อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การแต่งงานพร้อมกันหลายคู่


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

อัสลามูอาลัยกุม อาจารย์ ดิฉันอยากทราบว่า การแต่งงาน ในอิสลาม หากทำพร้อมกันหลายคู่(นิกะฮ์+วาลีมะฮ์) ได้ไหมค่ะ

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม .. ผมไม่เคยเจอข้อห้ามในเรื่องนี้เลยครับ และอีกอย่างเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอาดะฮ์ ไม่ใช่อิบาดะฮ์ เพราะฉะนั้น การนิกาห์และการทำวะลีมะฮ์ในลักษณะนี้ - หากมีผู้ปฏิบัติจริง - ก็ไม่น่าจะมีปัญหาครับ อินชาอัลลอฮ์ .....


การออกกำลังกายของมุสลีมะฮ์ในที่สาธารณะ


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

อัสลามูอาลัยกุม อาารย์ พอดี ตอนนี้ทางรัฐบาล ให้มีการออกกำลังกาย และจะมีการออกกำลังกาย ในบริเวณกว้างร่วมกันพร้อมๆกัน รวมถึงการเต้นแอโรบิคด้วย ดิฉันอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำการเข้าร่วมการออกกำลังกายที่เหมาะของมุสลีมะฮ์ด้วย ค่ะ

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม ...

มุสลิมะฮ์ไม่มีสิทธิ์ไป "ร่วม" ออกกำลังกายด้วยการแต่งกายอย่างนั้น, ในสถานที่กลางแจ้งอย่างนั้น, ด้วยอริยาบถหรือท่าทางอย่างนั้นได้หรอกครับ

 แต่อิสลามก็ไม่ได้ห้ามมุสลิมะฮ์จากการออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพตัวเอง

 เพราะฉะนั้น สถานที่ออกกำลังกายที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับมุสลิมะฮ์ก็คือในห้องภายในบ้านของนางเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้องส่วนตัวของนางเองก็จะดีที่สุดครับ

 วัลลอฮุ อะอฺลัม ...



วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปัญหาการขายอาหารให้คนพุทธนำไปใส่บาตร


ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ...

หลังจากผมนำคำตอบเรื่อง "การขายอาหารให้คนพุทธนำไปใส่บาตร" ลงในเฟส ก็มีผู้หวังดีหลายท่านส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการใส่บาตรหรือการตักบาตรของชาวพุทธมาให้ผมพิจารณา ซึ่งผมก็ขอขอบคุณในความหวังดีของทุกท่านอย่างจริงใจมา ณ ที่นี้ครับ ...

ก่อนอื่น ขอเรียนว่า คำตอบของผมที่ว่า อนุญาตให้มุสลิม "ขาย" อาหารแก่คนพุทธเพื่อนำไปใส่บาตรได้นั้น ไม่ได้มีความหมายว่า อนุญาตให้มุสลิม "ใส่บาตร" ให้พระภิกษุได้ด้วย .. ดังที่บางคนนำไปพูดกันแพร่หลายขณะนี้ ซึ่งผมถือว่าผู้พูดมีเจตนาบิดเบือนข้อเขียนของผม ..
คงไม่ต้องถึงขั้นให้ผมท้าสาบานอีกนะว่า ผมไม่มีความคิดอย่างนั้นแม้เพียงกะผีกริ้นอยู่ในหัวใจ ...
เพราะกรณีการใส่บาตรให้พระภิกษุนี้ อย่าว่าแต่จะฟัตวาลงในเฟสว่าทำได้เลย แค่คิดผมก็ไม่เคยคิดจะอนุญาตให้มุสลิมคนใดกระทำด้วยซ้ำ ...

ยอมรับว่า คำตอบที่ผมตอบไปแล้วนั้น อาจหละหลวมหรือไม่ครอบคลุมไปนิดเพราะตั้งอยู่บนความเข้าใจ - ซึ่งก็คงเหมือนกับมุสลิมจำนวนมากที่เข้าใจ - ว่า เจตนารมณ์ของชาวพุทธในการใส่บาตรก็คือ การบริจาคอาหารให้พระภิกษุที่มาขอบริจาคอาหาร เพื่อนำไปรับประทานดำรงชีวิตเท่านั้น ไม่มีพิธีกรรมหรือความเชื่ออื่นใดนอกเหนือไปกว่านั้นเข้ามาร่วมด้วย ...
ผมจึงตอบไปว่า การขายอาหารให้ชาวพุทธในกรณีดังกล่าว ไม่ถือว่าขัดต่อหลักอะกีดะฮ์ของเราแต่ประการใด ...

คำตอบนี้ แม้จะไม่ผิด แต่ก็ไม่ครอบคลุมอย่างที่บอกแล้ว ..
ที่ผมไม่เน้นกับคำว่า "ใส่บาตร" อันเป็น "ภาษา" ของคนไทยพุทธโดยเฉพาะดังการท้วงติงของบางคน ก็เพราะผมอธิบายไปแล้วว่า การใส่บาตรหรือตักบาตรก็คือ การที่ชาวพุทธ - ไม่ว่าอาศัยอยู่ในประเทศใดในโลก - นำอาหารมามอบให้แก่พระสงฆ์ ด้วยการใส่ให้ในภาชนะ (บาตร)ที่พระสงฆ์นำมา ขณะที่ชาวพุทธประเทศอื่นจะไม่เรียกการให้อาหารพระสงฆ์ในลักษณะนี้ว่า "การใส่บาตร" เหมือนที่คนไทยพุทธเรียกแน่นอน ...

คำว่า "ตักบาตร" หรือ "ใส่บาตร" จึงเป็นเพียงวิวัฒนาการด้านภาษาของคนไทยเราเท่านั้น ไม่ใช่เป็นภาษาสากลของชาวพุทธทั้งโลก ...
ผมจึงให้ความสำคัญกับ "วิธี" การให้อาหารพระ มากกว่าให้ความสำคัญกับ "ภาษาศาสนา" ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามภาษาพูดของชาวพุทธแต่ละประเทศดังที่อธิบายมาแล้ว ...
อีกอย่างหนึ่ง เรื่อง"วิธีการให้" นี้ แม้กระทั่งตามหลักการศาสนาอิสลามของเราเอง ก็ไม่ได้จำกัดไว้เลยว่า "ให้" วิธีไหนใช้ได้ และ "ให้" วิธีไหนใช้ไม่ได้ ..
.
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้ให้จะยื่นให้, จะโยนให้, จะวางไว้ให้ผู้รับมาหยิบเอาไปเอง หรือเอาไปใส่ในภาชนะที่ผู้ขอนำมา ก็ไม่ถือว่าผิดหลัก "การให้" ตามบัญญัติอิสลามข้อไหน ...
ขอเล่านิทานจริงสั้นๆเรื่องหนึ่งให้ฟัง ...

ขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้น ป. 3 ป. 4 คุณพ่อและคุณแม่ของผมขายอาหารในเรือโดยสารขนาดกลางที่วิ่งระหว่างสงขลาและหัวไทรประจำทุกวัน ...

วันเสาร์และวันอาทิตย์ ผมจะติดตามท่านไปช่วยเสิร์ฟอาหารให้แก่ลูกค้าในเรือ รวมทั้งเก็บถ้วยจานมาล้างด้วย ..

เช้าวันหนึ่ง พระภิกษุรูปหนึ่งให้คนมาสั่งอาหารและให้ผมนำไปให้ท่าน ..
พอนำอาหารไปถึง ผมก็วางอาหารนั้นไว้ข้างหน้าของท่าน แต่ท่านไม่ยอมรับ ...

คนไทยพุทธที่เป็นคนมาสั่งอาหารบอกว่า "ประเคนให้ท่านซิ หนู"
ผมงงเพราะไม่เข้าใจคำว่าประเคน คนไทยพุทธคนนั้นจึงอธิบายว่า "ก็ส่งมันให้ถึงมือท่านซิ" ...

ผมจึงประเคน .. คือยื่นจานข้าวให้จนถึงมือพระภิกษุรูปนั้น ...

