โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
ข้อที่ 4
ภารกิจ และเหตุการณ์หลังการปรากฏกายอิหม่ามมะฮ์ดีย์
การปรากฏกาย, และภารกิจหลังการปรากฏกาย (อย่างที่ชีอะฮ์เรียกว่า “การกิยาม” หรือการลุกขึ้นมาปฏิวัติโลก) ของอิหม่ามมะฮ์ดีย์,... ตามความเชื่อของชีอะฮ์นั้น... ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง, เพราะส่วนใหญ่, จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการปรากฏกายของท่านมะฮ์ดีย์ตามความเชื่อของชาวซุนนะฮ์ ดังที่ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบจากข้อมูลของชีอะฮ์เองต่อไป ...
ลำดับแรกนี้... ผมขออนุญาตนำเอาข้อเขียนของนักวิชาการชีอะฮ์ที่เป็นภาษาไทยจากหนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” ... หน้า 87-89 มาเสนอให้อ่านกันดังนี้
การปรากฏกาย, และภารกิจหลังการปรากฏกาย (อย่างที่ชีอะฮ์เรียกว่า “การกิยาม” หรือการลุกขึ้นมาปฏิวัติโลก) ของอิหม่ามมะฮ์ดีย์,... ตามความเชื่อของชีอะฮ์นั้น... ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง, เพราะส่วนใหญ่, จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการปรากฏกายของท่านมะฮ์ดีย์ตามความเชื่อของชาวซุนนะฮ์ ดังที่ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบจากข้อมูลของชีอะฮ์เองต่อไป ...
ลำดับแรกนี้... ผมขออนุญาตนำเอาข้อเขียนของนักวิชาการชีอะฮ์ที่เป็นภาษาไทยจากหนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” ... หน้า 87-89 มาเสนอให้อ่านกันดังนี้
การกิยาม (ลุกขึ้นมาปฏิวัติ) ของอิมามมะฮ์ดี (อ)
สรุปรายงานบรรดาอิมามมะอฺศูม ที่เกี่ยวกับการกิยามของมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญาไว้มีดังนี้คือ ....
เขาผู้ถูกสัญญาไว้จะปรากฏตัวที่กะอฺบะฮ์ หลังจากการเร้นหายอันยาวนาน เขาจะปรากฏตัวพร้อมกับธง, ดาบ, อะมามะฮ์ (ผ้าพันศีรษะ) และเสื้อของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล), บรรดามะลาอิกะฮ์จะช่วยเหลือเขา, เขาจะกิยามด้วยความเคียดแค้นต่อศัตรู, จะทำการเข่นฆ่าศัตรูของศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า, ผู้ที่กดขี่และอยุติธรรมจะถูกแก้แค้น
สหายที่ใกล้ชิดของเขาจะมีสามร้อยสิบสามคน ซึ่งจะทำการบัยอัตให้กับเขาที่มักกะฮ์, อิมามอยู่ที่มักกะฮ์ระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ก็จะมุ่งหน้าสู่มะดีนะฮ์ ผู้ช่วยเหลือเขาจะเป็นนักรบที่แท้จริง, ชำนาญในอาวุธ, เป็นคนที่ศอและห์ มีศรัทธาที่มั่นคง เข้มแข็งต่ออิบาดะฮ์ในยามค่ำคืนและเป็นสิงห์ร้ายในยามกลางวัน เคร่งครัดต่อคำสั่งของอิสลาม, มุ่งหน้าไปทางทิศไหนจะนำชัยชนะไปสู่ที่นั้น ...
สรุปรายงานบรรดาอิมามมะอฺศูม ที่เกี่ยวกับการกิยามของมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญาไว้มีดังนี้คือ ....
เขาผู้ถูกสัญญาไว้จะปรากฏตัวที่กะอฺบะฮ์ หลังจากการเร้นหายอันยาวนาน เขาจะปรากฏตัวพร้อมกับธง, ดาบ, อะมามะฮ์ (ผ้าพันศีรษะ) และเสื้อของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล), บรรดามะลาอิกะฮ์จะช่วยเหลือเขา, เขาจะกิยามด้วยความเคียดแค้นต่อศัตรู, จะทำการเข่นฆ่าศัตรูของศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า, ผู้ที่กดขี่และอยุติธรรมจะถูกแก้แค้น
สหายที่ใกล้ชิดของเขาจะมีสามร้อยสิบสามคน ซึ่งจะทำการบัยอัตให้กับเขาที่มักกะฮ์, อิมามอยู่ที่มักกะฮ์ระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ก็จะมุ่งหน้าสู่มะดีนะฮ์ ผู้ช่วยเหลือเขาจะเป็นนักรบที่แท้จริง, ชำนาญในอาวุธ, เป็นคนที่ศอและห์ มีศรัทธาที่มั่นคง เข้มแข็งต่ออิบาดะฮ์ในยามค่ำคืนและเป็นสิงห์ร้ายในยามกลางวัน เคร่งครัดต่อคำสั่งของอิสลาม, มุ่งหน้าไปทางทิศไหนจะนำชัยชนะไปสู่ที่นั้น ...
หลังจากชัยชนะในมะดีนะฮ์ อิมามจะนำทัพเข้าสู่อิรักและกูฟะฮ์, ท่านจะพบกับซัยยิดฮาซานี ที่กูฟะฮ์, ซัยยิดฮาซานี จะนำทหารของเขาเข้าบัยอัตกับอิมาม (อ), นบีอีซาจะลงมาจากฟากฟ้าเพื่อช่วยเหลืออิมาม และอีซา (อ) จะนมาซตามอิมามมะฮ์ดี, รัฐบาลกลางของอิมามจะอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์ อิมามจะพิชิตทั้งตะวันตกและตะวันออกของโลก อิสลามจะปกครองไปทั้งโลก ศาสนาจะกลับมาใหม่ อิสลามที่แท้จริงจะกำจัดความจอมปลอมในศาสนา การปกครองและกฎหมายจะเป็นไปตามคัมภีร์ของพระเจ้า และแบบฉบับของศาสดา อิมามจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย, กินอาหาร และสวมใส่เสื้อผ้าแบบอิมามอะลี (อ)
ในยุคการปกครองของอิมาม (อ) แผ่นดินจะมีบารอกะฮ์เป็นอันมาก ผลิตผลทางเกษตรจะมีอย่างล้นเหลือ ความยากจนจะหมดไป มนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างมีความผาสุกและมีศิริมงคล จนถึงขั้นที่ผู้ที่จะจ่ายซะกาตหรือบริจาคทาน (เศาะดะเกาะฮ์) ไม่สามารถหาคนยากจนที่จะมารับของได้, เขานำไปให้ใครก็รับการปฏิเสธที่จะรับของนั้น ความรักที่จะอยู่ใกล้ชิดกับอิมามทำให้ผู้ศรัทธาจำนวนมาก ปักหลักและอาศัยในเมืองกูฟะฮ์ เพื่อที่จะนมาซรวม (ญะมาอะฮ์) กับอิมาม ถึงขั้นที่ได้สร้างมัสญิดขึ้นมาหลังหนึ่ง ซึ่งมีประตูทางเข้าถึงหนึ่งพันประตู
ในยุคของการปกครองของอิมาม (อ) โลกจะอยู่ใต้ร่มเงาของความยุติธรรมและความปลอดภัย ถึงขั้นที่ถ้าหญิงชราคนหนึ่งได้ทูนหม้อทองคำซึ่งมีเพชรนิลจินดาอยู่ในนั้น, และเดินทางมาคนเดียวจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง จะไม่มีใครรบกวนนางหรือมีความโลภในทรัพย์สินของนางเลย
แผ่นดินจะคายทรัพยากรและของมีค่าต่างๆ ออกมาให้อิมาม และอิมามจะทำการสร้างและทดแทนความสูญเสียต่างๆ ให้กับผู้ที่ถูกกดขี่บนหน้าแผ่นดิน ในขณะที่อิมาม (อ) ทำการปฏิวัติ อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทำให้การเห็นและการได้ยินของผู้ศรัทธาไร้ขอบเขต, พวกเขาสามารถพูดคุย หรือปรึกษาปัญหากับอิมามได้โดยตรง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในจุดไหนของโลก เขาสามารถได้ยินเสียงและเห็นอิมาม ในยุคนั้น อัลลอฮ์จะประทานให้สติปัญญาและความรู้ของมนุษย์ถึงจุดสมบูรณ์
อิมามจะปกครองประชาชนเหมือนกับศาสดามุฮัมมัดและศาสดาดาวูด ปกครองประชาชน, สิ่งใดที่ศาสดามุฮัมมัดได้ปฏิบัติ อิมามก็จะปฏิบัติสิ่งนั้น, อิมามจะทำลายแบบฉบับแห่งญาฮิลียะฮ์ (ยุคมืดของอาหรับ) ยุคใหม่เหมือนกับที่ศาสดามุฮัมมัดได้ทำลายมาแล้ว และแสงแห่งสัจธรรมของอิสลามก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ...
