อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

หลักฐานการทำอาซีมัต - ทำน้ำซอฟัรฺ (ตอนจบ)



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย ...

ต่อไปนี้คือ คำถามของผม
1. ความเชื่อที่ว่า "วันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร เป็น “วันซอฟัร” ซึ่งเป็นวันที่อัลลอฮฺเจ้าจะทรงกระหน่ำภัยพิบัติครั้งใหญ่ลงมาสู่หน้าโลกดุนยานี้ โดยพระองค์จะทรงโยกย้ายมาจากกระดานบันทึก (เลาฮิมมะหฺฟูซ) สู่ฟากฟ้าของโลกดุนยานี้ ในคืนวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร
" .....
ถามว่า .. ความเชื่อดังที่กล่าวนี้ มีบันทึกอยู่ในตำราหะดีษที่เชื่อถือได้เล่มใด ? ..
ที่ผมเคยเจอก็คือ ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวไว้ในหะดีษบทหนึ่ง เพื่อลบล้างความเชื่อของชาวอาหรับยุคญาฮิลียะฮ์ที่เชื่อว่า เดือนซอฟัรฺเป็นเดือนแห่งลางร้ายหรือความโชคร้าย .. ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า ..
لاَ صَفَرَ
"ไม่มี(ลางร้ายใดๆในเดือน)ซอฟัรฺ" ..
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม, ท่านอบูดาวูด, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์, ท่านอะห์มัด และท่านอื่นๆ) ...
ความเชื่อข้างต้น ขัดแย้งกับความหมายของหะดีษที่ถูกต้องบทนี้หรือไม่? .. โปรดพิจาณาดูเอง ...

2. คำกล่าวท่านแช็คชะรอฟัดดีน (ร.ฮ.) ในหนังสือ ตะอฺลีกอฮฺ ที่ว่า .. "บรรดาภัยพิบัติทั้งมวลจะถูกส่งลงมาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) "ในรอบปี" เป็นจำนวนถึง 12,000 ภัยพิบัติ" ... กับคำกล่าวในหนังสือ كِتَابُ الْجَوَاهِرُالْخَمِيسْ ที่ว่า .. "ในทุกรอบปีอัลเลาะห์ (ซบ.) เจ้า จะทรงบันดาลให้บังเกิดภัยพิบัติขึ้นพร้อมกันทั่วโลก "ในคืนวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร" เป็นจำนวนถึง 320,000 ภัยพิบัติด้วยกัน ...
ขอถามว่า .. ข้อมูลข้างต้นนี้ มีบันทึกอยู่ในตำราหะดีษที่เชื่อถือได้เล่มใด ? และนักวิชาการหะดีษท่านใดที่รับรองว่า ข้อมูลนั้นถูกต้อง ? ...
ที่ผมต้องถามหาหะดีษที่ถูกต้องจากข้อที่ 1 และข้อที่ 2 ก็เพราะทั้ง 2 กรณีนี้ เป็นเรื่องอะกีดะฮ์หรือความเชื่อที่ทางวิชาการเรียกว่า ما لا مجال للإجتهاد فيه .. คือ สิ่งที่ไม่อยู่ในวิสัยมนุษย์ธรรมดาจะใช้สติปัญญาวิเคราะห์ได้ ! .. นอกจากจะต้องมี "หลักฐานที่ชัดเจน" จากอัล-กุรฺอานหรือจากหะดีษที่ถูกต้องของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมมายืนยันเท่านั้น ..
3. คำกล่าวของแช็คชะรอฟัดดีน (ร.ฮ.) ในหนังสือ ตะอฺลีกอฮฺ ที่ว่า .. อัลลอฮ์จะส่งภัยพิบัติมาในรอบปี (คือทั้งปี) รวม 12000 ภัยพิบัติ, .. กับคำกล่าวใน كِتَابُ الْجَوَاهِرُالْخَمِيسْ ที่ว่า .. อัลลอฮ์จะให้บังเกิดภัยพิบัติทั่วโลกใน "คืนพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัรฺ" (คือแค่คืนเดียว) ถึง 320,000 ภัยพิบัติ ...
ตกลง จะให้ผู้อ่านเชื่อถือคำกล่าวไหน ? .. ทั้งปีมีแค่ 12000 ภัยพิบัติ แต่คืนเดียวมีถึง 320,000 ภัยพิบัติ ?? ...
4. คำกล่าวที่ว่า ...
- (สิ่งเหล่านี้) เป็น "ศาสนกิจ" ที่พึงปฏิบัติในวันซอฟัร ...
- การกำหนดให้ "ละหมาดสุนัต" 2 ร็อกอะฮ์ในคืนพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัรฺ โดยร่อกาอัตแรกหลังจากอ่านฟาติฮะห์แล้ว ให้อ่านซูเราะห์อัลฟาลัก 10 ต้น และร่อกาอัตที่ 2 หลังจากอ่านฟาติฮะห์แล้ว ให้อ่านซูเราะห์อันนาส 10 ต้น ...
- การกำหนดให้ "ละหมาดสุนัต" ในตอนสายวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร 12 ร่อกาอัต 6 สลาม โดยให้ละหมาดครั้งละ 2 ร่อกาอัตแล้วให้สลาม ในทุกๆ ร่อกาอัต หลังจากอ่านฟาติฮะห์แล้วให้อ่านอายะห์กุรซีย์ ให้ทำเช่นนี้ จนครบ 12 ร่อกาอัต ...
- การกำหนดให้ถือศีลอดในวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัรฺ เป็นต้น ...
ขอถามว่า.. "ศาสนกิจ" และ "อิบาดะฮ์ ..ทั้งละหมาดสุนัตและถือศีลอด" ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ใครคือผู้กำหนด "รูปแบบ" ให้กระทำ ? ...
ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หรือมนุษย์คนใดเป็นผู้กำหนด ???? ...
5. คำว่า وَقَفْ ثَلاَثِى ที่ให้เขียนลงกลางจานสีขาวนั้น หมายถึงอะไร? ..
หากท่านตอบว่า وَقَفْ ثَلاَثِى หมายถึงพยัญชนะ 3 ตัว คือ لا ج م ที่เป็นเครื่องหมายแทนค่า وَقْفٌ (การหยุดอ่าน) 3 ลักษณะในวิชาตัจญวีด .. ก็ขอถามต่อไปว่า มีนักวิชาการท่านใดบ้างที่กล่าวว่า พยัญชนะทั้ง 3 ตัวนี้ เป็นอายะฮ์หนึ่งของอัล-กุรฺอานจนสามารถนำมาเขียนรุกยะฮ์เพื่อบำบัดโรคหรือป้องกันภัยพิบัติได้ ? ...
หากตอบว่า ความหมาย وَقَفْ ثَلاَثِى คือสิ่งอื่นจากที่ผมกล่าวมา ก็ขอถามว่า สิ่งนั้น หมายถึงอะไร ? .. หรือเป็นอัล-กุรฺอานอายะฮ์ใด ? หรือเป็นดุอาอ์ของท่านนบีย์บทใด ? จึงสามารถนำมาใช้ในการรุกยะฮ์ที่อนุญาตได้ ...
6. คำกล่าวที่ว่า .. ให้เขียน وَ قَفْ ثَلاَثِىْ ลงบนกลางจานสีขาวล้อมรอบด้วยอายะห์อัลกุรอานทุกโองการที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า سَلاَمٌ ในคืนดังกล่าว (วันอังคารค่ำลง) โดยวิธีเขียน จะต้องมีน้ำละหมาด, .. และระหว่างเขียนนั้น ผู้เขียนจะต้องนั่งผินสู่ทิศกิบลัต โดยนำลิ้นดุนเพดานปากและซิกรุ้ลลอฮฺ จนกระทั่งเขียนเสร็จ ฯลฯ .....
ขอถามว่า ..ใครคือผู้กำหนดให้เขียนสิ่งนี้, ด้วยวิธีการอย่างนี้, และด้วยเงื่อนไขดังกล่าวนี้ ? .. และวิธีการนี้มีบันทึกอยู่ในตำราที่เชื่อถือได้เล่มใด ? ..
ท่านเช็คมุหัมมัด อับดุสสลาม อัช-ชุก็อยรีย์ ได้กล่าวว่า ....
قَدِ اعْتَادَ الْجُهَلاَءُ أَنْ يَكْتُبُوْا آيَاتِ السَّلاَمِ كَ (سَلاَمٌ عَلَى نُوْحٍ فِى الْعَالَمِيْنَ) الخ .. فِىْ آخِرِ أَرْبِعَاءَ مِنْ شَهْرِ صَفَرَ، ثُمَّ يَضَعُوْنَهَا فِى الْأَوَانِىْ يَشْرَبُوْنَهَا وَيَتَبَرَّكُوْنَ بِهَا، وَيَتَهَادَوْنَهَا لِاعْتِقَادِهِمْ أَنَّ هَذَا يُذْهِبُ الشُّرُوْرَ، وَهَذَا إعْتِقَادٌ فَاسِدٌ، وَتَشَاؤُمٌ مَذْمُوْمٌ، وَابْتِدَاعٌ قَبِيْحٌ .........
"แน่นอน กลุ่มชนผู้โง่เขลาได้ยึดถือเป็นประเพณีในการเขียนโองการที่มีคำว่า .. "سلام" อยู่ .. เช่นโองการที่ว่า .. سَلاَمٌ عَلَى نُوْحٍ فِى الْعَالَمِيْنَจนจบ .. ในคืนพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัรฺ แล้วพวกเขาก็นำมันใส่ลงในภาชนะ(ที่มีน้ำเพื่อ) ดื่มมัน, เอาบารอกัตจากมัน, และยึดเหนี่ยวกับมัน .. ทั้งนี้เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้จะช่วยขจัดความชั่วร้ายต่างๆได้ นี่คือความเชื่อที่เหลวไหลสิ้นดี, เป็นการถือโชคลางที่ต้องถูกประณาม, และเป็นอุตริกรรมที่น่าเกลียด ................."
(จากหนังสือ "อัส-สุนัน วัลมุบตะดะอาต" ของท่านเช็คมุหัมมัด อับดุสสลาม อัช-ชุก็อยรีย์ หน้า 137 - 138) ...
(ความจริง ยังมีสิ่งแปลกๆอีกมากในข้อเขียนข้างต้นที่ท่านผู้อ่านทุกท่านก็เห็นแล้ว ผมจึงไม่อยากจะนำมาถามให้เสียเวลาอีก) ....
สรุปแล้ว การกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดในทั้ง 2 กรณีข้างต้น ไม่ว่าการเขียนอายะฮ์อัล-กุรฺอานให้แก่สตรีที่คลอดบุตรยาก หรือเขียน اَلتَّعَاوِيْذُ ให้แก่ญาติของท่านที่เจ็บป่วย จึงไม่ใช่หลักฐานการทำน้ำซอฟัรฺอย่างที่บางคนอ้าง เพราะท่านอิหม่ามอะห์มัดกระทำสิ่งเหล่านี้ในเป้าหมายเพื่อการบำบัดรักษาอาการป่วยที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่เป้าหมายเพื่อป้องกันลางร้ายที่ยังไม่เกิดขึ้นเหมือนการทำน้ำซอฟัรฺ ...
และผมก็ไม่เคยเจอหลักฐานใดๆจากท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, หรือจากบรรดาสลัฟ อัส-ศอลิห์คนใดทั้งสิ้นว่า พวกท่านจะเคยกระทำสิ่งนี้ .. นอกจากเป็นการริเริ่มของบุคคลบางคนในยุคหลังๆที่เชื่อและเข้าใจว่า เดือนซอฟัรฺเป็นเดือนแห่งโชคร้าย เหมือนความเชื่อของพวกญาฮิลียะฮ์ในอดีต ...
ผมไม่นิยมการใช้ถ้อยคำรุนแรงและไม่มีสิทธิ์ประณามใคร จึงขอถามท่านผู้อ่านทุกท่านเพียงว่า ...
สมควรหรือไม่ที่เราจะยอมรับและนำเอา "พิธีกรรมส่วนเกิน" ที่เปรียบเสมือน "เนื้องอก" ในศาสนาอิสลาม - ดังเช่นการทำน้ำซอฟัรฺที่กล่าวมาข้างต้นนี้ - มาปฏิบัติ จนทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และคนต่างศาสนาเข้าใจว่า นี่คือพิธีกรรมหนึ่งในศาสนาอิสลาม ???..
วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

20/12/60


หลักฐานการทำอาซีมัต - ทำน้ำซอฟัรฺ (ตอนที่ 4)



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย ..
.
หมายเหตุ
ความเชื่อและกรรมวิธีผลิตน้ำซอฟัรฺที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ผมคัดลอกมาจากเฟสของ أهل السنة والجماعة (ฉบับไม่แอบอ้าง) ทั้งดุ้น แต่ผมได้ตัดข้อความตอนต้นและตอนปลายออกเล็กน้อยเพื่อความกระชับ แล้วผมจะมีคำถามในตอนท้าย ให้ใครก็ได้ช่วยตอบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป ...
ข้อความจากเฟสของ أهل السنة والجماعة (ฉบับไม่แอบอ้าง) มีดังนี้ ...