สรุปว่า "ประเคน" กับ"ใส่บาตร" ก็มีความหมายคล้ายๆกันในทางศาสนาพุทธ คำแรกหมายถึงส่งอาหารให้ถึงมือพระภิกษุ คำที่สองหมายถึงเอาอาหารใส่ในบาตรให้พระภิกษุ ...

ดังนั้น ถ้าจะเอาเป็นเอาตายกับภาษา การที่ผมยื่นอาหารให้ถึงมือพระในวันนั้น คงต้องมีปัญหาแน่นอน ...
ถ้าเราเรียกการกระทำของผมวันนั้นว่า "ยื่นอาหารให้พระ" ก็คงทำได้ เพราะการซื้อขายตามปกติไม่ว่าผู้ซื้อเป็นใคร เราก็ส่งให้ด้วยวิธีนี้อยู่แล้ว ...

แต่ถ้าเราเรียกการยื่นอาหารให้ถึงมือพระภิกษุวันนั้นว่า "ประเคนให้" ก็คงทำไม่ได้ เพราะ "ประเคน" เป็นภาษาศาสนาพุทธเหมือนกับคำว่า ใส่บาตร ...

ตกลง ทุกอย่างจึงมาติดชะงักอยู่ที่ "ภาษา" แทนที่จะคำนึงถึงข้อเท็จจริงของการกระทำว่าเป็นการกระทำอย่างเดียวกันที่ตามปกติก็ไม่ได้ขัดหลักการศาสนาอิสลามแต่ประการใด ...

ขอวกกลับมาพูดเรื่องข้อมูลที่มีผู้ส่งมาให้ผมอีกครั้ง ...

จากข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเรื่องการใส่บาตรที่ผู้หวังดีส่งมา ทำให้ได้รับรู้ว่า บางครั้งการตักบาตรหรือใส่บาตร มีอะไรหลายอย่างมากกว่าที่ผมเคยเข้าใจ ซึ่งทำให้ผมต้องพิจารณาคำตอบของผมในเรื่องนี้ใหม่ ...

ก่อนอื่น โปรดอ่านข้อมูลหนึ่งที่มาจากชาวพุทธเอง ดังนี้ ...

การตักบาตร คือประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธปฏิบัติกันมาแต่สมัยพุทธกาล พระภิกษุจะถือบาตรออกบิณฑบาตเพื่อรับอาหารหรือทานอื่นๆ ตามหมู่บ้านในเวลาเช้า ผู้คนที่ออกมาตักบาตรจะนำของทำทานต่างๆ เช่น ข้าว อาหารแห้ง มาถวายพระ
ประเพณีนี้ชาวพุทธถือกันว่าเป็นการสร้างกุศล และถือว่าเป็นการแผ่ส่วนกุศลให้กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย โดยเชื่อกันว่าอาหารที่ถวายไปนั้นจะส่งถึงญาติผู้ล่วงลับด้วยเช่นกัน
วิธีการตักบาตร
การตักบาตรโดยทั่วไป
ผู้คนที่นำของที่เอามาตักบาตรจะยืนรออยู่ตรงทางที่พระภิกษุเดินผ่าน ส่วนมากของที่ผู้คนใช้นิยมตักบาตรเป็นหลักคือข้าว โดยก่อนที่พระภิกษุเดินทางมาถึงจะมีการนำถ้วยข้าวจบที่ศีรษะแล้วอธิษฐาน เมื่อพระภิกษุเดินทางมาถึงพระภิกษุจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนที่จะตักบาตรแล้วเปิดฝาบาตร ก่อนที่จะตักบาตรคนที่ตักบาตรจะต้องถอดรองเท้าก่อน จากนั้นคนที่ตักบาตรจะนำทานที่ตนมีถวายพระ เมื่อให้เสร็จแล้วพระจะให้พร คนที่ตักบาตรประนมมือรับพร (โดยปกติแล้วจะนิยมคุกเข่าหรือนั่งยองๆ ประนมมือ ซึ่งผิดตามพระธรรมวินัย เพราะจะทำให้พระอาบัติ) ขณะที่ให้พรคนที่ตักบาตรอาจจะมีการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับ (การกรวดน้ำนั้นอาจจะทำขณะที่พระให้พรหรือหลังจากการตักบาตรเสร็จสิ้นก็ได้) หลังจากที่พระภิกษุให้พรแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี ...

หมายเหตุ
จากคำอธิบายข้างต้นทำให้พอจะมองเห็นได้ว่า ตามข้อเท็จจริงแล้ว การตักบาตรในสมัยพุทธกาล มีเป้าหมายเพียงการให้อาหารแก่พระภิกษุเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น เพราะพระภิกษุไม่สามารถเก็บอาหารไว้รับประทานข้ามคืนได้ และไม่สามารถหุงหาอาหารเองได้ ...
ส่วนภาคปฏิบัติหรือความเชื่ออื่นๆ เช่นเชื่อว่า อาหารที่ใส่บาตรไปจะถึงไปยังวิญญาณผู้ตายก็ดี, การจบอาหารบนศีรษะก่อนจะใส่บาตรก็ดี, การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลขณะพระสงฆ์กำลังให้พรหรือหลังจากให้พรก็ดี มิใช่เป็นบทบัญญัติหรือคำสอนทางศาสนาพุทธ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความเชื่อและประเพณีปฏิบัติของชาวพุทธยุคหลังๆทั้งสิ้น ...

สรุปจากข้อมูลข้างต้น ...
1. การตักบาตร เป็น "ประเพณี" อย่างหนึ่งของชาวพุทธ
2. การตักบาตร ชาวพุทธถือว่าเป็นการแผ่ส่วนกุศลให้กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
3. ชาวพุทธเชื่อกันว่า อาหารที่ถวายไปนั้นจะส่งถึงญาติผู้ล่วงลับด้วย
4. ผู้ใส่บาตรจะนำถ้วยข้าวจบที่ศีรษะแล้วอธิษฐาน
5. พระภิกษุจะให้พรคนที่ใส่บาตรให้
6. ขณะที่พระภิกษุให้พรหรือหลังจากให้พร คนที่ตักบาตรอาจจะมีการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับ .
..
จากผลสรุป 6 ประการข้างต้น ประการแรกก็เป็นที่รับรู้กันโดยปราศจากข้อขัดแย้งว่า การใส่บาตรนั้น เป็นประเพณีปฏิบัติของชาวพุทธ ซึ่งคงไม่มีมุสลิมที่เข้าใจศาสนาคนใดลอกเลียนแบบไปปฏิบัติแน่นอน เพราะการลอกเลียนแบบพิธีกรรมเฉพาะของศาสนาอื่น เป็นสิ่งที่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวห้าม ...

ข้อสอง - คือการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย - ก็ไม่ใช่ปัญหาเท่าไร เพราะมุสลิมเราเองก็ยังมีเยอะแยะที่เลี้ยงอาหารเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ผู้ตาย ...

เพราะถ้าเราขายอาหารให้คนพุทธไปใส่บาตรไม่ได้ด้วยเหตุผลข้อนี้ เราก็ขายอาหารให้มุสลิมที่ซื้ออาหารไปเลี้ยงเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนตายไม่ได้ ด้วยเหตุผลข้อเดียวกัน ...
ส่วนข้อห้า คือภิกษุผู้รับอาหารอวยพรให้แก่ผู้ให้ อันนี้ก็ไม่แตกต่างจากมุสลิมเราที่ผู้รับเลี้ยงอาหาร ขอดุอาให้แก่ผู้เลี้ยงอาหารเราเช่นเดียวกัน .
..
แต่ที่ผมติดใจมากที่สุดก็คือ ข้อ 3, ข้อ 4 และข้อ 6
....
เพราะทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นทั้ง "ภาคปฏิบัติ" และ "ความเชื่อ" (อะกีดะฮ์) ที่ขัดต่อหลักการอิสลามทั้งสิ้น ...
เพราะฉะนั้น ผมจึงขอเพิ่มเติมคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
...
(1). ถ้าชาวพุทธที่ซื้ออาหารไป นำอาหารนั้นไปให้แก่พระภิกษุด้วยการใส่บาตร เพื่อให้นำไปรับประทาน(ฉัน)เป็นการประทังชีพอย่างเดียว โดยไม่มีความเชื่อและภาคปฏิบัติที่ค้านต่อหลักการอิสลามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในขณะใส่บาตร ผมก็ยังยืนยันคำตอบเดิมว่า เราขายอาหารให้เขาให้ได้ครับ เพราะถือว่า การขายให้ในลักษณะนี้และการปฏิบัติของเขาในลักษณะนี้ไม่มีข้อใดค้านต่อบทบัญญัติของเรา ..

