร ? .. ท่านอิหม่ามก็ตอบว่า .. “เรื่องนี้, ขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮ์ .. คือ เมื่อใดที่ท่านผู้ลุกขึ้นมาปฏิวัติปรากฏตัว พระองค์อัลลอฮ์ก็จะทรงรวบรวมพวกชีอะฮ์ของเรา, จากทุกๆประเทศทั้งหมด(มารวมกัน)
(จากหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 52 หน้า 291)
(3). เมื่อมะฮ์ดีย์ปรากฏตัว ผู้ที่จะให้สัตยาบันคนแรกคือท่านญิบรีล (ญิบรออีล)...
ท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ ได้บันทึกรายงานมาว่า ...
[ اِنَّ جِبْرَئِيْلَ يَأْتِيْهِ، وَيَسْأَلُـهُ، وَيَقُوْلُ : " اِلَى أَيِّ شَـْيءٍ تَدْعُوْ؟ فَيُخْبِرُهُ اْلقَائِمُ، فَيَقُوْلُ جِبْرَئِيْلُ : فَأَنَا اَوَّلُ مَنْ يُبَايِعُ، ثُمَّ يَقُوْلُ لَهُ : مُدَّكَفَّكً! فَيَمْسَحُ يَدَهُ عَلَى يَدِهِ ]
แท้จริง ญิบรออีล (อ) ได้มาหาท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ แล้วกล่าวถามว่า ... “ท่านจะเรียกร้องเชิญชวนสู่สิ่งใด?” .. เมื่อท่านอัล-กออิม(คือ อิหม่ามมะฮ์ดีย์)บอกเขา ญิบรออีลจึงกล่าวว่า .. “ถ้าอย่างนั้น ข้า คือคนแรกที่จะให้สัตยาบัน” ต่อจากนั้น ญิบรออีลก็กล่าวว่า .. “ยื่นมือของท่านมาซิ !” ... แล้วญิบรออีลก็ลูบไล้มือของเขาบนมือของท่าน” ...
(จากหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 460-461)..
หลังจากท่านญิบรออีลแล้ว ผู้ที่จะให้สัตยาบันต่อมาก็คือ บรรดามะลาอิกะฮ์, แล้วก็บรรดาหัวหน้าๆของพวกญิน, แล้วก็ระดับผู้นำของผู้ศรัทธาตามลำดับ ...
(จากหนังสือ “อัล-อันวารุ้ล นุอฺมานียะฮ์” ของท่านอัล-ญะซาอิรีย์, เล่มที่ 2 หน้า 83) ...
แต่รายงานข้างต้นนี้ ขัดแย้งกับอีกรายงานหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ผู้ที่จะให้บัยอะฮ์หรือสัตยาบันต่ออิหม่ามมะฮ์ดีย์เป็นคนแรก ก็คือ ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ถัดจากนั้น ก็คือ ท่านอฺลีย์ บิน อบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ....
มีรายงานมาจากท่านอบีย์ญะอฺฟัรฺ (หมายถึงท่านมุหัมมัด อัล-บากิรฺ อิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์) ซึ่งกล่าวว่า ....
[ لَوْقَدْخَرَجَ اْلقَائِمُ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ عَلَيْهِمُ السَّلاَمُ لَنَصَرَهُ اللَّـهُ بِاْلمَلاَئِكَةِ، ......... وَاَوَّلُ مَنْ يَتْبَعُهُ : (وَفِيْ رِوَايَةٍ : يُبَايِعُهُ) مُحَمَّدٌ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَعَلِيٌّ الثَّانِىْ وَمَعَهُ سَيْفٌ مُخْتَرَطٌ ]
“เมื่อท่านอัล-กออิม จากวงศ์วานของท่านนบีย์มุหัมมัดอะลัยฮิมุสสลาม ปรากฏตัวขึ้น,.... พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ก็จะให้บรรดามะลาอิกะฮ์คอยช่วยเหลือเขา .......... และบุคคลแรกที่จะติดตามเขา (บางรายงานกล่าวว่า .. ที่จะให้สัตยาบันต่อเขา) คือ ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ถัดมาก็คือ ท่านอฺลีย์ ร.ฎ. ซึ่งท่านจะถือดาบที่ถูกเปลือยออกจากฝักมาด้วย ......”
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัล-นุอฺมานีย์, หน้า 234 .. และจากหนังสือ “หักกุลยะกีน” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 139 ตีพิมพ์ที่อิหร่าน ... ดังการอ้างอิงในหนังสือ “การปฏิวัติของอิหร่าน, ท่านอิมามโคมัยนีย์ฯ” หน้า 120) ...
(4). มะฮ์ดีย์มา เพื่อการแก้แค้น ...
ท่านอัล-ฟัยฎ์ อัล-กาชานีย์ นักวิชาการตัฟซีรฺของชีอะฮ์ท่านหนึ่ง ได้กล่าวในหนังสือตัฟซีรฺของท่านว่า ...
[ بَعَثَ اللَّـهُ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَحْمَـةً، وَبَعَثَ الْقَائِمَ نَقْمَـةً ]
“พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงแต่งตั้งท่านนบีย์ มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มา เพื่อเป็นความเมตตา, และทรงส่งอัล-กออิม (ผู้ปฏิวัติโลก) มาเพื่อการแก้แค้น(หรือลงโทษ)...
(จากหนังสือตัฟซีรฺ “อัศ-ศอฟีย์” หน้าที่ 359, หนังสือ “อัล-อีย์ก็อศ มินัล ฮัจญอะฮ์ฯ” ของท่านอัล-หัรรุ้ล อามิลีย์ หน้า 244, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ เล่มที่ 52 หน้า 314 ) ...
(5). บุคคลแรกที่จะถูกแก้แค้น คือ ท่านอบูบักรฺ และท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ...
ท่านอัล-มัจญลิสีย์ ได้อ้างบันทึกการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ..
[ هَلْ تَدْرِيْ أَوَّلَ مَا يَبْدَأُبِـهِ الْقَائِمُ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، قُلْتُ : لاَ!.. قَالَ : يُخْرِجُ هَـذَيْنِ رَطْبَيْنِ غَضَّيْن فيُحْرِقُـهُمَا وَيَذْرِيْهِمَا فِى الرِّيْحِ، وَيُكَسِّرُالْمَسْجِدَ ] .....
“ท่านรู้ไหมว่า สิ่งแรกสุดที่ท่านอัล-กออิม (อ) จะทำคืออะไร ? .. ฉัน (หมายถึงท่านบะชีรฺ อัน-นับบาล ผู้รายงานหะดีษนี้จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ) กล่าวว่า : ไม่ทราบครับ, ท่านญะอฺฟัรฺจึงเฉลยว่า .. คือการให้เจ้าสองคนนี้ (หมายถึงท่านอบูบักรฺและท่านอุมัรฺ) ฟื้นขึ้นมาในสภาพสดชื่นตามปกติ, แล้วท่านก็จะเผามันทั้งสอง แล้วเอา(ขี้เถ้าของ)มันทั้งสองโปรยไปในอากาศ, และ ท่านจะทำลายมัสญิด”
(จากหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 52 หน้า 386)
(6). แล้วต่อมาก็คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ...
ท่านอับดุรฺเราะห์มาน อัล-เกาะศีรฺ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ....
[ أَمَالَوْ قدْقَامَ قَائِمُنَا لَقَدْرُدَّتْ اِلَيْهِ الْحُمَيْرَاءُ حَتَّى يَجْلِدَهَاالْحَـدَّ، وَحَتَّى يَنْتَقِمَ ِلأُمِّهِ فَاطِمَةَ، قُلْتُ : جَعَلْتُ فِدَاكَ! وَلِمَ يَجْلِدُهَاالْحَـدَّ؟ .. قَالَ : لِفِرْيَتِهَا عَلَى أُمِّ اِبْرَاهِيْمَ، قُلْتُ : فَكَيْفَ أَخَّرَاللَّـهُ ذَلِكَ أِلَى اْلقَائِمِ؟ ...قَالَ : أِنَّ اللَّـهَ بَعَثَ مُحَمَّدًا رَحْمَـةً، وَبَعَثَ الْقَائِمَ نَقْمَـةً ]...
“แน่นอน! เมื่อใดก็ตามที่อัล-กออิมของพวกเราปรากฏตัวขึ้น นังแดงน้อย (หมายถึงท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.) ก็จะต้องถูกให้ฟื้นขึ้นมาเพื่อให้ท่านโบยตีมันเป็นการลงโทษ, และเพื่อเป็นการแก้แค้นแทนให้แก่มารดาของท่าน คือท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. ด้วย,” ... ฉัน (อับดุรฺเราะห์มาน) กล่าวว่า .. ขอให้ฉันเป็นพลีแก่ท่านด้วย นางจะถูกลงโทษด้วยเรื่องอะไร? .. ท่านตอบว่า .. “เพราะมันปองร้ายต่อมารดาของอิบรอฮีม (หมายถึงท่านหญิงคอดีญะฮ์)” .. ฉันจึงถามต่อไปว่า .. ก็แล้วทำไมพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จึงประวิงเรื่องนี้มาให้ท่านอัล-กออิมล่ะ? (หมายความว่า ทำไมไม่ให้ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ลงโทษด้วยตัวของท่านเอง?) .... ท่านก็ตอบว่า .. “ก็เพราะพระองค์อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งท่านมุหัมมัดมา เพื่อความเมตตา, และแต่งตั้งท่านอัล-กออิมมา เพื่อการลงโทษ”...
(จากหนังสือ “อัล-อีย์ก็อศ มินัล ฮัจญอะฮ์ฯ” ของท่านอัล-หัรรุ้ล อามิลีย์ หน้า 244, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” เล่มที่ 52 หน้า 314) ...
(7). บรรดาชาวอฺรับก็จะถูกอิหม่ามมะฮ์ดีย์สังหารอย่างทารุณ ...
ท่านอัลมัจญลิสีย์ ได้อ้างการบันทึกรายงานมาจากรอฟีด, คนสนิทของท่านอิบนุฮุบัยเราะฮ์ , จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ...
[ اِنَّ الْقَائِمَ يَسِيْرُفِي الْعَرَبِ فِي الْجَفْرِالأََحْمَـرِ، قَالَ : قُلْتُ : جَعَلْتُ فِدَاكَ! وَمَافِي الْجَفْرِالأَحْمَـرِ؟ قَالَ : فَأَمَرَّاُصْبُعَـهُ عَلَى حَلْقِـهِ قَالَ : هَكَذَا، يَعْنِي الذَّبْحَ ]..
"แท้จริง ท่านอัล-กออิม จะปฏิบัติการเกี่ยวกับชาวอฺรับ ในหลุมบ่อกว้างอันแดงฉาน” ท่านรอฟีดกล่าวว่า ฉันจึงถามว่า .. “ขอให้ฉันเป็นพลีแก่ท่าน!.. คำว่า .. หลุมบ่อกว้างอันแดงฉาน .. คืออะไร ?” ท่านรอฟีดกล่าวว่า .. ท่านอิหม่ามจึงทำท่าเอานิ้วปาดที่กระเดือกของท่าน แล้วกล่าวว่า .. “ก็อย่างนี้ไงล่ะ!” .... คือ ท่านหมายถึงการเชือดคอ” ...
(จากหนังสือ “บิหารุ้ลอันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 13 หน้า 308)
(8). และเคาะลีฟะฮ์หรือผู้นำที่เป็นชาวกุเรชทั้งหลายก็จะถูกสังหารด้วย....
ท่านอัน-นุอฺมานีย์ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกว่า ..
.
[ لَوْيَعْلَمُ النَّاسُ مَايَصْنَعُ اْلقَائِمُ أِذَاخَرَجَ َلأَحَبَّ أَكْثَرُهُمْ اَلاَّيَرَوْهُ مِمَّايَقْتُلُ مِنَ النَّاسِ، أَمَا اِنَّهُ لاَ يَبْدَأُاِلاَّ بِقُرَيْشٍ، فَلاَ يَأْخُذُمِنْهَا اِلاَّالسَّيْفَ! وَلاَيُعْطِيْهَااِلاَّالسَّيْفَ، حَتَّى يَقُوْلَ كَثِيْرٌمِنَ النَّاسِ : هَـذَا لَيْسَ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ! وَلَوْكَانَ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ لَرَحِـمَ ]...
“สมมุติถ้าประชาชนล่วงรู้ถึงสิ่งที่อัล-กออิมจะกระทำเมื่อปรากฏตัวละก็ พวกเขาส่วนมากก็ไม่คงไม่อยากจะเห็นท่าน อันเนื่องมาจากการที่ท่านสังหารประชาชน, ..... แน่นอน, ท่านจะไม่เริ่มต้นกับใครอื่นนอกจาก (ผู้นำ) พวกกุเรช, ท่านจะไม่ยอมรับสิ่งใดจากพวกเขานอกจากดาบ และจะไม่ยอมให้สิ่งใดแก่พวกเขานอกจากดาบ! (คือ ฆ่าลูกเดียว)... จนกระทั่งประชาชนส่วนมากจะกล่าวกันว่า : นี่ มิใช่วงศ์วานของท่านมุหัมมัดแน่นอน!....เพราะสมมุติถ้าเป็นวงศ์วานของท่านมุหัมมัดจริงเขาต้องมีความเมตตาบ้าง”...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัน-นุอฺมานีย์, หน้า 233)
ท่านอัล-มุฟีด และท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ ได้อ้างรายงานหะดีษอีกบทหนึ่งมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกว่า ...
[ اِذَا قَامَ الْقَائِمُ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ أَقَامَ خَمْسَمِائَةٍ مِنْ قُرَيْشٍ فَضَرَبَ أَعْنَاقَهُمْ، ثُمَّ أَقَامَ خَمْسَمِائَةٍ فَضَرَبَ أَعْنَاقَهُمْ، ثُمَّ خَمْسَمِائَةٍ أُخْرَى حَتَّى يَفْعَلَ ذَلِكَ سِتَّ مَرَّاتٍ، قُلْتُ : وَيَبْلُغُ عَدَدُ هَؤُلاَءِ هَـذَا؟ .. قَالَ : نَعَمْ! مِنْهُمْ، وَمِنْ مَوَالِيْهِمْ ].....
“เมื่อท่านอัล-กออิมผู้เป็นวงศ์วานของท่านมุหัมมัดปรากฏตัว ท่านก็จะสั่งให้นำตัว (ผู้นำ) พวกกุเรชมา 500 คน แล้วท่านก็จะตัดศีรษะพวกเขา, แล้วสั่งให้นำมาอีก 500 คน แล้วก็ตัดศีรษะพวกเขา, แล้วสั่งให้นำชุดอื่นมาอีก 500 คน แล้วก็ตัดศีรษะพวกเขา, ... ทำอยู่อย่างนี้ 6 ครั้งด้วยกัน, (รวมแล้วก็คือ 3000 คน) .. ฉัน (หมายถึง อับดุลลอฮ์ บิน อัล-มุฆีเราะฮ์ ผู้รายงานหะดีษนี้จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ) จึงถามท่านว่า .. “จะถึงจำนวนมากเพียงนั้นเชียวหรือ?” .. ท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺตอบว่า .. “ใช่แล้ว! ทั้งพวกมันและผู้สนับสนุนพวกมันด้วย” ...