ในยุคการปกครองของอิมาม (อ) แผ่นดินจะมีบารอกะฮ์เป็นอันมาก ผลิตผลทางเกษตรจะมีอย่างล้นเหลือ ความยากจนจะหมดไป มนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างมีความผาสุกและมีศิริมงคล จนถึงขั้นที่ผู้ที่จะจ่ายซะกาตหรือบริจาคทาน (เศาะดะเกาะฮ์) ไม่สามารถหาคนยากจนที่จะมารับของได้, เขานำไปให้ใครก็รับการปฏิเสธที่จะรับของนั้น ความรักที่จะอยู่ใกล้ชิดกับอิมามทำให้ผู้ศรัทธาจำนวนมาก ปักหลักและอาศัยในเมืองกูฟะฮ์ เพื่อที่จะนมาซรวม (ญะมาอะฮ์) กับอิมาม ถึงขั้นที่ได้สร้างมัสญิดขึ้นมาหลังหนึ่ง ซึ่งมีประตูทางเข้าถึงหนึ่งพันประตู
ในยุคของการปกครองของอิมาม (อ) โลกจะอยู่ใต้ร่มเงาของความยุติธรรมและความปลอดภัย ถึงขั้นที่ถ้าหญิงชราคนหนึ่งได้ทูนหม้อทองคำซึ่งมีเพชรนิลจินดาอยู่ในนั้น, และเดินทางมาคนเดียวจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง จะไม่มีใครรบกวนนางหรือมีความโลภในทรัพย์สินของนางเลย
แผ่นดินจะคายทรัพยากรและของมีค่าต่างๆ ออกมาให้อิมาม และอิมามจะทำการสร้างและทดแทนความสูญเสียต่างๆ ให้กับผู้ที่ถูกกดขี่บนหน้าแผ่นดิน ในขณะที่อิมาม (อ) ทำการปฏิวัติ อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทำให้การเห็นและการได้ยินของผู้ศรัทธาไร้ขอบเขต, พวกเขาสามารถพูดคุย หรือปรึกษาปัญหากับอิมามได้โดยตรง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในจุดไหนของโลก เขาสามารถได้ยินเสียงและเห็นอิมาม ในยุคนั้น อัลลอฮ์จะประทานให้สติปัญญาและความรู้ของมนุษย์ถึงจุดสมบูรณ์
อิมามจะปกครองประชาชนเหมือนกับศาสดามุฮัมมัดและศาสดาดาวูด ปกครองประชาชน, สิ่งใดที่ศาสดามุฮัมมัดได้ปฏิบัติ อิมามก็จะปฏิบัติสิ่งนั้น, อิมามจะทำลายแบบฉบับแห่งญาฮิลียะฮ์ (ยุคมืดของอาหรับ) ยุคใหม่เหมือนกับที่ศาสดามุฮัมมัดได้ทำลายมาแล้ว และแสงแห่งสัจธรรมของอิสลามก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ...
นี่คือ ข้อความจากหนังสือที่กล่าวนามมาแล้วข้างต้น ...
เนื้อหาของข้อความดังกล่าว ยังขาดรายละเอียดอีกมากหากเราจะว่ากันตามข้อมูลการบันทึกจากตำราของชีอะฮ์ที่เป็นต้นฉบับภาษาอฺรับจริงๆ ...
ข้อความบางตอน หากดูเผินๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องอภินิหารน่าเลื่อมใส แต่ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องปกติธรรมดานี่เอง ...
เนื้อหาของข้อความดังกล่าว ยังขาดรายละเอียดอีกมากหากเราจะว่ากันตามข้อมูลการบันทึกจากตำราของชีอะฮ์ที่เป็นต้นฉบับภาษาอฺรับจริงๆ ...
ข้อความบางตอน หากดูเผินๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องอภินิหารน่าเลื่อมใส แต่ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องปกติธรรมดานี่เอง ...
ตัวอย่างเช่น ข้อความที่ว่า ... ในขณะที่อิมาม (อ) ทำการปฏิวัติ อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทำให้การเห็นและการได้ยินของผู้ศรัทธาไร้ขอบเขต, พวกเขาสามารถพูดคุยหรือปรึกษาปัญหากับอิมามได้โดยตรง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในจุดไหนของโลก ...........”
ผมคิดว่า ประเด็นนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาอิหม่ามท่านมาปฏิวัติอะไรหรอก ... เอาแค่ปัจจุบันนี้แหละ มนุษย์, จะมีศรัทธาหรือไม่มีศรัทธา, ... ก็สามารถจะพูดคุยกันเองได้ (โดยไม่ต้องรอคุยกับอิหม่าม, .. และอีกไม่นานเกินรอ ก็คงจะมองเห็นหน้าคู่สนทนากันได้) จากประดิษฐกรรมทางด้านโทรศัพท์มือถือยุคใหม่ ... ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ... ได้แล้วมิใช่หรือครับ ? ...
ผมคิดว่า ประเด็นนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาอิหม่ามท่านมาปฏิวัติอะไรหรอก ... เอาแค่ปัจจุบันนี้แหละ มนุษย์, จะมีศรัทธาหรือไม่มีศรัทธา, ... ก็สามารถจะพูดคุยกันเองได้ (โดยไม่ต้องรอคุยกับอิหม่าม, .. และอีกไม่นานเกินรอ ก็คงจะมองเห็นหน้าคู่สนทนากันได้) จากประดิษฐกรรมทางด้านโทรศัพท์มือถือยุคใหม่ ... ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ... ได้แล้วมิใช่หรือครับ ? ...
ทว่า, ข้อความบางตอนนี่สิ ที่หากดูเพียงผิวเผินก็ไม่สู้กระไรนัก.....แต่หากได้ทราบความจริงแล้ว ชาวโลกทุกคนจะหนาว ...
อย่างเช่นข้อความที่ว่า ... เขาจะกิยามด้วยความเคียดแค้นต่อศัตรู .... นั้น
ทราบกันหรือไม่ว่า “ศัตรู” ของเขา (มะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์) ใคร ?
ไม่ใช่เฉพาะ “ศัตรูของศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า” ดังข้ออ้างในวรรคหลังเท่านั้น ....แต่รวมถึง “ศัตรูส่วนตัว” ตามความเชื่อของชีอะฮ์ .. จะถูกแก้แค้นเป็นอันดับแรกก่อนใครอื่นทั้งสิ้น ...
ท่านอบูบักรฺ, ท่านอุมัรฺ ร.ฎ. สองเคาะลีฟะฮ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งโลกอิสลามตามความเชื่อมั่นของชาวซุนนะฮ์ ... และบุตรีของทั้งสองท่าน, ... คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. บุตรีของท่านอบูบักรฺ และท่านหญิงหัฟเศาะฮ์ ร.ฎ. บุตรีของท่านอุมัรฺ ...
ทั้ง 4 ท่านจะต้องถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรองรับการ “แก้แค้น” ของท่านมะฮ์ดีย์, โทษฐานแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์จากท่านอฺลีย์ ร.ฎ. และสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. (ตามข้อกล่าวหาของชีอะฮ์) ...
ยัง, .. ยังไม่จบสิ้นเพียงแค่นั้น .... อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์จะทำการสังหารชาวอฺรับ, โดยเฉพาะ, บรรดาเคาะลีฟะฮ์และบรรดาผู้นำ ชาวกุเรช ที่เป็นต้นตระกูลของท่านเอง รวมทั้งชาวซุนนะฮ์อื่นๆ .... จนกระทั่ง,ประชาชนในโลกจะยังคงเหลืออยู่เพียงแค่ “หนึ่งในสาม” เท่านั้น,.. ซึ่งก็คงเป็นชาวชีอะฮ์ล้วนๆ, .... ดังการรายงานจากตำราของชีอะฮ์ที่จะถึงต่อไป ...
เรียกได้ว่า เป็นการ “ฆ่า” ล้างโคตรและล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งกว่าการฆ่าครั้งใดๆ ทั้งสิ้นเท่าที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก ... จากผู้ซึ่งได้ชื่อว่า “จะนำความสงบสุขมาให้แก่ชาวโลก” ...
