อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้


มีหลายๆกรณีที่อิสลามห้าม "การกระทำ"
แต่ไม่ห้าม "ความรู้สึก"
เพราะความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้
 โดยเฉพาะความรู้สึกเยี่ยงปุถุชนของมนุษย์ทุกคนที่ย่อมมีความรัก, ความเกลียดชัง, ความพอใจ หรือความไม่พอใจ
ตัวอย่างเช่น ในอายะฮ์ที่ 221 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงห้ามมิให้มุสลิมหรือมุสลิมะฮ์นิกาห์กับชาวมุชริกซึ่งเป็นเรื่องของการกระทำ แต่ถามว่า ในด้านความรู้สึก พระองค์ทรงห้ามมิให้มุสลิมชอบพอคนมุชริกที่มีรูปโฉมหรือคุณสมบัติบางอย่างต้องใจด้วยกระนั้นหรือ ? ความรู้สึกรักชอบห้ามกันได้หรือ ? ..
ข้อความจากพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
 ولو أعجبتكم
 (แม้ว่านางจะเป็นที่ต้องใจของพวกเจ้าก็ตาม)
 บ่งบอกความหมายว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงห้ามการกระทำ คือการนิกาห์กับผู้หญิงมุชริกตราบใดที่นางยังไม่ศรัทธา แต่พระองค์มิได้ทรงห้ามความรู้สึก คือความรักชอบหรือความพึงใจของเราที่มีต่อนางเมื่อนางมีคุณสมบัติถูกใจเรา
 เพราะฉะนั้น กรณีการสิ้นพระชนม์ของในหลวงก็เช่นเดียวกัน..
อิสลามมิได้ห้ามความรู้สึกของมุสลิมที่จะมีความรักความอาลัยต่อการจากไปของพระองค์อันเนื่องมาจากคุณงามความดีและบุญคุณนานานัปการที่พระองค์ทรงมีต่อมุสลิม
แต่อิสลามห้ามมุสลิม "เลียนแบบ" ในการกระทำที่เป็นพิธีกรรมเฉพาะของศาสนาอื่น - เช่นการแต่งชุดดำด้วยเจตนาเพื่อไว้ทุกข์ - ดังเป็นที่ทราบกันดี
 เพราะฉะนั้น ขอร้องผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการมุสลิม - บางท่าน - อีกครั้งเถอะครับว่า กรุณาอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บด้วยการพยายามสร้างปัญหาในสิ่งที่คนไทยทั้งพุทธและมุสลิมเข้าใจและยอมรับกันแล้ว เพราะผมสังเกตเห็นว่า ปัญหาเรื่องนี้หากจะเกิดขึ้น ก็มิใช่เกิดจากชาวพุทธ แต่เกิดจากนักวิชาการมุสลิมบางคนที่ขาดหิกมะฮ์ในการแสดงออกนี่แหละ ...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น