อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ครูผู้ที่สอนศาสนาและเด็กที่เรียนศาสนามีสิทธ์ที่จะได้รับซะกาตหรือไม่



ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรึอุทัย

ถาม
อัสลามมุอะลัยกุมครับอาจารย์
ผมมีคำถามจะถามอาจารย์ครับ 
ครูผู้ที่สอนศาสนาและเด็กที่เรียนศาสนามีสิทธ์ที่จะได้รับซะกาตหรือป่าวครับ แล้วพวกเขาจะเข้าในจำพวกที่อยู่ในหนท่างของอัลลอฮ์ที่มีสิทธ์รับซากาตหรือป่าวครับ?

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม .. นักวิชาการยุคปัจจุบันบางท่าน เช่นเช็คอุษัยมีน ฟัตวาว่า ผู้ที่ทุ่มเทตนเองเพื่อศึกษาวิชาการศาสนาอย่างจริงจัง แม้จะมีความสามารถในการประกอบอาชีพก็ตาม สามารถรับซะกาตในนาม "ฟีสะบีลิลลาฺฮ์" ได้ แต่ขณะเดียวกัน ท่านเช็คอุษัยมีนและท่านเช็คบินบาซก็ฟัตวาตรงกันว่า คำว่า "ฟีสะบีลิลลาฮ์" ที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงดำรัสไว้ในอัล-กุรฺอาน มีความหมาย "จำกัดเฉพาะ" ผู้ที่ทำสงครามสะบีลิลลาฮ์เท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงความดีอื่นใดของศาสนา เช่นสร้างมัสญิด สร้างโรงเรียน ซื้อตำหรับตำราให้นักวิชาการ เป็นต้น เพราะจะเป็นการค้านกับการ "จำกัด" ผู้รับซะกาต 8 ประเภทที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ทรงกำหนดไว้ด้วยคำว่า "อินนะมา" ในตอนต้นประโยค เนื่องจากถ้าถือว่า คำว่าฟีสะบีลิลลาฮ์ มีความหมายครอบคลุมทุกๆสิ่งดีของอิสลามแล้ว ก็สามารถนำซะกาตมาใช้จ่ายได้ทุกเรื่องที่เป็นสิ่งดีของศาสนา การ "จำกัด" ผู้รับซะการเฉพาะ 8 ประเภทของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ก็จะไร้ความหมายทันที นอกจากนั้น อิหม่ามทั้ง 4 ท่านในอดีตของอิสลามก็มีความเห็นตรงกันว่า คำว่าฟีสะบีลิลลาฮ์ หมายถึงผู้อาสาทำสงครามสะบีลิลลาฮ์เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงสิ่งดีอื่นใดของอิสลามอีกทั้งสิ้น ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับความหมายและคำอธิบายนี้ เพราะฉะนั้น การจ่ายซะกาตให้แก่ครูสอนศาสนาหรือนักเรียนศาสนาที่มีผู้ปกครองรับผิดชอบอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะเข้าอยู่ในคำว่าฟีสะบีลิลลาฮ์ครับ ยกเว้นถ้าครูสอนศาสนาเป็นคนยากจน หรือนักเรียนศาสนาได้รับการอุปการะจากผู้ปกครองไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เขาก็อาจรับซะกาตในนามคนยากจนได้ครับ .. วัลลอฮุอะอฺลัม ...

ถาม
อาจารย์ครับ เเล้วทำไม เชคอุษัยมีน ฟัตวาเรื่องเดียวกัน มีทั้งด้าย กับไม่ด้าย ในเรื่องเดียวกัน

ตอบ
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับในคำฟัตวาของท่าน บางทีอาจเป็นเพราะสมองของคุณและผมตามท่านไม่ทันกระมังครับ เพราะตามข้อเท็จจริงในทั้งสองกรณีนี้ (คือการให้ซะกาตกับนักเรียน และการให้ซะกาตไปสร้างมัสญิด) มีเหตุผลเดียวกัน คือ หากจัดเข้าในความหมายสะบีลิลลาฮ์ (ตามความเข้าใจของนักวิชาการยุคหลัง) ก็ต้องเข้าทั้งสองกรณี หรือหากไม่ใช่ ก็ต้องไม่ได้ทั้งสองกรณี ...

