โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย
ท่านผู้อ่านที่รักและเคารพครับ ...
อนุสนธิจากบทความของผมเรื่อง "จงยืนหยัดในหลักการ แต่จงสุภาพและนิ่มนวลในวิธีการ" เมื่อ 2-3 วันก่อน .. ซึ่งเนื้อหาโดยสรุปก็คือ ต้องการตักเตือนผู้ที่เป็น "ดาอีย์" ทั้งหลายให้ปรับเปลี่ยน "วิธีการ" เผยแพร่อิสลาม จากความก้าวร้าว, สาดโคลนกัน, ประณามกัน มาเป็นให้นิ่มนวลขึ้น สุภาพขึ้น ตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ...
ความจริง ผมไม่จำเป็นจะต้องเขียนชี้แจงหรือเพิ่มเติมอะไรอีก หากไม่เพราะเจ้าน้องชายของผม อ. อาลีคาน ปาทาน จะไม่ทำตัวเป็นตุ๊กแกที่กินปูนแล้วร้อนท้อง ด้วยการเขียนบทความโต้แย้งและกล่าวหาผมลักษณะว่า เขียนตำหนิพรรคพวกเดียวกันเอง ...
ผมว่า ผู้อ่านทุกท่านที่อ่านข้อเขียนของผมด้วยความใคร่ครวญ ด้วยใจเป็นธรรม และเคยฟังหรือเคยอ่านเจอการ "ด่าทอและประณามกัน" กันอย่างรุนแรงระหว่างมุสลิมสายสละฟีย์ (ที่ถูกเรียกว่า วะฮ์ฮาบีย์) และสายอะชาอิเราะฮ์ในเฟสแล้ว ย่อมจะรู้ทันทีว่า คำเตือนของผมในบทความนั้น มิใช่เป็นการเตือนเฉพาะค่ายใดค่ายหนึ่ง ...
แต่เป็นการเตือนทั้ง 2 ค่าย ...
เพราะความก้าวร้าวนั้น มาจากทั้ง 2 ค่าย ! .. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง .. (ขออภัยที่ผมต้องพูดความจริงว่า) .. บทความที่เขียนโจมตีผู้เห็นต่างจากค่ายอะชาอิเราะฮ์นั้น มีความรุนแรงและก้าวร้าวมากกว่าค่ายสละฟีย์ด้วยซ้ำไป ...
ไม่เชื่อไปเปิดอ่านดูในเฟสได้เลย ...
การเตือนของผม จึง เป็นการเตือนให้ระมัดระวังเรื่อง "วิธีการเผยแพร่ศาสนา" ที่ผมมองว่า ชักจะนำพาไปสู่ความเป็นศัตรูระหว่างมุสลิมทั้ง 2 ค่ายยิ่งขึ้นทุกทีและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ...
ทั้งๆที่ทั้งสองค่ายนี้ - ไม่ว่าท่านจะอ้างว่าเป็นสละฟีย์หรืออะชาอิเราะฮ์ - ก็เป็น "พี่น้องมุสลิม" สายซุนหนี่ด้วยกัน ไม่มีใครเป็นชีอะฮ์เลย ...
มุมมองของผมในเรื่องนี้ ตรงกันกับมุมมองของท่านอาชีรฺ บาบอ .. คือเห็นว่า นักวิชาการในประเทศไทยทั้งสองค่ายปัจจุบันนี้ - บางคน - "สุดโต่ง" จนเกินไป ไม่ว่าในการพูด, ในการเขียน หรือการบรรยาย ...
ใช้วิธีการเผยแพร่ความจริง (ตามมุมมองของตน) ด้วยการโจมตีผู้เห็นต่าง, ด่าผู้เห็นต่าง, ประณามผู้เห็นต่าง, ตักฟีรฺผู้เห็นต่าง, ผูกขาดความถูกต้องไว้เฉพาะกลุ่มตนเอง ...
