อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ไม่สามารถถือศิลอดขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตร จะชดใช้ศิลอดที่ขาดไปอย่างไร


โดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ตอบคำถามคุณ Anas Ibnu Ahmad

อัสสลามุอลัยกุมคับ อาจารย์
อ. คับ ในกรณีสตรีให้นมบุตร ไม่ได้ถือศีลอดในปีที่ผ่านมาตลอดทั้งเดือน อันเนื่องจากแพ้ท้องอย่างหนักตอนตั้งครรภ์ เมื่อคลอดลูกออกมาต้องให้นมบุตรตลอดทั้งปี แบบนี้ต้องชดใช้ศีลอดที่ขาดไปของรอมฎอนปีที่แล้วยังไงบ้างคับ ...
(ถึงตอนนี้ ณ เวลานี้ สตรีผู้นั้นยังไม่ได้ชดใช้ศีลอดที่ขาดไปคับ) ...

ตอบ

ในกรณีสตรีที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรนี้ นักวิชาการมีทัศนะแตกต่างกันครับ
..
ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์และท่านอิหม่ามอะห์มัดได้จำแนกกรณีนี้ว่า หากสตรีทั้งสองนั้นเกรงว่าการถือศีลอดจะเป็นอันตรายต่อ "ตัวนางเอง" หรือเป็นอันตรายทั้ง "ต่อตัวนางและบุตรของนาง" ก็ให้นางถือศีลอดชดใช้เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องบริจาคอาหาร ...

แต่ถ้านางเกรงว่า การถือศีลอดจะเป็นอันตรายต่อ "บุตร"" ของนาง ก็ให้นางบวชชดใช้ด้วย และจ่ายฟิดยะฮ์ (คือบริจาคอาหาร) ด้วย ..

ส่วนในทัศนะของท่านอบูอุบัยด์, ท่านอบูษูรฺ และนักวิชาการมัษฮับหะนะฟีย์กล่าวว่า .. ให้สตรีทั้งสองนั้นถือบวชชดใช้เพียงอย่างเดียวในทุกๆกรณี ไม่จำเป็นต้องจ่ายฟิดยะฮ์อีก ..

ทัศนะทั้งหมดดังข้างต้นนี้ ผมยังไม่เคยเจอหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันเลยครับ ..

แต่เศาะหาบะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 2 ท่านคือ ท่านอับดุลลอฮ์ บินอุมัรฺ ร.ฎ. กับท่านอับดุลลอฮ์ บินอับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แล้วไม่ได้ถือศีลอด เนื่องจากเกรงจะเป็นอันตรายต่อตัวนางเองหรือบุตร ก็ให้นางจ่ายฟิดยะฮ์เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องบวชชดใช้ ...

คำกล่าวของเศาะหาบะฮ์ทั้งสองท่านนี้ ถูกบันทึกโดยท่านมาลิก, ท่านอบูดาวูด, ท่านอัด-ดารุกุฏนีย์, ท่านอัล-บัยฮะกีย์, และท่านอัล-บัซซารฺ ด้วยสายรายงานที่เชื่อถือได้ ...

ดังนั้น สรุปแล้ว สตรีทั้ง 2 กรณีข้างต้นจึงมีสิทธิ์เลือกปฏิบัติ คือ จะถือบวชชดใช้ตามทัศนะของนักวิชาการที่ผมอ้างอิงมาก็ได้ หรือจะจ่ายฟิดยะฮ์ตามทัศนะของเศาะหาบะฮ์ทั้ง 2 ท่านนั้นก็ได้ ..

แต่ .. จากคำถามของคุณข้างต้น - โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อนางไม่มีเวลาที่จะถือบวชชดใช้ - ผมขอแนะนำให้ปฎิบัติตามทัศนะของเศาะหาบะฮ์ทั้ง 2 ท่านนั้น คือบริจาคอาหารแทนการถือบวชชดใช้ จะเป็นการดีที่สุดครับ วัลลอฮุ อะอฺลัม ...