ถาม
ที่มัสยิดบ้านผม ใช้ซะกาต(บางส่วน) เป็นทุนการศึกษา ถ้าเอาตามนี้คงจะต้องปรึกษากันใหม่แล้วครับอาจารย์

ตอบ
ถ้าเป็นทุนการศึกษาแก่นักเรียนศาสนาที่พ่อแม่ยากจนก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะเขาจะรับมันในฐานะคนยากจน มิใช่รับมันในฐานะสะบีลิลลาฮ์ จึงไม่ขัดกับหลักฐานข้อไหนเลยครับ ..

ถาม
มันก็เเค่ความคิดท่านเองที่ว่าไม่น่าจะเข้าอยู่ในคำว่าฟีสะบีลิลลาฮ์

ตอบ
ไม่ใช่เป็นความคิดของผม แต่พิจารณาจากคำอธิบายความหมาย "สะบีลิลลาฮ์" ของอิหม่ามทั้ง 4 ท่านว่า หมายถึงผู้ที่อาสาทำสงครามสะบีลิลลาฮ์เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงสิ่งดีอื่นๆของอิสลามด้วย แล้วคุณจะให้พวกเขารับซะกาตในฐานะอะไรครับ ? ...

ถาม
เเล้วที่นักวีชาการมุตาอัคคีรีนว่ารับได้ละ จะว่าไงละคับ คนรู้ยุคนี้ว่าไม่ไได้ คนยุคนี้คงไม่ได้รุ้กว่าคนยุคก่อนเป็นเเน่

ตอบ
คุณพูดมาถูกต้องแล้วนี่ครับ นักวิชาการที่ว่าได้คือนักวิชาการมุตะอัคคิรีน ส่วนนักวิชาการมุตะก็อดดิมีน อันหมายถึงอิหม่ามทั้ง 4 ท่านก็อธิบายอย่างที่ผมบอกไปแล้วซึ่งส่อความหมายว่าไม่ได้ และผมก็ตอบไปตามคำอธิบายของพวกท่าน แล้วตกลงคุณจะให้ผมตอบตามมุตะอัคคิรีนหรือตามมุตะก็อดดิมีนกันแน่ครับ

ถาม
ผมไดรับซะกาตทุกปีในถานะที่เป็นนักเรียนศาสนาซึ่งสถานะทางบ้านผมก็มิถึกกับจนหรือขัดสนใดแล้วสามารถที่รับเงินนั้นใวได้หรือป่าวครับ
แล้วผมควรทำอย่างไรดีครับ

ตอบ
ท่านศาสดาเคยกล่าวว่า ผู้ทำความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ไม่เอาโทษหรอกครับ อินชาอัลลอฮ์ ...

ถาม
เเล้วเราควนจะบอกเขาอย่างไรเมือเขาเอามาให้อีก

ตอบ
ไม่ยากเลยครับ บอกเขาไปตามตรงว่า ตอนนี้ทางบ้านส่งเสียผมเพียงพอแล้ว ผมคงจะไม่รับซะกาตอีก อะไรประมาณนี้แหละครับ ...


วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เสียน้ำละหมาดในขณะละหมาดญะมาอะฮ์


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม
ถ้าเราเสียน้ำละหมาดในละหมาดญะมาอะ ให้นั่งรอตรงที่ละหมาด หรือเดินไปเอาน้ำละหมาดได้ครับ กรณีที่เราเกรงว่าถ้าเดินไปจะเป็นการตัดหน้าคนละหมาด