“ซอฟัร” วันล้าง...“โรค”
.....ในโอกาสที่วันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร เป็น “วันซอฟัร” ซึ่งเป็นวันที่อัลลอฮฺเจ้าจะทรงกระหน่ำภัยพิบัติครั้งใหญ่ลงมาสู่หน้าโลกดุนยานี้ ฉะนั้น จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่บ่าวจะร่วมกันทูลขอพระกรุณาจากอัลลอฮฺเจ้า ให้พระองค์ทรงช่วยขจัดภัยพิบัติและปลดเปลื้องสิ่งที่น่าตำหนิ และบาปกรรมทั้งปวง เพื่อให้เกิดความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายใจ อันนำมาซึ่งการเป็นบ่าวที่ใกล้ชิดต่อพระองค์ในที่สุด ดังมีรายงานจากท่านแช็คชะรอฟัดดีน (ร.ฮ.) ในหนังสือ ตะอฺลีกอฮฺ ความว่า : -
.....บรรดาภัยพิบัติทั้งมวลจะถูกส่งลงมาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ในรอบปีเป็นจำนวนถึง 12,000 ภัยพิบัติ โดยพระองค์จะทรงโยกย้ายมาจากกระดานบันทึก (เลาฮิมมะหฺฟูซ) สู่ฟากฟ้าของโลกดุนยานี้ ในคืนวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร
.....นอกจากนี้หนังสือ جَمْعُ الْفَوَائِدْ หน้า 137 ยังได้อ้างถึงรายงานของ อุลามาอ์ (นักปราชญ์แห่งโลกอิสลาม) ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ كِتَابُ الْجَوَاهِرُالْخَمِيسْ ว่าในทุกรอบปีอัลเลาะห์ (ซบ.) เจ้า จะทรงบันดาลให้บังเกิดภัยพิบัติขึ้นพร้อมกันทั่วโลกในคืนวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัรเป็นจำนวนถึง 320,000 ภัยพิบัติด้วยกัน ฉะนั้นหากผู้ใดวิงวอนขอความคุ้มครองจากพระองค์ด้วยการเขียน وَ قَفْ ثَلاَثِىْ ลงบนกลางจานสีขาวล้อมรอบด้วยอายะห์อัลกุรอานทุกโองการที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า سَلاَمٌ ในคืนดังกล่าว (วันอังคารค่ำลง) แล้วเก็บไว้ในที่มิดชิดมิให้มีสิ่งสกปรกตกลงไปได้ เพื่อเตรียมไว้สำหรับนำไปละลายกับน้ำที่จะใช้ดื่มหรืออาบในเวลาเย็นวันพุธแล้วไซร้ ก็ย่อมจักเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยขจัดโรคภัยไข้เจ็บนานาได้เป็นอย่างดี
.....ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสทองที่อัลลอฮฺได้ประทานแก่บ่าวทุกคนแล้ว สำหรับการประกอบศาสนกิจดังกล่าว ซึ่งปฏิบัติกันมาช้านานแล้วตั้งแต่ครั้งบรรพกาล และนับว่ามีความสำคัญยิ่ง ซึ่งศาสนกิจที่พึงปฏิบัติในวัน “ซอฟัร” มีดังต่อไปนี้
1. ละหมาดสุนัต ในคืนวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร 2 ร่อกาอัต
• ร่อกาอัตแรกหลังจากอ่านฟาติฮะห์แล้ว ให้อ่านซูเราะห์อัลฟาลัก 10 ต้น
• ร่อกาอัตที่ 2 หลังจากอ่านฟาติฮะห์แล้ว ให้อ่านซูเราะห์อันนาส 10 ต้น
2. การละหมาดสุนัต ในวันซอฟัร 12 ร่อกาอัต 6 สลาม ในตอนสายวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร โดยให้ละหมาดครั้งละ 2 ร่อกาอัตแล้วให้สลาม ในทุกๆ ร่อกาอัต หลังจากอ่านฟาติฮะห์แล้วให้อ่านอายะห์กุรซีย์ ให้ทำเช่นนี้ จนครบ 12 ร่อกาอัต
3. สุนัตให้ถือศีลอดในวันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร
4. ให้เขียน وَ قَفْ ثَلاَثِىْ ล้อมรอบด้วยอายะห์อัลกุรอานทั้ง 7 โองการ ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า سَلاَمٌ ลงในจานกระเบื้องสีขาวจากเมืองจีนในขณะที่มีน้ำละหมาดในคืนวันอังคาร ซึ่งระหว่างนั้นผู้เขียนจะต้องนั่งผินสู่ทิศกิบลัต โดยนำลิ้นดุนเพดานปากและซิกรุ้ลลอฮฺ จนกระทั่งเขียนเสร็จ
สำหรับวิธีการเขียน وَ قَفْ ثَلاَثِىْ นั้น ให้เรียงตามลำดับก่อน-หลังในแต่ละช่องดังต่อไปนี้
.....ช่องที่ 1 คือ หมายเลข 57 ( ٥٧ ) ช่องที่ 2 คือ หมายเลข 66 ( ٦٦ ) ช่องที่ 3 คือ หมายเลข 75 ( ٧٥ ) ช่องที่ 4 คือ หมายเลข 84 ( ٨٤ ) ช่องที่ 5 คือ หมายเลข ( ٩٣ ) ช่องที่ 6 คือ หมายเลข 102 (١۰٢) ช่องที่ 7 คือ หมายเลข 111 (١١١) ช่องที่ 8 คือ หมายเลข 120 (١٢۰) และ ช่องที่ 9 คือ หมายเลข 129 (١٢٩)
5. ภายหลังจากพิธีอ่านอัรวะห์ที่มีกำหนดให้กระทำในเวลาเย็นของวันพุธสิ้นสุดลงแล้ว ให้อิหม่ามนำขอดุอาอฺ พร้อมทั้งหย่อนจานที่เขียน وَ قَفْ ثَلاَثِىْ และอายะห์ดังกล่าว ลงในภาชนะที่จัดเตรียมไว้สำหรับบรรจุน้ำ เช่น โอ่ง หรือ อ่างน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น แล้วให้นำน้ำมาดื่มและอาบ หรือประพรมให้ทั่วร่างกาย โดยขอพรให้พ้นจากบรรดาภัยพิบัติและโรคภัยไข้เจ็บนานา ด้วยการกล่าวคำเหนียตอาบน้ำซอฟัร ดังนี้
نَوَيْتُ الْغُسْلَ عَنْ شَهْرِصَفَرْوَأَنْ يَمْظِىعَنْ فِتْنَةِ الدَّجَّالِ سُنَّةً ِللهِ تَعَالىٰ
....."น่าวัยตุ้ลฆุสล่าอันชะฮ์รี่ซอฟัร อันยัมซี อันฟิตน่าติ๊ดดัจญาลี่ ซุนน่าตันลิ้ลลาฮิตะอาลา"
ความว่า “ข้าพเจ้าอาบน้ำเนื่องในเดือนซอฟัร โดยขอให้พ้นจากวิบัติภยันตรายทั้งปวงและการประทุษร้ายของดัจญาล ซึ่งเป็นสุนัต เพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา”
(สุนัตให้อาบน้ำทั่วร่างกายในเดือนซอฟัรจะล้างโรคได้ถึง 12 โรค)
นี่คือ "ความเชื่อ" และกรรมวิธีทำน้ำซอฟัรฺ จากเฟสที่ผมอ้างถึงไปแล้ว ...
ท่านอ่านแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างครับ ...
สำหรับผม .. ต่อไปนี้คือ คำถาม
(คอยอ่านต่อตอนจบพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ครับ อินชาอัลลอฮ์) ...


หลักฐานการทำอาซีมัต - ทำน้ำซอฟัรฺ (ตอนที่ 3)




โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย ...

คำกล่าวท่านอับดุลลอฮ์ บุตรชายท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัลที่ว่า ...
"และท่านบิดา(อิหม่ามอะห์มัด)ได้เขียนในถ้วยหรือสิ่งที่สะอาดให้กับสตรีคนหนึ่งในยามที่นางคลอด ลำบาก และท่านจะเขียนหะดิษของท่านอิบนุอับบาส แต่ท่านจะกระทำสิ่งดังกล่าวก็ในตอนเกิดมีบะลาอ์ขึ้นเท่านั้น และข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านกระทำสิ่งนี้ก่อนหน้าเกิดมีบะลาอ์เลย .. และข้าพเจ้าเห็นบิดาทำการอ่านดุอาอ์ขอการคุ้มครอง(แล้วเป่า)ลงในน้ำและให้ ผู้ป่วยดื่มและทำการรดน้ำนั้นลงบนศีรษะ .................. "
การกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดข้างต้นนี้ อาจเป็นข้ออ้างในการทำน้ำซอฟัรฺของบุคคลบางคน .. ดังที่คุณ Mareeyah Si . ได้ตั้งข้อสงสัยและตั้งเป็นคำถามมาก็ได้ ..

ตอบ
ผมขอสรุปการกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดข้างต้นเป็น 2 กรณีดังนี้ ...
1. เขียนในถ้วยหรือภาชนะที่สะอาด ด้วยสิ่งที่ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. แนะนำให้เขียน ..เพื่อช่วยเหลือสตรีที่คลอดบุตรลำบาก ดังข้อมูลที่ผมกำลังจะนำเสนอต่อไป ..
2. อ่าน المعوذة .. คือ قُلْ أَعُوْذُ بِرَبِّ الْفَلَقِ และ قُلْ أَعُوْذُ بِرَبِّ النَّاسِ (จนจบ) เป่าลงในน้ำ แล้วนำน้ำนั้นให้ผู้ป่วยดื่มและใช้รดบนศีรษะผู้ป่วยด้วย ..
อธิบาย
การกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดทั้ง 2 กรณีข้างต้น ภาษาอาหรับเรียกว่า رُقْيَةٌ (ที่เราแปลเป็นภาษาไทยว่า การเสกเป่า) ด้วยอัล-กุรฺอาน .. ซึ่งเป็นที่อนุญาตดังได้กล่าวมาแล้ว ....
เรื่องของ رُقْيَةٌ อันเป็นที่อนุญาตนี้ เท่าที่ผมตรวจสอบหลักฐานดูแล้ว พบว่าจะมีเป้าหมายหลัก 2 ประการ .. คือหนึ่ง เพื่อ "บำบัดรักษา" จากความเจ็บป่วย, และสองเพื่อ "ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์" ให้พ้นจากบะลาอ์และชัยฏอน ...
การกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดทั้ง 2 กรณีข้างต้น จัดอยู่ในเป้าหมายที่หนึ่ง คือ رُقْيَةٌ ด้วยอัล-กุรฺอานเพื่อ "บำบัดรักษา" .. ซึ่งท่านจะไม่กระทำสิ่งนี้นอกจากมีเหตุการณ์(บะลาอ์) เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น ...
ท่านอับดุลลอฮ์ ได้อ้างจากบิดาของท่าน - คือท่านอิหม่ามอะห์มัด - ซึ่งอ้างรายงานไปถึงท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ที่กล่าวว่า ...
"เมื่อสตรีคนใดคลอดบุตรยาก ท่านจงเขียน (ลงในภาชนะที่สะอาด) ว่า ......
بِسْمِ اللهِ الَّذِىْ لاَ إلَهَ إلاَّ هُوَ الْحَلِيْمُ الْكَرِيْمُ، سُبْحَانَ اللهِ رَبِّ الْعَرْشِ الْعَظِيْمِ، اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ العَالَمِيْنَ، (كَأَنَّهُمْ يَوْمَ يَرَوْنَ مَا يُوْعَدُوْنَ لَمْ يَلْبَثُوْا إلاَّ سَاعَةً مِنْ نَهَارٍ بَلاَغٌ فَهَلْ يُهْلَكُ إلاَّ الْقَوْمُ الْفَاسِقُوْنَ) .. قَالَ أَبِىْ : وَزَادَ فِيْهِ وَكِيْعٌ : وَيُنْضَحُ مَا دُوْنَ سُرَّتِهَا .....

