อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผู้ปรุงอาหาร มีหะดัษใหญ่



ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

อัสลามูอาลัยกุม อาจารย์ ดิฉันอยากทราบว่า ผู้ที่ทำการปรุงอาหาร โดยผู้นั้นมีหะดัษใหญ่ อาหารของเขาถือวาหาลาลไหมค่ะ

และกรณีสัตว์ที่นำมาทำอาหารถูกต้องตามบัญญัติศาสนา เครื่องปรุงก็หาลาล ภาชนะทำอาหารก็ของมุสลิม แต่ผู้ทำการปรุงเป็นคนต่างศาสนิก อาหารนั้นรับประทานได้ไหมค่ะ

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม ... ทั้ง 2 กรณีที่คุณถามมานั้น ผมไม่เคยเจอหลักฐานห้ามผู้ที่มีหะดัษใหญ่ปรุงอาหาร หรือห้ามคนต่างศาสนิกปรุงอาหารที่องค์ประกอบทุกอย่างของมันฮาล้าลให้มุสลิมเราทานเลยครับ

 ในอดีตผมเองก็เคยมีเด็กรับใช้ที่บ้านที่ไม่ใช่มุสลิม และภรรยาผมก็สอนเธอเรื่องวิธีล้างอาหาร, วิธีปรุงอาหารตามหลักการอิสลามให้เธอรับรู้ หลังจากนั้นเธอก็รับหน้าที่เป็นแม่ครัวที่บ้านผมมาตลอดร่วม 20 ปีแม้กระทั่งเดือนรอมะฎอน เธอก็ลุกขึ้นหุงข้าวซะฮูรฺเองครับ ...


ถาม

อาจารย์ค่ะ กรณีที่มุสลิมซื้อลิขสิทธิ์ร้านค้า หรือเป็นลูกจ้างของร้านคนต่างศาสนิก แต่สูตรของอาหาร วัตถุเครื่องปรุงต้องมาจากเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือเจ้าของร้านคนต่างศาสนิก ที่ทำสำเร็จรูปพร้อมทำให้สุกหรือใส่แป้นพิมพ์อยู่แล้ว โดยที่เราไม่ทราบว่าองค์ประกอบในเครื่องปรุงมีอะไรบ้าง หะลาลหรือไม่ เราเพียงนำมันมาทำให้สุก หรือทำให้พร้อมที่จะขาย อย่างนี้ผู้บริโภคที่เป็นมุสลิม ควรระมัดระวังอย่างไรบ้างค่ะในเรื่องนี้

ตอบ

สำหรับผม ถ้าไม่แน่ใจว่า ร้านอาหารของคนต่างศาสนิกนั้น ขายอาหารที่ฮาล้าลจริงๆสำหรับมุสลิม ผมก็จะไม่สมัครเป็นลูกจ้างในร้านนั้น หรือเข้าไปรับประทานอาหารในร้านนั้นเด็ดขาดครับ เพราะถือว่า งานที่จะทำในร้านอาหารนั้นหรือตัวอาหารในร้านนั้น เป็นสิ่งชุบฮัต (สิ่งคลุมเคลือ) ซึ่งมุสลิมควรหลีกเลี่ยงตามคำสั่งของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมครับ ...











วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความหมายของ "ตะเก็ม" กับ "วะลีย์"



ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

อัสสลามมุอาลัยกุม รบกวนถามอาจารย์หน่อยค่ะ คำว่า ตะเก็ม กับวะลีย์ ต่างกันอย่างไรคะ พอดีมีมุสลิมใหม่กำลังจะแต่งงานกับมุสลิมเดิม มุสลิมใหม่เป็นผู้หญิง อยากทราบเป็นความรู้เฉยๆ ค่ะ

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม ...
ปกติ "วะลีย์" จะหมายถึงญาติใกล้ชิดทางสายเลือดหรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ปกครองของผู้หญิงที่สามารถทำหน้าที่นิกาห์นางกับคู่หมั้นของนางได้ ซึ่งวะลีย์ดังกล่าว อาจจะเป็นบิดา, ปู่, พี่ชายน้องชายของผู้หญิง ฯลฯ ตามความขัดแย้งของนักวิชาการครับ