ใช้คำว่าไม่ใช่ซุนนะฮ์ แน่นอนกว่าใช้คำว่าเป็นบิดอะฮ์




ตอบโดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

คำถาม

อาจารย์ ค่ะ ดิฉันเคยได้ยินจากชาวสุนนะฮ์คนหนึ่ง กล่าวถึงผู้ที่ไม่ค่อยปฏิบัติตามสุนนะฮ์ ว่าพวกบิดอะฮ์ คำพูดเช่นนี้สมควรหรือไม่ค่ะ

คำตอบ

ถ้าเป็นผม - เมื่อเห็นใครสักคนปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งกับซุนนะฮ์ ผมจะบอกกับเขาว่า สิ่งที่คุณปฏิบัติอยู่ไม่ใช่ซุนนะฮ์นะครับ ... แต่ผมคงไม่กล้าพูดว่า คุณกำลังทำบิดอะฮ์ หรือคุณเป็นพวกบิดอะฮ์ อย่างที่คุณถามมา เพราะ
 (1) เรื่องบิดอะฮ์ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องมองตามมุม แม้เรื่องนั้นๆในมุมมองผมจะเป็นบิดอะฮ์ แต่ผมก็ให้เกียรติมุมมองของนักวิชาการอื่นๆที่เขาทำตามเช่นเดียวกัน ซึ่งปกติก็เป็นนักวิชาการระดับโลกที่อาเล่มกว่าผมมากนัก ต่างกับเรื่องซุนนะฮ์ซึ่งเป็นเรื่องชัดเจนคือใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ผมจึงพูดได้เต็มปากว่า ไม่ใช่ซุนนะฮ์ ซึ่งแน่นอนกว่าใช้คำว่าเป็นบิดอะฮ์

 (2) การกล่าวหาบุคคลใดเฉพาะเจาะจงว่าเป็นพวกบิดอะฮ์ เท่ากับการกล่าวหาว่า เขาเป็นพวกนรก บอกตรงๆว่า ผมไม่กล้าหรอกครับ ..