(2). ในกรณีที่ผู้ขายอาหารมั่นใจหรือรู้แน่ชัดว่า ชาวพุทธที่ซื้ออาหารไปเพื่อใส่บาตรให้พระภิกษุนั้น มีการปฏิบัติหรือมีความเชื่อหรือดังข้างต้น เช่นเชื่อว่า อาหารที่ใส่บาตรไปนั้นจะถึงไปยังวิญญาณญาติพี่น้องที่ตายด้วย, หรือก่อนจะใส่บาตร เขาจะเอาอาหารนั้นวางจบบนศีรษะแล้วอธิษฐาน หรือขณะพระภิกษุให้พร ผู้ใส่บาตรจะกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับ ...
อย่างนี้ ผมเห็นว่า เราจะขายอาหารให้ไม่ได้ .. เหมือนที่ผมอธิบายไปแล้วว่า เราจะขายเป็ดไก่ให้แก่ผู้ที่เรารู้ชัดเจนแล้วว่าจะนำไปเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษหรือบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ เพราะการขายให้ไปเท่ากับเราส่งเสริมหรือสนับสนุนสิ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติของอิสลาม ...

(3). ในกรณีผู้ขายอาหารรู้เพียงว่า ผู้ซื้อนำไปใส่บาตรให้พระภิกษุ แต่ไม่ทราบว่า ผู้ซื้อจะมีการปฏิบัติหรือมีความเชื่อที่ขัดต่อบทบัญญัติของอิสลามตามข้อใดข้อหนึ่งจาก 3 ข้อนั้นในตอนใส่บาตรหรือไม่ ตามหลักการแล้ว อนุญาตให้ขายให้ได้ เพราะอิสลามไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ขายไปกำหนดเงื่อนไขหรือรับรู้ว่า สิ่งที่เราขายไปนั้น ผู้ซื้อจะนำไปทำอะไร, ลักษณะใดบ้าง
(4). แต่ถ้าเราค่อนข้างมั่นใจ, สงสัย หรือเกรงว่า ผู้ซื้อจะมีการปฏิบัติข้อใดข้อหนึ่งจาก 3 ประการนั้น ทางที่ดีเราก็ควรระงับจากการขายให้ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการกระทำสิ่งชุบฮาต (คือสงสัยหรือคลุมเคลือว่าทำได้หรือไม่) ดังคำสั่งของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ..
ผมเองไม่ใช่คนแถ, รั้น, หรือเชื่อมั่นตัวเองสูงจนไม่รับฟังคำแนะนำของใคร ถ้าพิจารณาเห็นว่า คำแนะนำนั้นมีประโยชน์และถูกต้อง ผมก็ยินดีและพร้อมที่จะรับไปปฏิบัติทันทีครับ ...

วัลลอฮุ อะอฺลัม ...





มุสลิมนำอาหารใส่บาตรให้พระ ขณะพระกำลังออกบิณฑบาต



ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม

อัสลามูอาลัยกุม อาจารย์ ค่ะ
มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับกรณีมุสลิมกับคนต่างศาสนิก ที่เขาทำกัน ไม่ทราบว่าทำได้หรือเปล่า จึงอยากถามอาจารย์ให้แน่ใจค่ะ คือ
1. กรณีที่พระกำลังออกบิณฑบาต มีมุสลิมนำอาหารใส่ลงบาตรให้พระ, กรณีขึ้นรถทัวร์ โดยนั่งใกล้กับพระ เลยให้น้ำอาหารพระ และกรณีแม่เคยนับถือศาสนาอิสลาม แต่เมื่อเลิกกับสามีที่เป็นมุสลิม เลยกลับมานับถือศาสนาพุทธเหมือนเดิม แต่ลูกยังนับถือศาสนาอิสลาม ขณะที่แม่กำลังบวชชีอยู่ที่วัด ลูกได้นำอาหารเครื่องดื่มไปให้แม่
2. ผู้อำนวยการ แห่งหนึ่งเป็นมุสลิม ทางมหาลัยมีการทำพีธีสักการะรูปปั้นในมหาลัย ผู้อำนวยการร่วมไหว้รูปปั้นนั้นด้วย แต่ไม่ได้มีใจศรัทธารูปปั้นนั้นแต่อย่างใด แต่ในฐานะผู้อำนวยการ เพื่อให้เห็นว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่แบ่งแยก
3. ทางสถานที่แห่งหนึ่งมีการทำพิธีประดิษฐานและบวงสรวง รูปปั้น โดยทำพิธีพราหมณ์ และเต็นท์หนึ่งก็มีพระทำพิธีทางพุทธ และอีกเต็นท์หนึ่งมีพิธีอิสลามโต๊ะลาแบได้ขอพรดุอาอ์ อ่านยาซีน รับประทานอาหารพร้อมซอง
4.มีการทำพิธีทำบุญกุโบร์ (อีซีกุโบร์) ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี และตรงกับชาวพุทธที่ทำพิธีอุทิศให้กับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว เมื่อชาวมุสลิมทำบุญกูโบร์ ชาวพุทธในหมู่บ้านก็มาร่วมรับประทานอาหาร และเมื่อชาวพุทธทำบุญ มุสลิมก็ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน มีความรักสมัคคีกันช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างชาวพุทธและมุสลิมในหมู่บ้านนั้น


ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม ..
ปัญหาของคุณที่ถามมาข้างต้น ผมขอตอบในภาพรวมว่า ที่อิสลามไม่ห้ามและสามารถปฏิบัติได้ก็คืิอ การนั่งในรถทัวร์, รถไฟ หรือเครื่องบินใกล้พระสงฆ์แล้วสนทนากัน, การให้น้ำดื่มแก่พระสงฆ์, ลูกนำอาหารไปให้แม่ที่บวชชีอยู่ ..
อื่นจากสามประการนี้ เป็นพิธีกรรม "เฉพาะ" ของศาสนิกอื่นเขา ไม่มีปรากฏใน
แบบอย่างของอิสลามอันบริสุทธิ์ จึงไม่ใช่กิจการที่มุสลิมผู้ศรัทธาที่แท้จริง จะเข้าไปร่วมแจมกับพวกเขาด้วยประการทั้งปวงครับ ..
วัลลอฮุ อะอฺลัม ..