 ส่วนคำว่า "ตะห์เก็ม" หมายถึง กระบวนการที่ผู้ชายและผู้หญิงบางคู่แต่งตั้งผู้ชายที่มีคุณธรรมคนใดคนหนึ่งให้เป็น "วะลีย์เฉพาะกิจ" เพื่อทำการนิกาห์ให้แก่ตนในกรณีฝ่ายหญิงไม่มีวะลีย์ทางสายเลือด, ไม่มีวะลีย์ที่เป็นผู้นำ (หากิม) หรือมีวะลีย์ที่เป็นผู้นำแต่เรียกร้องเงินทองหรือค่าตอบแทนในการทำการนิกาห์ให้ กรณีอย่างนี้ นักวิชาการมัษฮับชาฟิอีย์อนุญาตให้ชายหญิงคู่นั้นนิกาห์แบบตะห์เก็มดังที่กล่าวมาแล้วได้ครับ
วัลลอฮุ อะอฺลัม

ถาม

การตะกีมตามมัซฮับชาฟีอีนั้นในรัศมีแปดสิบกิโลเมตรต้องไม่มีหะกิม
หรือมีแต่หะกิมเรียกร้องเกินรับได้แต่จะถามต่อว่ากรรมการอิสลามที
อยู่ตามหมุ่บ้านเข้าในบทบัญญัตของหากิมหรือไม่

ตอบ

เงื่อนไข 2 มัรฺฮาละฮ์หรือ 80 กิโลเมตรกว่าๆ จะใช้ในกรณีมีวะลีย์ทางสายเลือดอยู่ และผู้หญิงอยู่ห่างไกลจากวะลีย์ทางสายเลือดของตนเกินกว่า 2 มัรฺฮาละฮ์ นักวิชาการมัษฮับชาฟิอีย์ก็อนุญาตให้ผู้หญิงนั้นมีสิทธิ์นิกาห์ตะห์เก็มได้ แต่ในกรณีวะลีย์หากิม ไม่มีเงื่อนไขกำหนดระยะทางดังกล่าวครับ .. อนึ่ง ในประเทศไทยสมัยปัจจุบัน หากิมก็คือท่านจุฬาราชมนตรี เพราะฉะนั้น ถ้าอิหม่ามท่านใดได้รับการมอบหมายจากท่านจุฬาราชมนตรีให้ทำหน้าที่แทนท่าน ก็ให้ถือว่าเขาเป็นวะเกลของหากิมและสามารถนิกาห์ให้คู่สมรสได้ในนามของหากิมครับ .. วัลลอฮุ อะอฺลัม ..


 เพิ่มเติมจากคุณ Faisal Ālhadi 

ท่านอิมามอัช-ชาฟิอีย์กล่าวว่า:

وان غاب غيبة غير منقطعة بأن يعلم أنه حى نظرت فان كان على مسافة تقصر فيها الصلاة جاز للسلطان تزويجها، لان في استئذانه مشقة فصار كالمفقود

“และหากเขา (พ่อของผู้หญิง) ไม่อยู่ โดยเป็นการไม่อยู่ที่ไม่ได้ตัดขาด กล่าวคือรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เช่นนี้แล้วให้พิจารณาดู หากว่าอยู่ห่างกันในระยะทางที่สามารถทำการละหมาดย่อได้
อนุญาตให้ผู้ปกครอง(วะลีย์สุลฏอน)ทำการแต่งงานให้แก่นางได้ เพราะการขออนุญาตเขา (พ่อของผู้หญิง) ถือว่าลำบาก ดังนั้นเขาจึงเสมือนกับผู้ที่สูญหาย”
(อัล-มัจญ์มูอฺ 16/163)

จากคำพูดของอิมามอัช-ชาฟิอีย์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าท่านได้อ้างเหตุผลของระยะทางที่สามารถ
ทำการละหมาดย่อได้ เพราะระยะทางดังกล่าวการจะขออนุญาตพ่อของฝ่ายหญิงผู้ซึ่งเป็นวะลีย์เดิมนั้นลำบาก

แต่....เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ในยุคนั้นการเดินทางหรือส่งข่าวคราวในระยะทางที่สามารถทำการละหมาดย่อได้ หรือระยะเวลาการเดินทางสามวันสามคืนอาจจะมีความยากลำบาก ดังนั้นจึงอนุญาตให้วะลีย์สุลฏอน ทำการแต่งงานให้ได้ แต่สมัยนี้การสื่อสารรวดเร็ว การติดต่อกันใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก
ดังนั้นการทำการแต่งงานโดยวะลีย์สุลฏอนโดยไม่แจ้งข่าวคราวให้วะลีย์เดิมทราบ
(ทั้ง ๆ ที่สามารถแจ้งให้ทราบได้) กลัวเหลือเกินว่าการแต่งงานนั้นจะเป็นโมฆะ