ปรับเปลี่ยน "วิธีการ" เผยแพร่อิสลาม ที่สุภาพนิ่มนวล



โดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ท่านผู้อ่านที่รักและเคารพครับ ...
อนุสนธิจากบทความของผมเรื่อง "จงยืนหยัดในหลักการ แต่จงสุภาพและนิ่มนวลในวิธีการ" เมื่อ 2-3 วันก่อน .. ซึ่งเนื้อหาโดยสรุปก็คือ ต้องการตักเตือนผู้ที่เป็น "ดาอีย์" ทั้งหลายให้ปรับเปลี่ยน "วิธีการ" เผยแพร่อิสลาม จากความก้าวร้าว, สาดโคลนกัน, ประณามกัน มาเป็นให้นิ่มนวลขึ้น สุภาพขึ้น ตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ...
ความจริง ผมไม่จำเป็นจะต้องเขียนชี้แจงหรือเพิ่มเติมอะไรอีก หากไม่เพราะเจ้าน้องชายของผม อ. อาลีคาน ปาทาน จะไม่ทำตัวเป็นตุ๊กแกที่กินปูนแล้วร้อนท้อง ด้วยการเขียนบทความโต้แย้งและกล่าวหาผมลักษณะว่า เขียนตำหนิพรรคพวกเดียวกันเอง ...
ผมว่า ผู้อ่านทุกท่านที่อ่านข้อเขียนของผมด้วยความใคร่ครวญ ด้วยใจเป็นธรรม และเคยฟังหรือเคยอ่านเจอการ "ด่าทอและประณามกัน" กันอย่างรุนแรงระหว่างมุสลิมสายสละฟีย์ (ที่ถูกเรียกว่า วะฮ์ฮาบีย์) และสายอะชาอิเราะฮ์ในเฟสแล้ว ย่อมจะรู้ทันทีว่า คำเตือนของผมในบทความนั้น มิใช่เป็นการเตือนเฉพาะค่ายใดค่ายหนึ่ง ...
แต่เป็นการเตือนทั้ง 2 ค่าย ...
เพราะความก้าวร้าวนั้น มาจากทั้ง 2 ค่าย ! .. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง .. (ขออภัยที่ผมต้องพูดความจริงว่า) .. บทความที่เขียนโจมตีผู้เห็นต่างจากค่ายอะชาอิเราะฮ์นั้น มีความรุนแรงและก้าวร้าวมากกว่าค่ายสละฟีย์ด้วยซ้ำไป ...
ไม่เชื่อไปเปิดอ่านดูในเฟสได้เลย ...
การเตือนของผม จึง เป็นการเตือนให้ระมัดระวังเรื่อง "วิธีการเผยแพร่ศาสนา" ที่ผมมองว่า ชักจะนำพาไปสู่ความเป็นศัตรูระหว่างมุสลิมทั้ง 2 ค่ายยิ่งขึ้นทุกทีและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ...
ทั้งๆที่ทั้งสองค่ายนี้ - ไม่ว่าท่านจะอ้างว่าเป็นสละฟีย์หรืออะชาอิเราะฮ์ - ก็เป็น "พี่น้องมุสลิม" สายซุนหนี่ด้วยกัน ไม่มีใครเป็นชีอะฮ์เลย ...
มุมมองของผมในเรื่องนี้ ตรงกันกับมุมมองของท่านอาชีรฺ บาบอ .. คือเห็นว่า นักวิชาการในประเทศไทยทั้งสองค่ายปัจจุบันนี้ - บางคน - "สุดโต่ง" จนเกินไป ไม่ว่าในการพูด, ในการเขียน หรือการบรรยาย ...
ใช้วิธีการเผยแพร่ความจริง (ตามมุมมองของตน) ด้วยการโจมตีผู้เห็นต่าง, ด่าผู้เห็นต่าง, ประณามผู้เห็นต่าง, ตักฟีรฺผู้เห็นต่าง, ผูกขาดความถูกต้องไว้เฉพาะกลุ่มตนเอง ...
ที่ได้เตือนเพราะเห็นว่า วิธีการดังกล่าวไม่ใช่วิธีการเผยแพร่ที่ถูกต้อง, ไม่ใช่วิธีการที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงแนะนำ, ไม่มีผลดีต่อสังคมมุสลิมโดยรวม นอกจากจะทำให้ฟิตนะฮ์ ค่อยๆขยายกว้างออกไปเท่านั้น ..