เปลี่ยนแปลง "วิธีการ" ในการเผยแพร่ หรือเปลี่ยนแปลง "หลักการ" และอุดมการณ์


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

อาจารย์ ค่ะ อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรกับคำพูดของอาจารย์มุรีด เป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือไม่ อาจารย์เห็นด้วยไหม
จากเว็บ http://mtoday.co.th/?modules=article&id=4538 

คำพูดอาจารย์มุรีดมีดังนี้ค่ะ
 "ผมเองก็ยอมรับ (พูดสร้างความขัดแย้ง) ด้วยความเป็นคนหนุ่ม มีความรู้สึกว่า มีวิชาการ รู้ว่า ฮาดิษซอเหี้ยะไม่ซอเหี้ย ถ้าไม่ตามก็หลงทาง ก็อยากจะใช้วิชาการบอกผู้คน ก็ดำเนินมาคตลอด แต่มาเข้าใจว่า ไม่ประสบความสำเร็จ พูดเลยว่า ไม่ประสบความสำเร็จ" มูริด กล่าว พร้อมขยายความว่า เดินทางไปพูดที่ภาคใต้มานับ 10 ปี พูดเรื่องบิดอะห์ ซุนนะห์ มาตลอด ไม่มีจังหวัดที่ไม่ได้เดินทางไป ในป่าในเขาไปหมด

"ไปพูดที่ไหนมัสยิดแยกกัน สามีภรรยาหย่ากัน พูดที่ไหนมัสยิดแตกที่นั่น คนมาฟัง เป็นพันเป็นหมื่น พูดเอามัน ตอนเช้าคนก็เอาไปพูดในร้านน้ำชาให้คนฟังว่า ต้องซุนนะห์ แต่สุดท้าย คนคนที่พูดเรื่องซุนนะห์ ลูกสาวท้องก่อนแต่ง ปรากฎว่า นอกจากเรื่องบิดอะห์ เรื่องอื่นเละเทะหมด เละเทะกว่ากลุ่มที่เราไปด่า เขาว่าบิดอะห์เสียอีกคนที่ไปพูดในร้านน้ำชา เรื่องซุนนะห์ ที่บ้านเมียไม่คลุมฮิญาบ ลูกสาวไม่คลุมฮิญาบ อยู่บ้านดูละคร 3,5,7,9 เขาแทบไม่ผิด ผิด เรื่อง 3 วัน 7 วัน เรื่อง เมาลิด ที่เราไปด่าเขา แต่ยามาอะห์ตับลีก เราไปด่าเขา เขาไม่ผิดเลย ผิดแต่เรื่อง 3 วัน 7 วัน เรื่องเมาลิด" มูริด กล่าว

เขา กล่าวว่า การเน้นเรื่องบิดอะห์ เรื่องอื่นคนไม่รู้ ไม่ซึมซับความอิคลาส ไม่รู้เรื่องฮาลาล-ฮารอมด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าหวนกลับไปได้ จะไม่ทำแบบเดิมอีก จะเปลี่ยนแนวทางใหม่ อาจารย์ท่านอื่น เขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว คนที่สอนเยาวชนเขาก้าวไปไกลแล้ว ดร.อิสมาแอล ลุตฟี จะปะกียา เขาสอนแบบไหน เขาไปไกล แต่คนด่าบิดอะห์ไม่ไปไหน ยังย่ำอยู่กับที่ คนไม่ฟังแล้ว เพราะเขารู้แล้ว เขาไม่ทำแล้ว ที่ทำอยู่เป็นสิ่งปลีกย่อย ที่เขาไม่รู้จริงๆ จึงบอกได้ว่า แนวทางนี้ ไม่ประสบความสำเร็จ

"บริบทของคนแตกต่างกัน บางคนอยู่ป่าอยู่เขา ตัดยาง บางคนออกประมง ไม่รู้เรื่องอะไร บางคนมาฟัง เราไปด่าว่า เขาเป็นชาวนรก ทำแบบนี้ลงนรก เขาบอกเขาชั่วแล้ว อยู่ในนรกแล้ว ก็ไม่มาฟัง มาฟังครั้งแรก เราบอกเป้นชาวนรก ต่อไปไม่มาฟังแล้ว การดะวะห์ตามแนวทางรอซูลลุลเลาะฮ์ ดีอยู่แล้ว คนไม่เหมือนกัน คนกรุงเทพฯ ไม่เหมือนคนภาคใต้ คนมลายู ก็ไม่เหมือนคนที่อื่น" มูริด กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ไม่เคยเปลี่ยนจุดยืน ยังเห็นว่า การจัดเมาลิด การทำบุญ 3 วัน 7 วงัน ยังผิดหลักการเหมือนเดิม แต่วิธีการคนละวิธีการ"มูริด กล่าวในที่สุด-Mtoday


ตอบ

ถ้าการเปลี่ยนแปลงที่ อ. พูด หมายถึงการเปลี่ยนแปลง "วิธีการ" เผยแพร่จากความก้าวร้าวมาเป็นความสุภาพนิ่มนวลขึ้น ผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีทั้งแก่ตัวอ .เองและแก่ตัวผู้ฟัง และผมเองก็ได้ใช้วิธีการนี้มานานแล้ว ...
 คำขวัญของชมรมมุสลิมสันพันธ์ภาคใต้ที่ว่า "ادع إلى سبيل ربك بالحكمة والموعظة الحسنة" ก็มาจากผม,
 การเตือนสติน้องๆหรือลูกๆจากมหาลัยมะดีนะฮ์และมหาลัยอื่นๆที่ไปขอคำแนะนำปรึกษาด้วยคำแนะนำที่ว่า "จงเรียนมาเพื่อจะสอนคน แต่อย่าเรียนมาเพื่อจะด่าคน" ก็เป็นคำเตือนของผม,
 หรือประโยคที่ว่า "จงยืนหยัดในหลักการ แต่จงนิ่มนวลในวิธีการ" ก็เป็นสิ่งที่ผมเคยเตือนใจพวกนักเรียนเหล่านี้มาแล้วทั้งนั้น ...
 เพราะฉะนั้น ถ้าสิ่งที่ อ. เปลี่ยนแปลงคือ "วิธีการ" ในการเผยแพร่อย่าให้รุนแรงก้าวร้าวเหมือนเดิม ผมก็ขอสนับสนุนและเห็นดีด้วย ...

แต่สิ่งที่ผมกลัวว่า อ.จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย คือ "หลักการ" และ "อุดมการณ์" ครับ ซึ่งถ้าหากเป็นจริงดังที่่อดีตแฟนคลับของ อ.บางคนพูดกัน ผมก็ขอบอกตรงๆว่า เสียใจและเสียดายครับ ...







วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แพทย์ชายทำคลอด


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม

อาจราย์ค่ะ  กรณีเราคลอดบุตรที่โรงพยาบาล บ้างครั้งก็ต้องทำคลอดกับหมอชาย และไม่อาจเลือกหมอได้ กรณีข้างต้นถือเป็นความฉุกเฉิน จะทำให้อนุโลมสิ่งต้องห้ามได้ใช่หรือไม่ค่ะ

ตอบ

ถ้าหาแพทย์ทำคลอดที่เป็นสตรีไม่ได้จริงๆก็อนุโลมครับ แต่ควรจะให้สามีขออนุญาตเข้าไปร่วมอยู่ในห้องคลอดด้วยครับ ..


วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การเข้าห้องน้ำโดยปราศจากนุ้งผ้าขาวม้า



ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ตอบคำถามคุณ Mareeyah Si‎

อัสลามมูอาลัยกุม ค่ะ อาจารย์
ดิฉันมีคำถาม พอดีไปอ่านเจอหะดิษบทหนึ่งระบุว่า "ผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์ เขาจงเข้าห้องน้ำโดยมีผ้านุ่ง" บันทึกโดย อันนะซาอีย์ ดิฉันอยากทราบ ตามหะดิษหมายความว่าอย่างไร สถานะหะดิษเศาะฮีห์หรือไม่ ค่ะ

ตอบ .. วะอลัยกุมุสสลามครับ ...
หะดีษเรื่อง اَلْحَمَّامُ หรือ "ห้องอาบน้ำ" เท่าที่ผมตรวจสอบดูแล้ว มีบันทึกอยู่ในตำราหะดีษหลายเล่ม, หลากหลายสำนวนและหลายเนื้อหา, โดยรายงานมาจากเศาะหาบะฮ์หลายท่าน .. มีทั้งสายรายงานที่หะซันและสายรายงานที่เฎาะอีฟ ...

ผมคงไม่วิเคราะห์สถานภาพของหะดีษเหล่านั้นทั้งหมดและความหมายของมันลงตอบในเฟส เพราะจะยืดยาวเกินไป แต่จะขอ "สรุป" เนื้อหาของมันตามที่บรรดานักวิชาการได้กล่าวไว้แล้วดังต่อไปนี้ ...