Areefeen Yacharat ถาม

ถ้าติดต่อได้ก็ให้รอใช่ใหมครับ

Faisal Ālhadi  ตอบ

ใช่ครับ, เพราะเหตุผลที่อิมามอัช-ชาฟิอีย์อนุญาตคือ ไม่สามารถติดต่อได้ หรือ ค่อนข้างลำบากในการติดต่อ
อันนี้ เป็นบทความที่เขียนไว้เมื่อหลายปีแล้ว
http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=1344.0

แต่บ้านเรา มักใช้โอกาสนี้ เพื่อพาหญิงสาวหนีไปแต่งงานนอกพื้นที่

อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย ตอบ

ใช่ครับ ในทางปฏิบัติส่วนตัวปัจจุบันนี้เวลามีผู้มาขอให้ผมนิกาห์ให้โดยที่วะลีย์ของเขาอยู่ห่างไกล ผมก็จะให้เขาโทรศัพท์ติดต่อกับวะลีย์ของเขา เพื่อให้วะลีย์ขออนุญาตเขาก่อน ต่อจากนั้นจึงให้วะลีย์มอบหมายให้ผมนิกาห์แทนเขา ที่เขียนไปข้างต้นเป็นการเขียนตามทฤษฎีเท่านั้นครับ ...








ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้


มีหลายๆกรณีที่อิสลามห้าม "การกระทำ"
แต่ไม่ห้าม "ความรู้สึก"
เพราะความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้
 โดยเฉพาะความรู้สึกเยี่ยงปุถุชนของมนุษย์ทุกคนที่ย่อมมีความรัก, ความเกลียดชัง, ความพอใจ หรือความไม่พอใจ
ตัวอย่างเช่น ในอายะฮ์ที่ 221 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงห้ามมิให้มุสลิมหรือมุสลิมะฮ์นิกาห์กับชาวมุชริกซึ่งเป็นเรื่องของการกระทำ แต่ถามว่า ในด้านความรู้สึก พระองค์ทรงห้ามมิให้มุสลิมชอบพอคนมุชริกที่มีรูปโฉมหรือคุณสมบัติบางอย่างต้องใจด้วยกระนั้นหรือ ? ความรู้สึกรักชอบห้ามกันได้หรือ ? ..
ข้อความจากพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
 ولو أعجبتكم
 (แม้ว่านางจะเป็นที่ต้องใจของพวกเจ้าก็ตาม)
 บ่งบอกความหมายว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงห้ามการกระทำ คือการนิกาห์กับผู้หญิงมุชริกตราบใดที่นางยังไม่ศรัทธา แต่พระองค์มิได้ทรงห้ามความรู้สึก คือความรักชอบหรือความพึงใจของเราที่มีต่อนางเมื่อนางมีคุณสมบัติถูกใจเรา
 เพราะฉะนั้น กรณีการสิ้นพระชนม์ของในหลวงก็เช่นเดียวกัน..
อิสลามมิได้ห้ามความรู้สึกของมุสลิมที่จะมีความรักความอาลัยต่อการจากไปของพระองค์อันเนื่องมาจากคุณงามความดีและบุญคุณนานานัปการที่พระองค์ทรงมีต่อมุสลิม
แต่อิสลามห้ามมุสลิม "เลียนแบบ" ในการกระทำที่เป็นพิธีกรรมเฉพาะของศาสนาอื่น - เช่นการแต่งชุดดำด้วยเจตนาเพื่อไว้ทุกข์ - ดังเป็นที่ทราบกันดี
 เพราะฉะนั้น ขอร้องผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการมุสลิม - บางท่าน - อีกครั้งเถอะครับว่า กรุณาอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บด้วยการพยายามสร้างปัญหาในสิ่งที่คนไทยทั้งพุทธและมุสลิมเข้าใจและยอมรับกันแล้ว เพราะผมสังเกตเห็นว่า ปัญหาเรื่องนี้หากจะเกิดขึ้น ก็มิใช่เกิดจากชาวพุทธ แต่เกิดจากนักวิชาการมุสลิมบางคนที่ขาดหิกมะฮ์ในการแสดงออกนี่แหละ ...