บิดาของข้าพเจ้ากล่าวว่า .. ท่านวะเกี๊ยะอฺกล่าวเสริมว่า .. "แล้วให้(นำน้ำล้างภาชนะนั้น)มาประพรมส่วนที่ต่ำลงไปจากสะดือของนาง" ...
(จากหนังสือ "مسائل الإمام أحمد" ของท่านอับดุลลอฮ์ หน้า 447 - 448) ...
สิ่งที่อยู่ในวงเล็บที่ท่านอิบนุอับบาสแนะนำให้เขียนดังข้างต้น เป็นข้อความจากอัล-กุรฺอาน อายะฮ์ที่ 35 ซูเราะฮ์อัล-อะห์กอฟ ...
ที่คล้ายคลึงกับกรณีนี้ก็คือบันทึกของท่านบุคอรีย์และมุสลิม โดยรายงานมาจากท่านอบูสะอีด ร.ฎ. ถึงเรื่องราวเศาะหาบะฮ์ท่านหนึ่ง (บางรายงานระบุชัดเจนว่าเศาะหาบะฮ์ท่านนั้น คือตัวท่านอบูสะอีดเอง) รุกยะฮ์ .. ด้วยการอ่านซูเราะฮ์ฟาติหะฮ์ เพื่อบำบัดรักษาแก่หัวหน้าชาวอาหรับเผ่าหนึ่งที่ถูกสัตว์มีพิษ(แมงป่องทะเลทราย)กัดต่อย .. หรือบันทึกของท่านบุคอรีย์และมุสลิมอีกหลายบท จากท่านหญิง อาอิชะฮ์ ร.ฎ. เรื่องท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้บำบัดรักษาความเจ็บป่วยหรือบาดแผลให้แก่เศาะหาบะฮ์บางคนของท่านด้วยดุอา เป็นต้น ...
ส่วนการรุกยะฮ์ในลักษณะ "ขอความคุ้มครอง" จากพระองค์อัลลอฮ์ให้พ้นจากบะลาอ์และชัยฏอน ด้วยการอ่าน المعوذات คือ قل هو الله, .. قُلْ أَعُوْذُ بِرَبِّ الْفَلَقِ, และقُلْ أَعُوْذُ بِرَبِّ النَّاسِ, หรือด้วยดุอาบางบท ก็ล้วนมีรายงานที่ถูกต้องมาจากเศาะหาบะฮ์บางท่าน อาทิเช่นจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ., และท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ., เป็นต้น ซึ่งผมจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียด ณ ที่นี้ ....
ที่น่าสังเกตจากรายงานที่ถูกต้องเหล่านี้ก็คือ ...
1. การรุกยะฮ์ที่เกิดขึ้น จะอาศัยอัล-กุรฺอานหรือดุอาอ์ของท่านนบีย์ ที่เป็นภาษาอาหรับล้วนๆเท่านั้น ไม่มีภาษาอื่นใดมาปะปน .. ต่างกับการทำน้ำซอฟัรฺที่จะถึงต่อไป ...
2. การรุกยะฮ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีเป้าหมายเพื่อป้องกัน "ลางร้ายหรือบะลาอ์" ของ "วันเวลาใดๆ" โดยเฉพาะ .. ต่างกับ "ความเข้าใจเอาเอง" ของผู้กระทำน้ำซอฟัรฺที่ถือว่า วันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัรฺ เป็นวันแห่งลางร้ายและบะลาอ์อันมากมายมหาศาล .....
3. การรุกยะฮ์ในบรรดาหะดีษที่ถูกต้องเหล่านั้น ไม่มีการกำหนดรูปแบบและพิธีรีตองมากมายที่ไม่มีแบบอย่างในศาสนา .. ดังที่ถูกกำหนดในพิธีกรรมการทำน้ำซอฟัรฺที่ท่านผู้อ่านจะได้เห็นต่อไป ...
เพื่อยืนยันในคำกล่าวนี้ ผมจะขอนำ "ความเชื่อ" และ "วิธีการ" ทำน้ำซอฟัรฺมาให้อ่านกันดังนี้ ...
(ยังมีต่อ) ..


หลักฐานการทำอาซีมัต - ทำน้ำซอฟัรฺ (ตอนที่ 2)



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย ...

1. อาซีมัต (ภาษาอาหรับเรียกว่า تَمِيْمَةٌ) พื้นฐานเดิมหมายถึงเปลือกหอยบางชนิดที่ชาวอาหรับโบราณเอาเชือกมาร้อยแล้วสวมคอเด็ก เพื่อเป็นเครื่องรางสำหรับป้องกันอันตรายจากดวงตาที่มุ่งร้าย ...
ต่อมาคำว่า تَمِيْمَةٌ ก็ได้พัฒนาความหมายออกไปจนครอบคลุมถึงเครื่องรางของขลัง (تَعَاوِيْذُ : عُوْذَةٌ) ทุกอย่างที่มนุษย์ประดิษย์ขึ้นมา ไม่ว่าจากเปลือกหอย, จากโลหะ, จากการเขียนด้วยภาษาต่างๆ เพื่อป้องกันเภทภัยตามความเชื่อของตน ...
ในกรณีที่อาซีมัตนั้น ถูกทำหรือถูกเขียนด้วยภาษาอื่นใดที่มิใช่จากอัล-กุรฺอานหรืออื่นจากดุอาอ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตามหลักการอิสลามถือว่าอาซีมัตนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม(หะรอม)โดยมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ เพราะท่านศาสดากล่าวว่า มันเป็นชิริก! ...
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า ...
إِنَّ الرُّقَى وَالتَّمَائِمَ وَالتِّوَلَةَ شِرْكٌ
"แท้จริง การเสกเป่า(เพื่อรักษาโรค), อาซีมัตต่างๆ และการทำเสน่ห์ยาแฝด (ทั้งหมดนั้น) เป็นชิริก" ...
(บันทึกโดยท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 3883, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 381, ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 3530 และท่านอิบนุหิบบาน หะดีษที่ 1412 โดยรายงานมาจากท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุมัสอูด ร.ฎ.) .
..
แต่ในกรณีเครื่องรางของขลังที่ถูกเขียนขึ้นมาจากอายะฮ์อัล-กุรฺอาน หรือดุอาอ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นักวิชาการจะมีทัศนะที่ขัดแย้งกันเป็น 2 ทัศนะคือ ...
ก. นักวิชาการบางท่าน อาทิเช่นท่านสะอีด บินอัล-มุซัยยับ, ท่านอะฏอฮ์, ท่านมุหัมมัด อัล-บากีรฺ อิหม่ามท่านที่ 5 ของชีอะฮ์ และรายงานหนึ่งจากท่านอิหม่ามอะห์มัด (คือรายงานข้างต้น) ถือว่า อาซีมัตที่เขียนจากอายะฮ์อัล-กุรฺอาน หรือดุอาอ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นที่อนุญาต ...
ข. ทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ อาทิเช่น ท่านอิบนุมัสอูด ร.ฎ., ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ., ท่านหุซัยฟะฮ์ ร.ฎ., ท่านอุกบะฮ์ บินอามีรฺ ร.ฎ., เศาะหาบะฮ์ส่วนใหญ่ และรายงานหนึ่งจากท่านอิหม่ามอะห์มัด - ซึ่งเป็นทัศนะที่มีน้ำหนักมากที่สุด - ถือว่า อาซีมัตที่เขียนจากอายะฮ์อัล-กุรฺอานหรือดุอาอ์ของท่านนบีย์ ถือเป็นชิริกเช่นเดียวกัน เพราะหะดีษบทข้างต้นมิได้จำแนกว่า อาซีมัตประเภทไหนที่ต้องห้ามและประเภทไหนที่อนุญาต .. นอกจากการกล่าวรวมๆว่า อาซีมัตต่างๆเป็นชิริก !! ...
กรณีนี้ต่างกับการเสกเป่าเพื่อรักษาโรคซึ่งในหะดีษบทเดียวกันระบุว่าเป็นชิริกเหมือนอาซีมัต ...
ทั้งนี้เพราะในกรณีการเสกเป่านั้น มี "หะดีษบทอื่น" มาจำแนกว่า ที่ท่านศาสดากล่าวว่าการเสกเป่าเป็นชิริก หมายถึง "การเสกเป่าที่ใช้ภาษาอื่นจากอัล-กุรฺอาน หรืออื่นจากดุอาอ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" ..
แต่หากการเสกเป่านั้นมาจากอายะฮ์อัล-กุรฺอาน หรือดุอาอ์ของท่านนบีย์ ก็เป็นที่อนุญาต ...
การทำเสน่ห์ยาแฝดก็ไม่มีการจำแนกเช่นเดียวกับอาซีมัตเหมือนกัน ...
เมื่อไม่มีหลักฐานมาจำแนก จึงต้องถือว่า การทำอาซีมะฮ์หรือเครื่องรางของขลังทุกประเภท และการทำเสน่ห์ยาแฝดทุกประเภท ถือเป็นชิริกโดยไม่มีข้อยกเว้น ตามความหมายครอบคลุมของหะดีษบทข้างต้นนี้ ..
2. จากรายงานข้างต้น .. ไม่ได้ระบุว่าท่านอิหม่ามอะห์มัดจะเคยเขียน التَّعَاوِيْذَ แบบพร่ำเพรื่อให้แก่บุคคลทั่วๆไปโดยไม่จำกัดโรคหรืออาการ แต่ท่านจะเขียนให้เฉพาะคนที่เป็นลมบ้าหมู(หรือคนที่ตกใจจนช็อก) และญาติพี่น้องของท่านหรือคนในครอบครัวของท่านที่ป่วยไข้เท่านั้น ....
3. ข้อความข้างต้นระบุชัดเจนว่า "ท่านอิหม่ามอะห์มัดจะกระทำสิ่งดังกล่าวก็ในตอนเกิดมีบะลาอ์ขึ้นเท่านั้น" ... และ "ฉันไม่เคยเห็นท่านกระทำสิ่งนี้ก่อนหน้าเกิดมีบะลาอ์เลย" ...
ข้อความนี้เปรียบเสมือนเงื่อนไขในการเขียน التَّعَاوِيْذَ ของท่านว่า จะเขียนมันก่อนเกิดบะลาอ์ไม่ได้ !! ..
การกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดข้อนี้ขัดแย้งกับการทำอาซีมัตหรือเครื่องรางของขลังต่างๆที่ผู้ทำมัน จะทำให้ลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่ศรัทธาเลื่อมไสที่มาขอได้ทุกฤดูกาล, หรือทุกวัน ! .. ทั้งๆที่ยังไม่มีบะลาอ์ใดๆเกิดขึ้นเลย ...
4. ทั้ง 2 ประโยคนี้บ่งบอกความหมายว่า การเขียน التَّعَاوِيْذَ ของท่านอิหม่ามอะห์มัดให้แก่คนไข้หรือคนเป็นลมบ้าหมูนั้น มีเป้าหมายเพื่อ "บำบัดรักษา" โรคหรืออาการป่วยที่เกิดขึ้นแล้ว .. มิใช่เพื่อ "ป้องกัน" จากศัตรูหรือป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่อาจจะมีในอนาคต .. อันเป็นเป้าหมายของผู้ทำอาซีมัต ..
5. ประการสำคัญที่สุดก็คือ ดังที่ผมได้กล่าวมาแล้วว่า ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด คำพูดหรือการกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดหรือใครก็ตาม มิใช่หลักฐานของศาสนา !.. ตราบใดที่คำพูดหรือการกระทำนั้น มิได้อ้างอิงไปถึงอัล-กุรฺอานและซุนนะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
วัลลอฮุ อะอ์ลัม ...
(ยังมีต่อ)




หลักฐานการทำอาซีมัต - ทำน้ำซอฟัรฺ (ตอนที่ 1)



(โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย)