(1). หะดีษที่คุณอ้างถึง เป็นหะดีษซึ่งถูกบันทึกโดยท่านอัน-นซาอีย์ หะดีษที่ 399, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 2953. ท่านอะห์มัด เล่มที่ 3 หน้า 339, ท่านอัล-หากิม เล่มที่ 4 หน้า 288 .. โดยรายงานมาจากท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ....
สถานภาพหะดีษบทนี้ เป็นหะดีษหะซัน ...

(2). จุดประสงค์ของคำว่า "اَلْحَمَّامُ" หรือ "ห้องอาบน้ำ" ที่ห้ามเข้าไปใช้โดยปราศจากผ้าขาวม้าในหะดีษบทนี้หรือบทอื่น มิได้หมายถึงห้องน้ำส่วนตัวที่มีแทบทุกบ้านในปัจจุบัน ...
แต่หมายถึง "ห้องอาบน้ำสาธาณะ" หรือ "ห้องอาบน้ำรวม" สมัยก่อนที่มีคนเข้าไปอาบน้ำร่วมกัน คราวเดียวกัน ทีละหลายคน ...
เพราะห้องอาบน้ำสาธารณะดังกล่าว ผู้อาบน้ำทุกคนสามารถมองเห็นเอาเราะฮ์(สิ่งควรสงวน)ของกันและกันได้ ถ้าไม่มีอะไรปกปิด เพราะฉะนั้นอิสลามจึงกำหนดว่า การเข้าห้องอาบน้ำดังกล่าวจะต้องนำผ้าขาวม้าหรือผ้าอะไรก็ได้ ติดตัวเข้าไปด้วยเพื่อปกปิดเอาเราะฮ์ ...

(3). แต่ถ้าแน่ใจว่าการอาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะ ปลอดจากการมองเห็นเอาเราะฮ์ของกันและกัน ก็ไม่มีปัญหาที่จะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำนั้นโดยปราศจากผ้าปกปิด ...

ท่านซัยยิดซาบิกได้กล่าวในหนังสือ "ฟิกฮุซซุนนะฮ์" เล่มที่ 1 หน้า 65 ว่า ..

لاَ بَأْسَ بِدُخُوْلِ الْحَمَّامِ إِنْ سَلِمَ الدَّاخِلُ مِنْ النَّظَرِ إلَى الْعَوْرَاتِ، وَسَلِمَ مِنَ نَظَرِ النَّاسِ عَوْرَتَهُ

"ไม่เป็นไรในการเข้าห้องน้ำนั้น ถ้าผู้ที่เข้าไป(ใช้บริการในห้องน้ำ) ปลอดจากการมองดูเอาเราะฮ์ใดๆ(ของผู้อื่น) และปลอดจากการที่ผู้อื่นมองเห็นเอาเราะฮ์ของเขา" ..
.
ท่านซัยยิดซาบิก ยังกล่าวในหน้า 66 ของหนังสือเล่มเดียวกันว่า ...

أَمَّا لَوِ اغْتَسَلَ عُرْيَانًا بَعِيْدًا عَنْ أَعْيُنِ النَّاسِ فَلاَ مَانِعَ عَنْهُ

"อนึ่ง สมมุติถ้าเขาเปลือยกายอาบน้ำโดยห่างไกลจากสายตาของผู้อื่น ก็ไม่มีข้อห้ามแต่ประการใดสำหรับเขา" ...
.
โดยนัยนี้ การเปลือยกายอาบน้ำในห้องน้ำส่วนตัวที่บ้าน จึงเป็นที่อนุญาต ...

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นเรื่องของผู้ชายโดยเฉพาะ ...

(4). อนึ่ง สำหรับสตรี นักวิชาการเห็นพ้องกันว่า ไม่อนุญาตให้นางเข้าห้องอาบน้ำสาธารณะโดยไม่มีข้อแม้ .. คือ ไม่ว่าจะมีผ้าปกปิดหรือไม่ก็ตาม, ไม่ว่าจะปลอดจากสายตาผู้ใดมองเห็นเอาเราะฮ์ของนาง หรือปลอดจากการที่นางจะมองเห็นเอาเราะฮ์ของผู้ใดก็ตาม ...
ท่านอัช-เชากานีย์ ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ "นัยลุลเอาฎอร์" ว่า ..
"หะดีษบทนี้ (หมายถึงหะดีษที่ผมกล่าวถึงหลังจากนี้) คือหลักฐานว่า อนุญาตให้ผู้ชายเข้า(ห้องอาบน้ำสาธารณะ)ได้ ภายใต้เงื่อนไขว่า จะต้องนุ่งผ้าขาวม้า และห้ามเข้าไปถ้าไม่มีผ้าขาวม้า, และ(หะดีษนี้ยังเป็นหลักฐาน) ห้ามสตรี (ใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ)โดยปราศจากเงื่อนไข, ส่วนการยกเว้นให้(สตรี)เข้าไปได้หากมีความจำเป็น ก็ไม่มีความชัดเจนจากกระแสรายงานใดที่พอจะอ้างเป็นหลักฐานได้ ดังนั้น ตามรูปการณ์แล้ว พวกนางจึงถูกห้าม(จากการใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ)โดยปราศจากเงื่อนไข" ...

ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ ได้บันทึกรายงานมาจากท่านญาบิรฺ ร.ฎ. .. จากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า
...
وَمَنْ كَانَ يُؤْمِنُ بِاللهِ وَالْيَوْمِ اْلآخِرِ فَلاَ يُدْخِلْ حَلِيْلَتَهُ الْحَمَّامَ

"และผู้ใดที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์ ก็จงอย่ายอมให้หะลีละฮ์ของเขา (หมายถึงภรรยาของเขา) เข้าห้องน้ำนั้น" ....

ความหมายของ "ห้องอาบน้ำ" ตามข้อห้ามในหะดีษบทนี้ บ่งบอกความหมายชัดเจนว่า หมายถึงห้องอาบน้ำสาธารณะ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ท่านศาสดาจะห้ามสามีไม่ยินยอมให้ภรรยาเข้าห้องอาบน้ำส่วนตัวที่บ้าน ...

ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ...
سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ : مَا مِنِ امْرَأَةٍ تَضَعُ ثِيَابَهَا فِىْ غَيْرِ بَيْتِ زَوْجِهَا إِلاَّ هَتَكَتِ السِّتْرَ بَيْنَهَا وَبَيْنَ رَبِّهَا

"ฉันได้ยินท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะอลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า .. ไม่มีสตรีใดที่เปลื้องเครื่องแต่งกายของนางออกในที่อื่นที่มิใช่บ้านสามีของนาง เว้นแต่นางได้ทำลายสิ่งปกปิดความอายระหว่างตัวนางกับพระผู้อภิบาลของนางแล้ว" ...

(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด, ท่านอัตติรฺมีซีย์ ท่านอิบนุมาญะฮ์ ท่านอัด-ดาริมีย์ ท่านอะห์มัด และผู้บันทึกท่านอื่นๆ) ..

สรุปแล้ว สตรีจึงถูกห้ามจากการเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะ หรือเปลื้องเสื้อผ้าที่บ้านผู้อื่นจากบ้านของนางหรือบ้านสามีของนางเองอย่างเด็ดขาด ...
หรือแม้กระทั่งการอาบน้ำในห้องน้ำส่วนตัวที่บ้าน นักวิชาการก็ยังห้ามสตรีเปลือยกายอาบน้ำด้วย ...

ท่านมุบาร็อกปูรีย์ ได้กล่าวในหนังสือ "ตุห์ฟะตุ้ลอะห์วะซีย์" เล่มที่ 8 หน้า 87 ว่า ...
"ไม่สมควรสำหรับสตรีที่จะเปิดเผยเอาเราะฮ์ของนาง แม้นางจะอยู่ตามลำพัง .. เว้นแต่นางอยู่ใกล้ (คือ เพื่อ) สามีของนางเท่านั้น ดังนั้น เมื่อสตรีได้เปิดเผยอวัยวะต่างๆของนางภายในห้องน้ำโดยไม่จำเป็น ก็หมายถึงนางได้ทำลายสิ่งปกปิดความอายที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงใช้นางกระทำเสีย" ...
วัลลอฮุ อะอฺลัมครับ ...