ต่อไปนี้ คือรายงานเรื่องการปรากฏกายและภารกิจหลังการปรากฏกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์จากตำราของชีอะฮ์ ...
ท่านอบูบักรฺ, ท่านอุมัรฺ ร.ฎ. สองเคาะลีฟะฮ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งโลกอิสลามตามความเชื่อมั่นของชาวซุนนะฮ์ ... และบุตรีของทั้งสองท่าน, ... คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. บุตรีของท่านอบูบักรฺ และท่านหญิงหัฟเศาะฮ์ ร.ฎ. บุตรีของท่านอุมัรฺ ...
ทั้ง 4 ท่านจะต้องถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรองรับการ “แก้แค้น” ของท่านมะฮ์ดีย์, โทษฐานแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์จากท่านอฺลีย์ ร.ฎ. และสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. (ตามข้อกล่าวหาของชีอะฮ์) ...
ยัง, .. ยังไม่จบสิ้นเพียงแค่นั้น .... อิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์จะทำการสังหารชาวอฺรับ, โดยเฉพาะ, บรรดาเคาะลีฟะฮ์และบรรดาผู้นำ ชาวกุเรช ที่เป็นต้นตระกูลของท่านเอง รวมทั้งชาวซุนนะฮ์อื่นๆ .... จนกระทั่ง,ประชาชนในโลกจะยังคงเหลืออยู่เพียงแค่ “หนึ่งในสาม” เท่านั้น,.. ซึ่งก็คงเป็นชาวชีอะฮ์ล้วนๆ, .... ดังการรายงานจากตำราของชีอะฮ์ที่จะถึงต่อไป ...
เรียกได้ว่า เป็นการ “ฆ่า” ล้างโคตรและล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งกว่าการฆ่าครั้งใดๆ ทั้งสิ้นเท่าที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก ... จากผู้ซึ่งได้ชื่อว่า “จะนำความสงบสุขมาให้แก่ชาวโลก” ...
ต่อไปนี้ คือรายงานเรื่องการปรากฏกายและภารกิจหลังการปรากฏกายของอิหม่ามมะฮ์ดีย์จากตำราของชีอะฮ์ ...
(1). อิหม่ามมะฮ์ดีย์ จะเรียกพระนามอัลลอฮ์เป็นภาษาฮิบรู...
ท่านอัล-นุอฺมานีย์ นักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่งได้รายงานมาว่า ....
ท่านอัล-นุอฺมานีย์ นักวิชาการชีอะฮ์ท่านหนึ่งได้รายงานมาว่า ....
أِذَااَذَّنَ ْالإمَامُ دَعَااللَّـهَ بِاسْـمِهِ الْعِبْرَانِيِّ، فَأُتِيْحَتْ لَهُ صَحَابَتُهُ الثَّلاَثُمِائَةِ وَالثَّلاَثَةَ عَشَرَ، قَزَعَ كَقَزَعِ الْخَرِيْفِ، فَمِنْهُمْ أَصْحَابُ ْالأَلَوِيَّةِ، مِنْهُمْ مَنْ يَفْقِدُ عَنْ فِرَاشِـهِ لَيْلاً فَيُصْبِحُ بِمَكَّةَ ....
“เมื่อท่านอิหม่ามประกาศตัว ท่านก็จะเรียกอัลลอฮ์ด้วยพระนามของพระองค์ที่เป็นภาษาฮิบรูสาวกของท่านจำนวน 313 คนก็จะถูกบันดาลขึ้นมาด้วยความกระวีกระวาดประหนึ่งสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง, ส่วนหนึ่งมาจากตระกูลอะละวียะฮ์, ส่วนหนึ่งหายตัวจากที่นอนของเขาในยามราตรี และจะปรากฏตัวตอนเช้าที่มักกะฮ์ ...........”
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัล-นุอฺมานีย์, หน้า 169 .... คัดมาจากหนังสือ “อัช-ชีอะฮ์ วัต-ตะชัยยุอฺ” ของท่านอิหฺซาน อิลาฮีย์ เศาะฮีรีย์ หน้า 371) ...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัล-นุอฺมานีย์, หน้า 169 .... คัดมาจากหนังสือ “อัช-ชีอะฮ์ วัต-ตะชัยยุอฺ” ของท่านอิหฺซาน อิลาฮีย์ เศาะฮีรีย์ หน้า 371) ...
ก็ทำให้สงสัยว่า ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์นี่ ท่านเป็นมุสลิมหรือเป็นยิวกันแน่ ? เพราะพระนามของอัลลอฮ์ที่เป็นภาษาอฺรับก็มี แต่ไม่เรียก กลับไปเรียกพระนามในภาษาฮิบรู,.... และภาษาฮิบรู ก็คือภาษาดั้งเดิมของชาวยิว ...
(2). ชาวชีอะฮ์จากทุกมุมโลกและทุกประเทศ,ทั้งหมด, ...จะมาชุมนุมร่วมกับท่าน ...
ท่านมุหัมมัด บากิรฺ อัล-มัจญลิสีย์ ได้บันทึกรายงานมาจากสหายบางคนของท่านอิหม่ามอฺลีย์ อัล-ฮาดีย์ อิหม่ามท่านที่ 10 ของชีอะฮ์ว่า ...
ท่านมุหัมมัด บากิรฺ อัล-มัจญลิสีย์ ได้บันทึกรายงานมาจากสหายบางคนของท่านอิหม่ามอฺลีย์ อัล-ฮาดีย์ อิหม่ามท่านที่ 10 ของชีอะฮ์ว่า ...
[ سَأَلْتُ أَبَاالْحَسَنِ عَلَيْهِ السَّلاَمُ عَنْ قَوْلِهِ : (أَيْنَمَاتَكُوْنُوْا يَأْتِ بِكُمُ اللَّـهُ جَمِيْعًا) قَالَ : وَذَلِكَ وَاللَّـهِ ! أَنْ لَوْقَدْقَامَ قَائِمُنَا يَجْمَعُ اللَّـهُ اِلَيْهِ شِيْعَتَـنَامِنْ جَمِيْعِ الْبُلْدَانِ ]
ฉันได้ถามท่านอบา อัล-หะซัน (ชื่อรองของอิหม่ามอฺลีย์) อะลัยฮิสสลาม ว่า ... โองการที่ว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณที่ใด อัลลอฮ์ก็จะทรงนำพวกเจ้ามาทั้งหมด” ... (ซูเราะฮ์อัล-บะเกาะเราะฮ์, โองการที่ 148) .... หมายความว่าอย่างไร ? .. ท่านอิหม่ามก็ตอบว่า .. “เรื่องนี้, ขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮ์ .. คือ เมื่อใดที่ท่านผู้ลุกขึ้นมาปฏิวัติปรากฏตัว พระองค์อัลลอฮ์ก็จะทรงรวบรวมพวกชีอะฮ์ของเรา, จากทุกๆประเทศทั้งหมด(มารวมกัน)
(จากหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 52 หน้า 291)
(จากหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 52 หน้า 291)
(3). เมื่อมะฮ์ดีย์ปรากฏตัว ผู้ที่จะให้สัตยาบันคนแรกคือท่านญิบรีล (ญิบรออีล)...
ท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ ได้บันทึกรายงานมาว่า ...
ท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ ได้บันทึกรายงานมาว่า ...
[ اِنَّ جِبْرَئِيْلَ يَأْتِيْهِ، وَيَسْأَلُـهُ، وَيَقُوْلُ : " اِلَى أَيِّ شَـْيءٍ تَدْعُوْ؟ فَيُخْبِرُهُ اْلقَائِمُ، فَيَقُوْلُ جِبْرَئِيْلُ : فَأَنَا اَوَّلُ مَنْ يُبَايِعُ، ثُمَّ يَقُوْلُ لَهُ : مُدَّكَفَّكً! فَيَمْسَحُ يَدَهُ عَلَى يَدِهِ ]
แท้จริง ญิบรออีล (อ) ได้มาหาท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ แล้วกล่าวถามว่า ... “ท่านจะเรียกร้องเชิญชวนสู่สิ่งใด?” .. เมื่อท่านอัล-กออิม(คือ อิหม่ามมะฮ์ดีย์)บอกเขา ญิบรออีลจึงกล่าวว่า .. “ถ้าอย่างนั้น ข้า คือคนแรกที่จะให้สัตยาบัน” ต่อจากนั้น ญิบรออีลก็กล่าวว่า .. “ยื่นมือของท่านมาซิ !” ... แล้วญิบรออีลก็ลูบไล้มือของเขาบนมือของท่าน” ...
(จากหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 460-461)..
หลังจากท่านญิบรออีลแล้ว ผู้ที่จะให้สัตยาบันต่อมาก็คือ บรรดามะลาอิกะฮ์, แล้วก็บรรดาหัวหน้าๆของพวกญิน, แล้วก็ระดับผู้นำของผู้ศรัทธาตามลำดับ ...
(จากหนังสือ “อัล-อันวารุ้ล นุอฺมานียะฮ์” ของท่านอัล-ญะซาอิรีย์, เล่มที่ 2 หน้า 83) ...
แต่รายงานข้างต้นนี้ ขัดแย้งกับอีกรายงานหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ผู้ที่จะให้บัยอะฮ์หรือสัตยาบันต่ออิหม่ามมะฮ์ดีย์เป็นคนแรก ก็คือ ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ถัดจากนั้น ก็คือ ท่านอฺลีย์ บิน อบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ....
มีรายงานมาจากท่านอบีย์ญะอฺฟัรฺ (หมายถึงท่านมุหัมมัด อัล-บากิรฺ อิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์) ซึ่งกล่าวว่า ....
(จากหนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 460-461)..
หลังจากท่านญิบรออีลแล้ว ผู้ที่จะให้สัตยาบันต่อมาก็คือ บรรดามะลาอิกะฮ์, แล้วก็บรรดาหัวหน้าๆของพวกญิน, แล้วก็ระดับผู้นำของผู้ศรัทธาตามลำดับ ...
(จากหนังสือ “อัล-อันวารุ้ล นุอฺมานียะฮ์” ของท่านอัล-ญะซาอิรีย์, เล่มที่ 2 หน้า 83) ...
แต่รายงานข้างต้นนี้ ขัดแย้งกับอีกรายงานหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ผู้ที่จะให้บัยอะฮ์หรือสัตยาบันต่ออิหม่ามมะฮ์ดีย์เป็นคนแรก ก็คือ ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ถัดจากนั้น ก็คือ ท่านอฺลีย์ บิน อบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ....
มีรายงานมาจากท่านอบีย์ญะอฺฟัรฺ (หมายถึงท่านมุหัมมัด อัล-บากิรฺ อิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์) ซึ่งกล่าวว่า ....
[ لَوْقَدْخَرَجَ اْلقَائِمُ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ عَلَيْهِمُ السَّلاَمُ لَنَصَرَهُ اللَّـهُ بِاْلمَلاَئِكَةِ، ......... وَاَوَّلُ مَنْ يَتْبَعُهُ : (وَفِيْ رِوَايَةٍ : يُبَايِعُهُ) مُحَمَّدٌ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَعَلِيٌّ الثَّانِىْ وَمَعَهُ سَيْفٌ مُخْتَرَطٌ ]
“เมื่อท่านอัล-กออิม จากวงศ์วานของท่านนบีย์มุหัมมัดอะลัยฮิมุสสลาม ปรากฏตัวขึ้น,.... พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ก็จะให้บรรดามะลาอิกะฮ์คอยช่วยเหลือเขา .......... และบุคคลแรกที่จะติดตามเขา (บางรายงานกล่าวว่า .. ที่จะให้สัตยาบันต่อเขา) คือ ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ถัดมาก็คือ ท่านอฺลีย์ ร.ฎ. ซึ่งท่านจะถือดาบที่ถูกเปลือยออกจากฝักมาด้วย ......”
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัล-นุอฺมานีย์, หน้า 234 .. และจากหนังสือ “หักกุลยะกีน” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 139 ตีพิมพ์ที่อิหร่าน ... ดังการอ้างอิงในหนังสือ “การปฏิวัติของอิหร่าน, ท่านอิมามโคมัยนีย์ฯ” หน้า 120) ...
(4). มะฮ์ดีย์มา เพื่อการแก้แค้น ...
ท่านอัล-ฟัยฎ์ อัล-กาชานีย์ นักวิชาการตัฟซีรฺของชีอะฮ์ท่านหนึ่ง ได้กล่าวในหนังสือตัฟซีรฺของท่านว่า ...
ท่านอัล-ฟัยฎ์ อัล-กาชานีย์ นักวิชาการตัฟซีรฺของชีอะฮ์ท่านหนึ่ง ได้กล่าวในหนังสือตัฟซีรฺของท่านว่า ...
[ بَعَثَ اللَّـهُ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَحْمَـةً، وَبَعَثَ الْقَائِمَ نَقْمَـةً ]
“พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงแต่งตั้งท่านนบีย์ มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มา เพื่อเป็นความเมตตา, และทรงส่งอัล-กออิม (ผู้ปฏิวัติโลก) มาเพื่อการแก้แค้น(หรือลงโทษ)...
(จากหนังสือตัฟซีรฺ “อัศ-ศอฟีย์” หน้าที่ 359, หนังสือ “อัล-อีย์ก็อศ มินัล ฮัจญอะฮ์ฯ” ของท่านอัล-หัรรุ้ล อามิลีย์ หน้า 244, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ เล่มที่ 52 หน้า 314 ) ...
(จากหนังสือตัฟซีรฺ “อัศ-ศอฟีย์” หน้าที่ 359, หนังสือ “อัล-อีย์ก็อศ มินัล ฮัจญอะฮ์ฯ” ของท่านอัล-หัรรุ้ล อามิลีย์ หน้า 244, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ เล่มที่ 52 หน้า 314 ) ...
(5). บุคคลแรกที่จะถูกแก้แค้น คือ ท่านอบูบักรฺ และท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ...
ท่านอัล-มัจญลิสีย์ ได้อ้างบันทึกการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ..
ท่านอัล-มัจญลิสีย์ ได้อ้างบันทึกการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ..
[ هَلْ تَدْرِيْ أَوَّلَ مَا يَبْدَأُبِـهِ الْقَائِمُ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، قُلْتُ : لاَ!.. قَالَ : يُخْرِجُ هَـذَيْنِ رَطْبَيْنِ غَضَّيْن فيُحْرِقُـهُمَا وَيَذْرِيْهِمَا فِى الرِّيْحِ، وَيُكَسِّرُالْمَسْجِدَ ] .....
“ท่านรู้ไหมว่า สิ่งแรกสุดที่ท่านอัล-กออิม (อ) จะทำคืออะไร ? .. ฉัน (หมายถึงท่านบะชีรฺ อัน-นับบาล ผู้รายงานหะดีษนี้จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ) กล่าวว่า : ไม่ทราบครับ, ท่านญะอฺฟัรฺจึงเฉลยว่า .. คือการให้เจ้าสองคนนี้ (หมายถึงท่านอบูบักรฺและท่านอุมัรฺ) ฟื้นขึ้นมาในสภาพสดชื่นตามปกติ, แล้วท่านก็จะเผามันทั้งสอง แล้วเอา(ขี้เถ้าของ)มันทั้งสองโปรยไปในอากาศ, และ ท่านจะทำลายมัสญิด”
(จากหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 52 หน้า 386)
(จากหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 52 หน้า 386)
(6). แล้วต่อมาก็คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ...
ท่านอับดุรฺเราะห์มาน อัล-เกาะศีรฺ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ....
ท่านอับดุรฺเราะห์มาน อัล-เกาะศีรฺ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ....
[ أَمَالَوْ قدْقَامَ قَائِمُنَا لَقَدْرُدَّتْ اِلَيْهِ الْحُمَيْرَاءُ حَتَّى يَجْلِدَهَاالْحَـدَّ، وَحَتَّى يَنْتَقِمَ ِلأُمِّهِ فَاطِمَةَ، قُلْتُ : جَعَلْتُ فِدَاكَ! وَلِمَ يَجْلِدُهَاالْحَـدَّ؟ .. قَالَ : لِفِرْيَتِهَا عَلَى أُمِّ اِبْرَاهِيْمَ، قُلْتُ : فَكَيْفَ أَخَّرَاللَّـهُ ذَلِكَ أِلَى اْلقَائِمِ؟ ...قَالَ : أِنَّ اللَّـهَ بَعَثَ مُحَمَّدًا رَحْمَـةً، وَبَعَثَ الْقَائِمَ نَقْمَـةً ]...