กรุณาใช้หิกมะฮ์



นักวิชาการบางท่านได้ให้ความหมายของคำว่า
 حكمة ว่า ...

الحكمة هى فعل ما ينبغى، فى الوقت الذى ينبغى، على الوجه الذى ينبغى

"หิกมะฮ์ก็คือ การกระทำสิ่งที่เหมาะสม(ถูกต้อง) ในเวลาที่เหมาะสม, ด้วยวิธีการที่เหมาะสม"

สรุปแล้ว ความหมายหิกมะฮ์ตามนัยนี้ก็คือ การกระทำ(หรือพูด)สิ่งที่ถูกต้องใดๆ จะต้องคำนึงถึงกาละเทศะด้วย และจะต้องอาศัยวิธีการที่เหมาะสม(หรือต้องใช้จิตวิทยา)ด้วย ...

เพราะฉะนั้น ใครจะทำหรือพูดอะไรในสถานการณ์เช่นนี้ กรุณาใช้หิกมะฮ์ด้วยครับ ...
อย่าสักแต่ว่า เมื่อสิ่งที่ฉันพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง(ในทัศนะของฉัน) ฉันก็จะพูด .. โดยไม่คำนึงถึงกาละเทศะและจิตวิทยาใดๆทั้งสิ้น ...

โบราณว่า "ปลาหมอตายเพราะปาก" เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ทุกยุคทุกสมัยครับ ...

ถาม

บางคนแปลว่า วิทยปัญญา

ตอบ

บางคนแปลว่า สุขุม ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความหมายที่ผมเขียนมามากที่สุด ส่วนวิทยปัญญา ผมลองเปิดดูหนังสือพจนานุกรมแล้ว ยังหาไม่เจอ เลยไม่รู้ว่า มีหมายความว่าอย่างไร ...

คำว่า الحكمة ในอัล-กุรฺอานตามตำแหน่งต่างๆมีประมาณ 5-6 ความหมายครับ ส่วนความหมายที่ผมนำมาอ้างข้างต้น เขาก็ไม่ได้อ้างว่าเป็นความหมายจากอัล-กุรฺอาน แต่ก็ดูสอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันดี เลยนำมาลงในเฟสเพื่อเตือนสติกันครับ ... ...





วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การไว้ทุกข์ด้วยการแต่งชุดดำ


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

อาจารย์ครับแล้วการใส่ชุดสีดำสำหรับพนักงานในส่วนราชการละครับ บางคนไม่รู้และควรแต่งกายแบบหน ขอคำแนะนำครับ

ตอบ

ทางจุฬาราชมนตรีได้ออกฟัตวาหรือชี้แจงปัญหานี้มานานแล้วว่า การไว้ทุกข์ด้วยการแต่งชุดดำหรือสวมปลอกแขนสีดำ มุสลิมไม่สามารถกระทำได้ ซึ่งผมเห็นว่า เป็นคำฟัตวาที่ถูกต้องแล้วครับ ...

ถาม

สลามฯ ครับอาจาร์ย ผู้รู้ในช่องทีวีมุสลิม ช่องหนึ่ง ตอบคำถามทางบ้าน ว่าสามารถใส่เสื้อสีดำ ใว้ทุกข์ใด้ สับสนครับ

ตอบ

ถ้าช่องทีวีดังกล่าวเป็นช่องไวท์ ก็ให้เขาเคลียร์กันเองดีกว่ากับนักวิชาการในช่องเดียวกันอีกท่านหนึ่งที่กล่าวชัดเจนว่า การเจตนาไว้ทุกข์เป็นเรื่องไม่อนุญาต(หรือหะรอม) สำหรับผมขอยุติเพียงแค่นี้เพราะไม่อยากเป็นปลาหมอตายเพราะปากอย่างที่บอกแล้วครับ ...