ตอบ
เสียวุฎูอ์ในขณะกำลังนมาซญะมาอะฮ์ก็คือเสียนมาซ ดังนั้นให้เขารีบออกมาจากแถวไปทำวุฎูอ์แล้วรีบไปเข้าแถวนมาซใหม่ ส่วนการเดินออกมาจากแถวซึ่งอาจจะมีการผ่านหน้าผู้นมาซบางคน คงไม่มีปัญหา เพราะมีรายงานว่าซุตเราะฮ์ของอิหม่ามก็คือซุตเราะฮ์ของมะอฺมูมข้างหลังแต่ละแถวโดยอัตโนมัติ การเดินผ่านระหว่างแถวจึงไม่มีปัญหา เพียงแต่ให้เขาพยายามเดินอย่างระมัดระวังและสงบให้มากที่สุด เพื่อมิให้เกิดความรำคาญแก่ผู้นมาซคนอื่น วัลลอฮุอะอฺลัม ...

กรณีอิหม่ามรุกั๊วะอฺ แต่มะอฺมูมกลับลงสุญูด


ตอบโดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม
ถ้าอิหม่ามตักบีรแล้วรุกัว แต่เราเผลอเลยสูญูดไป แบบนี้เราต้องทำไงครับ ลุกมารุกัวตามอิหม่ามไหม แล้วต้องสุญูดซะวีใช่ไหมครับ

ตอบ
ปัญหาสมมุติหรือเปล่าครับที่ว่า อิหม่ามรุกั๊วะอฺ แต่มะอฺมูมดันลงสุญูด ที่เคยเห็นจริงๆมันตรงกันข้าม คืออิหม่ามสุญูดสะญะดะฮ์ แต่มะอฺมูมก้มลงรุกั๊วะอฺเพราะไม่รู้ แต่สมมุติถ้าเป็นจริง ก็ให้เขารีบลุกขึ้นมารุกั๊วะอฺตามอิหม่ามทันที โดยไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี เพราะในการนมาซญะมาอะฮ์ อิหม่ามเป็นผู้รับผิดชอบความบกพร่องบางประการของมะอฺมูมอยู่แล้วครับ อินชาอัลลอฮ์ ...

ใครละหมาดพร้อมและจบละหมาดตารอเวียฮพร้อมอิหม่าม


ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

ถาม
ฮาดิษที่บอกว่าใครละหมาดพร้อมและจบละหมาดตารอเวียฮพร้อมอิหม่าม เขาจะได้บุญเหมือนละหมาดทั้งคืน

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม
หะดีษที่บอกว่า "ผู้ใดก็ตามที่นมาซพร้อมอิหม่ามจนจบ ...." ตามรูปการณ์แล้ว น่าจะหมายถึงผู้ที่ทันนมาซร็อกอะฮ์แรกพร้อมอิหม่ามนะครับ เพราะผู้ที่ทันนมาซร็อกอะฮ์แรก ก็ถือว่าเขาได้นมาซพร้อมอิหม่ามแล้ว .. 
วัลลอฮุอะอฺลัม

ถาม
อาจารย์ครับฮาดิษข้างต้น นั้นมีสถานะขั้นไหนครับ


ตอบ
หะดีษของท่านอบูซัรฺร์ อัล-ฆิฟารีย์บทนั้น บันทึกโดยท่านอบูดาวูด, ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์, ท่านอิบนุมาญะฮ์, ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์, ท่านอัล-บัยฮะกีย์, ท่านอิบนุนัศร์, และท่านอัล-ฟิรฺยาบีย์ ด้วยสายรายงานที่เศาะเหี๊ยะฮ์ ตามคำกล่าวของท่านอัต-ติรฺมีซีย์และท่านอัล-อัลบานีย์ครับ ...



