อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อ่านตัลกีลให้กับผุ้ตาย สุนนะใคร (ตอน 2)



โดยอ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย 
1. ในเรื่องการ ‘‘ละหมาดตะรอเวี้ยะห้” ท่านได้กล่าวไว้ว่า -..
(3) “ละหมาดตะรอเวี้ยะห์นั้น เป็นละหมาดหนึ่ง ที่ท่านนบีให้ความสนใจมาก อีกทั้ง ท่านยังชอบที่จะให้ ประชากรของท่านร่วมกันกระท่า” -..
(ดู ข้อโต้แย้งปัญหาศาสนา เล่มที่2 หน้าที่ 5 จากคำแปลของอาจารย์ อับดุลกะรีม วันแอเลาะ)
จากคำกล่าวของท่านตอนนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่า การละหมาดตะรอเวี้ยะห้ใน'ทัศนะของท่าน เป็นชุนนะฮ์หรือแบบอย่างของท่านรชูลุลลอฮ์ ช.ล. เพราะเคยมีการกระทำกันมาแล้ว
ในสมัยของท่านนบี, และท่านนบีเองยังส่งเสริมให้มีการกระทำกัน, ไม่ว่าในลักษณะการกระทำเพียงคนเดียวหรือร่วมกันกระทำ (ญะมาอ.ะฮ์) -..
แต่พอพุดมาถึงเรื่อง “บิดอุะฮ์” และเป็นตอนที่ล้างถึง แบบอย่างของคุละฟาอุรุ รอชิดีน ชึ่งท่านเรียกว่า เป็น บิดอุะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอุะฮ์ที่ดีตามทัศนะของท่าน กลับมี ข้อความว่า..-
ข. “การละหมาดดะรอเวี้ยะห์รวมกันในเดือนรอมฎอน
ซึ่งเริ่มโดยท่านอุมีรุ”...
“สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องบิดอฺะฮ์ เพราะไม่เคยมีมา ในยุคของท่านนบิ และท่านนบีก็ไม่เคยสั่ง ...”
(ดู ข้อโต้แย้งปัญหาศาสนา เล่มที่3 หน้าที่ 33)

จะเห็นได้ว่า พอมาถึงตอนนี้ การละหมาดตะรอเวี้ยะห์ ร่วมกันกลับกลายเป็น “บิดอุะฮ์” ไปเสียแล้ว เพราะท่าน อ่างว่า “ไม่เคยมีมาในยุคของท่านนบิ และท่านนบิก็ไม่เคยสั่งไว้ -..
ตกลง ผู้อ่านก็เลยไม่รู้เรื่องว่า การละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ รวมกันตามหลักการของอิสลามนั้น เป็น “ชุนนะฮ์” หรือ “บิดอุะฮ์” กันแน่?
แล้วอย่างนี้ หากไม่เรียกว่าเป็นการเขียนแบบ “ขัดขา” ตัวเองแล้ว ก็ไม่รู้จะเรียกอย่างไรอีก ...

2. ในประเด็นเรื่องจำนวนร็อกอุะฮ์ของนมาชตะรอเวี้ยะห์ ท่านผู้นี้ได้อ้างหลักฐานจฺากการรายงานของท่านยะซีด บิน รุมาน ซึ่งท่านอิหม่ามมาสีก ได้ท่าการบันทึกไว้ในหนังสือ “อัล มุวัฎเฎาะอ์” ของท่าน เล่มที่ 1 หน้า 138 (แต่ฉบับที่ 5 อยู่ในมีอผู้เขียน เป็นเล่มที่ 1 หน้า 105) มีข้อความว่า .-.
كَ نَ النَّا سُ ىَقُوْ مُوْ نَ فِىْ زَمَنِ عُمَرَ بْنِ اْلخَطَّا بِ ِبثَلاَ ثٍ وَ عِشْرِ يْنَ رَكْعَةً
“ประชากรในสมัยของท่านอุมัรฺ ยิบนุลค็อฎฎ็อบ ได้ นมาช (ตะรอนี้ยะห้) 23 ร็อกอุะฮ์”
ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ท่าการขยายความโดยทึกทักเอา
เองว่า ...
“และนี่คือที่มาแห่งจำนวนร่อกะอัตของการละหมาด ตะรอนี้ยะห์, ซัยยิดินาอุมัรฺคือ ศอฮาบะฮ์ของท่านนะบี, เป็น ค่อลีฟะฮ์ท่านที่สอง ท่านได้มีคำสั่งให้ทำการละหมาดตะรอ เวี้ยะห์ 20 ร่อกะอัด จึงชี้ให้เห็นว่าท่านชัยยิดินาอุมัรฺนั้น ท่านรู้ว่านะบีทำการละหมาดตะรอนี้ยะห์ 20 ร่อกะอัด ...”
(ดูข้อโต้แย้งปัญญหาศานา เล่มที่2 หน้าที่ 9)