(จากหนังสือ “อัล-อิรฺชาด” ของท่านอัล-มุฟีด, หน้า 364, หนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 461, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ เล่มที่ 52 หน้า 354 ) ...
นอกจากนี้ ท่านอัน-นุอฺมานีย์ ก็ได้บันทึกหะดีษนี้ไว้เช่นกันในหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่าน หน้า 235 ...
(9). นักวิชาการชาวซุนนะฮ์จะถูกอิหม่ามมะฮ์ดีย์ประหารก่อนพวกกาฟิรฺ ...
ท่านอัล-บากิรฺ อัล-มัจญลิสีย์ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากิรฺ (อิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์) ว่า ....
[ عِنْدَمَا يَظْهَرُاْلإمَامُ الْمَهْدِيُّ فَاِنَّـهُ يَقُوْمُ بِالْقَضَاءِ عَلَى أَهْلِ السُّنَّةِ قَبْلَ الْكُفَّارِ، وَيَبْدَأُ عَمَلَـهُ بِقَتْلِ عُلَمَاءِ أَهْلِ السُّنَّةِ ] ........
“ตอนที่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ปรากฏตัวขึ้นมา ท่านจะทำการตัดสิน(ลงโทษ) ชาวอะฮ์ลิซ ซุนนะฮ์ก่อนพวกกาฟิรฺ, และท่านจะเริ่มต้นภารกิจของท่านด้วยการสังหารนักวิชาการอะฮ์ลิซ ซุนนะฮ์” ...
(จากหนังสือ “หักกุ้ล ยะกีน” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เป็นภาษาเปอร์เชียร์ หน้า 139 ... คัดมาจากหนังสือ “อัล-ชีอะฮ์ ฟี อัล-มีซาน” หน้า 82) ...
(10). ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ จะสังหารประชาชนชาวโลกไปประมาณสองในสามส่วน ...
ท่านอัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ว่า ....
[ لاَيَكُوْنُ هَـذَااْلأَمْرُ حَتَّى يَذْهَبَ ثُلُثَا النَّاسِ، فَقِيْلَ لَهُ : فَاِذَا ذَهَبَ ثُلُثَاالنَّاسِ فَمَابَقِيَ؟ قَالَ عَلَيْهِ السَّلاَمُ : أَمَاتَرْضَوْنَ أَنْ تَكُوْنُوْا الثُّلُثَ الْبَاقِيَ؟ ]...
“ภารกิจนี้ จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าประชาชน จะสูญหายไป( คือถูกสังหาร)ถึงสองในสามส่วน, มีผู้ถามว่า ... เมื่อประชาชนต้องล้มตายไปถึงสองในสามส่วน แล้วจะเหลือใครอีก? ... ท่านอิหม่าม(อ) ก็ตอบว่า : แล้วพวกท่านไม่พอใจหรือที่จะเป็นหนึ่งในสามของประชาชนที่เหลือรอดน่ะ?” ...
(จากหนังสือ “อัรฺ-ร็อจญอะฮ์” ของท่านอะห์มัด บิน ซัยนุดดีน อัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์, หน้า 51)..
(11). อิหม่ามมะฮ์ดีย์ จะนำหลักการ(ศาสนา)ใหม่และคัมภีร์ใหม่มาใช้ ...
มีรายงานมาจากท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากิรฺอีกว่า ...
[ فَيَاطُوْبَى لِمَنْ أَدْرَكَهُ وَكَانَ مِنْ أَنْصَارِهِ، وَالْوَيْلُ كُلَّ الْوَيْلِ لِمَنْ خَالَفَهُ وَخَالَفَ أَمْرَهُ وَكَانَ مِنْ أَعْدَائِهِ، ثُمَّ قَالَ : يَقُوْمُ بِأَمْرٍجَـدِيْدٍ، وَسُنَّةٍ جَـدِيْدَةٍ، وَقَضَاءٍ جَـدِيْدٍ، عَلَى الْعَرَبِ شَـدِيْدٌ، لَيْسَ شَـأْنُهُ إلاَّالْقَتْلَ، وَلاَيَسْتَتِيْبُ أَحَـدًا، وَلاَ تَأْخُـذُهُ فِي اللَّـهِ لَوْمَةُلاَئِمٍ ] .....
“ช่างโชคดีอะไรอย่างนั้นสำหรับผู้ที่ได้พบและเป็นผู้ช่วยเหลือเขา, และช่างโชคร้ายสุดแสนสำหรับผู้ที่ขัดแย้งกับเขา, ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา, และทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขา ... เขาจะลุกขึ้นมาปฏิวัติโลกด้วยหลักการใหม่, ด้วยซุนนะฮ์แบบใหม่, ด้วยวิธีการตัดสินแบบใหม่ เขาจะแข็งกร้าวต่อชาวอฺรับ, หน้าที่ของเขามิใช่อื่นใดนอกจากการสังหารเท่านั้น, เขาจะไม่ให้ใครขอลุกะโทษ ... และ, เพื่ออัลลอฮ์แล้ว .. เขาจะไม่สนใจการตำหนิติเตียนของผู้ใดทั้งสิ้น ...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัน-นุอฺมานีย์ หน้า 235, และบางสำนวนจากการบันทึกของท่านในหน้า 154 จะปรากฏคำว่า .. “ด้วยคัมภีร์ฉบับใหม่” .. แทนคำว่า .. “ด้วยซุนนะฮ์แบบใหม่” ...
(12). อิหม่ามมะฮ์ดีย์จะตัดสินตามหลักกฎหมายของท่านนบีย์ดาวูด ...
ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอะบาน ซึ่งกล่าวว่า ...
[ سَمِعْتُ أَبَاعَبْدِاللَّـهِ (ع) يَقُوْلُ : لاَتَذْهَبُ الدُّنْيَا حَتَّى يَخْرُجَ رَجُلٌ مِنِّيْ، يَحْكُمُ بِحُكُوْمَةِ أَلِ دَاوُدَ، وَلاَيَسْـأَلُ بِبَيِّنَـةٍ، يُعْطِيْ كُلَّ نَفْسٍ حَقَّهَا ].......
ฉันได้ยินท่านอบาอับดิลลาฮ์ (อิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก) กล่าวว่า ... “โลกนี้จะยังไม่ถึงกาลอวสานต์ จนกว่าบุรุษหนึ่ง(ซึ่งสืบเชื้อสาย)จากฉันจะปรากฏตัวขึ้นมา, .. เขาจะตัดสินตามหลักกฎหมายของลูกหลานท่านนบีย์ดาวูด, เขาจะไม่ถามถึงพยานหลักฐาน, และเขาจะมอบให้แก่ทุกๆชีวิตในสิ่งซึ่งเป็นสิทธิของเขา” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” ของท่านกุลัยนีย์, เล่มที่ 1 หน้า 397-398, กิตาบอัล-หุจญะฮ์ บาบว่าด้วยเรื่องอิหม่าม เมื่อภารกิจของพวกท่านปรากฏขึ้น พวกท่านจะตัดสินด้วยหุก่มของนบีดาวูดฯ, หะดีษที่ 2, และหนังสือ “บะศออิรฺ อัด-ดะรอญาต” ของท่านอัศ-ศ็อฟฟารฺ หน้า 278) ...
และอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งอ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะฟัรฺ อัศ-ศอดิกเช่นกัน กล่าวว่า ....
[ إذَا قَامَ قَائِمٌ اَلُ مُحَمَّدٍ حَكَمَ بِحُكْمِ دَاوُدَ وَسُلَيْمَانَ، لاَيَسْـأَلُ النَّاسَ بَيِّنَـةً ]
“เมื่ออัล-กออิม, วงศ์วานของท่านมุหัมมัดลุกขึ้นมาปฏิวัติ เขาจะตัดสินด้วยหุก่มของนบีย์ดาวูดและนบีย์สุลัยมาน, และเขาจะไม่ถามหลักฐานใดๆจากประชาชนเลย” ...
(จากหนังสือ “บะศออิรฺ อัด-ดะรอญาต” หน้า 279) ...
(13). อิหม่ามมะฮ์ดีย์จะทำลายมัสญิดทั้งหมด แม้กระทั่งมัสญิดอัล-หะรอม
ท่านอัล-มุฟัฎฎ็อล บิน อุมัรฺ ได้มีคำถามหลายอย่างต่อท่านอิหม่ามญะฟัรฺ อัศ-ศอดิก, และหนึ่งจากคำถามเหล่านั้นก็คือ ...
[ يَا سَيِّدِيْ! فَمَايَصْنَعُ بِالْبَيْتِ؟ .. قَالَ : يَنْقُضُـهُ، فَلاَ يَدَعُ مِنْهُ إلاَّالْقَوَاعِدَ الَّتِيْ هِيَ أوَّلُ بَيْتٍ وُضِعَ لِلنَّاسِ بِبَكَّةَ فِيْ عَهْدِ أدَمَ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، وَالَّذِيْ رَفَـعَهُ إبْرَاهِيْمُ وَإسْمَاعِيْلُ عَلَيْهِمَاالسَّلاَمُ مِنْهَا ]..
“โอ้ นายท่าน ! เขา (มะฮ์ดีย์) จะทำอะไรต่อบัยตุ้ลลอฮ์บ้าง?” ... ท่านอิหม่ามญะฟัรฺก็ตอบว่า “เขาจะรื้อถอนมัน,.... และจะไม่ปล่อยส่วนใดของมันให้เหลือไว้นอกจากรากฐานซึ่งเป็นอาคารหลังแรกที่ถูกสร้างแก่มนุษย์ที่บักกะฮ์ (มักกะฮ์) ในยุคของท่านนบีย์อาดัม (อ).. และสิ่งซึ่งท่านนบีย์อิบรอฮีมและท่านนบีย์อิสมาอีล (อ) ได้ยกขึ้นมาภายหลัง” (จากหนังสือ “อัรฺ-ร็อจญอะฮ์” ของท่านอะห์มัด บิน ซัยนุดดีน อัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์, หน้า 184) ...
และหะดีษอีกบทหนึ่งซึ่งท่านอบู บะศีรฺ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก มีข้อความว่า ...
[ إنَّ الْقَائِمَ إذَاقَامَ رَدَّالْبَيْتَ الْحَرَامَ إلَى أسَـاسِهِ، وَمَسْجِدَالرَّسُوْلِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إلَى أسَـاسِهِ، وَمَسْجِدَالْكُوْفَـةِ إلَى أسَـاسِهِ]...
“แท้จริง ท่านอัล-กออิมนั้น เมื่อท่านลุกขึ้นมาปฏิวัติ ท่านก็จะทำให้มัสญิดอัล-หะรอม, มัสญิดของท่านรอซู้ล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และมัสญิดแห่งเมืองกูฟะฮ์ กลับคืนสู่รากฐานเดิมของมันทั้งหมด” ...
(จากหนังสือเล่มเดิม, หน้า 162) ..
และหะดีษอีกบทหนึ่งซึ่งอ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺอัศ-ศอดิกเช่นเดียวกัน มีข้อความว่า ...
[ إذَاقَامَ الْقَائِمُ سَارَاِلَى الْكُوْفَـةِ فَيَهْدِمُ بِـهَاأرْبَعَةَ مَسَـاجِدَ، وَلَمْ يَبْقَ مَسْجِـدٌ عَلَى وَجْـهِ اْلأرْضِ لَـهُ شَرَفٌ إلاَّ هَدَمَهُ، وَجَعَلَهَا جَـمَّاءَ ]....
“เมื่อท่านอัล-กออิม ลุกขึ้นมาปฏิวัติ ท่านจะเดินทางไปเมืองกูฟะฮ์ แล้วจะทำลายมัสญิด 4 แห่งที่นั่น, .. จะไม่มีมัสญิดใดในหน้าแผ่นดินนี้ตั้งตระหง่านอยู่อีกนอกจากท่านจะทำลายมัน, และท่านจะทำให้โลกนี้ประหนึ่งกะโหลกศีรษะ (คือ ราบเรียบเป็นหน้ากลอง) ...
(จากหนังสือ “อัล-อิรฺชาด” ของท่านอัล-มุฟีด, หน้า 365)...
ทั้งหมดนี้ คือ บางส่วนจากข้อมูลการรายงานของฝ่ายชีอะฮ์ เกี่ยวกับภารกิจของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขาหลังจากการปรากฏตัวขึ้นมาในยุคสุดท้ายของโลก, ....
ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านแต่ละท่าน จะต้องพิจารณาใคร่ครวญดูว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้อมูลเหล่านี้ ... ซึ่งถือเป็นความดำริชอบของแต่ละท่าน และผมก็จะไม่ขอวิจารณ์ ณ ที่นี้ ...
ในด้านความรู้สึกส่วนตัว .. ผมขอตั้งข้อสังเกตสักนิดว่า จากพฤติการณ์ทั้งหมดของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ดังที่มีรายงานมานั้น ไม่น่าจะเรียกได้ว่า ท่านมาเพื่อรังสรรค์ความสันติสุขให้แก่ชาวโลก,.. ดังที่อ้างกันเลย ...
แต่,.. หากจะกล่าวว่า ท่านมาเพื่อการนองเลือด, การเข่นฆ่าทำลายล้าง, และการแก้แค้นให้สาสมและสะใจต่อผู้ซึ่งถูกฝ่ายชีอะฮ์มองว่า “เป็นศัตรู” กับบรรพบุรุษของท่าน คือท่านอฺลีย์, ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์, ท่านหะซัน และท่านหุเซ็น ร.ฎ.... ก็น่าจะถูกต้องและตรงต่อความเป็นจริงมากที่สุด ...
หากจะมองให้ลึกลงไปอีก, ลำพังเพียงความเคียดแค้นแทนบรรพบุรุษ (สมมุติว่า,ผู้ที่จะถูกแก้แค้นเหล่านั้นมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาของชีอะฮ์,... แถมร่างกายของพวกเขาก็เน่าเปื่อยสลายกลายเป็นธุลีดินไปนมนานแล้ว) ... ก็น่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับ... “ผู้เป็นถึงอิหม่าม,และมีอีหม่านอย่างแท้จริง”.. เยี่ยงท่าน,... ที่จะปล่อยภาระการลงโทษต่อพวกเขาเหล่านั้น ให้เป็นหน้าที่ของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งย่อมจะรุนแรงกว่าการลงโทษของท่านเองมากมายหลายเท่านัก ...
มิหนำซ้ำ, ความเคียดแค้นดังกล่าว ยังลุกลามและระบาดไปยังศาสนสถานที่สำคัญของชาวมุสลิม.. อันได้แก่มัสญิดอัล-หะรอมที่มักกะฮ์, มัสญิดนะบะวีย์ที่มะดีนะฮ์ สองในสามมัสญิดที่มุสลิมถือว่า สำคัญที่สุดในโลก,... รวมทั้งมัสญิดทั้งหมดในหน้าแผ่นดินนี้ที่จะต้องถูกท่านทำลายราบเป็นหน้ากลอง.. ดังรายงานข้างต้นนั้น ...
ผมมองอย่างไร ก็ยังมองไม่ออกว่า พฤติการณ์ดังกล่าวนี้ จะเป็นการกระทำของท่านมะฮ์ดีย์ผู้ได้ชื่อว่า เป็นผู้นำคนสุดท้ายของโลกมุสลิม ...... และสืบเชื้อสายมาจากท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เปี่ยมเมตตา, .. ได้อย่างไร ? ...
หากจะเป็น,.. ก็คงเป็นได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น, คือเป็น “จินตนาการแห่งการแก้แค้น” ของชนกลุ่มหนึ่งที่ --- อ้างตัวว่า --- เป็นมุสลิม, ... ที่ถูกหล่อหลอมให้เกิดความอาฆาตแค้นและเป็นศัตรูต่อบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านศาสดาที่เป็นชาวอฺรับ,... ต่อเคาะลีฟะฮ์ผู้เที่ยงธรรมทั้งสามท่านที่เคยสร้างความเกรียงไกรและไพศาลแก่อาณาจักรอิสลามเหนือยุโรปในครั้งกระโน้น,... และ, ต่อมุสลิม, (โดยเฉพาะ, ชาวซุนนะฮ์ท�



อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนที่ 7)



โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

. เพราะประชาชนยุคนั้น ยังไม่พร้อมที่จะรับการปกครองของท่าน
หนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 35 มีข้อความดังต่อไปนี้ ..
“แต่ทว่าชาวโลก (ในยุคนั้น) ยังไม่มีความพร้อมที่จะทำให้รัฐบาลแห่งพระเจ้าเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามนุษย์ในยุคนั้นมีความพร้อม การเร้นหายของอิหม่ามมะฮ์ดีก็จะไม่เกิดขึ้น” .......... “และอิหม่ามมะฮ์ดีจะปรากฏอีกครั้งก็ต่อเมื่อประชาชนมีความพร้อมอย่างสมบูรณ์ในทุกแง่มุมในการที่จะรองรับการปกครองของท่าน”...
อัลมัรฺฮูม อัลลามะฮ์ นะศีรุด-ดีน อัฎ-ฏูสีย์ ได้กล่าวในหนังสือของท่านว่า ... “การเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดีย์ ไม่ได้มีสาเหตมาจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) หรือจากตัวท่านเอง แต่สาเหตุมาจากความกลัวและความไม่พร้อมของประชาชาติที่จะรองรับการปกครองของท่าน และเมื่อใดที่สาเหตุเหล่านี้ได้ถูกขจัดออกไป การปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮ์ดีก็จะเกิดขึ้น” ...
ก็พอจะสรุปได้จากข้อเขียนข้างต้นนี้ว่า สาเหตุที่ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ (ของชีอะฮ์) จำเป็นต้องเร้นตัวหายไปนั้น คือ ...
(ก). มิได้มีสาเหตุมาจากอัลลอฮ์ ซ.บ. .. พูดง่ายๆก็คือ พระองค์อัลลออฮ์มิได้สั่งให้เร้นตัว, แต่ทำไปเองโดยพลการ ...
(ข). มิได้มีสาเหตุมาจากตัวเอง ... พูดง่ายๆก็คือ มิใช่เพราะกลัวตาย ...
(ค). สาเหตุจริงๆมีเพียงประการเดียว คือ ประชาชนยังไม่พร้อมที่จะรับการปกครองของท่าน ท่านจึงจำเป็นต้องเร้นตัวไปก่อน .... และ
(ง). เมื่อประชาชนมีความพร้อมที่จะรองรับการปกครองแล้ว ท่านจึงจะปรากฏตัวออกมา ....
ข้อโต้แย้ง
ข้ออ้างข้อ (ก) ที่ว่า ... การเร้นกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ มิได้มีสาเหตุมาจากอัลลอฮ์ .. นั้น ขัดแย้งอย่างชัดเจนกับการบันทึกของท่านกุลัยนีย์ในหนังสือ “อัล-กาฟีย์” ซึ่งมีข้อความว่า ...
( اِنَّ ْالاَ ئِمَّةَ عَلَيْهِمُ السَّلاَمُ لَمْ يَفْعَلُوْا شَيْأً وَلاَيَفْعَلُوْنَ اِلاَّ بِعَهْدٍ مِنَ اللَّـهِ عَزَّوَجَلَّ وَأَمْرٍمِنْهُ، لاَيَتَجَاوَزُوْنَهُ ) .....
“แท้จริง บรรดาอิหม่ามๆนั้น พวกท่านไม่เคยทำ, และจะไม่กระทำสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากเป็นการมอบหมายและเป็นคำสั่งจากพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้น, และพวกท่านจะไม่ล่วงละเมิดต่อพระองค์อย่างเด็ดขาด” ...
(จากหนังสือ “ อุศูลอัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 279, กิตาบอัล-หุจญะฮ์) ...
แล้วอย่างนี้ การเร้นกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ดังกล่าว... โดยพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. มิได้สั่ง .... ดังการยอมรับของนักวิชาการของท่านเอง .... ถือว่า เป็นการกระทำไปโดยพลการ, และเป็นการเจตนาล่วงละเมิดต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ใช่หรือไม่ ?...
จากข้อ (ข) ที่ว่า ... การเร้นกายของท่านมะฮ์ดีย์ มิได้มีสาเหตุมาจากตัวเอง, คือมิใช่เพราะกลัวตาย ...
ข้อนี้ จะให้พวกเราชาวซุนนะฮ์ (หรือแม้กระทั่งชาวชีอะฮ์เองก็เถอะ), ... เชื่อข้อมูลของท่านหรือเชื่อข้อมูลของท่านกุลัยนีย์ที่รายงานมาว่า ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เร้นกาย เพราะกลัวจะถูกฆ่าตาย ? ... ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
จากข้อ (ค) และข้อ (ง) ที่ว่า ... สาเหตุแห่งการเร้นกายมีประการเดียว คือประชาชนในยุคนั้น (หรือแม้แต่ยุคนี้ก็เถอะ) ไม่มีความพร้อมที่จะรองรับการปกครองของท่าน, ซึ่งถ้าไม่เพราะเหคุผลข้อนี้ การเร้นกายก็จะไม่เกิดขึ้น ... และ ... หากประชาชนพร้อมเมื่อไร ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็จะปรากฏกายออกมา .... นั้น ...
ก็อยากจะขอถามว่า ...
1. เหตุผลแห่งการเร้นกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ดังการรายงานของท่านกุลัยนีย์ข้างต้นที่ว่า ... เพราะกลัวจะถูกสังหาร ... ซึ่งขัดแย้งกับเหตุผลของท่านที่ว่า ... ไม่มีสาเหตุอื่นใด นอกจากเพราะประชาชนไม่พร้อมที่จะรองรับการปกครอง ...
ในกรณีเดียวกันนี้... ท่านจะให้เราเชื่อใคร,... หรือจะอธิบายความขัดแย้งจุดนี้ได้อย่างไร ? .....
2. คำว่า “เพราะประชาชนในยุคนั้นไม่มีความพร้อมที่จะรองรับการปกครอง” ตามเหตุผลของท่าน แสดงว่า พฤติกรรมของมนุษย์ในยุคที่ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เกิด, กับในยุคที่ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์จะปรากฏตัว... ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ ? ...
หากท่านตอบว่าใช่ ! ก็อยากจะขอคำอธิบายว่า คำว่า “ไม่มีความพร้อม” ที่ว่านี้ .. หมายความว่าอย่างไร ? ...
หากท่านอธิบายว่า ... “ไม่มีความพร้อม” หมายถึงประชาชนในยุคที่ท่านมะฮ์ดีย์เกิดนั้น (หรือยุคนี้ก็ตาม) มีคนอธรรม, คนทำชั่วและประพฤติปฏิบัติตนออกนอกหลักการของศาสนาเป็นจำนวนมาก อิหม่ามมะฮ์ดีย์จึงต้องเร้นกายไปก่อน เพื่อรอ “ความพร้อม” คือให้ประชาชนเป็นคนดีมีคุณธรรมและศีลธรรมมากขึ้น ...
ก็แสดงว่า “ความพร้อม” ตามความหมายของท่าน หมายถึง... ประชาชนก่อนยุคที่ท่านมะฮ์ดีย์จะมาปรากฏตัว ล้วนเป็นคนดีมีศีลธรรมกันอย่างดีแล้ว .. ใช่หรือไม่ ? ..
ถ้าท่านตอบว่าใช่ ! อีก... ก็อยากจะขอถามต่อไปว่า ..... แล้วข้อความในหนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” เล่มเดียวกัน หน้า 81 มีปรากฏข้อความว่า ...
มีรายงานเป็นจำนวนมากจากอิมามผู้บริสุทธิ์ว่า “การลุกขึ้นมาปฏิวัติของกออิมจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อการกดขี่และไร้คุณธรรม จะมีอยู่ทุกแห่งในโลก” ..
จากรายงานข้างต้นนี้ แสดงว่า “ความพร้อม”ที่จะรองรับการปกครองของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็คือ “การกดขี่และการไร้คุณธรรมของมนุษย์” , ... ใช่ไหม ?
เมื่อเกิดมีความขัดแย้งดังสมมุติฐานข้างต้นจากข้อมูลของพวกท่านเองอย่างนี้ ก็กรุณาช่วยอธิบายให้เคลียร์หน่อยได้ไหมว่า ...“ความพร้อม” ของมนุษย์ต่อการรองรับการปกครองของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ... ที่แท้จริง... ตามที่ท่านประสงค์และอ้างถึงนั้น,.. ข้อใดถูกและข้อใดผิด? ...
“ความมีศีลธรรมของมนุษย์” .. หรือ “ความไร้ศีลธรรมของมนุษย์ ?” ...
ท่านจะอธิบายความขัดแย้งและความสับสนข้อนี้ได้อย่างไร ? ...
หรือถ้าหากท่านจะอ้างว่า ข้อความตอนหลังที่ว่า ... การกดขี่และการไร้คุณธรรมของมนุษย์ คือ “ความพร้อม” ที่จะรองรับการปกครองของอิหม่ามมะฮ์ดีย์,.... เป็นคำตอบที่ถูกต้อง ... ก็แสดงว่า เพราะประชาชนในยุคที่ท่านเร้นตัวนั้น ล้วนเป็นคนดีและมีคุณธรรมเกินไป, จนไม่พร้อมที่จะรองรับการปกครองของท่าน ท่านจึงต้องเร้นตัวไปก่อน, อย่างนี้ใช่หรือไม่ ? ...
หากใช่, ...ก็อยากจะขอถามอีกว่า .... ก็ในเมื่อประชาชนเป็นคนดีมีศีลธรรมถึงขนาดนั้น... ยังจะมีผู้ปกครองที่ “จิตปกติ” ท่านใดหรือที่รังเกียจและปลีกตัวหลบหนีการปกครองต่ออาณาประชาราษฎร์ที่เป็นคนดีมีศีลธรรม ? ...
ท่านจะต้องกลัวการถูกปองร้าย, กลัวถูกสังหารอะไรอีกหรือ ในเมื่อประชาชนในยุคที่ท่านถือว่า “ยังไม่พร้อม” นั้น ล้วนเป็นคนดีมีศีลธรรม, และมีคุณธรรมกันทั้งนั้น ?...
สรุปแล้วก็คือ “เหตุผล” ทั้งหมดเรื่อง “การเร้นกาย” ของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ตามที่ชีอะฮ์อ้างมา ล้วนเป็นข้อมูลที่ไม่จริง, ... และเมื่อไม่จริง จึงทำให้ข้อมูลเหล่านั้น มีการ “ขัดแย้ง” กันเองชนิดไปกันคนละทางสองทาง ... จนหาทางออกและคำตอบให้ลงตัวไม่ได้ อย่างที่เห็นและอธิบายไปแล้ว ...




วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนที่ 6)




โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย 
ข้อที่ 3. ทำไม อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์ต้องเร้นกาย ?
ปุจฉาข้อนี้, .. ถ้าถามฝ่ายซุนนะฮ์ ก็ให้คำตอบได้ไม่ยาก ...
เพราะประเด็นนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนอะไร... เป็นเพียงตรรกะง่ายๆและเป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเท่านั้น ...
เริ่มตั้งแต่อุปโลกน์เรื่อง “การกำเนิด” มะฮ์ดีย์ (ซึ่งจริงๆแล้วยังไม่มีตัวตน) อย่างสุดแสนพิสดารและพิลึกพิลั่นขึ้นมา เพื่อต้องการรักษา “แนวความเชื่อ” ของชีอะฮ์ซึ่งกำลังถูกต้อนเข้าสู่มุมอับ อันเนื่องมาจากท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ตายไปโดยไม่มีบุตรสืบทอดความเชื่อของชีอะฮ์ ...
พอสร้างเรื่องมะฮ์ดีย์ขึ้นมาแล้วก็มีปัญหาอีก.. เพราะไม่รู้จะหามะฮ์ดีย์ที่ไหนมายืนยัน เนื่องจากตัวตนของมะฮ์ดีย์ยังไม่มี... (และชาวซุนนะฮ์เชื่อว่า จริงๆแล้ว ไม่เคยมีใครเห็นมะฮ์ดีย์ดังที่ชีอะฮ์อ้างเลยเพราะการไม่มีตัวตนดังกล่าวนี่แหละ นอกจากสร้างเรื่องหลอกขึ้นมา) ...
ก็ต้อง “เดินเรื่อง” ต่อไปว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ได้เร้นกายหายไปแล้ว... (โดยอ้างเหตุผลข้างๆคูๆที่มีความขัดแย้งในตัวเองตลอดเวลา ดังจะได้อธิบายต่อไป)...ในอุโมงค์แห่งหนึ่งภายในบ้านของบิดาที่เมืองซาร์มัรฺรออ์ ... ตั้งแต่ยังเป็นทารก, คือ อายุเพียง 3 ขวบกว่าๆ หรือ 4 ขวบกว่าๆ, โดยนำเอาอัล-กุรฺอานฉบับจริงของท่านอฺลีย์, มุศหัฟของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์, ถุงหนังที่บรรจุอัล-ญาเมียะอฺของท่านอฺลีย์, คัมภีร์ของนบีย์ๆยุคก่อนๆ ... อาทิเช่นคัมภีร์เตารอตและไม้เท้าของท่านนบีย์มูซา, คัมภีร์อินญีลของท่านนบีย์อีซา, คัมภีร์ซะบูรฺของท่านนบีย์ดาวูด, เสื้อของท่านนบีย์อาดัม, แหวนของท่านนบีย์สุลัยมาน เป็นต้น ติดตัวไปด้วย ... และจะไม่ปรากฏตัวอีกจนกว่าจะใกล้ถึงวันสิ้นโลก, เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปค้นหาท่านให้เสียเวลาหรอก ...
แต่ข้ออ้างดังกล่าวก็ยังมีปัญหาอยู่ดี เพราะบางทีผู้ที่ (หลง) เชื่ออาจเกิดความลังเลและไม่มั่นใจขึ้นมาก็ได้ เนื่องจากตัวเอง (รวมทั้งชีอะฮ์ท่านอื่นๆด้วยแหละ),... นอกจากจะไม่เคยเห็นตัวท่านอิหม่ามฯแล้ว ยังถูกโฆษณา (ชวนให้เชื่อ) ว่าท่าน “หายตัว” นานเกินไปแล้ว,..จนถึงวันกิยามะฮ์โน่นถึงจะปรากฏตัว,.... แล้วอย่างนี้ ท่านจะมีตัวตนจริงๆเกิดขึ้นมาแล้วดังอ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ...
ดังนั้น เพื่อให้ข้ออ้างการเกิดและการเร้นกายของท่านมะฮ์ดีย์มีน้ำหนัก, และเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่เชื่อถือ จึงต้องสร้างเรื่องราวต่อไปอีกว่า .. แม้ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์จำเป็นจะต้องเร้นหายไปอย่างยาวนานดังคำประกาศของท่านเองครั้งหลังก็ตาม ก็ไม่ต้องไขว้เขวหรือวิตกกังวลอะไร,... เพราะมีพวกเรา, .. ชีอะฮ์เป็นจำนวนมากเคยพบปะท่านหรือเคยได้เห็นมั๊วะอฺญิซัตของท่านมาแล้ว, เรื่องของท่านเป็นเรื่องจริง, ไม่ใช่เรื่องหลอกหรอก ..
(ส่วนที่ว่า เรื่องราวการมีผู้อ้างว่า เคยพบเห็นอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ... จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก ผมก็ได้อธิบายผ่านไปแล้วไม่นาน ด้วยหลักฐานของชีอะฮ์เอง , จึงไม่ขออธิบายซ้ำ ณ ที่นี้) ...
ที่พูดมานี้ ก็คือ “มุมมอง” ของฝ่ายซุนนะฮ์, ที่มองประเด็นเรื่อง “การเกิด” และการ “เร้นกาย” ของท่านมะฮ์ดีย์ ตามเรื่องเล่าของชีอะฮ์ทั้งหมด ซึ่งสรุปว่า เป็นเรื่องโคมลอยล้วนๆที่ถูกกุขึ้นมา, โดยไม่มีเรื่องจริงปะปนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว, ...
เรา ชาวซุนนะฮ์ .. ไม่เคย,และไม่ได้จาบจ้วง, ไม่ได้ก้าวร้าวหรือประณามอิหม่ามคนใดของชาวชีอะฮ์เลยแม้แต่น้อย.. ตรงกันข้าม พวกเรารักและให้เกียรติเชื้อสายของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมทุกคน,... และเราก็เชื่อเหมือนพวกชีอะฮ์เชื่อ,...ว่า ท่านมะฮ์ดีย์จะต้องปรากฏกายอย่างแน่นอนในอนาคตกาลข้างหน้า ....
เราเพียงแต่ “เปิดเผย” และ “พูดความจริง” ในสิ่งที่พวกเขาได้ “อุปโลกน์” และ “สร้างเรื่องเท็จ” ขึ้นมาเท่านั้นเอง, ...
เปิดเผยและหักล้างความเท็จของพวกเขา ... ด้วย “ตำรา” ของพวกเขา, และ “ข้อมูล” ของพวกเขาเองนั่นแหละ ...
เราได้รับฟังข้อสันนิษฐานและเหตุผลของฝ่ายซุนนะฮ์ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แล้ว คราวนี้ ก็ลองมาฟังดูเหตุผลของฝ่ายชีอะฮ์เองดูบ้างว่า ทำไม ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของเขาจึงต้องเร้นกาย ? ...
เหตุผลที่ฝ่ายชีอะฮ์อ้างมา ดูเหมือนจะมี 2-3 ประการด้วยกัน ดังต่อไปนี้ ...
(1) .เพราะท่านกลัวถูกฆ่า ...
ท่านกุลัยนีย์ ได้รายงานมาจาก ซุรอเราะฮ์ บิน อะอฺยัน ว่า ...
سَمِعْتُ اَبَاعَبْدِاللَّـهِ(ع) يَقُوْلُ : اِنَّ لِلْقَائِمِ (ع) غَيْبَةً قَبْلَ اَنْ يَقُوْمَ، قُلْتُ : وَلِمَ ؟ قَالَ : اِنَّهُ يَخَافُ – وَأَوْمَأَ بِيَدِهِ اِلَى بَطْنِهِ – يَعْنِي الْقَتْلَ ........
“ฉันได้ยินท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก กล่าวว่า ... สำหรับท่านผู้ปฏิวัติโลก (หมายถึงอิหม่ามมะฮ์ดีย์) นั้น จะต้องมีการเร้นกายไป ก่อนจะลุกขึ้นมาปฏิวัติ, ฉันจึงถามว่า .. เพราะเหตุใดหรือ ? ... ท่านจึงตอบว่า .. เพราะท่านกลัว – แล้วท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺก็ชี้มือไปที่ท้องของท่าน – ซึ่งหมายความว่า.. กลัวถูกฆ่า” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 337, 338, 340, 342 .. กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบว่าด้วยเรื่องอัล-ฆ็อยบะฮ์หรือการเร้นกาย หะดีษที่ 5, 9, 18, 29 ) ...
ข้อโต้แย้ง
หลักฐานเรื่องการเร้นกายของท่านมะฮ์ดีย์ข้างต้น บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า การเร้นกายของท่าน มีสาเหตุเนื่องมาจากเพราะกลัวถูกสังหาร, หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กลัวตาย ...
ถ้าหลักฐานข้อนี้เป็นความจริง (ต้องจริงอยู่แล้ว, เพราะถูกบันทึกโดยท่านกุลัยนีย์ใน อุศูล อัล-กาฟีย์)... ก็แสดงว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ เป็นคนขี้ขลาดตาขาวใช่ไหม ? ...
คนขี้ขลาดตาขาวอย่างนี้ จะมาเป็นผู้นำพวกชีอะฮ์ต่อสู้และพิชิตศัตรูได้อย่างไร? .. และชีอะฮ์จะอธิบายหลักฐานต่างๆของพวกท่านดังต่อไปนี้ว่าอย่างไร ? ...
ก. ท่านอฺลีย์ บิน ญะฟัรฺ ได้รายงานมาว่า ...
( قَالَ لِيْ اَبُوالْحَسَنِ (ع) : نَحْنُ فِي اْلعِلْمِ وَالشَّجَاعَـةِ سَوَاءٌ ) .....
ท่านอบุล หะซัน (หมายถึงท่านอิหม่ามอฺลีย์ อัล-ฮาดีย์ อิหม่ามท่านที่ 10 ของชีอะฮ์) ได้กล่าวกับฉันว่า ... “พวกเรา (หมายถึงผู้เป็นอิหม่าม) ... ในเรื่องวิชาการและความกล้าหาญแล้ว จะต้องเท่าเทียมเสมอ” ...
(บันทึกโดยท่านกุลัยนีย์ในหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 275, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบว่าด้วยเรื่องบรรดาอิหม่าม ในเรื่องความรู้, ความกล้าหาญ และความภักดี (ฏออัต) จะเสมอเหมือนกัน, หะดีษที่ 2 ) ...
ข. ท่านอิหม่ามอฺลีย์ อัรฺ-ริฎอ (อิหม่ามท่านที่ 8 ของชีอะฮ์) ได้กล่าวว่า ...
(لِلاِمَامِ عَلاَمَاتٌ، يَكُوْنُ اَعْلَمَ النَّاسِ، وَاَشْجَعَ النَّاسِ ) .....
“สำหรับผู้เป็นอิหม่ามนั้น จะมีสัญลักษณ์หลายอย่าง, (คือ) จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้มากที่สุด, และจะต้องเป็นคนที่กล้าหาญที่สุด” ...
(จาก “กิตาบ อัล-คิซอล” ของท่านอิบนุ บาบะวัยฮ์ อัล-กุมมีย์ เล่มที่ 2 หน้า 528 พิมพ์ที่ประเทศอิหร่าน) ...
แล้วคุณสมบัติของท่านมะฮ์ดีย์ (ที่รีบหนีลงจากเวทีตั้งแต่ยังไม่ทันไหว้ครู,.. ตามที่ชีอะฮ์อ้างมานั้น) จะเป็นอิหม่ามได้ละหรือ ?...
ค. มีรายงานจากท่านหะกีมะฮ์ ว่า ...
( لَمَّاوُلِدَالسَّيِّدُ (ع) رَأَيْتُ لَهُ نُوْرًا سَاطِعًا قَدْ ظَهَرَمِنْهُ، وَبَلَغَ أُفُقَ السَّمَاءِ، وَرَأَيْتُ طُيُوْرًا بِيْضًاتَـهْبِطُ مِنَ السَّمَاءِ وَتَمْسَحُ أَجْنِحَتَهَا عَلَى رَأْسِـهِ وَوَجْـهِهِ وَسَـائِرِجَسَـدِهِ ثُمَّ يَطِيْرُ، فَأَخْبَرْنَا اَبَامُحَمَّدٍ بِذَلِكَ فَضَحِكَ، ثُمَّ قَالَ : تِلْكَ مَلاَئِكَةُ السَّمَاءِ، نَزَلَتْ لِلتَّبَرُّكِ ِبهَذَااْلمَوْلُوْدِ، وَهِيَ أَنْصَارُهُ اِذَاخَرَجَ ) ......
“เมื่อท่านผู้เป็นประมุข (หมายถึงอิหม่ามมะฮ์ดีย์) ถูกคลอดออกมา ฉันมองเห็นรังสีแผ่ไพศาลปรากฏออกมาจากตัวท่านจนถึงขอบฟ้า, และฉันเห็นนกฝูงหนึ่งสีขาวนวลบินลงมาจากท้องฟ้า และใช้ปีกของมันลูบไล้ไปทั่วศีรษะ, ใบหน้า, และตามลำตัวของท่าน แล้วก็บินจากไป, ... ฉันจึงเล่าเรื่องนี้แก่ท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ท่านก็หัวเราะ แล้วบอกว่า ... นกเหล่านั้น คือมลาอิกะฮ์จากฟากฟ้า, พวกเขาลงมาเพื่อประสาทความจำเริญแก่เด็กคนนี้ และมลาอิกะฮ์เหล่านี้ คือผู้คอยช่วยเหลือเขาตอนปรากฏตัว” ...
(จากหนังสือ “เราเฎาะฮ์ อัล-วาอิซีน” ของอัล-ฟัตตาล อัน-นัยซาบูรีย์, หน้า 260 )
ง. ท่านกุลัยนีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” ว่า ...
( اِنَّ الاَئِمَّةَ عَلَيْهِمُ السَّلاَمُ يَعْلَمُوْنَ مَتَى يَمُوْتُوْنَ، وَأِنَّـهُمْ لاَيَمُوْتُوْنَ اِلاَّ بِاْلاِخْتِيَارِ مِنْهُمْ )
“แท้จริงบรรดาอิหม่ามๆนั้น พวกท่านรู้ว่า เมื่อไรจะตาย, .... และพวกท่านจะไม่ตาย นอกจากเป็นความสมัครใจของพวกท่านเท่านั้น” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 258 ) ...
จ. ท่านกุลัยนีย์ ได้บันทึกรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัร์ อัศ-ศอดิก ว่า ...
(لاَ يَمُوْتُ ْالاِمَامُ حَتَّى يَعْلَمَ مَنْ يَكُوْنُ بَعْدَهُ، فَيُوْصِـيَ اِلَيْهِ )
“อิหม่ามจะไม่ตาย จนกว่าจะรู้ตัวผู้สืบทอดหลังจากท่าน, แล้วท่านก็จะวะศี้ยัต (คือสั่งหรือทำพินัยกรรมมอบตำแหน่ง) ให้แก่เขา” ....
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 277, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบว่าด้วยเรื่องอิหม่ามๆจะรู้ตัวผู้เป็นอิหม่ามหลังจากท่านฯ, หะดีษที่ 5) ...
ดังนั้น ข้อเขียนในหนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 37 ที่ว่า : เพราะการปรากฏตัวก่อนเวลาอันสมควร จะทำให้ท่านถูกสังหาร ... จึงเป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ขึ้น ....
ลงว่า ถึงขนาดมีมลาอิกะฮ์คอยช่วยเหลืออยู่แล้วตอนจะปรากฏตัวยังงี้, ...... หากไม่อยากตาย ใครๆก็ทำให้ตายไม่ได้ยังงี้, .... และเมื่อยังไม่รู้ตัวผู้สืบทอดตำแหน่งก็ยังตายไม่ได้ยังงี้ ...
ขอถามสักนิดว่า,.. แล้วใครหน้าไหนล่ะ ที่จะสังหารท่านได้ ตราบใดที่ท่านมีมลาอิกะฮ์คอยช่วยเหลือ, ตราบใดที่ท่านยังไม่ต้องการตาย, และตราบใดที่ท่านยังไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอด ? ... และท่านยังจะต้องเกรงกลัวมนุษย์คนไหนในโลกอีกหรือ ? ...
สรุปแล้วก็คือ หากข้อมูลข้างต้นของชีอะฮ์ที่อ้างว่า — เหตุผลที่ท่านมะฮ์ดีย์ของพวกเขาต้องเร้นกายเพราะกลัวถูกฆ่าตาย ---- เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง......ก็แสดงว่าท่านขาดคุณสมบัติของการเป็นอิหม่ามตามหลักเกณฑ์ของชีอะฮ์เอง, ... และจะเป็นอิหม่าม (ผู้นำ) ของโลกมุสลิม, ไม่ว่ามุสลิมกลุ่มซุนนะฮ์หรือกลุ่มชีอะฮ์, ไม่ได้อย่างแน่นอน, ...
คนขี้ขลาด, กลัวตาย, .. อย่าว่าแต่จะเป็นผู้นำของคนทั้งโลกเลย แค่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ลูกบ้านก็เบ้ปากแล้วครับ ....



อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนที่ 5)




โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย 

2. การเร้นกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์
ชาวชีอะฮ์มีความเชื่อมั่นว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา ได้ทำการ “เร้นหาย” ไปจากชาวโลก 2 ครั้ง ในอุโมงค์แห่งหนึ่งภายในบ้านของท่านอิหม่ามหะซันผู้เป็นบิดา... (ยกเว้นจะปรากฏกายต่อญาติใกล้ชิดหรือสาวกบางคนเท่านั้น) ...
การเร้นกายครั้งแรก จะเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 69 ปี, ซึ่งมีขึ้นก่อนการสิ้นชีวิตของท่านอิหม่ามหะซัน ผู้เป็นบิดาประมาณ 10 วัน ... (คือจากฮ.ศ. 260 ถึงฮ.ศ. 329) ... ซึ่งเรียกกันว่า “อัล-ฆ็อยบะฮ์ อัล-ศุฆรออ์” หรือการเร้นกายชั่วคราว ...
และหลังจากปี ฮ.ศ. 329 เป็นต้นไปจนถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต, .. จนถึงวันแห่งการปรากฏตัวก่อนวันสิ้นโลก อันถือเป็นการเร้นกายอย่างถาวรนั้น ชาวชีอะฮ์เรียกว่า “อัล-ฆ็อยบะฮ์ อัล-กุบรออ์” หรือการเร้นกายครั้งใหญ่ ...
ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานมาจาก อิสหาก บิน อัมมารฺ, จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (อิหม่ามท่านที่ 6 ) ซึ่งกล่าวว่า ....
( لِلْقَائِمِ غَيْبَتَانِ، اِحْدَاهُمَا قَصِيْرَةٌ وَالاخْرَى طَوِيْلَةٌ، اَلْغَيْبَةُ الاُوْلَى لاَ يَعْلَمُ بِمَكَانِهِ فِيْهَا اِلاَّ خَاصَّةُ شِيْعَتِهِ، وَالاُخْرَى لاَ يَعْلَمُ بِمَكَانِهِ فِيْهَا اِلاَّ خَاصَّةُ مَوَالِيْهِ ) ........
“สำหรับอัล-กออิมนั้น จะมีการเร้นหายไป 2 ครั้ง, ครั้งแรกจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ และอีกครั้งหนึ่งจะเป็นระยะเวลายาวนาน, .. ในการเร้นกายครั้งแรกนั้น จะไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่านนอกจากชีอะฮ์ผู้ใกล้ชิดโดยเฉพาะ,.... และในการเร้นกายครั้งที่สอง จะไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่านนอกจากมิตรสหายผู้ใกล้ชิดโดยเฉพาะเท่านั้น” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 340, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบอัล-ฆ็อยบะฮ์ หะดีษที่ 19 ) ...
ท่านอัล-กุลัยนีย์ ยังได้รายงานมาจาก อุบัยด์ บิน ซุรอเราะฮ์, จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ...
( لِلْقَائِمِ غَيْبَتَانِ، يَشْهَدُفِىْ اِحْدَاهُمَا الْمَوَاسِمَ، يَرَى النَّاسَ وَلاَ يَرَوْنَهُ )...
“สำหรับอัล-กออิม จะมีการเร้นกาย 2 ครั้ง, ในครั้งหนึ่งจากสองครั้งนั้น ท่านจะปรากฏกายในเทศกาลต่างๆ (หมายถึงเทศกาลทำหัจญ์ : หนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 21) .... โดย ท่านจะมองเห็นผู้อื่น แต่ผู้อื่นจะไม่เห็นท่าน” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” เล่มที่ 1 หน้า 339, กิตาบอัล-หุจญะฮ์, บาบอัล-ฆ็อยบะฮ์ หะดีษที่ 12) ...
รายงานข้างต้นนี้ สอดคล้องกับการรายงานของท่านอัฏ-ฏูสีย์ ซึ่งรายงานมาจากท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ว่า ...
( فَاِنَّ وَلِيَّ اللَّـهِ يُغَيِّبُهُ اللَّـهُ عَنْ خَلْقِهِ وَيَحْجِبُهُ عَنْ عِبَادِهِ، فَلاَ يَرَاهُ اَحَـدٌ حَتَّى يُقَدِّمَ لَهُ جِبْرَائِيْلُ عَلَيْهِ السَّلاَمُ فَرَسَهُ لِيَقْضِيَ اللَّـهُ اَمْرًا كَانَ مَفْعُوْلاً ) .........
“เพราะผู้ที่เป็นที่รักของพระองค์อัลลอฮ์นั้น พระองค์จะทรงทำให้เขาลับหายไปและกำบังเขาจากปวงบ่าวของพระองค์, .. ดังนั้น จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก จนกว่าท่านญิบรีลจะนำม้าศึกมาให้เขา เพื่อพระองค์อัลลอฮ์จะได้ตัดสินในสิ่งที่ถูกกระทำลงไป” ...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัฏ-ฏูซีย์ หน้า 142)
และหลังจากการเร้นกายครั้งแรกของท่านมะฮ์ดีย์ ฝ่ายชีอะฮ์อ้างว่า ท่านได้แต่งตั้ง “ตัวแทนพิเศษ” ที่เรียกกันว่า “นาอิบ ค็อศ” ขึ้นมา 4 ท่านด้วยกัน เพื่อทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ในการติดต่อระหว่างตัวท่านกับชาวชีอะฮ์ทั่วๆไป ได้แก่ ....
1. อุษมาน บิน สะอีด อัม-อัมรีย์ (ชื่อรอง : อบู อัมรฺ) ...
2. มุหัมมัด บิน อุษมาน อัล-อัมรีย์ ( ชื่อรอง : อบู ญะอฺฟัรฺ) ...
3. หุซัยน์ บิน รูห์ อัน-นูบัคตีย์ ( ชื่อรอง : อบู กอซิม) ...
4. อฺลีย์ บิน มุหัมมัด อัซ-ซะมารีย์ (ชื่อรอง : อบู หะซัน) ...
และในปี ฮ.ศ. 329,... ก่อนการสิ้นชีวิตของ อฺลีย์ บิน มุหัมมัด ซึ่งเป็นตัวแทนพิเศษคนสุดท้ายไม่นาน ก็ถึงยุคแห่งการเร้นกายถาวร .. ในการนี้ ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็ได้มีคำสั่งว่า ..
( لَقَدْ وَقَعَتِ الْغَيْبَةُ التَّامَّةُ، فَلاَ ظُهُوْرَاِلاَّ بَعْدَ اَنْ يَأْذَنَ اللَّـهُ، فَمَنِ ادَّعَى رُؤْيَتِيْ فَهُوَكَذَّابٌ مُغْتَرٌّ )
“ต่อไปนี้ ก็ถึงเวลาแห่งการเร้นกายโดยสมบูรณ์แล้ว,... จะไม่มีการปรากฏตัวใดๆอีกนอกจากพระองค์อัลลอฮ์จะทรงอนุญาตเท่านั้น (หมายถึงการปรากฏกายก่อนวันสิ้นโลก).. ดังนั้น ผู้ใดที่อ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก หลอกลวง” ...
(จากหนังสือ “อะฮ์ลุซซุนนะฮ์และชีอะฮ์” ของอาจารย์มุนีรฺ มูหะหมัด หน้า 199) ..
จากหลักฐานแห่งการ “เร้นกาย” ตามบันทึกของฝ่ายชีอะฮ์เองทั้งหมด ดังที่ผ่านมานั้น ก็พอจะสรุปได้ว่า ...
1. ในการเร้นกายครั้งแรก อิหม่ามมะฮ์ดีย์จะมีการติดต่อกับประชาชนโดยผ่านทางตัวแทนพิเศษ 4 คนนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ที่อยู่ของท่านโดยเฉพาะ ...
2. ในการเร้นกายครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการเร้นกายอย่างถาวร จะไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่าน นอกจากสหายผู้ใกล้ชิดโดยเฉพาะ.. (ซึ่งปัจจุบัน ก็คงไม่มีผู้ใดเหลือรอด, คือ ตายกันไปหมดเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว) ...
3. หลังจากการเร้นกายครั้งที่ 2 นี้ จะไม่มีผู้ใดพบเห็นท่านอีก จนกว่าพระองค์อัลลอฮ์จะให้ท่านปรากฏกายในตอนใกล้วันสิ้นโลก ...
4. ผู้ใดที่อ้างว่า ได้เห็นท่านหลังจากการเร้นกายครั้งที่ 2 แล้ว ผู้นั้นคือ จอมโกหก, ลวงโลก ...
5. ท่านอาจจะเคยปรากฏกายในครั้งหนึ่งจาก 2 ครั้งนั้นในเทศกาลต่างๆ .. โดยที่ท่านมองเห็นผู้อื่น, แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน ...
หมายเหตุ : คำว่า “มองไม่เห็น” กับคำว่า “มองเห็น, แต่ไม่รู้จัก” ความหมายไม่เหมือนกัน, โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ... เพราะในหน้าถัดไป นักเขียนชีอะฮ์บางท่านจะแสร้ง “มั่วนิ่ม” กับคำทั้ง 2 คำนี้ เพื่อให้เข้าใจไขว้เขวว่า มีความหมายเหมือนกัน” ...
และในสำนวนหะดีษของชีอะฮ์เองที่นำมาเสนอทั้งหมด จะใช้คำว่า “ไม่มีผู้ใดมองเห็น, ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่” .. ซึ่งมีความหมายชัดเจนเกินกว่าที่จะเบี่ยงเบนหรือบิดเบือน (ตะอ์วีล) ให้เข้าใจไปเป็นอย่างอื่นอีกทั้งสิ้น ...
จึงเป็นเรื่องแปลกและน่าตลกที่ชีอะฮ์ – ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน – จะพากันไปยืนที่หน้าอุโมงค์ (ซิรฺดาบ) แห่งหนึ่งที่เมืองซาร์มัรฺรอ ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา เร้นกายเข้าไปในอุโมงค์นี้ตั้งแต่เมื่อปี ฮ.ศ. 260, ... แล้วจะพากันวิงวอนขอให้ท่านปรากฏกายขึ้นมาโดยเร็ว (คงจะเพราะความเข้าใจว่า ท่านอิหม่ามฯ ยังคงเร้นกายอยู่ในอุโมงค์นั้นตลอดเวลากระมัง ?) ...
ทั้งๆที่ท่านกุลัยนีย์ ก็ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” -- ซึ่งชาวชีอะฮ์ถือว่า เป็นตำราหะดีษที่ถูกต้องที่สุด – ว่า “ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของท่าน”,... ดังกล่าวมาแล้ว ...
เช็คมุห์ซิน อัล-อุศฟูรฺ นักวิชาการชีอะฮ์ยุคปัจจุบันท่านหนึ่ง ได้กล่าวเอาไว้ว่า ...
( وَيُسْتَحَبُّ زِيَارَتُهُ ( اَيِ اْلمَهْدِىِّ ) فِيْ كُلِّ زَمَانٍ وَمَكَانٍ، وَالدُّعَاءُبِتَعْجِيْلِ الْفَرْجِ عِنْدَ زِيَارَتِهِ، وَتَتَأَكَّدُ زِيَارَتُهُ فِي السِّرْدَابِ بِسَرْ مَنْ رَّأى ) ........
“และชอบที่จะให้มีการซิยาเราะฮ์ (เยี่ยมเยียน)ท่าน (มะฮ์ดีย์) ในทุกๆเวลาและทุกๆสถานที่ ..(ซิยาเราะฮ์ยังไง ?.. ทุกๆเวลา, ทุกๆสถานที่ ... ไม่เข้าใจแฮะ!.. ??????????) และให้วิงวอนขอให้ท่านรีบปรากฏกายโดยเร็ว, และที่เน้นพิเศษ คือให้ซิยาเราะฮ์ท่านที่อุโมงค์แห่งเมืองซาร์มัรฺรอ” ...
(จากหนังสือ “มะศอเบี๊ยะห์ อัล-ญันนาต” ของเช็คมุห์ซิน อัล-อุศฟูรฺ, หน้า 255)
ยิ่งไปกว่านั้น ในตำราของชีอะฮ์หลายเล่ม ยังได้เขียนเล่าถึงเรื่องราวของผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นอิหม่ามมะฮ์ดีย์หรือได้ประสบกับมุอฺญิซะฮ์ของท่าน ซึ่งอ้างว่า มีจำนวน 100 กว่าคนทีเดียว, นักวิชาการผู้เขียนหนังสือดังกล่าว อาทิเช่น ท่านฏ็อบริสีย์ (ในหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์”) .... ท่านหุซัยน์ อัน-นูรีย์ อัฏ-ฏ็อบริสีย์ (ในหนังสือ “กัชฟุ้ล อัสตารฺ”และหนังสือ “อัน-นัจญมุ อัษ-ษากิบ”) และท่านอัล-มัจญลิสีย์ (ในหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ”) เป็นต้น ...
ในหนังสือ “อิมามมะฮ์ดีย์ ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 62 มีข้อความว่า ..
“นอกเหนือจากนี้ ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ยังเข้าร่วมพิธีหัจญ์ทุกปี ท่านยังเข้ารวมในการประชุมชุมนุมของชีอะฮ์, และบางครั้ง ปัญหาของผู้ศรัทธาก็ได้รับการแก้ไขจากอิมามโดยผ่านสื่อและโดยตรงและเป็นไปได้ว่า บางครั้ง ประชาชนเคยเห็นท่าน แต่พวกเขาไม่รู้จัก (????) แต่อิมามรู้จักพวกเขาส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ศอและห์ (ประกอบการดี) อยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่าน มีคนจำนวนมากที่เคยพบเจอกับท่าน ทั้งในช่วงของการเร้นหายครั้งแรก (ศุฆรอ) และครั้งใหญ่ (กุบรอ) และได้เห็นถึงกะรอมะฮ์และมุอฺญิซะฮ์ต่างๆของท่าน ..
มัรฺฮูม ซัยยิด ศ็อดรุดดีน ศ็อดร์ ได้กล่าวในหนังสือของท่านว่า จากรายงานต่างๆทำให้เราทราบว่า มีประชาชนกลุ่มหนึ่งได้พบเจออิมาม และได้รับเกียรติในการรับใช้ท่านในยุคสมัยของการเร้นหาย และสิ่งนี้นั้น ไม่ขัดกับรายงานที่สั่งให้เราปฏิเสธผู้ที่อ้างว่า เขาพบเจอกับอิมาม เพราะการมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า รายงานที่ให้เราปฏิเสธนั้น เป้าหมายคือ ผู้ที่อ้างว่าเขาเป็นตัวแทนโดยตรงของอิมาม” ...
นี่คือ ข้อความบรรทัดต่อบรรทัดจากหนังสือเล่มนั้น ...
โปรดสังเกตด้วยว่า ข้อเขียนดังกล่าวนี้ อ้างว่า .. เป็นไปได้ว่า บางครั้ง ประชาชนเคยเห็นท่าน แต่พวกเขาไม่รู้จัก ... ซึ่งขัดแย้งอย่างชัดเจนกับข้อความที่ท่านกุลัยนีย์ - บุคอรีย์ของพวกเขา - ที่ได้รายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ว่า ... ท่านจะมองเห็นผู้อื่น แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน.. ดังกล่าวมาแล้ว,... และผมก็ได้ติงไว้ก่อนแล้วเช่นกันว่า “มองไม่เห็น” กับ “มองเห็น แต่ไม่รู้จัก” ความหมายจะไม่เหมือนกัน ...
อีกประการหนึ่งก็คือ การ “ตะอ์วีล” หรือการบิดเบือนความหมายของพวกเขาที่ว่า --- ความหมายที่อิหม่ามของพวกเขากล่าวว่า.. “แต่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน” ตามการบันทึกของท่านกุลัยนีย์ก็ดี, หรือคำว่า “จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก” ตามการบันทึกของท่านอัฏ-ฏูสีย์ก็ดี, หรือสำนวนที่ว่า “ผู้ใดอ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก, หลอกลวง” ก็ดี --- ว่า หมายถึง “ผู้ที่อ้างว่า เขาเป็นตัวแทนของท่านอิหม่าม” เท่านั้น,.. มิได้หมายถึงชาวชีอะฮ์โดยทั่วๆไป ซึ่งแสดงว่าเขามีสิทธิ์ที่จะอ้างว่า เห็นท่านมะฮ์ดีย์ได้ หากไม่มีการแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของท่าน ...
การ “ตะอ์วีล” ดังกล่าว ต่อให้มองด้วยใจเป็นธรรมอย่างไรก็รับฟังไม่ขึ้น หากไม่คลั่งไคล้หรือลำเอียงจนเกินกว่าเหตุ ...
ความจริง หากจะดูลักษณะสำนวนของภาษาอรับหรือกฎเกณฑ์ใดๆของวิชาไวยากรณ์อรับเกี่ยวกับรายงานข้างต้นทั้งหมดนั้น... ต่อให้ดูจนตาเหล่ยังไงก็ไม่มีช่องทางที่จะตีความหมายไปในลักษณะ “จำกัดความ”ดังกล่าวได้เลย นอกจากจะมีความหมายใน “มุมกว้าง” (หรืออาม) เพียงอย่างเดียว...... คือ ไม่ว่าใครก็ตาม, จะอ้างว่าเป็นตัวแทนของท่านหรือไม่ก็ตาม, ย่อมไม่สามารถจะมองเห็นท่านได้ทั้งสิ้น ....
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีหะดีษที่ถูกต้องบทใดที่ “อ้างการรายงานถึงอิหม่ามของพวกเขา.... จะมาจำกัดความหมายกว้างๆของข้อความข้างต้นดังกล่าวเลย ดังการอ้างของหนังสือเล่มนั้น ...
ตามหลักการแล้ว การรายงานมาจากอิหม่ามทั้ง 3 ท่าน, คืออิหม่ามญะอฺฟัร์ อัศ-ศอดืก, อิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์, และอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง, ... ตรงกันอย่างนี้ ย่อมจะเป็นข้อชี้ขาด, และเป็นการ“หักล้าง"” การรายงานอื่นใดที่รายงานมาให้ขัดแย้งกับรายงานของพวกท่าน. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อรายงานที่ขัดแย้งนั้น มาจากสามัญชน ...
ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตามปกติ ชาวชีอะฮ์จะเชื่อทุกอย่างที่ถูกอ้างว่า เป็นการรายงานมาจากอิหม่ามๆของพวกเขาทุกท่าน และจะเชื่อมากยิ่งขึ้นหากการรายงานนั้น มาจากการบันทึกของท่านกุลัยนีย์ในหนังสือ “อัล-กาฟีย์”...
แต่มาคราวนี้,.... เพราะเหตุใด ?... คำพูดท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (จากการบันทึกของท่านกุลัยนีย์) ที่ว่า หลังจากการเร้นกายอย่างสมบูรณ์แล้ว .. ผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าน, ... หรือคำพูดของท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ผู้ถูกอ้างว่า เป็นบิดาของท่านมะฮ์ดีย์ (จากการบันทึกของท่านอัฏ-ฏูสีย์) ที่ว่า ... จะไม่มีผู้ใดเห็นเขาอีก จนกว่าท่านญิบรีลจะนำม้าศึกมาให้เขา, ... หรือคำพูดของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง ที่กล่าวก่อนจะเร้นกายอย่างยาวนานว่า.... จะไม่มีการปรากฏตัวใดๆอีก ... นอกจากพระองค์อัลลอฮ์ จะทรงอนุญาตเท่านั้น, ดังนั้น ผู้ใดอ้างว่าได้เห็นฉัน เขาผู้นั้น คือจอมโกหก, หลอกลวง ...
เพราะเหตุใด, คำพูดทั้งหมดข้างต้น “ของอิหม่ามมะอฺศูม” หรือผู้ไร้บาปทั้ง 3 ท่าน (ตามความเชื่อของชีอะฮ์เอง)... มาคราวนี้ กลับถูกเมินและไม่ได้รับความเชื่อถือ ?
ทว่า,.... คำพูดของสามัญชนกิเลสหนาธรรมดาๆที่แอบอ้างว่า ได้เห็นท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ ... แทนที่ผู้พูดจะถูกประณามว่า เป็น “จอมโกหก, ลวงโลก” ดังคำประกาศของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอง การณ์กลับกลายเป็นว่า ข้อแอบอ้างเหล่านั้นกลับได้รับการปกป้อง, ยอมรับ, และได้รับความศรัทธาเชื่อถือ...มากเสียยิ่งกว่าคำพูดของอิหม่ามมะอฺศูมผู้ไร้บาปทั้ง 3 ท่านนั้น ...
เหตุการณ์อย่างนี้.. เกิดขี้นกับชาวชีอะฮ์ได้อย่างไร ?...
จะว่า .. ท่านญิบรีลได้นำ “ม้าศึก” มามอบให้ท่านมะฮ์ดีย์ เพื่อประกาศตัวสร้างความเป็นธรรมให้แก่ชาวโลกแล้ว ? .... ก็ไม่ใช่ ...
ประกาศว่า อยู่ใน “ภาวะเร้นหาย” อย่างสมบูรณ์แบบและยาวนานแล้ว, จะไม่มีใครพบเห็นอีกแล้ว,... แต่กลับมีคนจำนวนมากอ้างว่า เคยพบเห็นตามสถานที่ต่างๆมากมายหลายแห่ง... แล้วอย่างนี้ หากว่าข้ออ้างนี้เป็นความจริง คำประกาศนั้น จะคงความศักดิ์สิทธิ์อะไรหลงเหลืออยู่อีก ?... และหากการอ้างการพบเห็นดังกล่าวเป็นความจริง.... แล้วจะให้อธิบายความหมายคำว่า “เร้นหาย” ว่า หมายความว่าอย่างไร?...
ประกาศว่า ใครอ้างว่าพบเห็นหลังจากการเร้นหายครั้งนี้ ถือว่าผู้นั้นเป็นจอมโกหก,ลวงโลก แต่พอมีผู้อ้างว่าพบเห็นก็มีคนเชื่อและคำประกาศดังกล่าวกลับถูกเมินอย่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง... แล้วอย่างนี้ ในทางตรรกศาสตร์ ... ใครกันแน่ที่เป็น “จอมโกหก”... ผู้ประกาศว่าจะไม่มีใครพบเห็น, หรือผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ? ...
ตัดการ “ตะอัศศุบ” หรือความเชื่ออย่างคลั่งไคล้ออกไปสักนิด, ... ลองใช้สมองไตร่ตรองและพิจารณาอย่างมีสติสักหน่อย, แล้วบางที,.. บางที ท่านอาจจะมีดวงตาเห็นธรรมก็ได้ ..
แน่ใจไหมว่า,. ไม่มี “นัย” อะไร แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในความเชื่อที่พลิกผันเหล่านี้? ...
และหากว่ามี, ...“นัย” .. ดังกล่าว หมายถึงอะไร ? ...
ข้อวิสัชนาของปุจฉาข้อนี้ จะมีส่วนสัมพันธ์เป็นลูกโซ่กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และสิ่งที่กำลังจะถึงต่อไปนี้ คือ ...



วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ปัญหาการทำเมาลิด



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

คำว่า “ทุกๆบิดอะฮ์คือความหลงผิด” ตามคำกล่าวของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. ในที่นี้ หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติโดยปราศจากข้อสงสัย, .. และคำกล่าวของท่านตอนหลังที่ว่า “แม้มนุษย์จะเห็นว่า มันเป็นสิ่งดีก็ตาม” แสดงว่า ท่านปฏิเสธและไม่ยอมรับว่า มีบิดอะฮ์ดีในบทบัญญัติอย่างเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งดีในมุมมองมนุษย์อย่างไรก็ตาม ...

(4). ความเชื่อที่ว่า “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ” ค้านกับหะดีษของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
ข้อนี้ ถือเป็น “ตัวชี้ขาด” ความผิดพลาดทั้งมวลของผู้ที่เข้าใจว่า มีบิดอะฮ์ดีตามบทบัญญัติศาสนา ทั้งนี้เพราะท่านศาสดาได้เคยกล่าวไว้ในหลายๆวาระว่า ...

كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَ لَةٌ

“ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด”...
และท่านยังเคยกล่าวเอาไว้อีกว่า ...

إِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ اْلأُمُوْرِ، فَإِنَّهَا ضَلاَلةَ ٌ!

“พวกท่านพึงระวังตนเองจาก สิ่งทั้งหลายที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา) เพราะว่า มันคือความหลงผิด”...
.....ฯลฯ .....
ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มิได้ถูกส่งมาเพื่อสอน “ภาษา” แก่ผู้ใด, แต่ท่านถูกส่งมา เพื่อสอน “บทบัญญัติศาสนา” ของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. แก่มนุษยชาติทั้งมวล ...

เมื่อท่านกล่าวเตือนอุมมะฮ์ของท่านว่า “ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด” ท่านจึงย่อมหมายถึงสิ่งบิดอะฮ์ “ตามบทบัญญัติ”, .. มิใช่บิดอะฮ์ “ตามหลักภาษา” แน่นอน
และก็ไม่เคยมีรายงานหะดีษมาแม้แต่บทเดียวว่า ท่านศาสดาจะเคยกล่าวยกย่องชมเชยสิ่งใดที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ในศาสนาของท่านว่า เป็นสิ่งที่ดี !...
ดังนั้น ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็ตาม ก็จะไม่พบคำว่า “มีบิดอะฮ์ดี” ในบทบัญญัติ นอกจากทั้งหมด จะเป็น “บิดอะฮ์ต้องห้าม” เพียงสถานเดียว ...
คำว่า “บิดอะฮ์ดี” ที่มีกล่าวกันแพร่หลายมิใช่อื่นใด แต่เป็นเพียงศัพท์เทคนิคตามหลักภาษาที่ใช้เรียกสิ่งดีๆ -- (ตาม “มุมมอง” ของมนุษย์, .. ต่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่, ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลกหรือทางศาสนา) -- ว่าเป็น บิดอะฮ์ดี (คือ การริเริ่ม, การประดิษฐ์สิ่งใหม่ที่ดี) .. แค่นั้นเอง ...

สรุปแล้ว ผู้ใดก็ตาม, -- จะเป็นนักวิชาการระดับไหนก็ตาม -- ที่กล่าวในลักษณะว่า มีบิดอะฮ์ดีหรือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์อยู่ในบทบัญญัติ ก็พึงรู้เถิดว่า เขากำลัง “สับสน"”กับความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติและความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา ...

และผู้ใดก็ตามที่กล่าวว่า “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (บิดอะฮ์ดี)ในบทบัญญัติ” หากจะมองเพียงว่า คำพูดของเขาไปค้านกับคำนิยามของคำว่า “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์” ตามหลักวิชาอุศูลุลฟิกฮ์, หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ หะญัรฺ ทั้งสองท่าน, หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ.ที่กล่าวมาข้างต้น .. เพียงแค่นั้น ก็คงไม่สู้กระไรนักหรอก ...

ที่สำคัญ คำพูดของเขาดังกล่าวไป “คัดค้าน” คำพูดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่บอกเขาว่า “ทุกๆบิดอะฮ์ (ตามบทบัญญัติ)คือความหลงผิด”นี่สิ มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์สำหรับมุสลิมที่มีอีหม่านทุกคนเหลือเกิน ...
เอาอย่างนี้กันดีไหม ? ...
ถ้าท่านมองว่า การจัดงานเมาลิดเป็นเรื่องดีตามบทบัญญัติ ก็คงเหมือนกับท่านมองว่า การอะซานในการนมาซวันอีด ก็เป็นเรื่องดีตามบทบัญญัติเหมือนกัน ...