“แน่นอน! เมื่อใดก็ตามที่อัล-กออิมของพวกเราปรากฏตัวขึ้น นังแดงน้อย (หมายถึงท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.) ก็จะต้องถูกให้ฟื้นขึ้นมาเพื่อให้ท่านโบยตีมันเป็นการลงโทษ, และเพื่อเป็นการแก้แค้นแทนให้แก่มารดาของท่าน คือท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ร.ฎ. ด้วย,” ... ฉัน (อับดุรฺเราะห์มาน) กล่าวว่า .. ขอให้ฉันเป็นพลีแก่ท่านด้วย นางจะถูกลงโทษด้วยเรื่องอะไร? .. ท่านตอบว่า .. “เพราะมันปองร้ายต่อมารดาของอิบรอฮีม (หมายถึงท่านหญิงคอดีญะฮ์)” .. ฉันจึงถามต่อไปว่า .. ก็แล้วทำไมพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จึงประวิงเรื่องนี้มาให้ท่านอัล-กออิมล่ะ? (หมายความว่า ทำไมไม่ให้ท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ลงโทษด้วยตัวของท่านเอง?) .... ท่านก็ตอบว่า .. “ก็เพราะพระองค์อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งท่านมุหัมมัดมา เพื่อความเมตตา, และแต่งตั้งท่านอัล-กออิมมา เพื่อการลงโทษ”...
(จากหนังสือ “อัล-อีย์ก็อศ มินัล ฮัจญอะฮ์ฯ” ของท่านอัล-หัรรุ้ล อามิลีย์ หน้า 244, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” เล่มที่ 52 หน้า 314) ...
(จากหนังสือ “อัล-อีย์ก็อศ มินัล ฮัจญอะฮ์ฯ” ของท่านอัล-หัรรุ้ล อามิลีย์ หน้า 244, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” เล่มที่ 52 หน้า 314) ...
(7). บรรดาชาวอฺรับก็จะถูกอิหม่ามมะฮ์ดีย์สังหารอย่างทารุณ ...
ท่านอัลมัจญลิสีย์ ได้อ้างการบันทึกรายงานมาจากรอฟีด, คนสนิทของท่านอิบนุฮุบัยเราะฮ์ , จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ...
ท่านอัลมัจญลิสีย์ ได้อ้างการบันทึกรายงานมาจากรอฟีด, คนสนิทของท่านอิบนุฮุบัยเราะฮ์ , จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ซึ่งกล่าวว่า ...
[ اِنَّ الْقَائِمَ يَسِيْرُفِي الْعَرَبِ فِي الْجَفْرِالأََحْمَـرِ، قَالَ : قُلْتُ : جَعَلْتُ فِدَاكَ! وَمَافِي الْجَفْرِالأَحْمَـرِ؟ قَالَ : فَأَمَرَّاُصْبُعَـهُ عَلَى حَلْقِـهِ قَالَ : هَكَذَا، يَعْنِي الذَّبْحَ ]..
"แท้จริง ท่านอัล-กออิม จะปฏิบัติการเกี่ยวกับชาวอฺรับ ในหลุมบ่อกว้างอันแดงฉาน” ท่านรอฟีดกล่าวว่า ฉันจึงถามว่า .. “ขอให้ฉันเป็นพลีแก่ท่าน!.. คำว่า .. หลุมบ่อกว้างอันแดงฉาน .. คืออะไร ?” ท่านรอฟีดกล่าวว่า .. ท่านอิหม่ามจึงทำท่าเอานิ้วปาดที่กระเดือกของท่าน แล้วกล่าวว่า .. “ก็อย่างนี้ไงล่ะ!” .... คือ ท่านหมายถึงการเชือดคอ” ...
(จากหนังสือ “บิหารุ้ลอันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 13 หน้า 308)
"แท้จริง ท่านอัล-กออิม จะปฏิบัติการเกี่ยวกับชาวอฺรับ ในหลุมบ่อกว้างอันแดงฉาน” ท่านรอฟีดกล่าวว่า ฉันจึงถามว่า .. “ขอให้ฉันเป็นพลีแก่ท่าน!.. คำว่า .. หลุมบ่อกว้างอันแดงฉาน .. คืออะไร ?” ท่านรอฟีดกล่าวว่า .. ท่านอิหม่ามจึงทำท่าเอานิ้วปาดที่กระเดือกของท่าน แล้วกล่าวว่า .. “ก็อย่างนี้ไงล่ะ!” .... คือ ท่านหมายถึงการเชือดคอ” ...
(จากหนังสือ “บิหารุ้ลอันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เล่มที่ 13 หน้า 308)
(8). และเคาะลีฟะฮ์หรือผู้นำที่เป็นชาวกุเรชทั้งหลายก็จะถูกสังหารด้วย....
ท่านอัน-นุอฺมานีย์ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกว่า ..
.
[ لَوْيَعْلَمُ النَّاسُ مَايَصْنَعُ اْلقَائِمُ أِذَاخَرَجَ َلأَحَبَّ أَكْثَرُهُمْ اَلاَّيَرَوْهُ مِمَّايَقْتُلُ مِنَ النَّاسِ، أَمَا اِنَّهُ لاَ يَبْدَأُاِلاَّ بِقُرَيْشٍ، فَلاَ يَأْخُذُمِنْهَا اِلاَّالسَّيْفَ! وَلاَيُعْطِيْهَااِلاَّالسَّيْفَ، حَتَّى يَقُوْلَ كَثِيْرٌمِنَ النَّاسِ : هَـذَا لَيْسَ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ! وَلَوْكَانَ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ لَرَحِـمَ ]...
ท่านอัน-นุอฺมานีย์ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกว่า ..
.
[ لَوْيَعْلَمُ النَّاسُ مَايَصْنَعُ اْلقَائِمُ أِذَاخَرَجَ َلأَحَبَّ أَكْثَرُهُمْ اَلاَّيَرَوْهُ مِمَّايَقْتُلُ مِنَ النَّاسِ، أَمَا اِنَّهُ لاَ يَبْدَأُاِلاَّ بِقُرَيْشٍ، فَلاَ يَأْخُذُمِنْهَا اِلاَّالسَّيْفَ! وَلاَيُعْطِيْهَااِلاَّالسَّيْفَ، حَتَّى يَقُوْلَ كَثِيْرٌمِنَ النَّاسِ : هَـذَا لَيْسَ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ! وَلَوْكَانَ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ لَرَحِـمَ ]...
“สมมุติถ้าประชาชนล่วงรู้ถึงสิ่งที่อัล-กออิมจะกระทำเมื่อปรากฏตัวละก็ พวกเขาส่วนมากก็ไม่คงไม่อยากจะเห็นท่าน อันเนื่องมาจากการที่ท่านสังหารประชาชน, ..... แน่นอน, ท่านจะไม่เริ่มต้นกับใครอื่นนอกจาก (ผู้นำ) พวกกุเรช, ท่านจะไม่ยอมรับสิ่งใดจากพวกเขานอกจากดาบ และจะไม่ยอมให้สิ่งใดแก่พวกเขานอกจากดาบ! (คือ ฆ่าลูกเดียว)... จนกระทั่งประชาชนส่วนมากจะกล่าวกันว่า : นี่ มิใช่วงศ์วานของท่านมุหัมมัดแน่นอน!....เพราะสมมุติถ้าเป็นวงศ์วานของท่านมุหัมมัดจริงเขาต้องมีความเมตตาบ้าง”...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัน-นุอฺมานีย์, หน้า 233)
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัน-นุอฺมานีย์, หน้า 233)
ท่านอัล-มุฟีด และท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ ได้อ้างรายงานหะดีษอีกบทหนึ่งมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิกว่า ...
[ اِذَا قَامَ الْقَائِمُ مِنْ اَلِ مُحَمَّدٍ أَقَامَ خَمْسَمِائَةٍ مِنْ قُرَيْشٍ فَضَرَبَ أَعْنَاقَهُمْ، ثُمَّ أَقَامَ خَمْسَمِائَةٍ فَضَرَبَ أَعْنَاقَهُمْ، ثُمَّ خَمْسَمِائَةٍ أُخْرَى حَتَّى يَفْعَلَ ذَلِكَ سِتَّ مَرَّاتٍ، قُلْتُ : وَيَبْلُغُ عَدَدُ هَؤُلاَءِ هَـذَا؟ .. قَالَ : نَعَمْ! مِنْهُمْ، وَمِنْ مَوَالِيْهِمْ ].....