ถาม
• อัสลามูอาลัยกุม ขออีกคำถามค่ะอาจารย์
มีคนยกมาว่าท่านอีหม่ามอะหมัดเขียนในถ้วยหรือสิ่งที่สะอาดให้กับสตรีคนหนึ่งในยามที่นางคลอด แล้วนำมาเป็นหลักฐานว่า ให้ทำน้ำซอฟัร ทำอาซีมัต ได้ค่ะ จึวอยากทราบว่าที่เขายกมาเชื่อถือได้หรือไม่ นำมาเป็นหลักฐานที่เขาอ้างได้หรือไม่ค่ะ ข้อความที่เขายกมา ดังนี้ ค่ะ
ท่านอับดุลเลาะฮ์ บุตรของท่านอิหม่ามอะหฺมัด บิน ฮัมบัล ปราชญ์หัวหน้ามัษฮับฮัมบะลีย์ แห่งยุคสะลัฟ ได้กล่าวว่า
رَأَيْتُ أَبِىْ يَكْتُبُ التَّعَاوِيْذَ لِلَّذِىْ يُصْرَعُ وَلِلحَمِىِّ لِأَهْلِهِ وَقَرَابَاتِهِ ، وَيَكْتُبُ لِلْمَرْأَةِ إِذَا عَسُرَ عَلَيْهَا الْوِلَادَةُ فِىْ جَامٍ أَوْ شَيْءٍ نَظِيْفٍ ، وَيَكْتُبُ حَدِيْثَ إبْنِ عَبَّاسٍ ، إِلَّا أَنَّهُ كَانَ يَفْعَلُ ذَلِكَ عِنْدَ وُقُوْعِ الْبَلاَءِ ، وَرَأَيْتُ يُعَوِّذُ فِى الْمَاءِ وَيُشْرِبُهُ الْمَرِيْضَ ، وَيَصُبُّ عَلَى رَأْسِهِ مِنْهُ ، وَرَأَيْتُ أَبِىْ يَأْخُذُ شَعْرَةٍ مِنْ شَعْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَيَضَعُهَا عَلَى فِيْهِ يُقَبِّلُهَا ، وَأَحْسِبُ أَنِّىْ قَدْ رَأَيْتُهُ يَضَعُهَا عَلَى رَأْسِهِ أَوْ عَيْنِهِ ، فَغَمَّسَهَا فِى الْمَاءِ ثُمَّ شَرَبَهُ يَسْتَشْفِى بِهِ ، وَرَأَيْتُهُ قَدْ أَخَذَ قَصْعَةَ النَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بَعَثَ بِهَا إِلِيْهِ أَبُوْ يَعْقُوْبَ بْنُ سُلَيْمَانَ بْنِ جَعْفَرَ فَغَسَلَهَا فِىْ جُبِّ الْمَاءِ ثُمَّ شَرِبَ فِيْهَا ، وَرَأَيْتُ مِنْ مَاءِ زَمْزَمَ يَسْتَشْفِىْ بِهِ وَيَمْسَحُ بِهِ يَدَيْهِ وَوَجْهَهُ

“ข้าพเจ้า ได้เห็นบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด) ทำการเขียนสิ่งที่ขอความคุ้มครองให้กับผู้เป็นลมและผู้ที่ป่วยไข้ ที่เป็นครอบครัวและเครือญาติของท่าน และบิดาได้เขียนในถ้วยหรือสิ่งที่สะอาดให้กับสตรีคนหนึ่งในยามที่นางคลอด ลำบาก และบิดาเขียนหะดิษของท่านอิบนุอับบาส แต่ท่านได้กระทำสิ่งดังกล่าวในยามที่มีภัยมาทดสอบ และข้าพเจ้าเห็นบิดาทำการอ่านดุอาอ์ขอการคุ้มครอง(แล้วเป่า)ลงในน้ำและให้ ผู้ป่วยดื่มและทำการรดน้ำนั้นลงบนศีรษะ ..................
อับดุลลอฮ์ บิน อะห์มัด, มะซาอิล อิมามอะหฺมัด, หน้า 447 ...

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮิ วะบารอกาตุฮ์ ..
เพื่อให้ตรงประเด็นกับคำถามของคุณ Mareeyah Si ผมจะแยกข้อมูลการกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดข้างต้นออกเป็น 2 ตอน คือ ...
ตอนที่ 1 ข้อความที่ว่า .. “ข้าพเจ้า ได้เห็นบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด) ทำการเขียนสิ่งที่ขอความคุ้มครองให้กับผู้เป็นลมและผู้ที่ป่วยไข้ ที่เป็นครอบครัวและเครือญาติของท่าน" .. ซึ่งน่าจะเป็นข้ออ้างหรือหลักฐานของผู้เขียนหรือทำอาซีมัตป้องกันภยันตรายต่างๆให้แก่ผู้ที่ศรัทธาเลื่อมไสตนเอง ...
ตอนที่ 2 ข้อความที่ว่า .. "และบิดาได้เขียนในถ้วยหรือสิ่งที่สะอาดให้กับสตรีคนหนึ่งในยามที่นางคลอดลำบาก ............" .. และ .. "ข้าพเจ้าเห็นบิดาทำการอ่านดุอาอ์ขอการคุ้มครอง(แล้วเป่า)ลงในน้ำและให้ ผู้ป่วยดื่มและทำการรดน้ำนั้นลงบนศีรษะ" ... ซึ่งน่าจะเป็นข้ออ้างหรือหลักฐานของผู้ทำน้ำซอฟัรฺ ....
ก่อนอื่น ผมขอเรียนให้รับทราบเสียก่อนว่า ตามหลักการแล้ว คำพูดและการกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดหรือของผู้ใดก็ตาม, ไม่ถือว่า "เป็นหลักฐาน" ของศาสนา .. ตราบใดที่คำพูดหรือการกระทำนั้นมิได้อ้างอิงไปถึงท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะอลัยฮิวะซัลลัม ..
ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ กล่าวว่า ...
لاَ حُجَّةَ فِىْ قَوْلِ أَحَدٍ دُوْنَ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَإِنْ كَثُرُوْا ..........
" คำพูดของบุคคลใดก็ตาม, แม้พวกเขาจะมีปริมาณมากมายเพียงใดก็ตาม ไม่ใช่เป็นหลักฐานชี้ขาด(ของศาสนา) นอกจากคำพูดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเท่านั้น"
(จากหนังสือ "มีซาน อัล-กุบรออ์" ของท่านอัช-ชะอ์รอนีย์ หน้า 60)
สำหรับข้อความจากการกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดที่อ้างมานั้น ผมได้ตรวจสอบดูแล้ว พอจะสรุปได้ดังนี้ ...
1. บันทึกการกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัลข้างต้น เป็นสิ่งที่มีปรากฏอยู่จริงในหนังสือ "مسائل الإمام أحمد" หน้า 447 .. จากบันทึกของบุตรชายของท่าน คือท่านอับดุลลอฮ์ บินอะห์หมัด (สิ้นชีวิตวันอาทิตย์ ที่ 21 เดือนญะมาดุ้ลอาคิรฺ ปีฮ.ศ. 290 ขณะอายุได้ 77 ปี) ...
ข้อความที่คัดลอกมา - ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด - ตรงกับฉบับที่อยู่ในมือของผม นอกจากบางส่วน - ซึ่งเป็นข้อความสำคัญ - ที่ผมไม่ทราบว่า ผู้คัดลอกรายงานนี้มองข้ามไป จึงไม่มีปรากฏอยู่ในข้อความข้างต้นนี้, หรือข้อความนั้นขาดหายไปจากต้นฉบับที่อยู่ในมือของท่านก็เป็นได้ .. ดังที่ท่านผู้อ่านจะได้เห็นในข้อที่ 3 .....
หนังสือ "مسائل الإمام أحمد" นี้ ได้ประมวลคำถามที่มีผู้ถามท่านอิหม่ามอะห์มัด และคำตอบของท่าน แล้วถูกรวบรวมและบันทึกไว้โดยศิษยานุศิษย์ของท่านหลายท่าน อาทิเช่นท่านอับดุลลอฮ์ บินอะห์หมัด, ท่านศอลิห์ บินอะห์หมัด (2 ท่านนี้เป็นบุตรชายของท่านอิหม่ามอะห์มัด), ท่านอบูดาวูด, ท่านอิสหาก บินมันศูรฺ, ท่านอิสหาก บินอิบรอฮีม บินฮานิอ์ เป็นต้น ...
2. บางข้อความข้างต้น ใช้ถ้อยคำแตกต่างจากฉบับที่อยู่ในมือของผม นั่นคือคำว่า للذى يصرع ในบรรทัดแรกซึ่งน่าจะมีความหมายว่า (ท่านได้เขียนสิ่งที่ขอความคุ้มครอง)ให้แก่คนเป็นลมบ้าหมู, แต่ฉบับที่อยู่ในมือของผมใช้คำว่า للذى يقرع .. ซึ่งน่าจะมีความหมายว่า ให้แก่คนที่ตกใจจนช็อก, ..
วัลลอฮุ อะอฺลัม ....
3. ข้อความจากหนังสือข้างต้นหลังจากคำว่า ...
إِلَّا أَنَّهُ كَانَ يَفْعَلُ ذَلِكَ عِنْدَ وُقُوْعِ البلاء
(แต่ท่านจะกระทำสิ่งดังกล่าวก็ในตอนเกิดมีบะลาอ์ขึ้นเท่านั้น) .. มีตกหล่นข้อความสำคัญไปประโยคหนึ่งอันเป็นข้อความตอกย้ำความหมายของประโยคนี้ .. นั่นคือคำกล่าวของท่านอับดุลลอฮ์ต่อมาว่า
وَلَمْ أَرَهُ يَفْعَلُ هَذَا قَبْلَ وُقُوْعِ الْبَلاَءِ
(และฉันไม่เคยเห็นท่านกระทำสิ่งนี้ก่อนหน้าเกิดมีบะลาอ์เลย)
โปรดจำข้อความประโยคสุดท้ายนี้ไว้ให้ดี เพราะผู้ทำอาซีมัตทุกคน จะไม่มีผู้ใดสนใจหรือคำนึ่งถึงเงื่อนไขข้อนี้ .......
นี่คือบทสรุปการกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัล - ในตอนแรก - จากการบันทึกโดยท่านอับดุลลอฮ์บุตรชายของท่านในหนังสือ "مسائل الإمام أحمد" หน้า 447 ...
ผมไม่บังอาจพอที่จะก้าวล่วงไปวิจารณ์การกระทำของท่านอิหม่ามอะห์มัดว่าผิดหรือถูก แต่สำหรับผู้ที่จะอ้างข้อความข้างต้นมาเป็นหลักฐานเรื่องการทำอาซีมัต ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้ ...
(ยังมีต่อ) ...


คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีการกระทำใดที่ไม่ใช่อิบาดะห์เว้นแต่เป็นการกระทำที่มะซีย้ะห์"



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

(2). คำกล่าวที่ว่า .. ..."ไม่มีการกระทำใดที่ไม่ใช่อิบาดะห์เว้นแต่เป็นการกระทำที่มะซีย้ะห์เท่านั้น แค่ไม่เชื่อว่าทุกๆการกระทำที่ไม่ได้ถูกห้ามนั้นเป็นอิบาดะห์นั่นหมายถึงอาจตกมุรตัดได้โดยง่ายถ้าคิดผิด" ...
ขอตอบว่า ในมุมมองของผมมองว่า คำกล่าวข้างต้นนี้ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะขัดแย้งกับคำกล่าวของนักวิชาการ และขัดแย้งกับข้อเท็จจริงครับ ...
คำอธิบายมีดังนี้ ...
นักวิชาการได้จำแนกพฤติกรรมหรือการกระทำของมนุษย์ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ...
1. อิบาดะฮ์ (عِبَادَةٌ) หมายถึงการกระทำที่มีเป้าหมายเพื่อการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า เช่นการละหมาด, การถือศีลอด, การทำหัจญ์, การซิกรุ้ลลอฮ์, การบริจาคทาน และการกระทำความดีต่างๆที่มีเป้าหมายเพื่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ...
2. อาดะฮ์ (عَادَةٌ) หมายถึงการกระทำของมนุษย์ที่มีเป้าหมายเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต หรือเพื่อความสะดวกสบายของชีวิต มิใช่เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ เช่นการกิน, การนอน, การสร้างบ้านพักอาศัย, การซื้อขายแลกเปลี่ยน, การจ้าง, การเช่า, การใช้ชีวิตคู่ เป็นต้น ...
จากการจำแนกดังกล่าวนี้ทำให้เป็นที่ชัดเจนว่า นักวิชาการมิได้มองว่า ทุกๆการกระทำของมนุษย์ แม้จะมิใช่เป็นความชั่ว ก็ต้องเป็นอิบาดะฮ์ไปเสียทั้งหมด ยกเว้นในบางกรณีที่อาดะฮ์อาจจะกลายเป็นอิบาดะฮ์ได้ ด้วยการเนียตที่ดีของผู้กระทำ เช่นการกิน, การนอน โดยเจตนาให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงเพื่อจะได้ทำการภักดีต่ออัลลอฮ์ เป็นต้น ..
อิบาดะฮ์คืออะไร ?
หนังสือ مُعْجَمُ لُغَةِ الْفُقَهَاءِ ของ ดร. มุหัมมัด เราวาซ หน้า 451 ได้ให้คำนิยามคำว่า "อิบาดะฮ์" เอาไว้ว่า ..
اَلْعِبَادَةُ ..... اَلتَّصَرُّفَاتُ الْمَشْرُوْعَةُ الَّتِىْ تَجْمَعُ كَمَالَ الْمَحَبَّةِ، وَالْخَوْفِ، وَالْخُضُوْعِ لله تَعَالَى
"อิบาดะฮ์ หมายถึงพฤติกรรมต่างๆ(ของมนุษย์) ที่ถูกบัญญัติขึ้น(โดยพระผู้เป็นเจ้า) ซึ่งมันได้ประมวลไว้ทั้งความรักอันสมบูรณ์เพียบพร้อม, ความเกรงกลัว, และความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ." ...
จากคำนิยามข้างต้นนี้พอจะสรุปได้ว่า อิบาดะฮ์ หมายถึงการกระทำใดๆที่แฝงไว้ด้วยความรัก, ความภักดี, ความยำเกรง, และความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ..
หรือจะสรุปอีกครั้งก็คือ การกระทำที่จะเรียกว่าเป็นอิบาดะฮ์ ต้องเป็นการกระทำเพื่ออัลลอฮ์, และกระทำเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลฮ์ ..
โดยนัยนี้ การกระทำใดๆที่มิได้มีเป้าหมายเพื่ออัลลอฮ์ และเพื่อแสดงความเคารพภักดีพระองค์ แม้การกระทำนั้นจะไม่ใช่มะอฺศิยะฮ์หรือความชั่ว ก็จะไม่เรียกการกระทำนั้นว่า อิบาดะฮ์ ...
นักวิชาการอธิบายว่า โครงสร้างอิบาดะฮ์เป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติ "โดย" พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เพียงพระองค์เดียว, และเป็นการกระทำ "เพื่อ" พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เพียงพระองค์เดียว ...
ด้วยเหตุนี้พื้นฐานของอิบาดะฮ์จึงเป็นสิ่งถูกระงับ (تَوْقِيْفٌ) .. คือผู้ใดจะมากำหนดรูปแบบอิบาดะฮ์ใดๆขึ้นมาโดยพลการ เพื่อแสดงความเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ไม่ได้ เว้นแต่การกระทำนั้นๆและรูปแบบอิบาดะฮ์นั้นๆจะต้องถูกกำหนดมาโดยพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้น ...
ใครก็ตามที่กำหนดรูปแบบอิบาดะฮ์ขึ้นมาจากความคิดความเข้าใจของตนเองเพื่อปฏิบัติ โดยไม่มีที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า เขาก็คือผู้ตราบทบัญญัติแข่งกับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามที่ใครๆจะกระทำมิได้ ...
(สรุปคำพูดท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัล จากหนังสือ "อัล-หะล้าล วัลหะรอม ฟิล อิสลาม" ของท่าน ดร. ยูซุฟ อัล-ก็อรฺฎอวีย์ หน้า 25) ...
อาดะฮ์ คืออะไร ?
อาดะฮ์ (عَادَةٌ) หรือวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ คือสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์เองตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการอยู่รอดของชีวิตหรือเพื่อความสะดวกสบายของชีวิต มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ...
เมื่ออาดะฮ์หรือการใช้ชีวิตประจำวันมีที่มาจากการกำหนดของมนุษย์, เพื่อผลประโยชน์ของมนุษย์เอง พื้นฐานเดิมของอาดะฮ์ - ทั้งหมด - จึงเป็นที่อนุโลม (اَلْعَفْوُ) แก่มนุษย์ .. ยกเว้นเมื่อมีการห้ามสิ่งใดมาจากพระผู้เป็นเจ้าหรือศาสดาของพระองค์ อาดะฮ์นั้นก็จะกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ส่วนอาดะฮ์ใดที่ไม่มีหลักฐานห้าม มันก็จะยังคงสภาพเป็นที่อนุญาตสำหรับมนุษย์ตามพื้นฐานเดิมของมัน ...
(สรุปเนื้อหาจากหนังสือเล่มเดียวกัน, หน้าเดียวกัน) ...
การกิน, การดื่ม, การปลูกสร้างบ้านพักอาศัย, การห่มผ้าเมื่อหนาว, การผิงไฟหรือใช้พัดลมเมื่อร้อน, การแลกเปลี่ยนซื้อขาย, การจ้าง, การเช่า, การกู้ยืมหนี้สิน, การใช้ชีวิตคู่, ฯลฯ เหล่านี้ ตามปกติล้วนเป็นเรื่องของอาดะฮ์ มิใช่เป็นอิบาดะฮ์ .....
มนุษย์กิน, มนุษย์ดื่ม, มนุษย์นอน มิใช่เพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพื่อความอยู่รอดของชีวิต และเพื่อต้องการพักผ่อน ..
มนุษย์สร้างบ้านเรือน มิใช่เพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย, หลบแดดหลบฝน ...
มนุษย์ห่มผ้าเมื่อหนาว มิใช่เพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ...
มนุษย์มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน, มีการจ้าง, การเช่า, การกู้หนี้ยืมสิน เป็นต้น มิใช่เพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองไม่มี ..
มนุษย์แต่งงาน มิใช่เพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพื่อต้องการความอบอุ่นใจ, เพื่อสนองความต้องการด้านกามารมณ์ และเพื่อการสืบเผ่าพันธ์ ..
ฯลฯ ..
ตัวอย่างของอาดะฮ์ที่กล่าวมานี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นมะอฺศิยะฮ์หรือความชั่ว แต่ไม่มีนักวิชาการท่านใดกล่าวว่า มันเป็นอิบาดะฮ์ !...
นี่คือ หลักการของอิสลามเกี่ยวกับเรื่องอิบาดะฮฺ และอาดะฮ์ ...
สรุปแล้ว เรื่องอาดะฮ์หรือการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติวิสัยของมนุษย์ แม้จะ มิใช่เป็นมะอฺศิยะฮ์(ความชั่ว)ตามหลักการศาสนา ก็มิใช่เป็นอิบาดะฮ์, และไม่ถือว่าเป็นอิบาดะฮ์ .. ตามทัศนะของนักวิชาการ ...
เพราะฉะนั้น คำพูดข้างต้นที่ว่า .. "ไม่มีการกระทำใดที่ไม่ใช่อิบาดะห์เว้นแต่เป็นการกระทำที่มะซีย้ะห์เท่านั้น" จึงถือว่าเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง ...
และคำพูดที่ว่า .. "แค่ไม่เชื่อว่าทุกๆการกระทำที่ไม่ได้ถูกห้ามนั้นเป็นอิบาดะห์ นั่นหมายถึงอาจตกมุรตัดได้โดยง่ายถ้าคิดผิด" .. ก็เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน ..
เพราะผมไม่เคยเจอนักวิชาการท่านใดเลยที่กล่าวอย่างนี้ นอกจากคำพูดของผู้ที่คุณ Mareeyah Si คัดลอกมาถามดังข้างต้นเท่านั้น ...

วัลลอฮุ อะอฺลัม ...
อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย


4/12/2560


คำกล่าวที่ว่า "แยกดุนยาออกจากศาสนาอิสลามไม่ได้โดยเด็ดขาด"



ตอบคำถามคุณ Mareeyah Si‎
อัสลามูอาลัยกุม ค่ะ อาจารย์ สบายดีนะคะ ไม่ได้ทักทายอาจารย์เลย พอทักก็มีคนถามมาอีกแล้วค่ะ อยากทราบที่เขาว่า...
1. แยกดุนยาออกจากศาสนาอิสลามไม่ได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าใครจบมาจากใหนจนใบปริญญาท่วมประเทศก็ตามที่พูดว่าเรื่องดุนยาไม่เกี่ยวกับศาสนานั้น ขอให้รับรู้ไว้ว่าท่านกำลังบอกว่าท่านไม่เชื่อกุรฺอ่านอายัตนี้..........
يومئذ يصدرالناس أشتاتاليرواأعماله فمن يعمل مثقال زرة خيرا يره ومن يعمل مثقال زرة شرا يره
2. เขากล่าวว่า..."ไม่มีการกระทำใดที่ไม่ใช่อิบาดะห์เว้นแต่เป็นการกระทำที่มะซีย้ะห์เท่านั้น แค่ไม่เชื่อว่าทุกๆการกระทำที่ไม่ได้ถูกห้ามนั้นเป็นอิบาดะห์นั่นหมายถึงอาจตกมุรตัดได้โดยง่ายถ้าคิดผิด" ... คำกล่าวนี้ถูกต้องไหมค่ะ และไม่ทราบเขาเอามาจากไหน หะดิษ หรืออัลกุรอานไม่ทราบค่ะ ...
ขออาจารย์ ช่วยแจงให้ดิฉันเข้าใจหน่อยค่ะ คำพูดเล่านี้มีความเข้าใจถูกต้องหรือไม่?
ตอบ ...
อัลหัมดุลิลลาฮ์ ผมสบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง และขอถือโอกาสนี้ กล่าวขอโทษคุณที่ตอบคำถามนี้มาค่อนข้างช้าไปนิด สาเหตุก็เนื่องมาจาก "ควาย" ของผม (ขอโทษอีกครั้งหากมองว่าเป็นคำไม่สุภาพ แต่เป็นศัพท์สแลงส่วนตัวของผมที่หมายถึงวาย-ฟาย) หลุดบ่อยมาก บางครั้งหลุดไปตั้ง 2 วันก็เคยมี แล้วจู่ๆมันก็กลับมาเอง เป็นอยู่อย่างนี้เป็นประจำจนผมเซ็งแทบไม่อยากแตะต้องเฟสอีกเพราะทำงานไม่ต่อเนื่อง บางทีอาจเป็นเพราะควายตัวนี้เขาให้ผมใช้ฟรีก็ได้ มันเลยผีเข้าผีออก ผมจะร้องเรียนไปบ่อยก็เกรงใจเพราะใช้ฟรีดังกล่าวแล้ว จึงอยู่ในภาวะจำยอมครับ ...