ผมมิได้ขอร้องให้เรา "ยอมรับ" ความเห็นต่างที่เรามองว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ผมขอร้องให้เรารู้จัก "ให้เกียรติ" ผู้ที่เห็นต่างกับเราบ้าง ..
เพราะผู้ที่เห็นต่างกับพวกเรา - ตามข้อเท็จจริง - มิใช่ "นักวิชาการร่วมสมัย" ที่กำลังโต้แย้งกับพวกเรา ...
แต่ทุกคนและทุกค่าย ล้วน "อ้างอิง" ทัศนะนักวิชาการ "ระดับโลก" ทั้งอดีตและปัจจุบันที่ตนเองศรัทธาเชื่อถือ มายืนยันความเชื่อของตน ...
หรือพวกเราจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ .? ..
ผมขอเรียนว่า สถานภาพและความรู้ของนักวิชาการระดับโลกเหล่านั้น - ไม่ว่าพวกท่านจะมีแนวคิดตรงกับค่ายไหน - ล้วนห่างชั้นกับพวกเราสุดกู่ทั้งสิ้น ..
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่มีสิทธิ์ไป "ฟันธง" ว่ามุมมองของพวกท่านเหล่านั้นผิดแน่นอน, มุมมองของเราที่เห็นต่างกับท่าน ถูกต้องแน่ๆ ..
เพราะนั่นคือลักษณะของคน "ตะกั๊บบุรฺ" หรือคนโอหัง .. มิใช่ลักษณะของนักวิชาการที่ดีที่ต้องถ่อมตน ...
การประณาม, การตักฟีรฺนักวิชาการร่วมสมัย จึงเท่ากับเป็นการประณามหรือเป็นการตักฟีรฺนักวิชาการระดับโลกเหล่านั้นด้วยมิใช่หรือ ? ...
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอ้างตัวเองเป็นอะชาอิเราะฮ์หรือเป็นสะละฟีย์ ก็โปรดให้เกียรตินักวิชาการระดับโลกที่เห็นต่างกับเราบ้างเถอะครับ อย่าตะกั๊บบุรฺกันให้มากนัก ...
เพราะการตะกั๊บบุรฺ เป็นคุณสมบัติของชัยฎอน มิใช่คุณสมบัติของผู้ศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ศรัทธาที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการ ...
ขอย้ำอีกครั้งว่า ที่ผมเขียนเตือนไป เป็นการเตือนทั้ง 2 ค่าย มิได้เฉพาะเจาะจงค่ายหนึ่งค่ายใด ...
แล้วจู่ๆท่าน อ.อาลีคาน ปาทานนักวิชาการสายสละฟีย์ซึ่งเปรียบเสมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง ก็ได้แสดงตนเป็น "ตุ๊กแก ที่กินปูนแล้วร้อนท้อง" ด้วยการออกมาคัดค้านคำตักเตือนด้วยเจตนาดีของผม จึงทำให้เกิดมุมมองจากการคัดค้านของท่านได้ 2 ประการด้วยกันคือ ...
1. การคัดค้านของท่านเท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายว่า พฤติการณ์การเผยแพร่ศาสนาของท่าน เป็นอย่างที่ผมเตือนไปจริงๆ จึงทนรับไม่ได้กับคำเตือนนั้น หรือ ...