การกล่าวอินนาลิ้ลละฯ กับคนต่างศาสนิก


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

สลามคับ
อยากทราบข้อเทจจริง
เรื่อง.. นายหลวงที่เสียไป
เรากลาวอินนาลิ้ลละด้ายด้วยหรือ

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม คำว่า "إنا لله وإنا إليه راجعون"
ซึ่งมีความหมายว่า "แท้จริงเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริง ยังพระองค์เท่านั้นที่พวกเราต้องกลับไป"
ถูกสั่งให้กล่าวเมื่อประสบภัยพิบัติหรือการสูญเสียใดๆไม่ว่าชีวิตหรือทรัพย์สิน เพื่อเหนี่ยวรั้งจิตใจมิให้เศร้าโศกเสียใจจนเกินกว่าเหตุต่อภัยพิบัตินั้นๆ และเพื่อเป็นการยอมรับความจริงโดยดุษฎีว่า สิ่งที่สูญเสียไปนั้น มิใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ซึ่งเมื่อเป็นของพระองค์ พระองค์ก็ย่อมมีสิทธิ์เอากลับคืนได้ทุกเมื่อที่พระองค์ประสงค์
การกล่าวคำดังข้างต้นนี้จึงสามารถกล่าวได้โดยไม่จำกัดว่า การสูญเสียนั้น จะเป็นของคนชาติใดศาสนาใด เพราะสิ่งทั้งหมดในจักรวาลนี้มุสลิมถือว่าล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์เหมือนกันทั้งสิ้น และการกล่าวคำนี้ก็เพื่อเป็นการเหนี่ยวรั้งและเตือนสติตัวเองดังกล่าวมาแล้ว มิใช่เป็นการขอพรที่มีลักษณะต้องห้ามตามหลักการอิสลามครับ วัลลอฮุ อะอฺลัม ......


ถาม

หากมุสลิมกล่าวประโยคนี้ละครับ
"ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป"
มีมุสลิมหลายคนโพสกันเยอะเลยครับ

ตอบ

บอกเขาว่า ควรกล่าวกะลีมะฮ์ชะฮาดะฮ์ใหม่ และเตาบะฮ์ให้มากๆครับ ...




คนไทยต่างรัก เคารพและสำนึกในบุญคุณขององค์พระมหากษัตริย์



ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม
ที ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะบังคับให้ ใส่ชุดำเพื่อไว้ทุกข์ ทั้งๆที่ หลักคำสอนก็ห้ามชัดเจน จึงอยากเรียนถาม เพื่อนต่างศาสนิกว่า พระภิกษุ เสียใจไหม ไว้ทุกข์ไหม กับเหตุการณ์ในขณะนี้ แล้วทำไม พระภิกษุทั่วเมืองไทย ถึงไม่ยอม ใส่จีวรดำ กันบ้างคับ ...? เปิดใจกันหน่อยคับ ทำไมไม่ขอให้พระ เณร แม่ชี ใส่จีวรดำกัน ละคับ ...?

ตอบ
จะอย่างไรก็ตาม เรื่องการแต่งกายสีดำหรือสีขาวในลักษณะ "ไว้ทุกข์" อันเป็นวัฒนธรรมของชาวไทยพุทธในประเทศไทยซึ่งเป็น "จุดต่าง" ที่ไทยมุสลิมไม่สามารถเลียนแบบคนไทยพุทธในเรื่องนี้ได้และมีการเขียนชี้แจงกันมามากแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายก็มี "จุดร่วม" หรือ "จุดเหมือน" .. คือรัก, เคารพและสำนึกในบุญคุณขององค์พระมหากษัตริย์เหมือนกันและไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย เพียงแต่การ "แสดงออก" ของทั้งสองฝ่ายอาจจะแตกต่างกันตามวัฒนธรรมศาสนาของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ผมเชื่อว่าชาวไทยพุทธ - ส่วนใหญ่ - ซึ่งเป็นคนมีเหตุผลคงจะให้เกียรติและ "เข้าใจ" ในความจำเป็นของชาวไทยมุสลิมในกรณีนี้ เหมือนกับที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ "ให้เกียรติ" และเข้าใจในวัฒนธรรมข้อนี้ของชาวพุทธโดยไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือวิพากษ์วิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น เมื่อเราทั้งสองฝ่ายเข้าใจซึ่งกันและกันแล้วเช่นนี้ จึงอยากจะขอร้องพี่น้องชาวไทยมุสลิมว่า ทางที่ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราควรยุติและไม่ควรไปวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องชุดไว้ทุกข์นี้อีกต่อไป เพราะมิฉะนั้น เกรงว่า อาจจะเกิดผลเสียหรือเป็นชนวนให้เกิดความไม่เข้าใจกันขึ้นมาก็ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า ...