(1). คำกล่าวที่ว่า .. "แยกดุนยาออกจากศาสนาอิสลามไม่ได้โดยเด็ดขาด" ..
ขอเรียนว่า ถ้าคำพูดที่ว่า "แยกดุนยาออกจากศาสนาอิสลาม" หมายถึง "การไม่ยอมรับว่า เรื่องทางโลก (ดุนยา) เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม" .. ผมก็ยอมรับว่า คำกล่าวข้างต้นที่คุณนำมาตั้งเป็นคำถาม น่าจะเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องแล้ว ..
ทั้งนี้ เพราะมุสลิมทุกคนยอมรับกันแล้วว่า อิสลามมิใช่เป็นศาสนาที่มีเฉพาะพิธีกรรมหรืออิบาดะฮ์เพียงอย่างเดียว แต่ทว่าอิสลามคือ "ระบอบที่ครอบคลุมการดำเนินชีวิตและการ กระทำทุกอย่างของมนุษย์" ไว้ครบวงจร .. ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "ดุนยา" ที่เรียกกันว่าทางโลก, และเรื่อง "พิธีกรรมหรืออิบาดะฮ์" ที่เรียกกันว่า "ทางธรรม" ...
ตัวท่านศาสดาเอง เคยดำรงตำแหน่ง เป็นทั้งผู้นำศาสนา และผู้นำการปกครอง ในคราวเดียวกัน ...
เรื่องการปกครองเป็นเรื่องทางโลก ไม่ใช่ทางธรรม ...
ท่านศาสดาเคยเข้าไปในตลาดเพื่อหาซื้อแป้งมาทำขนมปังหรือโรตี แล้วถูกพ่อค้าตบตา จนเป็นที่มาของประโยคอมตะที่ว่า ...
مَنْ غَشَّنَا فَلَيْسَ مِنَّا
"ผู้ใดหลอกลวงเรา ผู้นั้นไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งจากพวกเรา" (หรือที่แปลกันว่า ผู้นั้นมิใช่พวกของเรา)...
การซื้อขายก็เป็นเรื่องทางโลก ...
ท่านศาสดาเคยไปค้างหนี้สินข้าวสาลีจำนวนหนึ่ง, จากยิวคนหนึ่ง โดยวางเสื้อเกราะของท่านค้ำประกัน(จำนำ)หนี้สินไว้ ...
เรื่องหนี้สิน, เรื่องจำนำ-จำนองก็เป็นเรื่องทางโลก ..
ฯลฯ
โดยนัยนี้ เราจึงกล่าวได้ว่า เรื่องทางโลก เช่นเรื่องการเมือง, การปกครอง, การกิน, การดื่ม, การซื้อขาย, การกู้หนี้ยืมสิน, การจำนำ-จำนอง, การแต่งงาน ฯลฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งของอิสลาม ...
เพราะท่านศาสดาจะไม่กระทำสิ่งใดที่ออกนอกกรอบของอิสลามเป็นอันขาด ...
ปกติ เรามักได้ยินคำพูดบางประโยคซึ่งหากฟังดูเผินๆก็ดูเหมือนผู้พูดต้องการจะแยก "ศาสนา" ออกจากเรื่องทางโลก อาทิเช่นคำพูดที่ว่า .. "ลูกผมเรียนสายศาสนา ไม่ได้เรียนสายสามัญ" หรือคำพูดที่ว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ไม่เกี่ยวกับศาสนา" เป็นต้น ...
ความหมาย "ศาสนา" ดังตัวอย่างข้างต้น ผมเข้าใจว่าผู้พูดมิได้มีเจตนาปฏิเสธเรื่องการเรียนสายสามัญ หรือเรื่องการเมืองการปกครองว่ามิใช่เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม แต่น่าจะหมายถึง "ศาสนา" ในส่วนที่เป็นเรื่อง "พิธีกรรม" .. อันได้แก่อิบาดะฮ์รูปแบบต่างๆของอิสลามเป็นส่วนใหญ่ มากกว่า ...
เมื่อเรื่องทางโลกเป็นส่วนหนึ่งของอิสลามดังกล่าวมาแล้ว การแยกหรือการกล่าวว่า เรื่องทางโลกหรือดุนยาไม่เกี่ยวข้องกับอิสลาม จึงเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องแน่นอน ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ...
ส่วนคำพูดที่ว่า .. ไม่ว่าใครจบมาจากไหน จนใบปริญญาท่วมประเทศก็ตามที่พูดว่าเรื่องดุนยาไม่เกี่ยวกับศาสนานั้น ขอให้รับรู้ไว้ว่าท่านกำลังบอกว่าท่านไม่เชื่อกุรฺอ่านอายัตนี้
يومئذ يصدرالناس أشتاتاليرواأعماله فمن يعمل مثقال زرة خيرا يره ومن يعمل مثقال زرة شرا يره

ขอเรียนว่า ผมยังไม่เคยเจอนักวิชาการท่านใด ไม่ว่ามุฟัซซิรีน (นักวิชาการผู้อรรถาธิบายอัล-กุรฺอาน), ฟุกอฮาอ์ (นักวิชาการฟิกฮ์), หรือมุหัดดิษีน (นักวิชาการหะดีษ) จะอ้างอายะฮ์ข้างต้นมาเป็นหลักฐานว่า .. "ผู้ที่พูดว่าดุนยาไม่เกี่ยวกับศาสนา คือผู้ไม่เชื่ออัล-กุรฺอานอายะฮ์นี้" .. แม้แต่ท่านเดียว ...
การไม่เชื่อหรือปฏิเสธอัล-กุรฺอานอายะฮ์ใด หมายถึงการตกเป็นกาเฟรฺ ซึ่งผมคงไม่กล้าหุก่มอย่างนี้กับผู้ที่กล่าวว่า ดุนยาไม่เกี่ยวกับศาสนา ...
จึงขอแนะนำให้คุณ Mareeyah Si‎ ไปถามผู้อ้างคำกล่าวข้างต้นนั้นว่า ความเข้าใจดังกล่าวนี้ เป็นความเข้าใจส่วนตัวของเขาเอง หรือนักวิชาการท่านใด เป็นผู้กล่าวไว้อย่างนี้ ? ..


วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนจบ)


โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

(3). จากหน้า 344-345.
ท่านเช็คอัต-ตีญานีย์ ได้กล่าวถึงมุอฺญิซาตต่างๆที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงประทานให้แก่บรรดานบีย์ๆในอดีต, เช่น ท่านนบีย์อิบรอฮีม, ท่านนบีย์อีซา, ท่านนบีย์มูซา, ท่านนบีย์สุลัยมาน, ... เรื่องความมหัศจรรย์ของอะฮ์ลุลกะฮ์ฟิ หรือชาวถ้ำ, ... แม้กระทั่ง, เรื่องของอิบลีส ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ และยังคงล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิดอยู่จนถึงปัจจุบัน อันถือว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของโลกทั่วๆไป, .. แล้วก็กล่าวสรุปในหน้าที่ 345 ว่า ...
“มุสลิมที่ศรัทธาทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ และไม่แปลกใจกับการปรากฏของสิ่งเหล่านี้ เขาจะแปลกใจกระนั้นหรือกับการดำรงอยู่ของอัล-มะฮ์ดีในสภาพที่ลึกลับเพียงชั่วระยะขณะหนึ่งของกาลเวลา โดยวิทยปัญญาของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่ทรงประสงค์อย่างนั้น”
ชี้แจง.
ถูกแล้ว ! มุสลิมที่มีอีหม่านทุกคน ไม่มีผู้ใดแปลกใจหรือสงสัยในสิ่งที่ท่านเช็คอัต-ตีญานีย์ได้กล่าวมานี้ ... อันหมายถึงมุอฺญิซาตต่างๆที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงประทานให้แก่พวกบรรดานบีย์ๆเหล่านั้น, ...
เพราะทั้งหมด คือสิ่งซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงระบุไว้ในคัมภีร์อัล-กุรฺอ่านของพระองค์แล้วทั้งสิ้น ...
อย่าว่าแต่เพียงแค่นั้น, ต่อให้อภินิหารยิ่งกว่านั้น .. (อย่างเช่นการกำเนิดของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ตามที่ชาวชีอะฮ์เชื่อกัน) ... หากพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงแจ้งให้ทราบในอัล-กุรฺอ่านแล้ว มุสลิมที่มีอีหม่านก็ต้องเชื่อและยอมรับทั้งนั้น ...
จึงอยากจะขอถามเช็คอัต-ตีญานีย์สักหน่อยว่า .. ก็แล้วอภินิหารแห่งการกำเนิดของมะฮ์ดีย์ ที่มารดาของท่านตั้งครรภ์และคลอดท่านภายในคืนเดียวกัน, รวมทั้งการเร้นกายและการดำรงชีวิตอยู่ตั้งพันกว่าปีมาแล้ว และจะยังอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้...... และท่านเช็คอัต-ตีญานีย์ประสงค์จะให้เราเชื่อในเรื่องนี้,.......เหมือนที่เราเชื่อในมุอฺญิซาตต่างๆของบรรดานบีย์ๆนั้น ...
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงกล่าวเรื่องอภินิหารของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ข้างต้นนั้น .. ไว้ตรงไหนในอัล-กุรฺอ่าน ? ....
และข้ออ้างที่ว่า ... การดำรงอยู่ของอัล-มะฮ์ดีในสภาพที่ลึกลับ โดยวิทยปัญญาของอัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ทรงประสงค์อย่างนั้น ... อยากจะขอถามเช็คอัต-ตีญานีย์อีกว่า ....
ท่านรู้ได้อย่างไรว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงประสงค์จะให้ท่านมะฮ์ดีย์ เร้นกายอยู่อย่างนั้น ? ...
ในเมื่อการเร้นกายของมะฮ์ดีย์ (ตามการอ้างของพวกท่าน) เป็นการกระทำไปโดยพลการ, มิได้เกิดจากการบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์, ... ดังการยอมรับของท่านเช็คอัฏ-ฏูสีย์ นักวิชาการของพวกท่านเองที่ได้กล่าวในหนังสือของท่านว่า ....
“การเร้นหายของท่านอิหม่ามมะฮ์ดี ไม่ได้มีสาเหตุมาจากพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ”
(จากหนังสือ “อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก” หน้า 35)...
และก็อยากจะขอ “เปิดอก” พูดกับท่านเช็คอัต-ตีญานีย์และชาวชีอะฮ์อื่นๆในกรณีนี้ อย่างตรงไปตรงมาว่า ...
เรื่องการถือกำเนิดของท่านนบีย์อีซาโดยปราศจากบิดา ฯลฯ .. เป็นการบอกเล่าของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ในอัล-กุรฺอ่าน ซึ่งมุสลิมที่มีอีหม่านทุกคนจำเป็นต้องเชื่อ ...
แต่, การกำเนิดอิหม่ามมะฮ์ดีย์ที่ว่า ตั้งครรภ์ภายในคืนเดียว, คลอดภายในคืนเดียว เป็นเพียง “ข้ออ้าง” ของพวกท่าน จากสตรีเพศคนหนึ่ง (ท่านหะกีมะฮ์) ใช่หรือไม่ ? ..
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. คือใคร ? .. ท่านหะกีมะฮ์ คือใคร ? ...
ยิ่งไปกว่านั้น จะให้เราแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่พวกท่านอ้างว่าเป็นคำพูดท่านหะกีมะฮ์นั้น จะมิใช่คำพูดที่บุคคลบางคน “กุ” มันขึ้นมา แล้วป้ายความเท็จให้แก่ท่าน ? ...
และ, ต่อให้ท่านหะกีมะฮ์พูดจริงก็เถอะ ผู้ไม่มีอีหม่านเท่านั้นแหละ ถึงจะยอมเชื่อว่า คำพูดของมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่ง น่าเชื่อถือพอๆกับคำพูดของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ..
ส่วนคนที่เขามี “อีหม่านจริงๆ” นั้น ... ท่านจะเกลี้ยกล่อมเขาให้เชื่อว่าคำพูดของมนุษย์ปุถุชน มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเท่าๆกับคำพูดของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.นี่ ...
ต่อให้เกลี้ยกล่อมกันให้ตาย เขาก็ไม่ยอมหลงกลท่านหรอก !
(4). มีกล่าวในหน้า 346 ว่า ....
“ดังนั้น ถ้าหากท่านอิมามที่สิบสอง นั่นคือ ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ได้เสียชีวิตไปแล้ว แน่นอนที่สุด สุสานของท่านจะต้องปรากฏให้เป็นที่รู้กันอย่างยิ่งเลยทีเดียว........”
ชี้แจง.
ข้อสังเกตนี้ ท่านเช็คอัต-ตีญานีย์ ได้เขียนขึ้นตามมุมมองของชีอะฮ์เพียงฝ่ายเดียว บนพื้นฐานความเชื่อมั่นว่า ท่านอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขา ได้ถือกำเนิดมานานแล้ว และก็ยังหาร่อยรอยไม่เจอมาจนถึงทุกวันนี้ .. (เพราะเชื่อกันว่า ท่านได้เร้นกายไป, ดังได้กล่าวมาแล้ว) ...
แต่ในมุมมองของฝ่ายซุนนะฮ์หรือใครก็ตามที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ และมองว่า เป็นเพียงเรื่องที่ถูกกุขึ้นมา การหาสุสานของท่านไม่เจอ จึงมิใช่เรื่องแปลกพิสดารหรือน่าตื่นเต้นแต่อย่างใด ! ...
ก็คนที่ยังไม่เกิด, ยังไม่ตาย, แล้วจะให้ปรากฏหลุมศพได้ยังไงล่ะครับ ?
(5). มีกล่าวในหน้าที่ 347 ว่า ...
“และการปรากฏกายของท่านนั้น หมายถึงการปลดปล่อยและชัยชนะที่จะได้แก่ประชาชาติของ มุฮัมมัด (ศ)........”
ชี้แจง.
ท่านเช็คอัต-ตีญานีย์แน่ใจตัวเองไหมว่า มิได้มีการ “หมกเม็ด” ในคำพูดประโยคข้างต้นนี้ ?...
ทำไมท่านไม่ยอมเปิดเผยความจริงให้ทราบเสียด้วยว่า .. คำว่า “ประชาชาติของมุฮัมมัด (ศ)” ที่ว่านี้ ..... หมายถึง พวก “ชีอะฮ์” โดยเฉพาะ เท่านั้น ? ...
ส่วนประชาชาติของมุฮัมมัด (ศ) ที่อื่นจากชีอะฮ์, อันได้แก่ชาวซุนนะฮ์ทั้งหมดที่มีปริมาณมากกว่าพวกชีอะฮ์หลายสิบเท่า, รวมทั้งชาวอฺรับ, พวกกุเรช และพลโลกอื่นๆ จะต้องถูกสังหารลูกเดียว ! ...
ไม่มีคำว่า ปรานี, ไม่มีคำว่าอภัยโทษ, ... ดังรายงานอันชัดเจนของชีอะฮ์ที่ได้ตีแผ่ไปแล้ว ...
ที่ผ่านมานั้น คือ การชี้แจงข้อบิดเบือนและเล่ห์เหลี่ยมของเช็คอัต-ตีญานีย์ นักวิชาการชีอะฮ์, เจ้าของหนังสือ “ลิอะกูนะ มะอัศ ศอดิกีน” หรือที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยภายใต้ชื่อว่า “ขออยู่กับผู้สัตย์จริง”... รวมทั้งหนังสืออื่นๆอีก 3 เล่ม ที่กำลังแพร่หลายในหมู่ชีอะฮ์ชาวไทยในเวลานี้ ...
เป็นการชี้แจง เฉพาะประเด็นเรื่อง “อัล-มะฮ์ดี : ผู้ถูกรอคอย” ในหนังสือเล่มดังกล่าวข้างต้น เท่านั้น ...
เสียดายที่ผมไม่ค่อยจะมีเวลาว่างมากนัก อันเนื่องมาจากการติดภาระแห่งความเป็นครู, และภาระการรับใช้สังคมมุสลิมด้วยการเขียนหนังสือชี้แจงหลักฐานและตอบปัญหาศาสนาที่มีผู้ถามเข้ามามากมาย, รวมทั้งการบรรยายธรรมทั่วๆไปด้วย, ..
มิฉะนั้น ผมก็จะขอทำหน้าที่กระชากหน้ากากและตีแผ่ตัวตน “ที่แท้จริง” ของเช็คอัต-ตีญานีย์ ออกมาให้เห็นชัดๆกันว่า ท่านผู้นี้ เป็นนักวิชาการตัวจริงหรือตัวปลอม ?, .. และอดีต เคยเป็นชาวซุนนะฮ์มาก่อนอย่างที่อ้างเอาไว้หรือไม่ ? ....
อินชาอัลลอฮ์ !.. ถ้ามีเวลาครับ,

วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนที่ 11)



โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย 

(2). มีกล่าวในหน้าที่ 342 ว่า ...
“ส่วนการวิเคราะห์ขั้นที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดของอัล-มะฮ์ดี การมีชีวิต การหายตัวไป และการยังไม่วะฟาตของท่านนั้น ในส่วนนี้ก็เช่นกัน นักปราชญ์บางส่วนของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ที่ไม่ลบหลู่ต่อพวกเขา ก็ไม่ปฏิเสธและเป็นพวกที่เชื่อว่า อัล-มะฮ์ดีนั้น คือมุฮัมมัด บิน ฮะซัน อัล-อัซกะรี (อ) อิหม่ามที่ 12 จากบรรดาอิหม่ามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ (อ) ท่านได้เกิดแล้ว และท่านยังมีชีวิตอยู่ .....”
(แล้วเช็คอัต-ตีญานีย์ก็ได้ตีแผ่รายชื่อตำราและผู้เขียนที่เช็คอัต-ตีญานีย์อ้างว่า เป็นนักวิชาการซุนนะฮ์ ที่ยอมรับในเรื่องดังกล่าวมา 10 ท่านด้วยกัน ... แล้วตบท้ายด้วยข้อความว่า) ...
หากวิเคราะห์จะศึกษาต่อไป ก็จะพบว่านักปราชญ์อะฮฺลิซซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์จำนวนมากกว่านี้เสียอีกที่กล่าวถึงการเกิดของอัล-มะฮฺดี, การดำรงอยู่อย่างมีชีวิต ...
ชี้แจง.
นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เช็คอัต-ตีญานีย์ใช้เล่ห์เหลี่ยม นำข้อมูล “เท็จ” มาหลอกลวงชาวซุนนะฮ์, ! ... (รวมทั้งชาวชีอะฮ์ด้วย) ...
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีอยู่เพียง 2 กรณีเท่านั้น คือ ....
กรณีที่ 1 : นักวิชาการและตำราเหล่านั้น เป็นชาวซุนนะฮ์จริง !... แต่การนำเรื่องท่านมะฮ์ดีย์ของชีอะฮ์มาเขียนในลักษณะดังกล่าว มิใช่เป็นการยอมรับข้อมูลนั้นว่า ถูกต้อง, ...และก็มิได้ยอมรับว่า ท่านมะฮ์ดีย์คือ “มุหัมมัด บิน หะซัน อัล-อัสกะรีย์” ..... ดังที่เช็คอัต-ตีญานีย์โมเมเอา, .. หากแต่เป็นการ “ถ่ายทอด” ความเชื่อของชีอะฮ์ให้เป็นที่รับรู้กันว่า ชาวชีอะฮ์มีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องมะฮ์ดีย์อย่างไร .. เท่านั้น ..
การเขียนข้อมูลในลักษณะ “ถ่ายทอดให้รับรู้กัน” โดยไม่เกี่ยวและไม่จำเป็นว่า จะต้องไปเชื่อหรือยอมรับข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องปกติของนักวิชาการ, มิใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ...
นักวิชาการชีอะฮ์เป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งเช็คอัต-ตีญานีย์เอง ก็ได้เคยนำเอาข้อมูลของฝ่ายซุนนะฮ์ไป “ถ่ายทอด” ในลักษณะเดียวกันนี้ในตำราของพวกเขา มากมายก่ายกองไปหมด ...
แต่ไม่เคยปรากฏว่า จะมีนักวิชาการซุนนะฮ์คนใด “ถือโอกาส” อย่างน่าเกลียดแบบเช็คอัต-ตีญานีย์ โดยอ้างว่า นักวิชาการชีอะฮ์เหล่านั้น ยอมรับข้อมูลของฝ่ายซุนนะฮ์แล้ว ...
กรณีที่ 2 : (ซึ่งมีแนวโน้มว่า น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในประเด็นนี้)... นั่นก็คือ สิ่งที่นักวิชาการซุนนะฮ์หลายท่าน เคยตั้งข้อสังเกตและ “เปิดโปง” ความทุจริตฉ้อฉลของนักวิชาการชีอะฮ์ ที่ใช้วิธีการสกปรกโสมมในการเผยแพร่แนวความคิดของพวกเขา ด้วยการเขียนตำราชวนเชื่อตามข้อมูลของชีอะฮ์ แต่แอบอ้างว่า ผู้เขียน คือนักวิชาการของซุนนะฮ์ !...
ในกรณีนี้ ฝ่ายชีอะฮ์จะใช้เล่ห์กลหลายรูปแบบ เพื่อบรรลุถึงจุดประสงค์การสร้างความเข้าใจผิดแก่ชาวซุนนะฮ์ทั่วไปที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาทิเช่น ...
--- ตรวจสอบดูว่า ผู้แต่งตำรา หรือผู้รายงานหะดีษที่เชื่อถือได้ของฝ่ายซุนนะฮ์คนใด มีชื่อตัว, ชื่อบิดา, และฉายานาม พ้องกับคนของฝ่ายชีอะฮ์ ... จากนั้น ก็จะถือโอกาสสร้างตำราขึ้นมา, หรืออ้างสายรายงาน “ปลอม” ขึ้นมา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหลักการและผลประโยชน์ของชีอะฮ์ ... เสร็จ แล้วจะมีการระบุชื่อคนของคนที่มีชื่อพ้องกันนั้นเข้าไปเป็นผู้แต่งตำรานั้น, หรือเป็นผู้รายงานหะดีษที่ปลอมแปลงขึ้นมานั้น เพื่อให้ชาวซุนนะฮ์เข้าใจว่า ตำรานั้นๆหรือหะดีษบทนั้นๆ .. ผู้เขียน หรือผู้รายงาน คือนักวิชาการที่เชื่อถือได้ของซุนนะฮ์เอง ...
ตัวอย่างที่หาดูได้ในกรณีนี้ก็คือ ท่านอัซ-ซุดดีย์, ท่านอับดุลลอฮ์ บิน มุสลิม บิน กุตัยบะฮ์, และท่านมุหัมมัด อิบนุ ญะรีรฺ อัฏ-ฏ็อบรีย์ นักอรรถาธิบายอัล-กุรฺอ่าน และนักประวัติศาสตร์ที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูงของฝ่ายซุนนะฮ์ เป็นต้น ...
ทั้งสามท่านนั้น ถูกนักวิชาการชีอะฮ์ที่ “มีนามเหมือนกัน” กับพวกท่าน “สวมรอย” ด้วยการเขียนตำราต่างๆตามความเชื่อของชีอะฮ์ .. แล้วระบุชื่อของผู้เขียน (ซึ่งก็คือชื่อพวกท่าน... แถมบางครั้งยังส่อเจตนาร้ายด้วยการตั้งชื่อหนังสือให้เหมือนกันอีกต่างหาก) ... ทั้งนี้ เพื่อสร้างความสับสนให้ผู้อ่านที่เป็นชาวซุนนะฮ์ .... หลงเข้าใจผิดต่อพวกท่านนักวิชาการเหล่านั้นว่า ไปศรัทธาเลื่อมใสแนวทางของชีอะฮ์ .. .
--- บางครั้ง นักวิชาการชีอะฮ์จะเขียนตำราขึ้นมาเอง – ตามแบบฉบับของชีอะฮ์ -- แต่แอบอ้างชื่ออิหม่ามหรือนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงของฝ่ายซุนนะฮ์ว่าเป็นผู้เขียน .....ทั้งนี้ เพื่อสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดต่อนักวิชาการซุนนะฮ์ว่า อิหม่ามของตน หรือนักวิชาการที่ตนเชื่อถือ เป็นผู้เขียนตำรานั้นจริงๆ ...
นักวิชาการชีอะฮ์คนหนึ่ง ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ “ซิรฺรุ้ล อาลิมีน” ... มีเนื้อหาโจมตีบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัม และหักล้างแนวทางของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ ตามแบบฉบับของชีอะฮ์... แล้วอ้างว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือท่านอิหม่ามมุหัมมัด อัล-ฆอซาลีย์ ..... หรือที่นักวิชาการซุนนะฮ์ทั่วๆไป เรียกกันว่า อิหม่ามฆอซาลีย์ นักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ของชาวซุนนะฮ์ ...
นักเขียนชีอะฮ์อีกคนหนึ่ง ได้เขียนตำราฟิกฮ์ย่อๆขึ้นมาเล่มหนึ่ง, ซึ่งเนื้อหาบางส่วนก็เป็นเรื่องฟิกฮ์ตามความเชื่อของชาวชีอะฮ์ อย่างเช่น อนุญาตให้ผู้เป็นนายของทาสหญิง ร่วมเพศทางทวารหนักของเธอได้, ฯลฯ... เสร็จแล้ว ก็อ้างชื่อของท่านอิหม่ามมาลิก (อิหม่ามมาลิกีย์) ว่า เป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ...
............ฯลฯ ...........
(โปรดดูข้อมูลจากหนังสือ “มุคตะศ็อรฺ ตุหฺฟะติ้ล อิษนัย อะชะรียะฮ์” หน้า 32-34 )
ด็อกเตอร์นาศิรฺ บิน อับดุลลอฮ์ อัล-ก็อฟฟารีย์ ได้เขียนเปิดโปงในหนังสือ “อุศูลุ มัษฮับ อัช-ชีอะฮ์” ของท่านว่า ....
[ وَمِنَ الاَثَارِاْلفِكْرِيَّةِ الَّتِيْ تَرَكَـهَاالْكَيْدُالرَّافِضِيُّ هُوَمَاوَقَعَ بِسَبَبِ قِيَامِ طَائِفَةٍ مِنْ شُيُوْخِهِمْ بِالدُّخُوْلِ فِيْ مَذْهَبِ أَهْلِ السُّنَّةِ فِي الظَّاهِرِ وَتُلَقَّـبُوْابِالْحَنَفِيِّ وَالشَّافِعِيِّ زِيَاَدَةً فِي اْلاِضْلاَلِ، وَأَلَّفُوْا مُصَـنَّفَاتٍ تُؤَيِّدُالْمَذْهَبَ الرَّافِضِيَّ ] .......
“และส่วนหนึ่งจากร่องรอย (ถ้าพูดให้ทันสมัยหน่อยก็ต้องเรียกว่า...มลพิษตกค้าง) แห่งแนวคิดหลอกลวงที่พวกชีอะฮ์หัวรุนแรงได้ละทิ้งเอาไว้ ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากสาเหตุที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งของพวกเขา ได้ปฏิบัติการ “ก้าวล่วงเข้าไปแทรกแซง” ในแนวทางของชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ตามรูปการณ์จากภายนอก .. (หมายถึงการเสแสร้งแสดงตัวกับคนทั่วๆไปว่า เป็นชาวซุนนะฮ์), ... และพวกเขาจะถูกขนานนามว่า เป็นพวกหะนะฟีย์บ้าง, เป็นพวกชาฟิอีย์บ้าง เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้ชาวซุนนะฮ์หลงเชื่อมากยิ่งขึ้น, ต่อจากนั้น พวกเขาก็จะเขียนตำรับตำราต่างๆขึ้นมาสนับสนุนแนวทางของพวกชีอะฮ์ .. (โดยที่ชาวซุนนะฮ์ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงเข้าใจว่า เป็นตำราที่เขียนโดยนักวิชาการชาวซุนนะฮ์)
(จากหนังสือ “อุศูลุ มัษฮับ อัช-ชีอะฮ์” เล่มที่ 3 หน้า 1195) ....
หนังสือต่างๆร่วม 10 เล่มที่เช็คอัต-ตีญานีย์อ้างว่า เป็นตำราของชาวซุนนะฮ์นั้น ก็น่าจะจัดอยู่ในอีหรอบเดียวกับคำกล่าวข้างต้นนี้ ... คือ เขียนโดยนักวิชาการชีอะฮ์ที่สวมรอยแอบอ้างว่า เป็นนักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์ ...
เพราะจริงๆแล้ว คงไม่มีนักวิชาการ “ซุนนะฮ์” คนไหนหรอกที่จะยอมเชื่อว่า ท่านมะฮ์ดีย์ เป็นบุตรของท่านอิหม่ามหะซัน อัล-อัสกะรีย์ ! ...
จะมี ก็เฉพาะพวกชีอะฮ์เท่านั้นแหละที่ยัง “หัวชนฝา” อยู่กับความเชื่อ (ที่ขัดแย้งกับหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ของฝ่ายซุนนะฮ์) ในข้อนี้ ...