หมายเหตุ
แม้จะไม่มีหะดีษบทใด ถูกต้องเพียงพอจะมายกเว้นสตรีจากการห้ามเข้าห้องอาบน้ำสาธารณะในขณะจำเป็นก็จริง แต่กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น ...
ผมจึงเห็นว่า ในภาวะฉุกเฉินจริงๆก็คงอนุโลมให้สตรีเข้าไปใช้บริการในห้องน้ำดังกล่าวเป็นกรณีพิเศษ หรือเปลือยกายในห้องน้ำส่วนตัวที่บ้านได้ ภายใต้กฎเกณฑ์ของวิชาอุศู้ลุลฟิกฮ์ที่ว่า ...

اَلضَّرُوْرَةُ تُبِيْحُ الْمَحْظُوْرَاتِ

"ความฉุกเฉิน จะทำให้อนุโลมสิ่งต้องห้ามได้" ...

วัลลอฮุ อะอฺลัม ...


วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

"ฟีสบีลิลลาฮ์" จำกัดเฉพาะนักรบที่ทำสงคราม


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ตอบคำถามคุณ Kholi Mi ...
อัสสะลามูอาลัยกุม อาจารย์ครับ - มีประเด็นที่จะรบกวนถามอาจารย์เรื่องเงิน"ซะกาต" เราจะใช้กับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ไหมครับ
1. ค่าเดินทางของอาจารย์ เช่น ค่าเครื่องบิน ฯลฯ
2. ค่าเดินทางของทีมงานจัดบรรยายไปรับไปส่งอาจารย์เช่นจากสนามบินหาดใหญ่-ยะลา ฯลฯ
3. ค่าซองอาจารย์
4. ค่าที่พักอาจารย์
5. ค่าอาหารอาจารย์
6. ค่าสถานที่จัดบรรยาย
7. ค่าเช่าเครื่องเสียง
8. ค่าเช่าอุปกรณ์วีดีทัศน์
9. ค่าจ้างแรงงานในการจัดบรรยาย
10. ค่าประชาสัมพันธ์
11. ค่าคนดูแลเงินซะกาต รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ ยาซากัลลอฮูคอยรอน
1ใน8 คือคนที่ฟีซะบิลิลละฮ ในฐานะอ.เป็นผู้สอน ผู้เผยแพร่ศาสนา อยู่ในข้อนี้หรือไม่ครับ

ตอบ .. วะอลัยกุมุสสลาม ...

การนำเงินซะกาตมาใช้จ่ายในสิ่งที่คุณยกตัวอย่างมาทั้งหมด ไม่น่าจะได้ครับ ...
ผมไม่เห็นด้วยกับทัศนะของนักวิชาการปัจจุบันบางท่านที่อธิบายความหมายของคำว่า "فِىْ سَبِيْلِ اللهِ" (ในวิถีของอัลลอฮ์)ในอายะฮ์เรื่องซะกาต ให้มีความหมายกว้างไกลครอบจักรวาลเกินไป .. คือ อธิบายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความดีตามหลักการอิสลามก็จัดเข้าอยู่ในความหมาย "ฟีสบีลิลลาฮ์" และสามารถมอบซะกาตให้ได้ทั้งนั้น ..

ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ก็ไม่จำเป็นต้องจำแนกผู้รับซะกาตออกเป็น 8 ประเภทดังที่ปรากฏในอัล-กุรฺอาน อายะฮ์ที่ 60 ของซูเราะฮ์ อัต-เตาบะฮ์ ...
บอกแค่ว่า ซะกาตให้ใช้จ่าย "ฟีสบีลิลลาฮ์" .. ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ...
ทั้งนี้ เพราะการมอบซะกาตแก่คนยากจน, คนอนาถา, ทาสที่ต้องการไถ่ถอนตัวเอง, คนเดินทางที่ขาดทุนทรัพย์ เป็นต้น ก็เป็นสิ่งดีตามหลักการอิสลาม จึงจัดเข้าอยู่ในคำว่า "ฟีสบีลิลลาฮ์" - ตามนัยคำอธิบายนี้ - โดยปริยายอยู่แล้ว ...

ท่านอัล-มะรอฆีย์ ได้กล่าวอธิบายในตัฟซีรฺ "อัล-มะรอฆีย์" เล่มที่ 4 ส่วนที่ 1 หน้า 145 ว่า จุดประสงค์ของคำว่าฟีสบีลิลลาฮ์ หมายถึงกิจการกุศลต่างๆของมุสลิม "โดยรวม" เพื่อค้ำจุนศาสนาและรัฐ (เช่นสร้างมัสญิด, สร้างโรงเรียน) แต่มิใช่มอบให้เป็น "รายบุคคล" (เช่นให้นักวิชาการ .. ดังที่ปรากฏในคำถาม) ซึ่งคำอธิบายนี้น่าจะเข้าท่ากว่าคำอธิบายข้างต้น ...

ทัศนะที่มีน้ำหนักที่สุดในทัศนะของผมเกี่ยวกับความหมายคำว่าฟีสบีลิลลาฮ์ในเรื่องซะกาตก็คือ หมายถึง "ผู้ที่ออกทำสงครามสบีลิลลาฮ์" เท่านั้น .. อันเป็นทัศนะที่สอดคล้องกันของอิหม่ามทั้งสี่ท่าน .. คือท่านอิหม่ามอบูหะนีฟะฮ์, ท่านอิหม่ามมาลิก, ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ และท่านอิหมามอะห์มัด ...
(ดูข้อมูลจากหนังสือ فِىْ سَبِيْلِ اللهِ .. ของท่านเช็คอับดุลกอดีรฺ อัล-มันดีลีย์) ...

อีกอย่างหนึ่ง การที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงกล่าวในตอนต้นอายะฮ์ที่ 60 ซูเราะฮ์อัต-เตาบะฮ์ ว่า ...

إِنَّمَاالصَّدَقَاتُ لِلْفُقَرَاءِ وَالْمَسَاكِيْنِ وَالْعَامِلِيْنَ عَلَيْهَا وَالْمُؤَلَّفَةِ قُلُوْبُهُمْ وَفِى الرِّقَابِ ............

ซึ่งมีความหมายที่แท้จริงว่า "ซะกาตต่างๆนั้นจะมอบให้ได้ก็ "เฉพาะ" แก่คนยากจน, คนอนาถา, เจ้าหน้าที่จัดการซะกาต, คนมุอัลลัฟ, ทาส ........." ซึ่งอายะฮ์นี้ก็แสดงความหมายชัดเจนแล้วว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรง "จำกัด" ผู้รับซะกาตว่ามีแค่ 8 ประเภทนี้เท่านั้น ...
อื่นจาก 8 ประเภทนี้ จะมอบซะกาตให้ไม่ได้ ...

ดังนั้น หากคำว่า "ฟีสบีลิลลาฮ์" มีความหมายครอบจักรวาล .. คือครอบคลุม "ทุกอย่างที่เป็นความดีของอิสลาม" .. ดังคำอธิบายของนักวิชาการปัจจุบันบางท่าน การจ่ายซะกาตก็จะเป็นเรื่องเปิดกว้าง และการ "จำกัด" ผู้รับซะกาตเพียง 8 ประเภทของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ทรงกล่าวไว้ก็จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ...

ท่านเช็คบินบาซได้ตอบคำถามที่ว่า ซะกาตจะนำมาสร้างมัสญิดได้หรือไม่ ? .. โดยท่านตอบว่า ...
"ที่รับรู้กันสำหรับนักวิชาการทั้งมวล และเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ซึ่งคล้ายกับจะเป็นมติเอกฉันท์ของนักวิชาการสลัฟผู้ทรงคุณธรรมยุคแรกก็คือ ซะกาตนั้น จะนำไปสร้างหรือบูรณะมัสญิด, ซื้อตำรับตำรา และอื่นๆไม่ได้ และซะกาตนั้น จะต้องถูกมอบให้แก่บุคคล 8 ประเภทดังที่มีระบุไว้ ........................ และคำว่า "สบีลิลลาฮ์" นั้น จำกัดเฉพาะนักรบที่ทำสงคราม(เพื่อปกป้องศาสนา)เท่านั้น นี่คือสิ่งที่รับรู้กันสำหรับนักวิชาการ และมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งดังกล่าว (สบีลิลลาฮ์) ก็คือ การนำซะกาตไปใช้บูรณะมัสญิด สร้างโรงเรียน และรูปแบบใดๆที่คล้ายกับสิ่งเหล่านี้" ..