สถานะของฮาดิษใครส่วมใส่เครื่องรางของขลัง



ตอบโดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม
อัสลามูอะลัยกุม
อาจารย์ครับ รบกวนอาจารย์ช่วยตรวจสอบสถานะของฮาดิษบทนี้ในภาพให้หน่อยครับว่าอยู่ในสถานะอะไร
 ("
مَنْ حَلَفَ بِغَيْرِ اللَّهِ فَقَدْ كَفَرَ أَوْ أَشْرَكَ
"ใครห้อยหรือใส่เครื่องรางของขลังใดๆ แน่นอนเขาได้ทำชิริกแล้ว"   บันทึกหะดิษโดยอะห์มัด และฮากิม)

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม ...
ท่านอัล-อัลบานีย์ได้กล่าวในหนังสือ "อัศ-เศาะหี้หะฮ์" เป็นการวิเคราะห์หะดีษที่ 492 ว่า สายรายงานหะดีษนี้ ถูกต้องครับ วัลลอฮุอะอฺลัม ...


สาเหตุการเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์จาก 11 เป็น 20 ร็อกอะฮ์


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ในกรณีนี้ ผมไม่เคยเจอรายงานใดๆที่ระบุสาเหตุดังกล่าวนี้เอาไว้แม้แต่บทเดียว ...
แต่ในแง่การ "สันนิษฐาน" .. นักวิชาการหลายท่านมองตรงกันว่า สาเหตุที่มีการเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์นมาซตะรอเวี๊ยะห์จาก 11 ร็อกอะฮ์ เป็น 20 ร็อกอะฮ์ในสมัยนั้น อาจเป็นเพราะต้องการแก้ไขปัญหา "ยืนนาน - อ่านยาว" ของอิหม่ามสมัยนั้นที่สร้างความเหนื่อยล้าให้กับมะอฺมูม ...
(ดูข้อมูลจากหนังสือ "ฟัตหุ้ลบารีย์" เล่มที่ 4 หน้า 253, หนังสือ "มัจญมุอฺ ฟะตาวีย์" ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ เล่มที่ 23 หน้า 113, หนังสือ "อัลหาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์" ของท่านอัส-สะยูฏีย์ เล่มที่ 1 หน้า 543 เป็นต้น) ...
ก่อนอื่น ขอเรียนว่า จากการที่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ออกมานำเศาะหาบะฮ์ของท่านนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 3 คืนนั้น มีรายงานที่ถูกต้องว่า ..
ในคืนแรก ท่านจะนำนมาซเสร็จประมาณ 1 ใน 3 ของกลางคืน คือเสร็จประมาณ 4 ทุ่ม
คืนที่สอง ท่านจะนำพวกเขานมาซจนถึงครึ่งคืนหรือเที่ยงคืน ...
คืนที่สาม ท่านจะนำนมาซจนเกือบถึงเวลานมาซซุบฮี่ ...
รายงานดังกล่าวนี้แสดงว่า ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ผ่อนผันให้อุมมะฮ์ของท่านเลือกทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ได้ตามความเหมาะสมและความสามารถของพวกเขา คือใช้เวลาน้อย, ใช้เวลาปานกลาง และใช้เวลานานมาก ...
แต่ไม่ว่าใครจะเลือกเอาเวลาน้อย, เวลาปานกลาง หรือเวลานานมาก ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ทั้งสิ้น ...
จากคำสั่งของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ที่สั่งท่านอุบัยย์และท่านตะมีมให้นำบรรดาเศาะหาบะฮ์นมาซตะรอเวี๊ยะห์กัน 11 ร็อกอะฮ์ ปรากฏว่า - ในช่วงแรกๆ - ท่านอุบัยย์ซึ่งเป็นอิหม่ามนำนมาซฝ่ายผู้ชายเลือกปฏิบัติตามข้อสาม .. คือใช้เวลานานมาก .. เพราะท่านนำพวกเขานมาซกันจนถึงเวลา(เกือบ)ปรากฏแสงอรุณจึงเสร็จสิ้นการนมาซ .. ดังรายงานที่ถูกต้องของท่านอิหม่ามมาลิกในหนังสือ อัล-มุวัฏเฏาะอ์ เล่มที่ 1 หน้า 137 หรือหะดีษที่ 248 ......
จากจุดนี้ จึง "อาจจะ" เป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงจำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์จาก 11 เป็น 20 ภายหลังก็เป็นได้ ...