อีหม่ามมะดีย์ ตามความเชื่อของชีอะห์ (ตอนที่ 10)



โดย..อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย 
ชี้แจงข้อเขียนเรื่อง “อัล-มะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย” จากหนังสือ “ขออยู่กับผู้สัตย์จริง”.. ของเช็ค อัต-ตีญานีย์ หน้า 338 – 348 ...
อันเนื่องมาจากผมได้สัญญาเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า หากมีเวลาและเนื้อที่พอ ผมจะนำเอาข้อเขียนของท่านเช็คอัต-ตีญานีย์ นักเขียนและนักปรัชญาของชีอะฮ์ท่านหนึ่ง ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องอิหม่ามมะฮ์ดีย์เอาไว้ในหนังสือ “ขออยู่กับผู้สัตย์จริง” มาชี้แจงและทำความเข้าใจกับพี่น้องชาวซุนนะฮ์ ให้ทราบถึงข้อบิดเบือนและการหมกเม็ดจากหนังสือเล่มนั้น ...
ความจริง เนื้อหาต่างๆจากข้อเขียนดังกล่าว มีอยู่หลายประเด็นที่จำเป็นจะต้องชี้แจง แต่อันเนื่องมาจากผมได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของชาวชีอะฮ์ มาโดยละเอียดพอสมควร ซึ่งในการเขียนนี้ บางประเด็น ผมก็ได้ชี้แจงมาแล้วในตอนต้น, และก็มีอยู่หลายประเด็นที่เป็นการหักล้างข้อเขียนของเช็คอัต-ตีญานีย์ผู้นี้โดยปริยายไปในตัว... ในเนื้อหาที่เขียนไปแล้วนั้น ..... จึงเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ผมจะไปมัวชี้แจงสิ่งเหล่านั้นให้เป็นการเสียเวลาอีก ...
ณ ที่นี้ เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาของท่านผู้อ่านจนเกินไป ผมจึงขอหยิบยกข้อเขียนดังกล่าวประมาณ 5 ประเด็น ที่มองว่ามีส่วนเกี่ยวพันหรือบิดเบือนแนวคิดของชาวซุนนะฮ์ในเรื่องอิหม่ามมะฮ์ดีย์มากที่สุด มาชี้แจงและทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านดังต่อไปนี้
(1). มีกล่าวในหน้าที่ 339 ว่า ...
“แม้ว่านักปราชญ์ชีอะฮ์ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เขียนถึงเรื่องอัล-มะฮ์ดีย์กันอย่างมากมายมหาศาล และถึงแม้ว่าพี่น้องซุนนีและชีอะฮ์จะได้ติดต่อกันมากครั้งในที่ประชุมสัมมนาหลายๆที่ และได้มีการสนทนากันถึงเรื่องความเชื่อในด้านต่างๆ แต่ปัญหาก็ยังคงคลุมเครืออยู่ในพวกเขาเป็นส่วนมาก เพราะพวกเขาไม่เคยชินกับการได้ยิน ได้ฟังรายงานบอกเล่าทำนองนี้นั่นเอง”
ชี้แจง.
ข้ออ้างที่ว่า “เพราะพวกเขาไม่เคยชินกับการได้ยินได้ฟังรายงานบอกเล่าทำนองนี้ .......” นั้น อยากจะขอถามว่า ท่านเช็คอัต-ตีญานีย์ เอาข้อมูลจากไหนมาอ้าง ? ...
ไม่ใช่ว่า นักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์คลุมเครือ หรือไม่เคยชินกับการได้ยินรายงานบอกเล่าทำนองนี้, ... อย่างที่เช็คอัต-ตีญานีย์ อ้างอะไรหรอก ...
ความเป็นจริงในเรื่องนี้ก็คือ นักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เคยได้ยิน, ได้ฟังจนหูตาชาไปหมดเกี่ยวกับข้อผิดพลาด, บิดเบือนประวัติศาสตร์, และการใส่ร้ายป้ายสีของชาวชีอะฮ์, ทั้งต่อชาวซุนนะฮ์โดยตรง และต่อบรรพชนที่ชาวซุนนะฮ์เคารพยกย่อง,..
ในการนี้ ฝ่ายชีอะฮ์จะใช้สารพัดวิธี, เช่นการอ้างเอาหลักฐานข้อมูลของฝ่ายซุนนะฮ์ --- ทั้งที่ฝ่ายซุนนะฮ์ถือว่า ถูกต้องและไม่ถูกต้อง --- มาอ้างอิง แล้วสร้างคำอธิบายเอาเองอย่างข้างๆคูๆ เพื่อสนับสนุนความเชื่อของตนโดยไม่เคยคำนึงถึงกฎกติกาใดๆทั้งสิ้น ...
นักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์บางท่าน อาทิเช่น ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ เป็นต้น, ได้เคยเขียนชี้แจงข้อผิดพลาดและความ “อวิชา” ของนักวิชาการชีอะฮ์ เกี่ยวกับสถานภาพหะดีษหรือข้อมูลของซุนนะฮ์ที่ฝ่ายชีอะฮ์นำไปอ้าง,.... ตลอดจนชี้แจงข้อบิดเบือนของชีอะฮ์ในการอธิบายความหมายหะดีษที่ฝ่ายซุนนะฮ์ถือว่า ถูกต้อง ... ในหนังสือชื่อ “มินฮาจญ์ อัซ-ซุนนะฮ์” อย่างละเอียดในทุกแง่มุมของปัญหาขัดแย้งระหว่างซุนหนี่-ชีอะฮ์ ...
แต่การชี้แจงข้อเท็จจริงเหล่านั้น ถามว่า, เคยได้รับความสนใจไยดี, และการสนองตอบจากฝ่ายชีอะฮ์แม้เพียงกะผีกริ้น .... บ้างหรือไม่ ? ...
คำตอบก็คือ ... ไม่เคยเลย ! ...
นักวิชาการชีอะฮ์ ยังคงอาศัยหะดีษซึ่งฝ่ายซุนนะฮ์ถือว่า “เฎาะอีฟ” .... หรือยิ่งกว่านั้น หะดีษที่ฝ่ายซุนนะฮ์ถือว่าเป็น “หะดีษเก๊” ... มาอ้างอิงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อหลอกลวงชาวซุนนะฮ์ที่ “ขาดความรู้ความเข้าใจ” ในวิชาการหะดีษของตนเอง .. (ซึ่งแน่ละ, มีจำนวนมากกว่าผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างเทียบกันไม่ได้) .. ต่อไป อย่าง -- ขอโทษ -- หน้าด้าน, ... และปราศจากความละอายใจแม้แต่น้อย ...
คงจะถือสุภาษิตประภทที่ว่า “ด้านได้, - อายอด (แนวร่วม)” นั่นเอง ...
ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอก, ดูเรื่องของอิหม่ามมะฮ์ดีย์ที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้เป็นตัวอย่างก็ได้ ...
นักเขียนชีอะฮ์ในประเทศไทยบางคน, ได้อ้างหลักฐานบางข้อซึ่ง “เป็นข้อมูลของชีอะฮ์แท้ๆ” แต่มากล่าวอ้างหน้าตาเฉยว่า เป็นข้อมูลจากฝ่ายซุนนะฮ์ (เพื่อหลอกชาวซุนนะฮ์ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ให้เข้าใจผิด) .. ดังตัวอย่างที่ผมได้นำเสนอผ่านไปแล้วตอนต้น ...
แม้กระทั่งเช็คอัต-ตีญานีย์เองก็เถอะ, ยังอ้างหะดีษจากรายงานของท่านอบูดาวูดที่ว่า อิหม่ามมะฮ์ดีย์ มีนามจริงว่า “มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮ์” และยอมรับอีกด้วยว่า หะดีษดังกล่าว เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์.. ตรงกันทั้งฝ่ายซุนนะฮ์และฝ่ายชีอะฮ์ ...
แต่ไปๆมาๆ ดันกลับลำหน้าตาเฉย โดยกล่าวว่า ชื่อของท่านมะฮ์ดีย์ คือ มุหัมมัด บิน หะซัน อัล-อัสกะรีย์ ตามความเชื่อของชีอะฮ์ (ซึ่งก็คงจะไม่ใช่หะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ เพราะมีเนื้อหาค้านกับหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์บทก่อนที่ท่านเช็คฯเองก็รับรองไว้แล้ว) ...
มิหนำซ้ำ ยังกล่าวประณามผู้ที่เชื่อตามหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์บทนั้นเสียอีกว่า เป็นคน “ตะอัศศุบ” (ฝักใฝ่อย่างมีอคติ) และดื้อดึง ...
แล้วอย่างนี้ ก็อยากจะขอถามสักหน่อยว่า ชาวซุนนะฮ์มีความคลุมเครือในปัญหา ... หรือชีอะฮ์กันแน่ที่พยายามสร้างความสับสนและคลุมเครือให้เกิดเป็นปัญหาขึ้น เพื่อหลอกลวงชาวซุนนะฮ์จำนวนมากที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการของตนเอง ? ...