และท่านเช็คอุษัยมีน ก็ได้ให้คำตอบจากคำถามดังข้างต้น คล้ายคลึงกับคำตอบของท่านเช็คบินบาซเช่นเดียวกัน ...
(จากหนังสือ "เมาซูอะฮ์ อัล-อะห์กาม อัช-ชัรฺอียะฮ์" เล่มที่ 1 หน้า 474 - 475) ...

วัลลอฮุ อะอฺลัมครับ ...


ถาม

อาจารย์คะ เงินซะกาตเขาให้คนไปทำฮัจย์ค่ะ คนที่จ่ายซะกาตให้คนไปทำฮัจย์เป็นอีหม่ามด้วยนะคะ ใช้ได้ไหมคะ

ตอบ

ท่านอัล-มะรอฆีย์อธิบายคำกล่าวของท่านอิหม่ามอะห์มัดที่ว่าหัจญ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของสบีลิลลาฮ์ว่า มิได้หมายถึงการมอบเงินซะกาตให้คนไปทำหัจญ์เป็นรายบุคคล แต่หมายถึงการนำเงินซะกาตไปอำนวยความสะดวกในการทำหัจญ์ เช่น นำไปเคลียร์เส้นทางการทำหัจญ์, นำไปบริการน้ำและอาหารแก่คนทำหัจญ์, นำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพคนทำหัจญ์ เป็นต้น ครับ ...

ถาม

 ผมเคยได้ยินอาจารย์ทางทีวีตอบว่าตอนนี้สงครามมันเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว มันเป็นสงครามสื่อ

ตอบ

อาจารย์บางท่านมีสิทธิ์ที่จะพูดอย่างนั้น แต่ขออภัยที่ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดใดๆของนักวิชาการปัจจุบัน ที่ไปหักล้างความเข้าใจของนักวิชาการยุคสลัฟเกี่ยวกับความหมายสบีลิลลาฮ์ในอายะฮ์นี้ครับ ...

ถาม

แล้วมอบเงินซากาต ให้ทีวีที่เผยแพ่รศาสนาได้หรือไม่ ครับอาจารย์?

ตอบ

อ่านบทความของผมข้างต้นให้ละเอียดอีกทีครับแล้วคุณจะได้คำตอบด้วยตนเองว่า ได้หรือไม่ได้ ...





วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คนต่างศาสนิกซื้อของไปใส่บาตรพระ


ตอบโดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ตอบคำถามคุณ Muqlis Usmaniyah

อาจารย์ครับ มีคำถามนิดหน่อยนะครับ
1.ถ้ากาเฟรมาซื้อข้าวร้านเราเป็นประจำ โดยบางวันบอกว่าจะไปใส่บาตรพระ แบบนี้เราขายได้ไหมครับ ? บางวันเขาก็มาซื้อเฉย ๆ ไม่บอกอะไรด้วย แบบนี้ขายได้ไหม ?
2.มีบริษัทที่มีรายได้จากการขายของฮารอม แล้วบริษัทเอางบที่มาจากกำไรการขายสินค้าน้ันมาซื้อของร้านเราไปเลี้ยงพนักงาน แบบนี้ขายให้ได้ไหมครับ ?
ญาซากัลลอฮูคอยรอนครับ อ. ^^ ขออัลลอฮตอบแทนครับ

ตอบ .. (1). เรื่องการใส่บาตรของชาวพุทธก็คือ การที่ชาวบ้านซึ่งนับถือศาสนาพุทธ นำอาหารใส่ลงไปในภาชนะที่มีรูปทรงกลมรีของพระภิกษุเพื่อให้นำไปฉัน(รับประทาน) ที่วัดกับพระลูกวัดของท่าน ซึ่งจากจุดนี้ถ้าเราไม่ไปยึดติดกับภาษาศาสนาจนเกินไป - เช่นคำว่า "ใส่บาตร" ซึ่งมีความหมายดังที่กล่าวมาแล้วก็ดี, หรือคำว่า "ฉัน" ซึ่งแปลว่า กิน, ก็ดี - จะเห็นได้ว่า การใส่บาตรก็เป็นแค่วิถีชีวิตประจำวันในเรื่องการให้อาหารแก่พระสงฆ์ของชาวพุทธเท่านั้น ไม่ใช่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อหรืออะกีดะฮ์แต่ประการใด เพียงแต่รูปแบบการให้อาจจะแตกต่างจากการให้ตามปกติไปบ้าง ผมจึงเห็นว่า ไม่มีปัญหาประการใดที่เราจะขายข้าวสารหรืออาหารสำเร็จรูปใดๆให้แก่คนพุทธเพื่อนำไปใส่บาตรให้แก่พระสงฆ์ครับ ...

ข้อนี้ต่างกับการที่เราเชือดเป็ดหรือไก่ แล้วนำไปขายให้แก่คนต่างศาสนิก ที่เรารู้ชัดเจนแล้วว่าเขาจะนำเป็ดหรือไก่นั้นไปเส้นไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษหรือบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของเขา อันนี้ผมก็เห็นด้วยกับทัศนะที่ว่ามุสลิมขายให้ไม่ได้ เพราะเท่ากับไปสนับสนุนความเชื่อที่ขัดกับหลักอะกีดะฮ์ของอิสลามครับ ... วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