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า ...
وَأُبَىُّ بْنُ كَعْبٍ لَمَّا أَقَامَ بِهِمْ وَهُمْ جَمَاعَةٌ وَاحِدَةٌ لَمْ يُمْكِنْ أَنْ يُطِيْلَ بِهِمُ الْقِيَامَ، فَكَثَّرُوْاالرَّكَعَاتِ لِيَكُوْنَ ذَلِكَ عِوَضًا عَنْ طُوْلِ الْقِيَامِ، .................فَإِنَّهُ كَانَ يَقُوْمُ بِاللَّيْلِ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً أَوْ ثَلاَثَ عَشْرَةَ رَكْعَةً، ثُمَّ بَعْدَ ذَلِكَ كَانَ النَّاسُ بِالْمَدِيْنَةِ ضَعُفُوْا عَنْ طُوْلِ الْقِيَامِ، فَكَثَّرُوْاالرَّكَعَاتِ، حَتىَّ بَلَغَتْ تِسْعًا وَثَلاَثِيْنَ ...
“และท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์นั้น เมื่อท่านนำพวกเขานมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)เป็นญะมาอะฮ์เดียว ท่านก็ไม่อาจนำพวกเขายืนนมาซนานๆได้ พวกเขาจึงเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์ให้มากขึ้นเพื่อเป็นการทดแทนจากการยืนนานๆ, .................. เนื่องจากท่านอุบัยย์เคยยืนนมาซยามค่ำคืนเพียง 11 ร็อกอะฮ์หรือ 13 ร็อกอะฮ์ หลังจากนั้น(คือหลังจากเคยเพิ่มจาก 11 ร็อกอะฮ์เป็น 23 ร็อกอะฮ์แล้ว) ชาวเมืองมะดีนะฮ์ยังรู้สึกอ่อนล้าจากการยืนนมาซนานๆ พวกเขาจึงเพิ่มร็อกอะฮ์ให้มากขึ้นอีกจนถึง 39 ร็อกอะฮ์” ...
(จากหนังสือ “มัจญมูอุ้ลฟะตาวีย์” ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ เล่มที่ 23 หน้า 113) ...