ที่ได้เตือนเพราะเห็นว่า วิธีการดังกล่าวไม่ใช่วิธีการเผยแพร่ที่ถูกต้อง, ไม่ใช่วิธีการที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงแนะนำ, ไม่มีผลดีต่อสังคมมุสลิมโดยรวม นอกจากจะทำให้ฟิตนะฮ์ ค่อยๆขยายกว้างออกไปเท่านั้น ..
ผมมิได้ขอร้องให้เรา "ยอมรับ" ความเห็นต่างที่เรามองว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ผมขอร้องให้เรารู้จัก "ให้เกียรติ" ผู้ที่เห็นต่างกับเราบ้าง ..
เพราะผู้ที่เห็นต่างกับพวกเรา - ตามข้อเท็จจริง - มิใช่ "นักวิชาการร่วมสมัย" ที่กำลังโต้แย้งกับพวกเรา ...
เพราะผู้ที่เห็นต่างกับพวกเรา - ตามข้อเท็จจริง - มิใช่ "นักวิชาการร่วมสมัย" ที่กำลังโต้แย้งกับพวกเรา ...
แต่ทุกคนและทุกค่าย ล้วน "อ้างอิง" ทัศนะนักวิชาการ "ระดับโลก" ทั้งอดีตและปัจจุบันที่ตนเองศรัทธาเชื่อถือ มายืนยันความเชื่อของตน ...
หรือพวกเราจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ .? ..
ผมขอเรียนว่า สถานภาพและความรู้ของนักวิชาการระดับโลกเหล่านั้น - ไม่ว่าพวกท่านจะมีแนวคิดตรงกับค่ายไหน - ล้วนห่างชั้นกับพวกเราสุดกู่ทั้งสิ้น ..
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่มีสิทธิ์ไป "ฟันธง" ว่ามุมมองของพวกท่านเหล่านั้นผิดแน่นอน, มุมมองของเราที่เห็นต่างกับท่าน ถูกต้องแน่ๆ ..
เพราะนั่นคือลักษณะของคน "ตะกั๊บบุรฺ" หรือคนโอหัง .. มิใช่ลักษณะของนักวิชาการที่ดีที่ต้องถ่อมตน ...
การประณาม, การตักฟีรฺนักวิชาการร่วมสมัย จึงเท่ากับเป็นการประณามหรือเป็นการตักฟีรฺนักวิชาการระดับโลกเหล่านั้นด้วยมิใช่หรือ ? ...
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอ้างตัวเองเป็นอะชาอิเราะฮ์หรือเป็นสะละฟีย์ ก็โปรดให้เกียรตินักวิชาการระดับโลกที่เห็นต่างกับเราบ้างเถอะครับ อย่าตะกั๊บบุรฺกันให้มากนัก ...
เพราะการตะกั๊บบุรฺ เป็นคุณสมบัติของชัยฎอน มิใช่คุณสมบัติของผู้ศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ศรัทธาที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการ ...
ขอย้ำอีกครั้งว่า ที่ผมเขียนเตือนไป เป็นการเตือนทั้ง 2 ค่าย มิได้เฉพาะเจาะจงค่ายหนึ่งค่ายใด ...
แล้วจู่ๆท่าน อ.อาลีคาน ปาทานนักวิชาการสายสละฟีย์ซึ่งเปรียบเสมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง ก็ได้แสดงตนเป็น "ตุ๊กแก ที่กินปูนแล้วร้อนท้อง" ด้วยการออกมาคัดค้านคำตักเตือนด้วยเจตนาดีของผม จึงทำให้เกิดมุมมองจากการคัดค้านของท่านได้ 2 ประการด้วยกันคือ ...
1. การคัดค้านของท่านเท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายว่า พฤติการณ์การเผยแพร่ศาสนาของท่าน เป็นอย่างที่ผมเตือนไปจริงๆ จึงทนรับไม่ได้กับคำเตือนนั้น หรือ ...