2. ท่านเองรวมทั้งนักวิชาการในค่ายเดียวกัน - ทุกคน - ล้วนมีวิธีการเผยแพร่ศาสนาด้วยกิริยาวาจาที่สุภาพ, ใช้วิธีการที่เหมาะสม, ดีงาม, ปราศจากพฤติการณ์ดังกล่าวนั้นโดยสิ้นเชิง, ถูกต้องตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ว่า "จงเรียกร้องเชิญชวนมาสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของท่านด้วยหิกมะฮ์ (สุขุม) และคำตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยวิธีการที่ดีกว่า" ...
ท่านจึงได้ออกมาคัดค้านข้อเขียนของผม เพราะข้อเขียนนั้นของผมเท่ากับใส่ร้ายท่าน ..
ก็ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันว่า พฤติการณ์กินปูนร้อนท้องของท่าน อ. อาลีคาน น่าจะเพราะสาเหตุข้อแรกหรือข้อหลัง ? ..
ถ้าหากท่านผู้อ่านพิจารณาเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างข้อแรก ผมก็อยากจะขอร้องให้ อ. อาลีคานลดทิษฐิ และลองปฏิบัติตามคำแนะนำของผมดูบ้าง ..
แต่ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างข้อหลัง ผมก็ต้องขออภัยต่อท่าน อ. อาลีคานเป็นอย่างสูง ที่ "สะเออะ" ออกมาตักเตือนนักวิชาการผู้ปฏิบัติหน้าที่ดาอีย์อย่างสุภาพและ เหมาะสม .. ตรงตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. แล้ว .. อย่างท่าน (แม้ผมจะเจตนาเตือนทั้ง 2 ค่าย และมิได้ระบุนามผู้ใดเลยก็ตาม) ....
ท่าน อ. อาลีคาน ยังกล่าวหาผมอีกว่า ลักษณะการเตือนของผมที่ต้องการให้มุสลิมทุกคนคำนึงถึงความเป็นพี่น้องกัน, รักใคร่กัน, ปรองดองกัน, ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนั้น .. เหมือนผมเป็น "พวกอิควาน" ที่ท่านกำลังต่อต้านอยู่ ...
ผมก็ขอยอมรับโดยดุษฎีและอย่างน่าชื่นตาบานว่า .. ใช่ครับ ผมเป็นอิควาน !..
แต่การเป็นอิควานของผม มิใช่อิควานตามแบบนโยบายของ "พรรคการเมือง" หนึ่งในประเทศอียิปต์ที่มีบางคนนำมาเผยแพร่ในประเทศไทย .. ...
ทว่า .. เป็นอิควานตาม "กรอบคำสั่ง" ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ... ที่ว่า .. "พวกท่านอย่าโกรธเคืองกัน, พวกท่านอย่าอิจฉาริษยากัน, พวกท่านอย่าผินหลังให้กัน, พวกท่านอย่าตัดขาดซึ่งกันและกัน และพวกท่านจงเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ที่เป็น "อิควาน" (คือเป็นพี่น้องกัน) .. ไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดหันห่างจากพี่น้อง (มุสลิม) ของเขาเกินกว่า 3 วัน"
หะดีษบทนี้บันทึกโดยท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม ....
ผมเชื่อว่า มีพี่น้องมุสลิมจำนวนมากในประเทศไทย ไม่ปฏิเสธการเป็น "อิควาน" ตามนัยนี้มิใช่หรือครับ ...
มีนักวิชาการสายสละฟีย์บางคน (รวมทั้งผมเองด้วยในอดีต) เคยกล่าวว่า "ถ้าการพูดความจริงทำให้เกิดการแตกแยก ก็เชิญให้มันแตกไปเลย" ...