สำหรับพี่น้องมุสลิม (หรือไทยพุทธ)ท่านใดที่สงสัยว่า ชุดสีดำนี้ เมื่อไรหรือกาละเทศะไหนที่มุสลิมสวมได้หรือสวมไม่ได้ กรุณาโทรฯมาถามผมเป็นการส่วนตัวที่เบอร์ 086-6859660 น่าจะดีกว่าให้ผมตอบในเฟสนะครับ เพราะผมมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ถ้าพวกเรายังไม่ยอมยุติ ... ...

.......

ผมขอชีแจงเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า ชาวไทยมุสลิมทุกคนมีความรักต่อองค์พระมหากษัตริย์มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าชาวไทยพุทธหรอกครับ เพียงแต่ว่า การแสดงออกของชาวไทยมุสลิมต่อการสูญเสียใดๆ จะไม่แสดงออกด้วยการตีโพยตีพายหรือฟูมฟาย แต่พวกเราถูกสั่งให้อดทน, อดกลั้นต่อความสูญเสียนั้น ไม่ว่าผู้ที่จากไปจะเป็นพ่อแม่ของเราหรือแม้กระทั่งท่านศาสดาของเราเองก็ตาม เพราะฉะนั้น ทุกท่านที่เป็นไทยพุทธโปรดเข้าใจด้วยครับว่า พวกเรา - ชาวไทยมุสลิมทุกคน - รู้สึกเสียดายและอาลัยรักต่อการจากไปของพระองค์ท่านเหมือนกับพวกท่าน เพียงแต่เราไม่สามารถแสดงออกถึงความอาลัยรักนั้น แม้กระทั่งทางกายภาพหรือสัญลักษณ์ใดๆทางการแต่งกายเหมือนพวกท่านได้เท่านั้น ...


วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เจตนา บางครั้งต้องพิจารณาดูกาละเทศะและสิ่งแวดล้อมอื่นๆประกอบด้วย

ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม
Assalamualaikum ครับอาจารย์ ขออนุญาตให้อาจารย์พิจารณาข้อความข้างล่างนี้หน่อยครับ เห็นมุสลิมเราแชร์กันเยอะ ญาซากัลลอฮูคอยรอนครับ ขอให้อัลลอฮ์ทรงตอบแทนอาจารย์ในสิ่งที่ดีกว่าครับ วัสลาม

คือข้อความที่ว่า
 "เมื่อสัปดาห์ที่แล้วฉันใส่เสื้อสีดำ...เป็นมุสลิม...ทำงานตามปกติ...ที่สำคัญฉันมีอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว...วันนี้ฉันใส่เสื้อสีดำ...เป็นมุสลิม...ทำงานตามปกติ...และยังคงมีอัลลอฮ์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเสมอ..........การกระทำขึ้นอยู่กับเจตนา......ใส่เสื้อสีดำในวันแห่งการจากลาของกษัตริย์ไทย ไม่ได้บ่งบอกว่าฉันตั้งภาคีต่อพระเจ้าของฉัน...เพียงแต่ฉันให้เกียรติแด่ผู้นำของประเทศที่ฉันได้เกิดมา...ในฐานะมนุษย์ ต่อ มนุษย์"

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮิวะบารอกาตุฮ์ ...
สำหรับข้อเขียนนี้ผมได้อ่านมาก่อนแล้ว ก็ไม่อยากตำหนิผู้เขียนหรอกครับ เพราะพอจะมองออกว่า เธอ(หรือเขา) เขียนสิ่งนี้มาจากเจตนาบริสุทธิ์และจากความเข้าใจของตัวเอง แม้ว่ามันอาจไม่ค่อยสอดคล้องกับหลักการศาสนาก็ตาม โดยเฉพาะ ..6 บรรทัดหลังสุด

จริงอยู่ ศาสนาอิสลามให้ความสำคัญกับการเนียตหรือ "เจตนา" มากเป็นพิเศษในการกระทำทุกอย่าง แต่บางครั้ง เจตนาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เราก็ต้องพิจารณาดู "กาละเทศะ" และสิ่งแวดล้อมอื่นๆประกอบด้วย .. ตัวอย่างเช่นมีญาติวัยรุ่นยากจนคนหนึ่งของเรามาขอเงินจากเรา เราก็ให้เงินไปโดย "เจตนาดี" .. คือให้เขาเอาไปซื้ออาหารกิน ทั้งๆที่พอจะทราบมาบ้างว่า เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวัยรุ่นที่ติดยาบ้าในหมู่บ้าน .. การให้ของเราในลักษณะนี้แม้เราจะมีเจตนาดี แต่ผมมองว่า น่าจะผิดกาละเทศะและไม่เหมาะสมนะครับ ..