หรือถ้าท่านมองว่า การจัดงานเมาลิดเป็นสิ่งที่มีหลักฐาน เพราะเป็นการกิยาสกับการทำอะกีเกาะฮ์ของท่านนบีย์, ดังมุมมองของท่านอัส-สะยูฏีย์, .. หรือเป็นการกิยาสกับการถือศีลอดวันอาชูรออ์ (วันที่ 10 เดือนมุหัรฺรอม) ของท่านนบีย์, ดังมุมมองของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไป ก็เหมือนกับท่านมองว่า การอะซานในการนมาซวันอีด ก็เป็นสิ่งที่มีหลักฐาน คือเป็นการ “กิยาส” มาจากการอะซานนมาซฟัรฺฎูห้าเวลา ซึ่งไม่ผิดหลักการกิยาสตรงไหน ... แถมยังมีหลักฐานจากอัล-กุรฺอ่านอีก คือโองการในซูเราะฮ์ฟุศศิลัต โองการที่ 33 อันมีความหมายว่า ... “และผู้ใดเล่าจะเลอเลิศที่สุดในด้านคำพูด ยิ่งไปกว่าผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนมาสู่อัลลอฮ์”

หรือท่านผู้ใดที่เคยกล่าวในลักษณะประชดประชันต่อผู้ที่ทักท้วงว่า การจัดงานเมาลิดเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามว่า ... ก็ให้รู้ไปสิว่า การแสดงความรักต่อท่านนบีย์ด้วยการจัดงานเมาลิดฉลองวันเกิดให้ท่าน จะเป็นความหลงผิด, จะเป็นบาป, และจะต้องตกนรก !...ก็คงเหมือนกับท่านกล่าวแบบประชดประชันต่อผู้ที่ทักท้วงท่านว่า การอะซานเพื่อนมาซอีดเป็นบิดอะฮ์ต้องห้าม ว่า ... ก็ให้มันรู้ไปสิว่า การอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซอีด จะเป็นความหลงผิด, เป็นบาป, และจะต้องตกนรก ! ...
เพราะฉะนั้น ถ้าแน่จริง ก็ให้ท่านลองอะซาน เรียกร้องคนมานมาซวันอีดดูบ้างเป็นไร, ... จะเป็นวันอีดิลฟิฏริ, หรืออีดิลอัฎหาอ์, หรือทั้งสองอีดก็ได้ ... ด้วยเหตุผลความ “เหมือน” ระหว่างการจัดงานเมาลิดกับการอะซานเพื่อนมาซวันอีดดังข้างต้น ...
ท่านจะกล้าไม๊ล่ะ ? ...

ถ้าท่านกล้า เราก็พร้อมแล้วที่จะทำ, และยอมรับ –เหมือนท่าน –ว่า การจัดงานเมาลิด เป็นบิดอะฮ์ดีที่ถูกต้องตามบทบัญญัติ ...
แต่ถ้าท่านไม่กล้า ท่านก็ต้องหาคำตอบมาให้ได้ว่า การจัดงานเมาลิดฉลองวันเกิดให้ท่านนบีย์ กับการอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซวันอีด มันแตกต่างกันตรงไหน ? ..

เรามั่นใจว่า ท่านไม่มีคำตอบอื่นใดนอกจากการกล่าวว่า ที่ท่านไม่กล้า ก็เพราะการอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซวันอีด เป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ เนื่องจากไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อนจากท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ของท่าน ...
ก็เหตุผลอย่างเดียวกันนี่แหละ –หากท่านกล้าหาญพอที่จะรับความจริง –ที่ท่านจะต้องนำมันไปใช้กับการจัดงานเมาลิดของท่านว่า มันเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ เพราะไม่เคยมีแบบอย่างมาจากท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ของท่าน ...
ขอถามย้ำอีกครั้งว่า ทั้งสองกรณีนี้มันแตกต่างกันตรงไหน ท่านจึงมาจำแนกว่า การจัดงานเมาลิด เป็นบิดอะฮ์ดี (หะสะนะฮ์) ตามบทบัญญัติ ท่านจึงกล้าทำ ... แต่ขณะเดียวกัน ท่านกลับมองว่า การอะซานในการนมาซวันอีด เป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ ท่านจึงไม่กล้าทำ ? ...
ผมคิดว่า เรื่องนี้หากท่านไปถามผู้ที่กล้าพูดความจริง เขาก็คงจะตอบท่านแบบชัดถ้อยชัดคำและไม่เกรงใจท่านเลยว่า .. การทำเมาลิดและการอะซานในการนมาซวันอีด ถ้าคุณมองตาม “หลักภาษา” มันก็เป็น เป็นบิดอะฮ์ดี(หะสะนะฮ์) ทั้งคู่นั่นแหละ ..
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าคุณมองตาม “บทบัญญัติ” มันก็เป็นก็เป็นบิดอะฮ์ต้องห้าม(เฎาะลาละฮ์) ทั้งคู่เหมือนกันอีกนั่นแหละ (วะ) ...

วัลลอฮุ อะอฺลัม.

(2). การทำเมาลิด มี أَصْلٌ.. คือมีพื้นฐานที่มาตามหลักการศาสนา
ท่านอัส-สะยูฏีย์ ได้กล่าวในหนังสือข้างต้น ซึ่งรวมชุดอยู่ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” เล่มที่ 1 หน้า 296 ว่า ...

إِنَّ الطَّلَبَ فِى الْمَنْدُوْبِ تَارَةً يَكُوْنُ بِالنَّصِّ وَتَارَةً يَكُوْنُ بِالْقِيَاسِ، وَهَذَا إِنْ لَمْ يَرِدْ فِيْهِ نَصٌّ فَفِيْهِ الْقِيَاسُ عَلَىاْلأَصْلَيْنِ اْلآتِىْ ذِكْرُهُمَا ...

“แท้จริง หลักการของสิ่ง مَنْدُوْبٌ หรือ “สิ่งที่ถูกส่งเสริมให้ทำ” นั้น บางครั้งจะเป็นการส่งเสริมให้ทำด้วยหลักฐานที่ชัดเจน, และบางครั้งก็จะด้วยการอนุมานเปรียบเทียบ (กิยาสกับหลักฐานอื่น) .. ซึ่งในกรณีนี้ (คือ การส่งเสริมให้จัดงานเมาลิด) แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ก็เป็นการ “กิยาส” กับพื้นฐาน 2 ประการที่จะกล่าวถึงต่อไป ....”

ข้อโต้แย้ง
คำกล่าวของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่ว่า .. “การส่งเสริมให้มีการจัดงานเมาลิด เป็นการ กิยาส กับพื้นฐาน 2 ประการที่จะถึงต่อไป”.. นั้น ...
คำกล่าวนี้ ขัดแย้งกันเองกับคำพูดของท่านที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า การทำเมาลิด เป็นบิดอะฮ์ หะสะนะฮ์ !...
เพราะหลักฐานของศาสนาตามมัษฮับชาฟิอีย์ มีที่มาจาก 4 ประการ คือ กุรฺอ่าน ซุนนะฮ์, อิจญมาอฺ และกิยาส ...
หลักปฏิบัติใดๆก็ตามที่ได้มาจากหลักฐานข้อหนึ่งข้อใดจาก 4 ประการข้างต้น จะไม่เรียกหลักปฏิบัตินั้นว่า “เป็นบิดอะฮ์”.. แต่จะถือว่า หลักปฏิบัติดังกล่าวนั้น เป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติ ...
ตัวอย่างเช่น การวาญิบจ่ายซะกาตข้าวเปลือก เป็นการกิยาสมาจากข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เล่ย์ จึงถือว่า เป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติ ...
มีนักวิชาการท่านใดบ้างไหมที่กล่าวว่า การวาญิบจ่ายซะกาตข้าวเปลือก เป็นบิดอะฮ์ หะสะนะฮ์ ? ...
การวาญิบกอฎออ์หรือชดใช้นมาซที่ขาดโดยเจตนา เป็นการกิยาสมาจากผู้ที่ขาดนมาซจากการลืมหรือนอนหลับ ตามหลัก قِيَاسٌ أَوْلَوِىٌّ (จะมีคำอธิบายในตอนต่อไป) .. จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติ (สำหรับนักวิชาการที่กล่าวอย่างนี้) ...
มีนักวิชาการที่ยอมรับหลักการนี้ท่านใดบ้างที่กล่าวว่า การกอฎออ์นมาซของผู้ที่ขาดนมาซโดยเจตนา เป็นบิดอะฮ์ หะสะนะฮ์ ? ...

เพราะฉะนั้น หากว่าการจัดงานเมาลิด มีที่มาเพราะเป็นการ “กิยาส” กับพื้นฐาน 2 ประการที่จะกล่าวถึงต่อไปดังคำกล่าวของท่าน การจัดงานเมาลิดก็ไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์, .. แต่เป็นสิ่งที่มีหลักฐาน คือการกิยาส จึงถือเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติ ...
และทั้ง 2 ประการนี้ –เป็นบิดอะฮ์และเป็นบทบัญญัติ –ตามหลักการถือว่า เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงชนิดยืนกันคนละซีกโลกเลยทีเดียว ...

นี่คือ “ความสับสน” ของนักวิชาการเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “บิดอะฮ์หะสะนะฮ์” ดังที่ผมได้กล่าวมาแล้วในหน้า 22 ที่ผ่านมา ..
สำหรับ “พื้นฐาน” ของงานเมาลิด 2 ประการที่ท่านอัส-สะยูฏีย์กล่าวถึงนั้นเพื่อความเหมาะสมในการวิภาษ ผมจึงขอสลับตำแหน่งจากขั้นตอนที่ระบุไว้ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” ดังต่อไปนี้ ...

ประการแรก อยู่ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ฯ” เล่มที่ 1 หน้า 303 .. เป็นการวิเคราะห์ของท่านอัส-สะยูฏีย์เอง จากหะดีษบทหนึ่งที่รายงานมาจากท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ.ว่า إِنَّ النَّبِىَّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَقَّ عَنْ نَفْسِهِ بَعْدَ النُّبُوَّةِ : “ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำอะกีเกาะฮ์ให้แก่ตัวเองหลังจากเป็นนบีย์แล้ว”.. โดยอ้างการบันทึกจากท่านอัล-บัยฮะกีย์ ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรอ” (เล่มที่ 9 หน้า 300 -- ด้วยสายรายงานที่เฎาะอีฟ จนท่านอัล-บัยฮะกีย์เองได้กล่าววิจารณ์ว่า หะดีษนี้ เป็นหะดีษมุงกัรฺ .. แต่หะดีษนี้มีรายงานจากกระแสอื่นที่เศาะเหี๊ยะฮ์ --- ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถดูบทวิเคราะห์หะดีษบทนี้ได้จากหนังสือ “ท่านถาม-เราตอบ” ของผมในเรื่อง “การทำอะกีเกาะฮ์ให้แก่ตัวเองเมื่อโต”) ...
ท่านอัส-สะยูฏีย์ ได้วิเคราะห์จากหะดีษบทนี้ว่า ท่านอับดุลมุฏฏอลิบผู้เป็นปู่ ได้เคยทำอะกีเกาะฮ์ให้แก่ท่านนบีย์แล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ท่านเพิ่งคลอด และพื้นฐานของอะกีเกาะฮ์ จะไม่มีการทำซ้ำถึง 2 ครั้ง ...

การที่ท่านนบีย์มาทำอะกีเกาะฮ์ให้แก่ตัวเองอีกครั้งหลังจากการเป็นนบีย์แล้ว แสดงว่า ท่านให้ความสำคัญกับวันเกิดของท่าน และขอบคุณต่อพระองค์อัลลอฮ์ที่ให้ท่านได้เกิดมาเพื่อความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งมวล ซึ่งการให้ความสำคัญกับวันเกิดของท่านนั้น สามารถทำ “ซ้ำ”ได้หลายครั้ง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว, .. และจะด้วยรูปแบบใดๆก็ได้ที่เป็นเรื่องดี เช่น เลี้ยงอาหาร, อ่านอัล-กุรฺอ่าน เป็นต้น ...

ข้อโต้แย้ง
การที่ท่านอัส-สะยูฏีย์ ได้นำเอาการจัดงานเมาลิดซึ่งเป็นงานฉลอง “วันเกิด”ท่านนบีย์ ไป “กิยาส” กับการทำอะกีเกาะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมนั้น มีสิ่งที่จะต้องพิจารณาหลายประเด็นคือ ...

1. การทำอะกีเกาะฮ์ มิใช่เป็นการให้ความสำคัญกับ “วันเกิด” ของผู้ใดเป็นการเฉพาะ, แต่เป็นการให้ความสำคัญกับ “การเกิด”มาเป็นมนุษย์, ไม่ว่าจะเป็นท่านนบีย์หรือสามัญชนธรรมดาก็ทำอะกีเกาะฮ์กันได้ทุกคน ...
ความจริงข้อนี้ เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า การทำอะกีเกาะฮ์ มิใช่เป็นซุนนะฮ์ให้ทำ “ในวันเกิด”.. แต่ซุนนะฮ์ให้ทำ “หลังจากเกิด” ไปแล้ว 7 วันนับจากวันเกิด !...
เพราะฉะนั้น การนำเอาเรื่องงานเมาลิดซึ่งถูกจัดขึ้นเพื่อฉลอง “วันเกิด” ของท่านนบีย์ ไปกิยาสหรือผูกพันกับการทำอะกีเกาะฮ์ของท่าน จึงเป็นคนละเรื่องกัน ...

2. เรื่องที่ท่านอับดุลมุฏฏอลิบ ได้ทำอะกีเกาะฮ์ให้ท่านนบีย์นั้น เป็นเพียง “เรื่องเล่า” ที่ไม่มีหลักฐานจากหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์บทใดกล่าวยืนยันไว้เลย, และหะดีษ-- จากการบันทึกของท่านอัล-บัยฮะกีย์ -- ที่ท่านอัส-สะยูฏีย์นำมาอ้างเรื่องท่านนบีย์ทำอะกีเกาะฮ์ให้แก่ตัวเอง ก็เป็นกระแสรายงานที่เฎาะอีฟมาก (แม้ว่าจะเป็นหะดีษที่ถูกต้องจากการรายงานกระแสอื่นก็ตาม) .. เพราะฉะนั้น หะดีษเรื่องการทำอะกีเกาะฮ์ของท่านนบีย์, ไม่ว่าจากเรื่องเล่าที่ว่าท่านอับดุลมุฏฏอลิบทำให้ท่าน, หรือท่านนบีย์ทำให้แก่ตัวเอง --- จากการอ้างของท่านอัส-สะยูฏีย์ข้างต้น --- จึงถือเป็นเรื่องที่อ่อนหลักฐาน ซึ่งจะนำมาทำเป็น “ตัวหลัก” หรือ مَقِيْسٌ عَلَيْهِ เพื่อการ “กิยาส” กับวันเกิดของท่านนบีย์และเป็นข้ออ้างในการจัดงานเมาลิดไม่ได้ ...