แต่จากประสบการณ์อันยาวนานทำให้ผมเกิดความรู้สึก(ใหม่) ว่า การพูดความจริง ไม่ใช่เป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้มุสลิมที่มีแนวคิดต่างกัน แตกแยกกัน ...
แต่สาเหตุจริงๆที่ทำให้เกิดการแตกแยกกัน ก็เพราะ "ผู้พูดความจริง" (ตามความเชื่อของตนเอง) ใช้วิธีการด่า, ประณาม, หรือตักฟีรฺ ผู้เห็นต่าง .. ต่างหาก ..
ลำพังการนำเสนอความจริงเพียงอย่างเดียว ไม่มีการด่าแถมขณะพูดความจริง .. แม้ผู้ฟังที่เห็นต่างจะไม่ยอมรับ แต่คงไม่ถึงกับทำให้แตกแยกกันอย่างนี้ ...
ตามปกติ มุสลิมทุกคนที่มีอีหม่าน - ถ้าไม่อวิชาจนเกินไป - ก็ไม่มีใครปฏิเสธซุนนะฮ์ของท่านนบีย์ หรือปฏิเสธความสำคัญของซุนนะฮ์ของท่านนบีย์หรอก ...
แล้วทำไม มุสลิมเหล่านั้นจึงไม่ยอมรับซุนนะฮ์ของท่านนบีย์เมื่อมีผู้หยิบยื่นให้ ? ...
ก่อนเขียนคำตอบ .. ผมขอเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆว่า อุปมาบางคนเปิดร้านขายอาหาร รสชาติอาหารในร้านก็โอชะ, ทุกคนยอมรับ และไม่มีใครปฏิเสธรสชาติอาหาร .....
แต่แปลกที่ .. ทำไม ผู้คนจึงไม่อยากเข้าไปซื้ออาหารในร้านนี้ ? ...
คำตอบ .. ที่คนไม่เข้าร้านนี้ไม่ใช่เพราะรสชาติอาหารไม่อร่อย ...
แต่เป็นเพราะพวกเขา "เกลียดปาก" เจ้าของร้านที่ชอบด่า ชอบทะเลาะกับผู้ซื้อต่างหาก
เรื่องการเผยแพร่ซุนนะฮ์ ฉันใดก็ฉันนั้น ...
มุสลิมที่ปฏิเสธเมื่อมีคนหยิบยื่นซุนนะฮ์มาให้ - สาเหตุส่วนหนึ่ง - ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดซุนนะฮ์ ...
แต่เป็นเพราะเขา "เกลียดปาก" ผู้เผยแพร่ซุนนะฮ์ที่มาด่าเขา ประณามเขา ต่างหาก ...
สุดท้ายนี้ ผมขอฝาก "ข้อคิด" สำหรับนักวิชาการรุ่นน้องๆ "บางท่าน" ค่ายสละฟีย์ ว่า ...
การที่ท่านทำงานศาสนาด้วยการเผยแพร่ซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือว่า ท่านเดินมา "ถูกทาง" แล้ว ...
แต่ .. "วิธีการ" เผยแพร่ซุนนะฮ์ของท่านด้วยวิธีการก้าวร้าว ประณามต่อผู้เห็นต่าง แสดงว่าท่าน กำลังเดิน "หลงทิศ" ..
เพราะฉะนั้น การบ้านสำหรับท่านก็คือ ...
ทำอย่างไรท่านจึงจะได้ชื่อว่า เดินถูกทางด้วย, ถูกทิศด้วย ..
หมายเหตุ หลังจากนี้ หากท่านผู้ใดเขียนโต้แย้งอะไรมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็จะไม่เขียนชี้แจงอะไรอีกแล้ว เพราะถือว่า ผมทำหน้าที่เผยแพร่คำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ว่า ...
.. "จงเรียกร้องเชิญชวนมาสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของท่านด้วยหิกมะฮ์และคำตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยวิธีการที่ดีกว่า" ... อย่างสมบูรณ์แล้ว ...


อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
28/5/60

จงยืนหยัดในหลักการ แต่จงสุภาพและนิ่มนวลในวิธีการ




โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

พี่น้องมุสลิมทุกท่าน .. ที่มีอีหม่านที่ถูกต้อง .. อยู่ในหัวใจครับ ...
รอมะฎอนปีนี้ ผมว่าน่าจะเป็นโอกาสดีเลิศที่สุดที่มุสลิมเรา - โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิชาการบางท่านหรือหลายท่าน" - ควรจะละทิ้งพฤติการณ์เก่าๆที่แย่ๆของพวกเราในรอบหลายปีที่ผ่านมาเสียที ดีไหมครับ ? ...
- ประเภทเผยแพร่ศาสนาด้วยการสร้างศัตรู แทนที่จะเป็นการสร้างมิตรและความเข้าใจทีดีต่อกันในระหว่างพี่น้องมุสลิมก็ดี ...
- ประเภท .. "ความถูกต้องเรื่องศาสนาอยู่ที่กลุ่มของข้าเท่านั้น ใครเห็นต่างกับกลุ่มของข้า คนนั้นผิดแน่ๆ .. จะต้องถูกประณามหรือถูกกระแนะกระแหน" ก็ดี ...
- ประเภท .. "ความเชื่ออย่างที่ข้าเชื่อเท่านั้นถึงจะเรียกว่าเป็นมุสลิม ความเชื่อที่ต่างจากข้า เป็นความเชื่อของคนต่างศาสนา" .. ก็ดี ...
- ประเภทกล่าวประณาม กล่าวจาบจ้วง, กล่าวดูถูกเหยียดหยามพี่น้องมุสลิมที่เห็นต่างหรือมีความเชื่อต่างกับตัวเอง เหมือนเขาไม่ใช่เป็นมุสลิม แม้จะเป็นนักวิชาการระดับโลกที่โลกอิสลามยอมรับก็ดี ...
- ประเภทผูกขาดคำว่า "อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์" ไว้กับพวกที่มีความเชื่อเหมือนพวกข้าเท่านั้น ผู้ที่มีความเชื่อไม่เหมือนพวกข้าไม่ว่าเป็นนักวิชาการของโลกระดับไหน ไม่ใช่อะฮ์ลิซซุนนะฮ์วัล-ญะมาอะฮ์ .. ก็ดี ...
- ประเภทผูกขาดคำว่า "สะละฟีย์ที่ถูกต้อง" คือกลุ่มของพวกข้าเท่านั้น กลุ่มอื่นๆจากกลุ่มข้าเป็นสะละฟีย์จอมปลอมทั้งนั้น .. ก็ดี ...
ขอร้องเถิดครับ หลังจากสิ้นเดือนรอมะฎอนไปแล้ว ขอความกรุณาให้สิ่งเหล่านี้สลายไปจากจอแก้ว, จากคำบรรยาย หรือจากข้อเขียนของพวกท่าน .. และอย่าให้มันหวนกลับมาให้พวกเรา - มุสลิมทุกคน - ได้เห็นมันอีก จะได้ไหมครับ ? ..
แน่ใจหรือครับว่า พฤติการณ์ต่างๆดังกล่าวมานี้ของพวกท่าน เป็นการสร้างเกียรติภูมิ, สร้างความภาคภูมิใจให้กับพี่น้องมุสลิม หรือทำให้พี่น้องมุสลิมอับอายขายหน้าต่อศาสนิกอื่นกันแน่ ? ...
แน่ใจหรือครับว่า พฤติการณ์ต่างๆดังกล่าวมานี้ของพวกท่าน เป็นการ "อิศลาห์" หรือการ "ปรับปรุง" ด้วยเจตนาดีต่อพี่น้องมุสลิมของท่าน .. ดังพระดำรัสในซูเราะฮ์อัล-หุญุรอต อายะฮ์ที่ 10 ที่มีความหมายว่า ... "บรรดาผู้ศรัทธามิใช่อื่นใดนอกจาก "เป็นพี่น้องกัน" ดังนั้น จง "ปรับปรุงให้ดี" ในระหว่างพี่น้องของพวกท่าน" ..
แน่ใจหรือครับว่า พฤติการณ์ต่างๆดังกล่าวมานี้ของพวกท่าน เป็นการ "น้อมรับ" และปฏิบัติตามคำสั่งพระองค์อัลลอฮ์ในซูเราะฮ์อัน-นะห์ลิ อายะฮ์ที่ 125 ที่ทรงสอน "วิธีการเผยแพร่" ศาสนาของพระองค์ด้วยพระบัญชาที่มีความหมายว่า "จงเรียกร้องเชิญชวนมาสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลชองท่าน "ด้วยหิกมะฮ์และคำตักเตือนที่ดี" ...
แน่ใจหรือครับว่า พฤติการณ์ต่างๆดังกล่าวมานี้ของพวกท่าน เป็นการ "น้อมรับ" และปฏิบัติตามคำสั่งพระองค์อัลลอฮ์ในซูเราะฮ์อัน-นะห์ลิ อายะฮ์ที่ 125 ที่ทรงสอน "วิธีการโต้แย้ง" ผู้เห็นต่าง .. ด้วยพระบัญชาที่มีความหมายว่า "จงโต้แย้งพวกเขาด้วยวิธีการที่ดีกว่า ...
แน่ใจหรือครับว่า พฤติการณ์ต่างๆดังกล่าวมานี้ของพวกท่าน พวกท่านลอกเลียนมันมาจากสะละฟุสซอลิห์ ที่พวกท่านอ้างว่า จะปฏิบัติตามแนวทางของพวกท่าน ? ..
ผมมิได้ขอร้องให้พวกท่าน "ยุติ" การพูดความจริง(ในมุมมองของพวกท่าน) .. แต่ผมขอร้องให้พวกท่านพูดความจริงตาม "วิธีการ" ที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงสั่งพวกท่านต่างหาก .. ดังหัวข้อเรื่องที่ผมเขียนไว้ข้างต้นนั้น ...
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากรอมะฎอนไปแล้ว ผมและพี่น้องมุสลิมคงจะได้เห็นนักวิชาการของเรา เป็นนักวิชาการที่ปฏิบัติตามแนวทางสะลัฟจริงๆ, ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทั้งในด้านวิธีการเผยแพร่และวิธีการโต้แย้งจริงๆ, มองเห็นผู้ศรัทธาอื่นเป็นพี่น้องตามคำสั่งพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จริงๆ มิใช่มองพี่น้องมุสลิมเป็นศัตรูที่จะต้องจองล้างจองผลาญกัน .. ดังที่ผ่านมาแล้วในอดีต ...
ก็จะคอยดูว่า ที่เขียนเปิดใจมาอย่างนี้ ผมจะได้รับเกียรติยกย่องด้วยวาทกรรมว่า "เป็นพวกโลกสวย" จากนักวิชาการท่านใดอีก ...



อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
21/5/60

เตือนสติพี่น้องมุสลิม



Signorina Farida
Signorina Farida ก๊วนอะชาอิเราะห์ โต้กับเหี้ยหมานรกวะฮาบี อ่านไปขำทุกโพสต์และทุกคอมเมนท์ #มุสโสร่ง กัดกันเยี่ยงหมา ชอบๆ นั่งบนภูเขา ดูพวกหมากัดกัน หนุกหนานดี 55555
****************
พี่น้องมุสลิมที่รักทุกท่านครับ
ความจริง ผมไม่อยากจะนำสิ่งนี้มาลงให้เป็นเสนียดในเฟสของผม แต่ที่นำมาลงก็เพื่อต้องการเตือนสติให้พี่น้องมุสลิมทั้งค่ายอะชาอิเราะฮ์และค่ายสะละฟีย์เห็นว่า ผลจากการที่เราเผยแพร่ศาสนาด้วยการสาดโคลนกัน ประณามซึ่งกันและกันเหมือนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่มุสลิม ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์ ? .. มุสลิมทั้งสองค่ายกลายเป็นหมาในสายตาของศัตรูอิสลามไปแล้วใช่ไหม ?




วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

การนิกาห์ในมัสยิด




โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

มีการอ้างรายงานมาจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า ...

أَعْلِنُوْاهَذَاالنِّكَاحَ، وَاجْعَلُوْهُ فِى الْمَسَاجِدِ، وَاضْرِبُوْاعَلَيْهِ بِالدُّفُوْفِ

“พวกท่านจงให้มีผู้รู้เห็นการนิกาห์นี้, จงทำมันในมัสยิด และจงตีกลองประโคมข่าวการนิกาห์ด้วย” ...
(บันทึกโดย ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 1089 และท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 290) ...

คำว่า “จงให้มีผู้รู้เห็นการนิกาห์” อาจมีความหมายว่า จงให้มี “พยาน” ในการนิกาห์ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นในการนิกาห์, หรืออาจมีความหมายว่า จงกระทำการนิกาห์อย่างเปิดเผยและให้ชาวบ้านทั่วไปรับรู้ ซึ่งเป็นเรื่องสมควรปฏิบัติในการนิกาห์ทุกครั้ง ...
(จากหนังสือ “ตุห์ฟะตุ้ลอะห์วะซีย์” เล่มที่ 4 หน้า 210) ...

หะดีษบทนี้เป็นหะดีษที่เฎาะอีฟมาก เพราะในสายรายงานของมันมีชื่อของ “ท่านอีซา บินมัยมูน อัล-อันศอรีย์” ซึ่งถูกท่านบุคอรีย์วิจารณ์ว่า “مُنْكَرُالْحَدِيْثِ” ...
(จากหนังสือ “อัฎ-ฎุอะฟาอ์ อัศ-ศอฆีรฺ” ของท่านบุคอรีย์ หน้า 90)

คำว่า “มุงหัรฺหะดีษ” ในทัศนะของท่านบุคอรีย์ หมายถึงบุคคลที่ห้ามรายงานหะดีษใดๆจากเขา ...
แต่ข้อความวรรคแรกที่ว่า “จงให้มีผู้รู้เห็นการนิกาห์” ถือเป็นรายงานที่เชื่อถือได้ เพราะมีการรายงานสนับสนุนมาจากกระแสอื่น ...
การเฎาะอีฟของหะดีษนี้ จึงอยู่ที่ 2 วรรคหลังของมัน คือ ให้นิกาห์ในมัสยิด, และให้ตีกลองประโคมข่าวการนิกาห์ ...
ความหมายที่ว่า “หะดีษเรื่องให้นิกาห์ในมัสยิดเป็นหะดีษเฎาะอีฟ” มิได้หมายความว่า ห้ามนิกาห์ในมัสญิด .. แต่หมายถึงว่า ถ้าผู้ใดจะทำพิธีนิกาห์ในมัสยิดก็ทำได้ เพียงแต่อย่าไปเข้าใจว่าการนิกาห์ในมัสยิดเป็นซุนนะฮ์ที่ท่านนบีย์สั่งหรือส่งเสริมให้กระทำ หรือเมื่อทำแล้วจะมีบะรอกะฮ์มาก อะไรทำนองนั้น ...
เพราะไม่มีหลักฐานที่ถูกต้องแม้แต่บทเดียวที่ส่งเสริมให้มีการนิกาห์ในมัสยิด หรือให้เข้าใจว่า การนิกาห์ในมัสยิดเป็นซุนนะฮ์ ...