การนำเอาหะดีษบทนี้มาเป็นหลักฐานเรื่องจำนวน ร็อกอุะฮ์ของนมาซตะรอนี้ยะห์ว่า จะต้องท่า 20 ร็อกอุะฮ์ แล้วกล่าวสรุปเอาเองเป็นตุเป็นตะต่อไปในท่านองว่า ท่าน อุมัรฺ ร.ฎ.ได้ใช้ให้ประชากรในสมัยของท่าน ท่านมาช ตะรอนี้ยะห์ 20 ร็อกอุะฮ์แน่นอน และท่านอุมัรฺ ร.ฎ.จะต้อง ได้เห็นหรือได้รับฟังสิ่งนี้มาจากท่านรซูลุลลอฮ์ ช.ล. ...นั้น เป็นการบิดเบือนหลักฐานโดยเจตนาอย่างชัดแจ้ง เพราะ นอกจากหะดีษบทนี้จะเป็นหะดีษอ่อนอันเนื่องมาจากการ
“ขาดตอน” หรือ “อินกิฎออุ” ระหว่างยะซีด บิน รุมาน และท่านอุมัรฺ อิบนุล ค็อฎฎ็อบ ร.ฎ.แล้ว (ท่านอุมัรฺ สิ้นชีวิต ในปี ฮ.ค. 23 และท่านยะซีด สิ้นชีวิตในปี ฮ.ค. 130) ผู้เขียน ยังสงสัยและอยากจะรู้เหลือเกินว่า ทำไมท่านผู้เขียนหนังลือ “มัสอะละฮ์ อูกะมา” จึงไม่กล้านำเอา “คำสั่งจริง ๆ” ของ ท่านอุมัรฺชึ่งเปีนหะดีษที่เคาะเหี้ยะห์ และมีบันทึกไว้ในหนังลือ “มุวัฎเฎาะฮ์” ของท่านอิหม่ามมาลิกเช่นเดียวกัน, แถมอยู่ ติดกันกับหะดีษของท่านยะซีด บิน รุมานเสียด้วย มาลง บันทึกไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าวของท่านแทนการโมเมสรุป เอาเอง ถ้าหากท่านมีความบริสุทธ์ไจในการเผยแพรวิชาการ ของคาสนา และไม่มีเจตนาที่จะบิดเบิอนหลักฐาน?
หรือว่า, คำสั่งจริง ๆ ของท่านอุมัรฺนั้น มันเกิดไป “หักล้าง” ต่อความเชีอถือของท่าน, ท่านจึงไมกล้านำมัน มาลงบันทึกไว้ให้ผู้อ่านเห็น?
เพราะท่านอิหม่ามมาลิก ได้บันทึก “ของจริง” มา จากรายงานของท่านชาอิบ อิบนุยะซีด ว่า -..
أَ مَرَ عُمَرُ بْنُ الْخْطَّا بِ أُ بَىَّ ْبنَ كَعْبٍ وَتَمِمًا الدّا رِىَّ أَنيَّقُوْ ماَ لِنَّا سِ بِإِ حْدَ ى عَشْرَةً
“ท่านอุมัรฺ อิบนุล ค็อฎฎ็อบ ร.ฎ.ไต้มีคำสั่งให้ท่าน อุบัยย์ อิบนุกะอฺบิน และท่านตะมีม อัด ดารืย์ ให้ทั้งสอง (ท่าหน้าที่) เป็นอิหม่าม นำประชากรนมาซ (ตะรอ1วี้ยะห์ และวิตรุ) เพียง 11 ร็อกอุะฮ์”
(ดู มุวัฏเฏาะห์ ของท่านอิหม่ามมาลิก เล่มที่ 1 หน้า 105)