ขอร้องอีกครั้งเถอะครับ .. พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่รักทุกท่าน ...


ขอร้องทั้ง "ท่านผู้รู้" ทุกท่านว่า .. ให้ยุติการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งกายชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้ในหลวงในเฟสได้แล้ว ....

เท่าที่หลายๆท่านชี้แจงมาในเฟสก็ชัดเจนและมากมายเกินพอแล้ว ..

และ .. ขอร้องทั้ง "ท่านผู้ไม่รู้" ด้วยว่า ให้ยุติการถาม, หรือแสดงออกถึง "ความไม่เข้าใจและไม่เดียงสาในศาสนาของท่านเอง" เรื่องนี้ในเฟสได้แล้วเช่นเดียวกัน ...

เพราะคำถามของท่าน, การแสดงออกในเฟส ถึงความไม่เข้าใจแม้กระทั่งหลักการศาสนาตัวเองของท่าน อาจสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้ หากผู้ตอบ ตอบคำถามของท่านด้วยสำนวนหรือวาจาที่ไม่เหมาะสม ...
เท่าที่ผมรับฟังและติดตามข่าวมาตลอด ดูเหมือนว่า ท่าน "ผู้หลักผู้ใหญ่" ในบ้านเมืองนี้ที่เป็นไทยพุทธหลายท่านก็ออกมาชี้แจงในลักษณะเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้ว ...

ก็อาจจะมี "ผู้เล็กผู้น้อย" บางท่าน (ผมขออนุญาตไม่ใช้คำคุณศัพท์ขยายต่อว่า - ที่ใจคอคับแคบ - นะครับ) เท่านั้นที่ไม่เข้าใจหรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ .. จนมองแค่ว่า ถ้ารักในหลวงจริงก็ต้องแต่งชุดดำไว้ทุกข์เท่านั้น จะแสดงออกด้วยวิธีอื่นใดไม่ได้ ..

จำไม่ได้หรือครับว่า ฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ ได้เคยกล่าวไว้ในโครงการ “ทูบี นัมเบอร์วัน” ว่า ..
"ท่านสามารถเป็นหนึ่งในสังคมได้ โดยไม่ต้องพึ่งยาเสพย์ติด” ...
ผมก็ขออนุญาตยืมสำนวนของท่านมากล่าวในเชิงเปรียบเทียบในกรณีนี้ว่า ...
"ท่านสามารถแสดงความรักในหลวงได้โดยไม่ต้องสวมชุดไว้ทุกข์" ...

ตัวอย่างง่ายๆในเรื่องนี้ (อย่างที่มุสลิมบางคนนำเสนอในเฟส) ก็คือ การที่พระสงฆ์ซึ่งแม้จะรักในหลวงมากมายสักปานใด ก็ไม่อาจไว้ทุกข์ให้พระองค์ท่านด้วยการเปลี่ยนจีวรที่สวมเป็นสีดำได้ เพราะขัดต่อเงื่อนไขของศาสนาพุทธฉันใด ...

ด้วยเหตุผลเดียวกัน .. ชาวไทยมุสลิมซึ่งแม้จะรักในหลวงมากมายปานใด ก็ไม่อาจจะสวมชุดสีดำเพื่อไว้ทุกข์แก่พระองค์ท่านได้ เพราะการไว้ทุกข์เชิงสัญลักษณ์ทางการแต่งกายด้วยชุดดำ ขัดต่อเงื่อนไขของศาสนาอิสลามฉันนั้น ..

เพราะฉะนั้น พี่น้องมุสลิมท่านใดจะนำเอาเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นมากล่าวเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพลักษณ์ชัดเจน ก็ขอแนะนำว่า ไม่ควรใช้คำพูดกระแนะกระแหนหรือถามย้อนในลักษณะแดกดัน ...

เพราะผู้ฟังที่เป็นไทยพุทธบางท่านอาจเกิดความหมั่นไส้แทนที่จะยอมรับความจริงก็ได้ ...

บรรยากาศที่กำลังจะดี อาจเปลี่ยนแปลงเป็นมลพิษ ...

และ .. ปัญหาที่กำลังจะยุติ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ครับ