“เมื่อท่านอัล-กออิมผู้เป็นวงศ์วานของท่านมุหัมมัดปรากฏตัว ท่านก็จะสั่งให้นำตัว (ผู้นำ) พวกกุเรชมา 500 คน แล้วท่านก็จะตัดศีรษะพวกเขา, แล้วสั่งให้นำมาอีก 500 คน แล้วก็ตัดศีรษะพวกเขา, แล้วสั่งให้นำชุดอื่นมาอีก 500 คน แล้วก็ตัดศีรษะพวกเขา, ... ทำอยู่อย่างนี้ 6 ครั้งด้วยกัน, (รวมแล้วก็คือ 3000 คน) .. ฉัน (หมายถึง อับดุลลอฮ์ บิน อัล-มุฆีเราะฮ์ ผู้รายงานหะดีษนี้จากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ) จึงถามท่านว่า .. “จะถึงจำนวนมากเพียงนั้นเชียวหรือ?” .. ท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺตอบว่า .. “ใช่แล้ว! ทั้งพวกมันและผู้สนับสนุนพวกมันด้วย” ...
(จากหนังสือ “อัล-อิรฺชาด” ของท่านอัล-มุฟีด, หน้า 364, หนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 461, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ เล่มที่ 52 หน้า 354 ) ...
นอกจากนี้ ท่านอัน-นุอฺมานีย์ ก็ได้บันทึกหะดีษนี้ไว้เช่นกันในหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่าน หน้า 235 ...
(จากหนังสือ “อัล-อิรฺชาด” ของท่านอัล-มุฟีด, หน้า 364, หนังสือ “อะอฺลาม อัล-วะรออ์” ของท่านอัฏ-ฏ็อบริสีย์ หน้า 461, และหนังสือ “บิหารุ้ล อันวารฺ” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์ เล่มที่ 52 หน้า 354 ) ...
นอกจากนี้ ท่านอัน-นุอฺมานีย์ ก็ได้บันทึกหะดีษนี้ไว้เช่นกันในหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่าน หน้า 235 ...
(9). นักวิชาการชาวซุนนะฮ์จะถูกอิหม่ามมะฮ์ดีย์ประหารก่อนพวกกาฟิรฺ ...
ท่านอัล-บากิรฺ อัล-มัจญลิสีย์ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากิรฺ (อิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์) ว่า ....
ท่านอัล-บากิรฺ อัล-มัจญลิสีย์ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากิรฺ (อิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์) ว่า ....
[ عِنْدَمَا يَظْهَرُاْلإمَامُ الْمَهْدِيُّ فَاِنَّـهُ يَقُوْمُ بِالْقَضَاءِ عَلَى أَهْلِ السُّنَّةِ قَبْلَ الْكُفَّارِ، وَيَبْدَأُ عَمَلَـهُ بِقَتْلِ عُلَمَاءِ أَهْلِ السُّنَّةِ ] ........
“ตอนที่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ปรากฏตัวขึ้นมา ท่านจะทำการตัดสิน(ลงโทษ) ชาวอะฮ์ลิซ ซุนนะฮ์ก่อนพวกกาฟิรฺ, และท่านจะเริ่มต้นภารกิจของท่านด้วยการสังหารนักวิชาการอะฮ์ลิซ ซุนนะฮ์” ...
(จากหนังสือ “หักกุ้ล ยะกีน” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เป็นภาษาเปอร์เชียร์ หน้า 139 ... คัดมาจากหนังสือ “อัล-ชีอะฮ์ ฟี อัล-มีซาน” หน้า 82) ...
“ตอนที่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ปรากฏตัวขึ้นมา ท่านจะทำการตัดสิน(ลงโทษ) ชาวอะฮ์ลิซ ซุนนะฮ์ก่อนพวกกาฟิรฺ, และท่านจะเริ่มต้นภารกิจของท่านด้วยการสังหารนักวิชาการอะฮ์ลิซ ซุนนะฮ์” ...
(จากหนังสือ “หักกุ้ล ยะกีน” ของท่านอัล-มัจญลิสีย์, เป็นภาษาเปอร์เชียร์ หน้า 139 ... คัดมาจากหนังสือ “อัล-ชีอะฮ์ ฟี อัล-มีซาน” หน้า 82) ...
(10). ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ จะสังหารประชาชนชาวโลกไปประมาณสองในสามส่วน ...
ท่านอัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ว่า ....
ท่านอัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์ ได้อ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก ว่า ....
[ لاَيَكُوْنُ هَـذَااْلأَمْرُ حَتَّى يَذْهَبَ ثُلُثَا النَّاسِ، فَقِيْلَ لَهُ : فَاِذَا ذَهَبَ ثُلُثَاالنَّاسِ فَمَابَقِيَ؟ قَالَ عَلَيْهِ السَّلاَمُ : أَمَاتَرْضَوْنَ أَنْ تَكُوْنُوْا الثُّلُثَ الْبَاقِيَ؟ ]...
“ภารกิจนี้ จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าประชาชน จะสูญหายไป( คือถูกสังหาร)ถึงสองในสามส่วน, มีผู้ถามว่า ... เมื่อประชาชนต้องล้มตายไปถึงสองในสามส่วน แล้วจะเหลือใครอีก? ... ท่านอิหม่าม(อ) ก็ตอบว่า : แล้วพวกท่านไม่พอใจหรือที่จะเป็นหนึ่งในสามของประชาชนที่เหลือรอดน่ะ?” ...
(จากหนังสือ “อัรฺ-ร็อจญอะฮ์” ของท่านอะห์มัด บิน ซัยนุดดีน อัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์, หน้า 51)..
(จากหนังสือ “อัรฺ-ร็อจญอะฮ์” ของท่านอะห์มัด บิน ซัยนุดดีน อัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์, หน้า 51)..
(11). อิหม่ามมะฮ์ดีย์ จะนำหลักการ(ศาสนา)ใหม่และคัมภีร์ใหม่มาใช้ ...
มีรายงานมาจากท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากิรฺอีกว่า ...
มีรายงานมาจากท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากิรฺอีกว่า ...
[ فَيَاطُوْبَى لِمَنْ أَدْرَكَهُ وَكَانَ مِنْ أَنْصَارِهِ، وَالْوَيْلُ كُلَّ الْوَيْلِ لِمَنْ خَالَفَهُ وَخَالَفَ أَمْرَهُ وَكَانَ مِنْ أَعْدَائِهِ، ثُمَّ قَالَ : يَقُوْمُ بِأَمْرٍجَـدِيْدٍ، وَسُنَّةٍ جَـدِيْدَةٍ، وَقَضَاءٍ جَـدِيْدٍ، عَلَى الْعَرَبِ شَـدِيْدٌ، لَيْسَ شَـأْنُهُ إلاَّالْقَتْلَ، وَلاَيَسْتَتِيْبُ أَحَـدًا، وَلاَ تَأْخُـذُهُ فِي اللَّـهِ لَوْمَةُلاَئِمٍ ] .....
“ช่างโชคดีอะไรอย่างนั้นสำหรับผู้ที่ได้พบและเป็นผู้ช่วยเหลือเขา, และช่างโชคร้ายสุดแสนสำหรับผู้ที่ขัดแย้งกับเขา, ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา, และทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขา ... เขาจะลุกขึ้นมาปฏิวัติโลกด้วยหลักการใหม่, ด้วยซุนนะฮ์แบบใหม่, ด้วยวิธีการตัดสินแบบใหม่ เขาจะแข็งกร้าวต่อชาวอฺรับ, หน้าที่ของเขามิใช่อื่นใดนอกจากการสังหารเท่านั้น, เขาจะไม่ให้ใครขอลุกะโทษ ... และ, เพื่ออัลลอฮ์แล้ว .. เขาจะไม่สนใจการตำหนิติเตียนของผู้ใดทั้งสิ้น ...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัน-นุอฺมานีย์ หน้า 235, และบางสำนวนจากการบันทึกของท่านในหน้า 154 จะปรากฏคำว่า .. “ด้วยคัมภีร์ฉบับใหม่” .. แทนคำว่า .. “ด้วยซุนนะฮ์แบบใหม่” ...
“ช่างโชคดีอะไรอย่างนั้นสำหรับผู้ที่ได้พบและเป็นผู้ช่วยเหลือเขา, และช่างโชคร้ายสุดแสนสำหรับผู้ที่ขัดแย้งกับเขา, ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา, และทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขา ... เขาจะลุกขึ้นมาปฏิวัติโลกด้วยหลักการใหม่, ด้วยซุนนะฮ์แบบใหม่, ด้วยวิธีการตัดสินแบบใหม่ เขาจะแข็งกร้าวต่อชาวอฺรับ, หน้าที่ของเขามิใช่อื่นใดนอกจากการสังหารเท่านั้น, เขาจะไม่ให้ใครขอลุกะโทษ ... และ, เพื่ออัลลอฮ์แล้ว .. เขาจะไม่สนใจการตำหนิติเตียนของผู้ใดทั้งสิ้น ...
(จากหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮ์” ของท่านอัน-นุอฺมานีย์ หน้า 235, และบางสำนวนจากการบันทึกของท่านในหน้า 154 จะปรากฏคำว่า .. “ด้วยคัมภีร์ฉบับใหม่” .. แทนคำว่า .. “ด้วยซุนนะฮ์แบบใหม่” ...
(12). อิหม่ามมะฮ์ดีย์จะตัดสินตามหลักกฎหมายของท่านนบีย์ดาวูด ...
ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอะบาน ซึ่งกล่าวว่า ...
ท่านกุลัยนีย์ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอะบาน ซึ่งกล่าวว่า ...
[ سَمِعْتُ أَبَاعَبْدِاللَّـهِ (ع) يَقُوْلُ : لاَتَذْهَبُ الدُّنْيَا حَتَّى يَخْرُجَ رَجُلٌ مِنِّيْ، يَحْكُمُ بِحُكُوْمَةِ أَلِ دَاوُدَ، وَلاَيَسْـأَلُ بِبَيِّنَـةٍ، يُعْطِيْ كُلَّ نَفْسٍ حَقَّهَا ].......
ฉันได้ยินท่านอบาอับดิลลาฮ์ (อิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก) กล่าวว่า ... “โลกนี้จะยังไม่ถึงกาลอวสานต์ จนกว่าบุรุษหนึ่ง(ซึ่งสืบเชื้อสาย)จากฉันจะปรากฏตัวขึ้นมา, .. เขาจะตัดสินตามหลักกฎหมายของลูกหลานท่านนบีย์ดาวูด, เขาจะไม่ถามถึงพยานหลักฐาน, และเขาจะมอบให้แก่ทุกๆชีวิตในสิ่งซึ่งเป็นสิทธิของเขา” ...
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” ของท่านกุลัยนีย์, เล่มที่ 1 หน้า 397-398, กิตาบอัล-หุจญะฮ์ บาบว่าด้วยเรื่องอิหม่าม เมื่อภารกิจของพวกท่านปรากฏขึ้น พวกท่านจะตัดสินด้วยหุก่มของนบีดาวูดฯ, หะดีษที่ 2, และหนังสือ “บะศออิรฺ อัด-ดะรอญาต” ของท่านอัศ-ศ็อฟฟารฺ หน้า 278) ...
และอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งอ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะฟัรฺ อัศ-ศอดิกเช่นกัน กล่าวว่า ....
(จากหนังสือ “อุศูล อัล-กาฟีย์” ของท่านกุลัยนีย์, เล่มที่ 1 หน้า 397-398, กิตาบอัล-หุจญะฮ์ บาบว่าด้วยเรื่องอิหม่าม เมื่อภารกิจของพวกท่านปรากฏขึ้น พวกท่านจะตัดสินด้วยหุก่มของนบีดาวูดฯ, หะดีษที่ 2, และหนังสือ “บะศออิรฺ อัด-ดะรอญาต” ของท่านอัศ-ศ็อฟฟารฺ หน้า 278) ...
และอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งอ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะฟัรฺ อัศ-ศอดิกเช่นกัน กล่าวว่า ....
[ إذَا قَامَ قَائِمٌ اَلُ مُحَمَّدٍ حَكَمَ بِحُكْمِ دَاوُدَ وَسُلَيْمَانَ، لاَيَسْـأَلُ النَّاسَ بَيِّنَـةً ]
“เมื่ออัล-กออิม, วงศ์วานของท่านมุหัมมัดลุกขึ้นมาปฏิวัติ เขาจะตัดสินด้วยหุก่มของนบีย์ดาวูดและนบีย์สุลัยมาน, และเขาจะไม่ถามหลักฐานใดๆจากประชาชนเลย” ...
(จากหนังสือ “บะศออิรฺ อัด-ดะรอญาต” หน้า 279) ...
“เมื่ออัล-กออิม, วงศ์วานของท่านมุหัมมัดลุกขึ้นมาปฏิวัติ เขาจะตัดสินด้วยหุก่มของนบีย์ดาวูดและนบีย์สุลัยมาน, และเขาจะไม่ถามหลักฐานใดๆจากประชาชนเลย” ...
(จากหนังสือ “บะศออิรฺ อัด-ดะรอญาต” หน้า 279) ...
(13). อิหม่ามมะฮ์ดีย์จะทำลายมัสญิดทั้งหมด แม้กระทั่งมัสญิดอัล-หะรอม
ท่านอัล-มุฟัฎฎ็อล บิน อุมัรฺ ได้มีคำถามหลายอย่างต่อท่านอิหม่ามญะฟัรฺ อัศ-ศอดิก, และหนึ่งจากคำถามเหล่านั้นก็คือ ...
ท่านอัล-มุฟัฎฎ็อล บิน อุมัรฺ ได้มีคำถามหลายอย่างต่อท่านอิหม่ามญะฟัรฺ อัศ-ศอดิก, และหนึ่งจากคำถามเหล่านั้นก็คือ ...
[ يَا سَيِّدِيْ! فَمَايَصْنَعُ بِالْبَيْتِ؟ .. قَالَ : يَنْقُضُـهُ، فَلاَ يَدَعُ مِنْهُ إلاَّالْقَوَاعِدَ الَّتِيْ هِيَ أوَّلُ بَيْتٍ وُضِعَ لِلنَّاسِ بِبَكَّةَ فِيْ عَهْدِ أدَمَ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، وَالَّذِيْ رَفَـعَهُ إبْرَاهِيْمُ وَإسْمَاعِيْلُ عَلَيْهِمَاالسَّلاَمُ مِنْهَا ]..
“โอ้ นายท่าน ! เขา (มะฮ์ดีย์) จะทำอะไรต่อบัยตุ้ลลอฮ์บ้าง?” ... ท่านอิหม่ามญะฟัรฺก็ตอบว่า “เขาจะรื้อถอนมัน,.... และจะไม่ปล่อยส่วนใดของมันให้เหลือไว้นอกจากรากฐานซึ่งเป็นอาคารหลังแรกที่ถูกสร้างแก่มนุษย์ที่บักกะฮ์ (มักกะฮ์) ในยุคของท่านนบีย์อาดัม (อ).. และสิ่งซึ่งท่านนบีย์อิบรอฮีมและท่านนบีย์อิสมาอีล (อ) ได้ยกขึ้นมาภายหลัง” (จากหนังสือ “อัรฺ-ร็อจญอะฮ์” ของท่านอะห์มัด บิน ซัยนุดดีน อัล-เอี๊ยะห์ซาอีย์, หน้า 184) ...
และหะดีษอีกบทหนึ่งซึ่งท่านอบู บะศีรฺ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก มีข้อความว่า ...
และหะดีษอีกบทหนึ่งซึ่งท่านอบู บะศีรฺ ได้อ้างรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก มีข้อความว่า ...
[ إنَّ الْقَائِمَ إذَاقَامَ رَدَّالْبَيْتَ الْحَرَامَ إلَى أسَـاسِهِ، وَمَسْجِدَالرَّسُوْلِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إلَى أسَـاسِهِ، وَمَسْجِدَالْكُوْفَـةِ إلَى أسَـاسِهِ]...
“แท้จริง ท่านอัล-กออิมนั้น เมื่อท่านลุกขึ้นมาปฏิวัติ ท่านก็จะทำให้มัสญิดอัล-หะรอม, มัสญิดของท่านรอซู้ล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และมัสญิดแห่งเมืองกูฟะฮ์ กลับคืนสู่รากฐานเดิมของมันทั้งหมด” ...
(จากหนังสือเล่มเดิม, หน้า 162) ..
และหะดีษอีกบทหนึ่งซึ่งอ้างการรายงานมาจากท่านอิหม่ามญะอฺฟัรฺอัศ-ศอดิกเช่นเดียวกัน มีข้อความว่า ...
[ إذَاقَامَ الْقَائِمُ سَارَاِلَى الْكُوْفَـةِ فَيَهْدِمُ بِـهَاأرْبَعَةَ مَسَـاجِدَ، وَلَمْ يَبْقَ مَسْجِـدٌ عَلَى وَجْـهِ اْلأرْضِ لَـهُ شَرَفٌ إلاَّ هَدَمَهُ، وَجَعَلَهَا جَـمَّاءَ ]....