3. ในเรื่องของการทำ “เมาลิด’’ ท่านผู้เขียนหนังสือ “มัสอะละฮ์ อูกะมา’’ ไต้กล่าวไว้ดอนหนึ่งว่า ...
“คนที่ไม่มีอีหม่าน หรืออีหม่านบอบบาง เขาจะไม่ทำ เมาลิดนะบิ ศ็อลฯ นะอูชุบิ้ลแลฮ์”
(ดู ข้อโต้แย้งปัญยหาศานา เล่มที่ 1 หน้าที่ 118 จากสำสวนการแปลของอาจาราย์ อับดุลการี วันแอเลาะ)

แสดงว่า ท่านผู้นี้ไต้ถือเอาเรื่องการท่าเมาลิด เป็น มาตรการวัดอีหม่านของมุสลิมเรา เพราะท่านกล่าวว่า ผู้ที่ ไม่ทำเมาลิดนะบีอย่างที่ท่านกำลังส่งเสริมให้กระท่ากันอยู่ เป็นผู้ที่ไม่มีอีหม่านหรืออีหม่านบอบบาง,
ถ้าเราจะว่ากันตามกฎเกณฑ์ข้อนี ก็ย่อมหมายถืงว่า ประชากรมุสลิมในยุคสามศตวรรตแรกที่ท่านรซูลุลลอฮ์ ช.ล.ไดให้การรับรองว่า เป็นยุคที่เลอเลิศที่สุด ล้วนแล้วแต่ เป็นผู้ที่ไม่มีอีหม่าน หรืออีหม่านบอบบางกันทั้งนั้น, ไม่ว่า จะเป็นระดับอัลคุละฟาฮ์ อัรุรอชิดีนทั้งสี่, เคาะฮาบะฮ์ผู้
ทรงเกียรติท่านอื่น ๆ, บรรดาตาบิอีน หรือแม้กระทั่งท่าน อิหม่ามทั้งสี่ท่านรวมทั้งท่านอิหม่ามชาหิเอีย์เองด้วย ต่างก็ เป็นผู้ที่ไม่มีอีหม่านหรืออีหม่านบอบบางกันถ้วนหน้า เพราะ ท่านเหล่านี้ ไม่เคยจัดงานเมาลิด, แถมพวกท่านยังไม่เคย ได้รับรู้ด้วยว่า งานเมาลิดคืออะไร?
เพราะงานเมาลิดที่แท้จริงนั้น ถูกริเริ่มจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ในประเทศอียิปต์ เมื่อปี อ.ค. 362, โดยสุลฎอนมุอิซ ลิดีนิลลาฮ์ แห่งวงศ์ฟาฎิมีย์ยะฮ์ ..-
เราจะเอากันอย่างนี้หรือ?

นี้คือตัวอย่างเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้เขียน,ได้,นำมาบอก กล่าว เพื่อต้องการจะ ให้ท่านผู้อ่านที่มีใจบริสุทธิ์ในเรื่อง คาสนา ได้มองเห็น “จุดยืน” ของหนังสือ “มัสอะละฮ์ อูกะมา” เล่มนั้น ...



วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การอ่านตัลกีน ให้ผู้ตาย สุนนะใคร?