3. ในแง่ของการ “ตั้งสมมุติฐาน” ว่า ท่านอับดุลมุฏฏอลิบ เคยทำอะกีเกาะฮ์ให้ท่านนบีย์จริง แต่ตามรูปการก็เป็นการทำอะกีเกาะฮ์ในรูปแบบ “ญาฮิลียะฮ์” ยุคก่อนมิใช่ทำในรูปแบบอิสลาม, ตามหลักการจึงถือว่า ท่านนบีย์ยังไม่มีผู้ทำอะกีเกาะฮ์ให้ !.. และนักวิชาการจำนวนมากก็ได้นำเอาหะดีษบทนี้มาเป็นหลักฐานเรื่อง การทำอะกีเกาะฮ์ให้แก่ตัวเองของผู้ซึ่งไม่เคยมีใครทำอะกีเกาะฮ์ให้ ...
การที่ท่านนบีย์มาทำอะกีเกาะฮ์ให้แก่ตัวเองภายหลัง (โปรดสังเกตด้วยว่า ท่านทำ หลังจากถูกแต่งตั้งเป็นนบีย์แล้ว) จึงมิใช่เป็นการทำอะกีเกาะฮ์ “ซ้ำ” ดังการอ้างของท่านอัส-สะยูฏีย์ แต่เป็นการทำอะกีเกาะฮ์เพียงครั้งเดียวตามรูปแบบอิสลามของท่าน .. และก็ไม่เคยปรากฏหลักฐานว่า ท่านนบีย์จะทำอะกีเกาะฮ์ “ซ้ำ” อีกทุกปีหลังจากครั้งนั้น ...
ดังนั้น การนำเอาหะดีษบทนี้มาเป็นหลักฐานเพื่อกิยาสว่า อนุญาตให้จัดงานเมาลิดเพื่อให้เกียรติกับวันเกิดของท่านนบีย์ “ซ้ำ”ได้ทุกปี จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ...

4. การส่งเสริมให้จัดงานเมาลิดตามทัศนะของท่านอัส-สะยูฏีย์ มีเงื่อนไขว่า จะต้องไม่ทำอะไรให้ “เกินเลย” จากการมาชุมนุมกันเพื่ออ่านอัล-กุรฺอ่าน, บรรยายชีวประวัติของท่านนบีย์, เลี้ยงอาหารกัน .. แล้วแยกย้ายกันกลับ .. ดังคำกล่าวของท่านในหนังสือ “อัล-หาวีย์ฯ” เล่มที่ 1 หน้า 292 (โปรดดูคำแปลในหน้าที่ 13 ของหนังสือเล่มนี้ ....

แต่ถ้าเราสังเกตดูรูปแบบและองค์ประกอบอื่นๆในการจัดงานเมาลิด –เอาเฉพาะในประเทศไทย –เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดที่บ้านหรือจัดในระดับจังหวัด, ระดับประเทศ .. ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “เกินเลย” อันเป็นเรื่องต้องห้ามปรากฏ “แทรก” เป็นยาดำอยู่ด้วยเสมอ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ...

ก. ผู้มาร่วม “เที่ยว” งานเมาลิด, .. โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิง ไม่เว้นแม้แต่มุสลิมะฮ์บางคน .. จะต้องมีผู้ที่แต่งกายไม่เรียบร้อยและไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนา เช่นไม่คลุมหิญาบ, หรือคลุมหิญาบแต่สวมเสื้อและกางเกงยีนส์รัดรูป, หรือผู้ที่มิใช่มุสลิมบางคน ใส่เสื้อเอวลอยหรือเสื้อสายเดี่ยว เป็นต้น มาเดินปะปนร่วมกันกับผู้ชายอย่างอิสระเสรีในงานดังกล่าวด้วย ใช่หรือไม่ ? ...
ข. ทั้งกอรีย์และกอริอะฮ์ที่ถูกเชิญมาประชันเสียงกันเหมือนนกเขาชวาในงานเมาลิด .. รวมทั้งผู้ที่ร่วมอ่านบัรฺซันญีย์ในพิธีกรรมเมาลิด แต่ละคนจะต้องตั้งอกตั้งใจ “เน้น” ลีลาและน้ำเสียงในการอ่านให้ไพเราะเป็นพิเศษ .. มิใช่เพื่ออัลลอฮ์, แต่เพื่อจะให้ประทับใจทั้งผู้ฟังและกรรมการตัดสินรางวัลในการประกวด ...
พฤติกรรมดังกล่าวนี้ ตามหลักการศาสนาถือว่า เป็นเรื่องของผู้ที่ “ตะกั๊บบุรฺและซุมอะฮ์” คือ “โอ้อวดและอยากดัง” อันเป็นเรื่องต้องห้าม ใช่หรือไม่ ? ...
ค. การแก่งแย่งกันเป็น “ประธาน” จัดงานเมาลิด เป็น “ส่วนหนึ่ง”ของความแตกแยกและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในองค์กรกลางของอิสลามในยุคปัจจุบัน ใช่หรือไม่ ? ..
ง. “ผลประโยชน์” มหาศาลจากการจัดงานเมาลิด ก็เป็นอีก “ส่วนหนึ่ง” ของความแตกแยกและความไม่ไว้วางใจกันในองค์กรกลางดังกล่าว ทำให้มีการ “แฉ”หรือสาวไส้กันเอง, มีการการใส่ร้ายป้ายสีกัน ฯลฯ .. จนนำมาสู่ความอับอายขายหน้าให้แก่มุสลิมทั้งประเทศอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ใช่หรือไม่ ? ...
ถ้าไม่ปฏิเสธว่ามีข้อใดข้อหนึ่งปรากฏอยู่จริง ก็แสดงว่าการจัดงานเมาลิดเป็นเรื่องไม่ชอบธรรมและเป็นเรื่องต้องห้าม .. ไม่ใช่เฉพาะตามทัศนะของท่านอัส-สะยูฏีย์ท่านเดียว แต่เป็นทัศนะของนักวิชาการที่สนับสนุนให้มีการจัดงานเมาลิดเอง, เกือบ ทุกท่านก็ว่าได้ ..
ทั้งนี้เพราะการจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้ท่านนบีย์นั้น เกิดจากมุมมองที่ว่า การเลี้ยงอาหารกันก็ดี, การอ่านอัล-กุรฺอ่านในพิธีดังกล่าว เป็นต้น เป็นสิ่งที่ดี ..

แต่ขณะเดียวกัน พฤติการณ์แห่งความเสื่อมเสียอย่างใดอย่างหนึ่งจากที่กล่าวมาแล้วหรือยังมิได้กล่าว .. ที่ปรากฏแทรกอยู่ในงานเมาลิดแทบทุกงาน ก็ถือเป็นเรื่องต้องห้ามตามหลักศาสนาเช่นกัน ...

สิ่งที่บรรดานักวิชาการนำมาอ้างเป็นหลักฐาน –แม้จะเป็นผู้ที่ส่งเสริมงานเมาลิดก็ตาม -- ในการห้ามการจัดงานเมาลิดที่มีผสมผสานกันในงานทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดีดังกล่าวก็คือ กฎเกณฑ์ของวิชาอุศูลุล ฟิกฮ์ที่ว่า ...
دَرْءُ الْمَفَاسِدِ مُقَدَّمٌ عَلَى جَلْبِ الْمَصَالِحِ

“การสกัดกั้นความไม่ถูกต้องและระงับความเสื่อมเสีย จะต้องมาก่อน การชักนำให้ทำความดี”...
ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ นักวิชาการฟิกฮ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด และเป็นเจ้าของหนังสือ “ตุ๊ห์ฟะตุ้ล มุ๊ห์ตาจญ์” อันลือลั่น ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-ฟะตาวีย์” ของท่านว่า ...

اَلْمَوَالِدُ وَاْلأَذْكَارُ مَتَى تُفْعَلُ عِنْدَنَا أَكْثَرُهَا مُشْتَمِلٌ عَلَى خَيْرٍ كَصَدَقَةٍ وَذِكْرٍ وَصَلاَةٍ وَسَلاَمِ عَلَى رَسُوْلِ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَمَدْحِهِ، وَعَلَى شّرٍَ، بَلْ شُرُوْرٍ وَلَوْلَمْ يَكُنْ فِيْهَا إِلاَّ رُؤْيَةُ النِّسَاءِ لِلرِّجَالِ اْلأَجَانِبِ لَكَفَى ....

“การจัดงานฉลองวันเกิดและงานที่ระลึกต่างๆ เท่าที่จัดกันส่วนใหญ่ มักจะประกอบขึ้นจากสิ่งที่ดีๆ อาทิเช่น การเศาะดะเกาะฮ์, การซิกรุ้ลลอฮ์, การเศาะละวาต การให้สล่ามและการสรรเสริญท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, แต่ขณะเดียวกัน งานดังกล่าวยังประกอบขึ้นจากสิ่งต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างอยู่เสมอเช่นกัน, มาตรว่า จะไม่มีสิ่งต้องห้ามอื่นใดในงานดังกล่าวนั้นนอกจากการเปิดโอกาสให้สตรีได้มองดูผู้ชายอื่น (ที่มิใช่มะห์รอมของตน) ก็ถือว่าเป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว (ที่จะ “ห้าม” จากการจัดงานนั้นๆ)”...
(จากหนังสือ “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎ็อรฺ อัล-อิบติดาอฺ” ของท่านเช็คอะลีย์ มะห์ฟูศ หน้า 264) ...

นี่คือ คำพูดของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์นะครับ มิใช่คำพูดของผม, เพราะฉะนั้น ก็น่าจะเอาไปลองคิดดูเป็นการบ้านบ้างก็ได้สำหรับผู้ที่ยัง “ยืนกราน” ในการยึดถือ “ทัศนะ” นักวิชาการมาเป็นข้ออ้างในการจัดงานเมาลิด โดยที่ตนเองอาจจะยังไม่เคยทราบเงื่อนไขการอนุญาตของนักวิชาการในกรณีนี้มาก่อนก็ได้ ...

แต่ถ้ายังดันทุรังจัดงานเมาลิดต่อไป ตานี้ท่านจะอ้างว่า “ทำตามใคร” กันอีก ผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน ? ...
ส่วน “พื้นฐาน” ประการที่สอง มีระบุอยู่ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” เล่มที่ 1 หน้า 302 อันถูกอ้างว่าเป็นการวิเคราะห์ของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะนีย์ .. มาจากเหตุการณ์ตอนที่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเดินทางไปถึงนครมะดีนะฮ์ใหม่ๆ และได้เห็นพวกยะฮูดีย์ (ยิว) ในนครมะดีนะฮ์ถือศีลอดกันในวันอาชูรออ์ (วันที่ 10 เดือนมุหัรฺร็อม) ท่านจึงถามพวกนั้นถึงเหตุผลของการถือศีลอด พวกเขาตอบว่า วันอาชูรออ์ คือวันที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงบันดาลให้ฟิรฺอูนจมน้ำตาย และทรงช่วยให้ท่านนบีย์มูซาพ้นภัย พวกเขาจึงถือศีลอดเพื่อขอบพระคุณอัลลอฮ์ ซ.บ. .. ท่านนบีย์ จึงได้กล่าวกับพวกยิวเหล่านั้นว่า نَحْنُ أَوْلَى بِمُوْسَى مِنْكُمْ.. คือ พวกเรา สมควรที่จะยกย่องนบีย์มูซา ยิ่งกว่าพวกท่านเสียอีก .. ซึ่งหะดีษบทนี้ บันทึกโดยท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม ....

ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ได้วิเคราะห์ว่า จากเหตุการณ์ตอนนี้แสดงว่า ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ส่งเสริมให้มีการขอบคุณพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ประทานความโปรดปรานให้พวกเราในวันใดๆเป็นการเฉพาะได้ .. และเราสามารถจะแสดงความขอบคุณพระองค์ใน “วันสำคัญ” ดังกล่าวนั้น ซ้ำได้ในทุกๆทุกปี, ซึ่งการขอบคุณดังกล่าว สามารถแสดงออกได้ในหลายรูปแบบ เช่นการสุญูด, การถือศีลอด, การบริจาคทาน, การอ่านอัล-กุรฺอ่าน เป็นต้น ...
และหนึ่งจาก “วันสำคัญ” ที่สุดสำหรับมุสลิมเรา ก็คือ “วันเกิด” ของท่านศาสดา มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...

ข้อชี้แจง
บทวิเคราะห์ข้างต้นของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ผมถือว่า เป็นมุมมองที่น่าคิดและสอดคล้องกับหลักวิชาการมากที่สุด ยิ่งกว่าคำกล่าวที่ว่า การทำเมาลิดเป็นบิดอะฮ์ดี (หะสะนะฮ์) ซึ่งไปขัดแย้งกับคำกล่าวของท่านศาสดาที่บอกว่า ทุกๆบิดอะฮ์คือความหลงผิด, .. และสอดคล้องกับหลักวิชาการยิ่งกว่าการนำพิธีกรรมเมาลิด ไปกิยาสกับการทำอะกีเกาะฮ์ ของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่เพิ่งจะผ่านมาเสียอีก ...

แต่จะอย่างไรก็ตาม ทั้งหลายแหล่ของการวิเคราะห์เหล่านั้น เป็นเพียงมุมมองจาก “ด้านเดียว” คือมองจากพวกเราที่เป็น “อุมมะฮ์” ของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่ต้องการจะให้เกียรติท่าน และมองว่า การจัดพิธีกรรมเมาลิดเพื่อให้เกียรติวันเกิดของท่านศาสดา เป็นสิ่งที่ดี ...

มุมมองนี้ ก็คงจะคล้ายๆกับความรู้สึกของบรรดาเศาะหาบะฮ์ที่มองว่า การยืนเพื่อให้เกียรติท่านศาสดาเมื่อเห็นท่าน