(2). ส่วนเรื่องการที่บุคคลหรือบริษัทห้างร้านนำเงินที่ได้มาจากธุรกิจที่หะรอมตามหลักการอิสลาม เช่นรายได้จากจากการขายเหล้าขายเบียร์, รายได้จากการเล่นการพนัน, รายได้จากดอกเบี้ย เป็นต้น มาซื้อของที่ร้านของเรา นั้น ...
ขอเรียนว่า แม้ธุรกิจเหล่านั้นจะขัดต่อหลักการศาสนาอิสลามของเรา แต่ก็ไม่ได้ขัดต่อหลักการตามความเชื่อของเขา จึงถือว่า รายได้นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม "ตามความเชื่อของเขา" ...
อีกประการหนึ่ง เรื่องผิด - ถูก เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ "การกระทำ" ของคนซึ่งเป็นมุกัลลัฟ ไม่ใช่อยู่ที่ "เม็ดเงิน" ซึ่งเป็นวัตถุ เพราะเงินเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสมมุติให้มีค่าขึ้นมาเพื่อใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเท่านั้น ..
ถ้าหาก "ความผิด" จากการกระทำของคนมันติดอยู่ที่ตัว "เม็ดเงิน" ด้วย ผมเชื่อว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ในกระเป๋าของเราทุกวันนี้ก็คงเป็นเงินที่ไม่ฮาล้าล เพราะตามข้อเท็จจริง มันจะต้องผ่านมาจากธุรกิจที่ไม่ฮาล้าล เช่น การขายหมู, ขายเหล้า, ขายเบียร์, การพนัน, ดอกเบี้ย, ฯลฯ มาไม่รู้กี่ทอดต่อกี่ทอดแล้ว ...
เวลาเราไปเบิกเงินที่ฝากไว้ที่ธนาคารก็เหมือนกัน ธนาคารไม่ได้เอางินที่เรานำไปฝากครั้งแรกมาให้แก่เราหรอก แต่จะเอาเงินที่ได้มาจากธุรกิจของธนาคารที่ไม่ฮาล้าลสำหรับเรา คือ "ดอกเบี้ย" นั่นแหละ มาทดแทนให้แก่เรา ..
และ .. สมมุติว่า เราไปซื้อของบางอย่างที่ร้านคนต่างศาสนิก .. ระหว่างที่เรายืนรอเงินทอนอยู่ ก็เห็นกับตาว่า มีคนมาซื้อเหล้า แล้วเจ้าของร้านก็เอาเงินที่คนจ่ายค่าเหล้านั่นแหละมาทอนให้เรา ..
ถามว่า เราจะปฏิเสธ ไม่รับเงินทอนดังกล่าวโดยอ้างว่า เพราะ "ตัวเงิน" นั้นไม่ฮาล้าลหรือครับ ? ...
สรุปแล้ว ในทัศนะผม การขายสินค้าใดๆให้แก่บริษัทห้างร้านดังที่คุณถามมา จึงเป็นที่อนุมัติครับ ...
หมายเหตุ .. ยกเว้นในกรณีที่เรา "รู้แน่ชัด" ว่า เงินที่มีผู้นำมาซื้อสินค้าที่ร้านของเราเป็นเงินที่เขาปล้นหรือโจรกรรมมา อย่างนี้เราคงขายสินค้าใดให้เขาไม่ได้ เพราะเงินที่เขานำมาซื้อนั้นไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของคนอื่น เขาจึงไม่มีสิทธิ์นำเงินนั้นไปใช้จ่ายใดๆได้ เพราะขาดเงื่อนไขการซื้อขายที่ว่า ราคาและสินค้า จะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อและผู้ขาย ...
หรือมุสลิมเรา นำเงินที่ได้จากธุรกิจหะรอมมาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำหัจญ์ .. แม้ว่าเขาจะนำเงินนั้นไปจ่ายค่าเครื่องบินหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆได้ก็ตาม หรือแม้ว่าเขาจะทำหัจญ์ถูกต้องตามรุก่นและเงื่อนไขการทำหัจญ์ทุกประการก็ตาม แต่หัจญ์ของเขาคงจะไม่ถูกตอบรับจากพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทั้งนี้มิใช่เพราะ "เม็ดเงิน" ที่ใช้จ่ายนั้นไม่บริสุทธิ์ แต่เป็นเพราะธุรกิจที่เขาได้เงินมาทำหัจญ์เป็น "ธุรกิจที่ไม่บริสุทธิ์" ...
ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะละยฮิวะซัลลัมกล่าวไว้มีความหมายว่า "แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ และพระองค์จะไม่ทรงรับนอกจากสิ่งบริสุทธิ์เท่านั้น" .. วัลลอฮุ อะอฺลัม .


ถาม

อาชีพค้าขาย (เป็ด-ไก่) ส่วนใหญ่ขายให้ต่างศาสนิก พวกเขาจะซื้อไปทำอะไรเป็นสิทธิ์ของเขาไม่ใช่หรือครับ ถึงแม้เราจะรู้ก็ตาม เพราะเรามองเป็นเรื่องมุอามาลาต แต่ถ้าเรามีเจตนาขายเป็นการเฉพาะเจาะจงซึ่งเราไม่ได้ขายเป็นอาชีพ เช่นขายในวันสาทจีน ตรุษจีน ฯลฯ การขายแบบนี้ห้าม อ.ช่วยแนะนำด้วยครับ

ตอบ

อาชีพค้าขาย (เป็ด-ไก่) ส่วนใหญ่ขายให้ต่างศาสนิก พวกเขาจะซื้อไปทำอะไรเป็นสิทธิ์ของเขาไม่ใช่หรือครับ .. ข้อความตรงนี้ถูกต้องแน่นอนครับ เพราะผู้ขายไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดให้ผู้ซื้อปฏิบัติตามความต้องการของตัวเองได้ เมื่อผู้ขายไม่ทราบเจตนาของผู้ซื้อการซื้อขายนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าผู้ขายทราบเจตนาของผู้ซื้อแน่ชัดแล้วว่า จะซื้อสินค้าไปเพื่อนำไปทำสิ่งที่ผิดหลักการ ตัวอย่างเช่น เราเปิดร้านขายปืน แล้วผู้ซื้อบอกตรงๆว่าจะซื้อปืนสักกระบอกเพื่อเอาไปปล้นหรือไปยิงใครสักคน อย่างนี้เราควรขายปืนให้เขาเพื่อให้เขาเอาไปปล้นหรือฆ่าคนตามที่บอกได้ไหมครับ ? ...

ถาม

อมาอัฟครับ ไม่เข้าใจการเปรียบเทียบซึ่งโดยธรรมชาติของสินค้ามันต่างกัน อาวุธกับอาหารมันไม่น่าจะเอามาเปรียบเทียบวัตถุประสงค์การซื้อขายกันได้นะครับ อ.มีตัวบทห้ามขายเพราะพิธีกรรมเพื่ออ้างอิงไหมครับ

ตอบ

ผมไม่ได้เปรียบเทียบเป็ดไก่กับปืน แต่ผมเปรียบเทียบ "เจตนาที่ชัดเจน" ของผู้ซื้อในทั้งสองกรณี เอาเป็นว่า ถ้าคุณเห็นว่า เราขายปืนให้แก่ลูกค้าที่บอกเราว่าจะเอาไปปล้นหรือยิงคนได้ เราก็ขายเป็ดไก่ให้ลูกค้าที่บอกเราว่า จะเอาเซ่นไหว้บรรพบุรุษหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ถ้าคุณตอบว่า เราขายปืนให้ในกรณีนี้ไม่ได้ เราก็ขายเป็ดไก่ให้ลูกค้าในกรณีนี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ เท่ากับเราสนับสนุนสิ่งผิดหรือสิ่งต้องห้ามตามหลักการครับ .....

สรุปแล้ว ผู้ขายไม่มีสิทธิ์กำหนดให้ผู้ซื้อทำตามที่ต้องการ แต่ผู้ขายมีสิทธิ์ "ไม่ขาย" ได้ ถ้าเห็นว่าผู้ซื้อจะนำสินค้าไปทำสิ่งที่ขัดกับบทบัญญัติมิใช่หรือครับ

ถาม

 ใส่บาตร มันคนละเรื่องกับ ให้พระกินเฉยๆ ไหมครับอาจารย์
.
ตอบ

ใช่ครับ แต่เราแค่ขายอาหารอันเป็นธุรกิจของเรา เราไม่ได้ใส่บาตรให้พระเองนี่ครับ และผมก็บอกแล้วว่า ถ้าเราไม่ยึดติดกับภาษาศาสนาเสียอย่าง ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป้าหมายจริงๆของชาวบ้านที่ใส่บาตรก็คือ บริจาคหรือให้อาหารแก่พระภิกษุนำไปรับประทานเพื่อความอยู่รอดของชีวิตตามวิถีแห่งการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์โลกทั่วไป ไม่ใช่เพื่อนำอาหารนั้นไปทำพิธีกรรมทางศาสนา เพียงแต่ว่า "วิธีการ" ให้อาหารของเขาอาจจะแตกต่างจากการให้แบบธรรมดาไปบ้างคือไม่ได้ยื่นอาหารให้โดยตรง แต่นำอาหารนั้นใส่ในบาตรของพระภิกษุไปเลย ซึ่งเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแม้แต่น้อยในส่วนนี้ .. และเป็นธรรมดาที่ผู้ให้ก็ย่อมหวังผลบุญจากการให้นั้นเหมือนพวกเราเหมือนกัน ...

พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงกล่าวในซูเราะฮ์อัล-มาอิดะฮ์ อายะฮ์ที่ 2 ว่า ولا تعاونوا على الاثم والعدوان นี่คือหลักฐานของผมครับ ...

 หมายเหตุ .. ถ้าคุณเห็นว่าคำตอบหรือคำแนะนำของผมไม่ถูกต้อง คุณก็มีสิทธิ์ปฏิบัติไปตามสิ่งที่คุณเห็นว่าถูกต้องได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ผมมีมุมมองจากอายะฮ์เมื่อตะกี้อย่างไร ผมก็ตอบไปตามมุมมองของผมอย่างนั้น ...