2. ท่านเองรวมทั้งนักวิชาการในค่ายเดียวกัน - ทุกคน - ล้วนมีวิธีการเผยแพร่ศาสนาด้วยกิริยาวาจาที่สุภาพ, ใช้วิธีการที่เหมาะสม, ดีงาม, ปราศจากพฤติการณ์ดังกล่าวนั้นโดยสิ้นเชิง, ถูกต้องตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ว่า "จงเรียกร้องเชิญชวนมาสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของท่านด้วยหิกมะฮ์ (สุขุม) และคำตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยวิธีการที่ดีกว่า" ...
ท่านจึงได้ออกมาคัดค้านข้อเขียนของผม เพราะข้อเขียนนั้นของผมเท่ากับใส่ร้ายท่าน ..
ก็ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันว่า พฤติการณ์กินปูนร้อนท้องของท่าน อ. อาลีคาน น่าจะเพราะสาเหตุข้อแรกหรือข้อหลัง ? ..
ถ้าหากท่านผู้อ่านพิจารณาเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างข้อแรก ผมก็อยากจะขอร้องให้ อ. อาลีคานลดทิษฐิ และลองปฏิบัติตามคำแนะนำของผมดูบ้าง ..
แต่ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างข้อหลัง ผมก็ต้องขออภัยต่อท่าน อ. อาลีคานเป็นอย่างสูง ที่ "สะเออะ" ออกมาตักเตือนนักวิชาการผู้ปฏิบัติหน้าที่ดาอีย์อย่างสุภาพและ เหมาะสม .. ตรงตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. แล้ว .. อย่างท่าน (แม้ผมจะเจตนาเตือนทั้ง 2 ค่าย และมิได้ระบุนามผู้ใดเลยก็ตาม) ....
ท่าน อ. อาลีคาน ยังกล่าวหาผมอีกว่า ลักษณะการเตือนของผมที่ต้องการให้มุสลิมทุกคนคำนึงถึงความเป็นพี่น้องกัน, รักใคร่กัน, ปรองดองกัน, ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนั้น .. เหมือนผมเป็น "พวกอิควาน" ที่ท่านกำลังต่อต้านอยู่ ...
ผมก็ขอยอมรับโดยดุษฎีและอย่างน่าชื่นตาบานว่า .. ใช่ครับ ผมเป็นอิควาน !..
แต่การเป็นอิควานของผม มิใช่อิควานตามแบบนโยบายของ "พรรคการเมือง" หนึ่งในประเทศอียิปต์ที่มีบางคนนำมาเผยแพร่ในประเทศไทย .. ...
ทว่า .. เป็นอิควานตาม "กรอบคำสั่ง" ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ... ที่ว่า .. "พวกท่านอย่าโกรธเคืองกัน, พวกท่านอย่าอิจฉาริษยากัน, พวกท่านอย่าผินหลังให้กัน, พวกท่านอย่าตัดขาดซึ่งกันและกัน และพวกท่านจงเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ที่เป็น "อิควาน" (คือเป็นพี่น้องกัน) .. ไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดหันห่างจากพี่น้อง (มุสลิม) ของเขาเกินกว่า 3 วัน"
หะดีษบทนี้บันทึกโดยท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม ....
ผมเชื่อว่า มีพี่น้องมุสลิมจำนวนมากในประเทศไทย ไม่ปฏิเสธการเป็น "อิควาน" ตามนัยนี้มิใช่หรือครับ ...
มีนักวิชาการสายสละฟีย์บางคน (รวมทั้งผมเองด้วยในอดีต) เคยกล่าวว่า "ถ้าการพูดความจริงทำให้เกิดการแตกแยก ก็เชิญให้มันแตกไปเลย" ...
แต่จากประสบการณ์อันยาวนานทำให้ผมเกิดความรู้สึก(ใหม่) ว่า การพูดความจริง ไม่ใช่เป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้มุสลิมที่มีแนวคิดต่างกัน แตกแยกกัน ...