“เมื่อท่านอัล-กออิม ลุกขึ้นมาปฏิวัติ ท่านจะเดินทางไปเมืองกูฟะฮ์ แล้วจะทำลายมัสญิด 4 แห่งที่นั่น, .. จะไม่มีมัสญิดใดในหน้าแผ่นดินนี้ตั้งตระหง่านอยู่อีกนอกจากท่านจะทำลายมัน, และท่านจะทำให้โลกนี้ประหนึ่งกะโหลกศีรษะ (คือ ราบเรียบเป็นหน้ากลอง) ...
(จากหนังสือ “อัล-อิรฺชาด” ของท่านอัล-มุฟีด, หน้า 365)...
ทั้งหมดนี้ คือ บางส่วนจากข้อมูลการรายงานของฝ่ายชีอะฮ์ เกี่ยวกับภารกิจของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขาหลังจากการปรากฏตัวขึ้นมาในยุคสุดท้ายของโลก, ....
ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านแต่ละท่าน จะต้องพิจารณาใคร่ครวญดูว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้อมูลเหล่านี้ ... ซึ่งถือเป็นความดำริชอบของแต่ละท่าน และผมก็จะไม่ขอวิจารณ์ ณ ที่นี้ ...
ในด้านความรู้สึกส่วนตัว .. ผมขอตั้งข้อสังเกตสักนิดว่า จากพฤติการณ์ทั้งหมดของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ดังที่มีรายงานมานั้น ไม่น่าจะเรียกได้ว่า ท่านมาเพื่อรังสรรค์ความสันติสุขให้แก่ชาวโลก,.. ดังที่อ้างกันเลย ...
แต่,.. หากจะกล่าวว่า ท่านมาเพื่อการนองเลือด, การเข่นฆ่าทำลายล้าง, และการแก้แค้นให้สาสมและสะใจต่อผู้ซึ่งถูกฝ่ายชีอะฮ์มองว่า “เป็นศัตรู” กับบรรพบุรุษของท่าน คือท่านอฺลีย์, ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์, ท่านหะซัน และท่านหุเซ็น ร.ฎ.... ก็น่าจะถูกต้องและตรงต่อความเป็นจริงมากที่สุด ...
หากจะมองให้ลึกลงไปอีก, ลำพังเพียงความเคียดแค้นแทนบรรพบุรุษ (สมมุติว่า,ผู้ที่จะถูกแก้แค้นเหล่านั้นมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาของชีอะฮ์,... แถมร่างกายของพวกเขาก็เน่าเปื่อยสลายกลายเป็นธุลีดินไปนมนานแล้ว) ... ก็น่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับ... “ผู้เป็นถึงอิหม่าม,และมีอีหม่านอย่างแท้จริง”.. เยี่ยงท่าน,... ที่จะปล่อยภาระการลงโทษต่อพวกเขาเหล่านั้น ให้เป็นหน้าที่ของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งย่อมจะรุนแรงกว่าการลงโทษของท่านเองมากมายหลายเท่านัก ...
มิหนำซ้ำ, ความเคียดแค้นดังกล่าว ยังลุกลามและระบาดไปยังศาสนสถานที่สำคัญของชาวมุสลิม.. อันได้แก่มัสญิดอัล-หะรอมที่มักกะฮ์, มัสญิดนะบะวีย์ที่มะดีนะฮ์ สองในสามมัสญิดที่มุสลิมถือว่า สำคัญที่สุดในโลก,... รวมทั้งมัสญิดทั้งหมดในหน้าแผ่นดินนี้ที่จะต้องถูกท่านทำลายราบเป็นหน้ากลอง.. ดังรายงานข้างต้นนั้น ...
ผมมองอย่างไร ก็ยังมองไม่ออกว่า พฤติการณ์ดังกล่าวนี้ จะเป็นการกระทำของท่านมะฮ์ดีย์ผู้ได้ชื่อว่า เป็นผู้นำคนสุดท้ายของโลกมุสลิม ...... และสืบเชื้อสายมาจากท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เปี่ยมเมตตา, .. ได้อย่างไร ? ...
“เมื่อท่านอัล-กออิม ลุกขึ้นมาปฏิวัติ ท่านจะเดินทางไปเมืองกูฟะฮ์ แล้วจะทำลายมัสญิด 4 แห่งที่นั่น, .. จะไม่มีมัสญิดใดในหน้าแผ่นดินนี้ตั้งตระหง่านอยู่อีกนอกจากท่านจะทำลายมัน, และท่านจะทำให้โลกนี้ประหนึ่งกะโหลกศีรษะ (คือ ราบเรียบเป็นหน้ากลอง) ...
(จากหนังสือ “อัล-อิรฺชาด” ของท่านอัล-มุฟีด, หน้า 365)...
ทั้งหมดนี้ คือ บางส่วนจากข้อมูลการรายงานของฝ่ายชีอะฮ์ เกี่ยวกับภารกิจของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขาหลังจากการปรากฏตัวขึ้นมาในยุคสุดท้ายของโลก, ....
ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านแต่ละท่าน จะต้องพิจารณาใคร่ครวญดูว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้อมูลเหล่านี้ ... ซึ่งถือเป็นความดำริชอบของแต่ละท่าน และผมก็จะไม่ขอวิจารณ์ ณ ที่นี้ ...
ในด้านความรู้สึกส่วนตัว .. ผมขอตั้งข้อสังเกตสักนิดว่า จากพฤติการณ์ทั้งหมดของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ดังที่มีรายงานมานั้น ไม่น่าจะเรียกได้ว่า ท่านมาเพื่อรังสรรค์ความสันติสุขให้แก่ชาวโลก,.. ดังที่อ้างกันเลย ...
แต่,.. หากจะกล่าวว่า ท่านมาเพื่อการนองเลือด, การเข่นฆ่าทำลายล้าง, และการแก้แค้นให้สาสมและสะใจต่อผู้ซึ่งถูกฝ่ายชีอะฮ์มองว่า “เป็นศัตรู” กับบรรพบุรุษของท่าน คือท่านอฺลีย์, ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์, ท่านหะซัน และท่านหุเซ็น ร.ฎ.... ก็น่าจะถูกต้องและตรงต่อความเป็นจริงมากที่สุด ...
หากจะมองให้ลึกลงไปอีก, ลำพังเพียงความเคียดแค้นแทนบรรพบุรุษ (สมมุติว่า,ผู้ที่จะถูกแก้แค้นเหล่านั้นมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาของชีอะฮ์,... แถมร่างกายของพวกเขาก็เน่าเปื่อยสลายกลายเป็นธุลีดินไปนมนานแล้ว) ... ก็น่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับ... “ผู้เป็นถึงอิหม่าม,และมีอีหม่านอย่างแท้จริง”.. เยี่ยงท่าน,... ที่จะปล่อยภาระการลงโทษต่อพวกเขาเหล่านั้น ให้เป็นหน้าที่ของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งย่อมจะรุนแรงกว่าการลงโทษของท่านเองมากมายหลายเท่านัก ...
มิหนำซ้ำ, ความเคียดแค้นดังกล่าว ยังลุกลามและระบาดไปยังศาสนสถานที่สำคัญของชาวมุสลิม.. อันได้แก่มัสญิดอัล-หะรอมที่มักกะฮ์, มัสญิดนะบะวีย์ที่มะดีนะฮ์ สองในสามมัสญิดที่มุสลิมถือว่า สำคัญที่สุดในโลก,... รวมทั้งมัสญิดทั้งหมดในหน้าแผ่นดินนี้ที่จะต้องถูกท่านทำลายราบเป็นหน้ากลอง.. ดังรายงานข้างต้นนั้น ...
ผมมองอย่างไร ก็ยังมองไม่ออกว่า พฤติการณ์ดังกล่าวนี้ จะเป็นการกระทำของท่านมะฮ์ดีย์ผู้ได้ชื่อว่า เป็นผู้นำคนสุดท้ายของโลกมุสลิม ...... และสืบเชื้อสายมาจากท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เปี่ยมเมตตา, .. ได้อย่างไร ? ...
หากจะเป็น,.. ก็คงเป็นได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น, คือเป็น “จินตนาการแห่งการแก้แค้น” ของชนกลุ่มหนึ่งที่ --- อ้างตัวว่า --- เป็นมุสลิม, ... ที่ถูกหล่อหลอมให้เกิดความอาฆาตแค้นและเป็นศัตรูต่อบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านศาสดาที่เป็นชาวอฺรับ,... ต่อเคาะลีฟะฮ์ผู้เที่ยงธรรมทั้งสามท่านที่เคยสร้างความเกรียงไกรและไพศาลแก่อาณาจักรอิสลามเหนือยุโรปในครั้งกระโน้น,... และ, ต่อมุสลิม, (โดยเฉพาะ, ชาวซุนนะฮ์ท