โดย .อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ความหมายของคำว่า “ดัลกีน” ตามรูปแบบที่นิยม ปฎิบ้ติกัน หมายถึงการแนะนำหรือสอนผู้ตายที่อยู่ในหลุม ให้กล่าวคำปฏิญาณว่า “ลาอิลา ฮะอิลลัลลอฮ์” และสอน ให้เขาตอบคำถามของมลาอิกะฮ์ที่มีหน้าที่สอบถามผู้ตาย เกี่ยวกับเรื่องหลักอฺะก็ดะฮ์ของเขาและอื่น ๆ, ซึ่งการสอน ดังกล่าวนี้ มักจะสอนกันเป็นภาษาอรับ ทั้ง ๆ ที่ผู้ตายขณะที่ มีชีวิตอยู่พูดภาษาอรับไม่ได้, แถมบางครั้ง ผู้สอนเองก็ ไม่รู้เรื่องเหมือนกันว่า ตนสอนผู้ตายว่าอย่างไร เพราะตัว ผู้สอนก็ดกอยู่ในฐานะเดียวกันกับผู้ถูกสอน คือแปลภาษา อรับที่อ่านอยู่ไม่ได้ นอกจากอ่านอัล กุรฺอานได้เพียงอย่าง เดียว, ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ตายเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา มาก ๆ อาทิเช่น เป็นคนรํ่ารวยหรือเป็นโต๊ะครู ก็จะมีคน แย่งกัน “ดัลกีน” ทิละหลาย ๆ คนพร้อมกันจนแมัผู้ตายเอง ก็คงจะฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่า เขาอ่านอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่ความ จริง หากผู้ดายเคยเป็นโต๊ะครู, และเคยสอนลูกศิษย์ถูกหา มาก่อน ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะด้องไปแย่งกันช่วย “สอน”
ท่านอีก, เพราะถึงอย่างไรท่านก็คงช่ำชองพอที่จะ “สอบ ผ่าน” อยู่แล้ว เพียงแต่ให้ใครสักคนช่วย “เตือนความจำ” ให้แก,ท่านสักเล็กน้อยก็พอแล้ว แด่ที่เวลาผู้ตายเป็นชาวบ้าน ธรรมตา ๆ ที่ไม่มีความรู้อะไรเลย ซึ่งตามหลักการน่าจะ ช่วยกัน “สอน” เขาชํ้ากันหลาย ๆ ครั้งยิ่งเสียกว่าโต๊ะครู กลับปรากฎว่า การตัลก็นให้แก่เขา เพียงแต่ให้ใครสักคนหนึ่ง ไปนั่งอ่าน ๆ พอเป็นพิธีเท่านั่น, ไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้เขาได้รับ ประโยชน์จากการตัลก็นด้งกล่าวเลย -..
การ “ด้ลก็น” ตามรูปแบบที่ปฎิบ้ติกันมา จึงมีลักษณะ เป็นการกระทำตาม “สูตรสำเร็จ” ให้ผ่านพ้นไปเป็นครั้ง ๆ มากกว่าที่จะกระทำโดยการคำนึงถึง “เบ้าหมาย” ของ การอ่านด้ลกีนนั่น ดามที่ท่านนักวิชาการได้เสนอแนะไว้ ...
ที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงการกล่าวในแง่ของ “การสมมุติ” ว่า การอ่านด้ลกีนนั่น สามารถจะให้ประโยชน์แก่ผู้ตายได้ จริง ๆ ตามที่เราเข้าใจกัน -..
แต่ในแง่ของหลักฐานการอ่านด้ลกีน ก็เป็นเรื่องที่เรา จะได้น่ามาวิเคราะห์กันต่อไปว่า หลักฐานเหล่านั่น มีความ ถูกต้องหรือน่าเชื่อถืออยู่มากน้อยเพียงไร ...
สำหรับข้อเขียนเกี่ยวกับเรื่องการอ่านด้ลก็นเป็นภาษา ไทย เท่าที่ผู้เขียนเคยอ่านเจอนั่น รู้สึกว่าจะไม่มีหนังสือเล่มใด
จะเขียนได้อย่างยืดยาวยิ่งไปกว่าข้อเขียนเรื่อง “ด้ลกีน” ใน หนังสือชื่อ “ข้อโต้แย้งปัญหาศาสนา” ซึ่งเป็นหนังสือที่แปล มาจากหนังสือ “มัสอะละฮ์ อูกฺามา” อันเป็นหนังสือที่ถูก เรียบเรียงโดยนักเขียนชาวอินโดนีเซีย คือ หํจญ'ซีรอณุดดีน อับบาส อีกต่อหนึ่ง ซึ่งในข้อเขียนดังกล่าวนั้น โดยเฉพาะ ในเรื่องการอ่านดัลกีนนี้ มีอยู่หลายประเด็นที่เราจำเป็นจะ ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ท่านผู้อ่าน และผู้ที่เคยอ่านหนังสือ เล่มนั้นไต้รับทราบกันไว้ -..
และเนื่องจากดัวผู้เขียนหนังสือ “มัสอะละฮ์ อูกะมา” เป็นผู้ที่มีแนวทัศนะยิดติดกับเรื่องมัษฮับจนเกินไป ทั้งๆที่ สังเกตดูแล้วเห็นว่า ท่านมีความรู้และวิชาการด้านคาสนา กว้างขวางพอสมควร แต่เมื่อท่านเกิดไปมองเห็น “มัษฮับ” ว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเหนือกว่าซุนนะฮ์หรือแบบอย่างของท่าน รชูลุลลอฮ์ ซ.ล.เสียแล้ว ข้อเขียนของท่านในหนังสือดังกล่าว ในหลายๆ'เรื่อง จึงมีลักษณะที่เป็นการ “ข้ดขา” กันเอง เพราะความไม่แน่นอนและขาดจุดยืนของผู้เขียน. บางครั้ง ก็มีการ “บิดเบือน” ข้อเท็จจริงของหลักฐานอย่างชัดแจ้ง และยิ่งไปกว่านั้น บางตอนก็มีลักษณะ “ก้าวร้าว” ต่อผู้อื่น, ไม่ว่าจะเป็นเคาะฮาบะฮ์หรือแม้กระทั้งตัวท่านอิหม่ามซาฟีอีย์ เอง ...
ในที่นี้ ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างของสิ่งที่ได้กล่าวมานี้
สัก 3 เรืองดังนี -..............


พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน


อัสสลามุอลัยกุม .. พี่น้องที่เคารพรักทุกท่านครับ ..
ตั้งแต่กลางเดือนรอมะฎอนเป็นต้นมาจนถึงกลางเดือนเชาวาล ผมไม่มีเวลาจะเขียนบทความหรือตอบปัญหาใดๆที่มีผู้ถามมา นอกจากได้ตอบไปเพียงเล็กน้อยและสั้นๆสำหรับบางท่าน เพราะติดขัดเรื่องต้องควบคุมช่างซ่อมแซมและต่อเติมบ้าน 1 เดือนเต็มๆ และพอบ้านเสร็จก็ถึงวาระต้องออกข้อสอบนักเรียน, ตรวจข้อสอบ และทำเอกสารของนักเรียน ซึ่งเพิ่งจะเสร็จจริงๆเมื่อวานนี้เอง ..
ผมจึงขออภัยเป็นอย่างสูงต่อทุกท่านที่มีคำถามไปและยังไม่ได้รับคำตอบจากผม ตลอดจนบทความบางเรื่องที่ผมเคยบอกว่าตั้งใจจะเขียน ก็ยังไม่ได้เขียน เพราะอุปสรรคดังกล่าว ..
ผมขอถือโอกาสนี้เรียนกับพี่น้องทุกท่านว่า - ที่ผ่านมา - ข้อเขียนและคำตอบของผมทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิชาการ, ของความบริสุทธิ์ใจและเจตนาดีเป็นที่ตั้ง และผมพร้อมจะรับผิดชอบในทุกอย่างที่เขียนไปแล้วต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.
ผมขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่า มันฮัจญ์ของผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง! .. ดังการใส่ร้ายหรือเข้าใจผิดของบางคน เพราะคำแนะนำของผมที่ว่า "จงยืนหยัดในหลักการ" ก็เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุดต่อจุดยืนของผม ...
ผมเพียงแต่ "แนะนำ" ต่อดาอีย์ทุกท่าน (ไม่ได้เฉพาะเจอะจงบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด) ว่า ให้ใช้ความสุภาพ, สุขุม และจิตวิทยาในการเรียกร้องผู้คนมาสู่แนวทางของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. และในการโต้แย้งกับผู้เห็นต่าง ..
เพราะนั่นคือคำบัญชาของพระองค์ในซูเราะฮ์อัน-นะห์ล์ อายะฮ์ที่ 125 ...
ส่วนที่มีบางคนไม่เห็นด้วยกับข้อเขียนของผม และเขียนโต้แย้งมาอย่างก้าวร้าว ผมจะไม่ขอตอบโต้หรือก้าวร้าวตอบ เพราะผมถือว่าความเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดาของวิชาการ จึงไม่ได้ติดใจอะไร และผมให้เกียรติผู้อ่านทุกท่านว่าเป็นปัญญาชน .. พอที่จะแยกแยะได้ว่า สิ่งที่ผมเขียนแนะนำไปนั้น ถูกต้องหรือผิดพลาด ..
และ .. มะรืนนี้ (คือวันศุกร์ ที่ 28 กรกฎาคม) ผมต้องนำพรรคพวกกลุ่มหนึ่งเดินทางไปทำหัจญ์ที่ประเทศซาอุฯ และจะเดินทางกลับประเทศไทยประมาณวันที่ 17 กันยายนนี้ อินชาอัลลอฮ์
ขอดุอาให้ผมกับพี่น้องมุสลิมทุกท่านที่เดินทางไปทำหัจญ์ด้วยนะครับ ..

อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

26 ก.ค. 60