แต่สาเหตุจริงๆที่ทำให้เกิดการแตกแยกกัน ก็เพราะ "ผู้พูดความจริง" (ตามความเชื่อของตนเอง) ใช้วิธีการด่า, ประณาม, หรือตักฟีรฺ ผู้เห็นต่าง .. ต่างหาก ..
ลำพังการนำเสนอความจริงเพียงอย่างเดียว ไม่มีการด่าแถมขณะพูดความจริง .. แม้ผู้ฟังที่เห็นต่างจะไม่ยอมรับ แต่คงไม่ถึงกับทำให้แตกแยกกันอย่างนี้ ...
ตามปกติ มุสลิมทุกคนที่มีอีหม่าน - ถ้าไม่อวิชาจนเกินไป - ก็ไม่มีใครปฏิเสธซุนนะฮ์ของท่านนบีย์ หรือปฏิเสธความสำคัญของซุนนะฮ์ของท่านนบีย์หรอก ...
แล้วทำไม มุสลิมเหล่านั้นจึงไม่ยอมรับซุนนะฮ์ของท่านนบีย์เมื่อมีผู้หยิบยื่นให้ ? ...
ก่อนเขียนคำตอบ .. ผมขอเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆว่า อุปมาบางคนเปิดร้านขายอาหาร รสชาติอาหารในร้านก็โอชะ, ทุกคนยอมรับ และไม่มีใครปฏิเสธรสชาติอาหาร .....
แต่แปลกที่ .. ทำไม ผู้คนจึงไม่อยากเข้าไปซื้ออาหารในร้านนี้ ? ...
คำตอบ .. ที่คนไม่เข้าร้านนี้ไม่ใช่เพราะรสชาติอาหารไม่อร่อย ...
แต่เป็นเพราะพวกเขา "เกลียดปาก" เจ้าของร้านที่ชอบด่า ชอบทะเลาะกับผู้ซื้อต่างหาก
เรื่องการเผยแพร่ซุนนะฮ์ ฉันใดก็ฉันนั้น ...
มุสลิมที่ปฏิเสธเมื่อมีคนหยิบยื่นซุนนะฮ์มาให้ - สาเหตุส่วนหนึ่ง - ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดซุนนะฮ์ ...
แต่เป็นเพราะเขา "เกลียดปาก" ผู้เผยแพร่ซุนนะฮ์ที่มาด่าเขา ประณามเขา ต่างหาก ...
สุดท้ายนี้ ผมขอฝาก "ข้อคิด" สำหรับนักวิชาการรุ่นน้องๆ "บางท่าน" ค่ายสละฟีย์ ว่า ...
การที่ท่านทำงานศาสนาด้วยการเผยแพร่ซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือว่า ท่านเดินมา "ถูกทาง" แล้ว ...
การที่ท่านทำงานศาสนาด้วยการเผยแพร่ซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือว่า ท่านเดินมา "ถูกทาง" แล้ว ...
แต่ .. "วิธีการ" เผยแพร่ซุนนะฮ์ของท่านด้วยวิธีการก้าวร้าว ประณามต่อผู้เห็นต่าง แสดงว่าท่าน กำลังเดิน "หลงทิศ" ..
เพราะฉะนั้น การบ้านสำหรับท่านก็คือ ...
ทำอย่างไรท่านจึงจะได้ชื่อว่า เดินถูกทางด้วย, ถูกทิศด้วย ..
หมายเหตุ หลังจากนี้ หากท่านผู้ใดเขียนโต้แย้งอะไรมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็จะไม่เขียนชี้แจงอะไรอีกแล้ว เพราะถือว่า ผมทำหน้าที่เผยแพร่คำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ว่า ...
.. "จงเรียกร้องเชิญชวนมาสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของท่านด้วยหิกมะฮ์และคำตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยวิธีการที่ดีกว่า" ... อย่างสมบูรณ์แล้ว ...
อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
28/5/60
28/5/60
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น