ชี้แจง
จากคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ข้างต้น พอจะมีคำอธิบายในบางประเด็นดังต่อไปนี้
1. สมมุติว่าถ้าคำอธิบายข้างต้นนี้ถูกต้องต่อความเป็นจริง ก็แสดงว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 23 ร็อกอะฮ์ มิใช่เป็นการกระทำของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ... แต่เป็นสิ่งที่ “เพิ่งบังเกิดขึ้นมา” ในยุคหลังๆ ...
อาจเกิดขึ้นโดยท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. หรืออาจเกิดขึ้นหลังจากสมัยของท่านอุมุรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ตามความขัดแย้งดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้ว ...
2. จากการสันนิษฐาน หรืออีกนัยหนึ่งจากคำอธิบายข้างต้นนี้ (สมมุติว่าถ้าเป็นจริง) ก็แสดงว่า การเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์จาก 11 เป็น 23 ของท่านอุบัยย์ มิใช่เป็นการเพิ่มตามอำเภอใจ แต่มี “สาเหตุ” มาจากการ “ยืนนาน-อ่านยาว” ของอิหม่าม -- คือตัวท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์เอง -- ในแต่ละร็อกอะฮ์ของนมาซ 11 ร็อกอะฮ์ในตอนแรกๆซึ่งทำให้ประชาชนอ่อนล้าและรับไม่ไหว ...
จากสาเหตุดังกล่าวนี้ ท่านอุบัยย์จึงได้แก้ปัญหา .. ด้วยการลดการอ่านซูเราะฮ์ในแต่ละร็อกอะฮ์ให้สั้นลงเพื่อไม่ให้ต้องยืนนาน ขณะเดียวกันก็ทดแทนด้วยการเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์ให้มากขึ้น ทำให้มีการให้สล่ามมากครั้งขึ้น ประชาชนจึงมีเวลาพักมากขึ้นในระหว่างการให้ สล่ามแต่ละครั้ง ...
3. สมมุติถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ว่ามานี้ ก็ขอยืนยันว่า เรื่องการ “ยืนนาน-อ่านยาว” ของอิหม่ามสมัยก่อนที่ประชาชนรับไม่ไหวจนทำให้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนร็อกอะฮ์จาก 11 เป็น 20 ร็อกอะฮ์นั้น ...
ปัจจุบันนี้ .. เหตุผลข้อนี้ ไม่มีแล้ว ...
เพราะคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่ชาวไทยมุสลิมปฏิบัติกันอยู่ในเดือนรอมะฎอนแทบทุกมัสญิดในปัจจุบันนี้ แต่ละคืนจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมง เป็นอย่างสูง ...
เผลอๆบางแห่งหรือบางมัสญิดอาจจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ยังมี ...
และระยะเวลาที่ว่านี้ ก็ทำเหมือนๆกันทั้งนั้น, ไม่ว่าคณะเก่าที่ทำ 23 ร็อกอะฮ์ หรือคณะใหม่ที่ทำ 11 ร็อกอะฮ์ ...
ผมไม่เคยได้รับข่าวคราวเลยว่า มีมัสญิดใดในประเทศไทยที่อิหม่ามจะนำประชาชนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ครั้งละ 8-9 ชั่วโมงจนเกือบถึงเวลานมาซซุบห์ดังสมัยแรกๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อ “เหตุผล” ที่ทำให้จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนร็อกอะฮ์ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนการยืนนมาซในแต่ละร็อกอะฮ์นานๆดังยุคแรกๆหมดไปแล้ว ผมจึงอยากถามว่า ...
เป็นความผิดฉกรรจ์นักหรือหากผู้ใดจะหันกลับไปนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ เพื่อเป็นการปฏิบัติตาม "ซุนนะฮ์” ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และปฏิบัติตาม "คำสั่ง" ของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.?? ...
หรือที่มันผิด เพราะ "หลักการ" ข้อนี้ มันไม่ตรงกับ "หลักกู" ของพวกท่าน ? ..



วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิเคราะห์หลักฐานนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในสมัยท่านอุมัรฺ ร.ฎ.


โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย .. (ต่อจากตอนที่แล้ว) ..

สรุปแล้ว รายงานนมาซ 11 ร็อกอะฮ์ในสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. - ไม่ว่าจะเป็นรายงานจาก "คำสั่ง" ของท่าน หรือรายงานจาก "การกระทำ" ของประชาชนในสมัยของท่าน, และไม่ว่าจะมองในแง่มุมการ "รวม" หะดีษ หรือแง่มุมการ "เน้นน้ำหนัก" หะดีษ - คือหลักฐานชัดเจนว่า ...
นมาซ 11 ร็อกอะฮ์เป็นนมาซตะรอเวี๊ยะห์ !!! ...
ในแง่มุมการรวมหะดีษ ก็ดังที่ได้อธิบายไปแล้วว่า หมายถึงในช่วงแรก ท่านอุมัรฺได้สั่งให้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ นำประชาชนนมาซ (???) .. 11 ร็อกอะฮ์ก่อน แล้วภายหลัง ก็มีการเพิ่มร็อกอะฮ์เป็น 20 ร็อกอะฮ์ ...
11 ร็อกอะฮ์ที่ทำกันในช่วงแรก และ 20 ร็อกอะฮ์ที่ทำกันในช่วงหลัง จะเป็นนมาซอะไรถ้าไม่ใช่นมาซตะรอเวี๊ยะห์ ? ...
หรือในแง่มุมการ "เน้นน้ำหนัก" หะดีษที่มองว่า คำสั่งเรื่องนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ก็ดี, หรือประชาชนในสมัยของท่านนมาซตะรอเวี๊ยะห์กัน 20 ร็อกอะฮ์ เป็นรายงานที่เฎาะอีฟทั้ง 2 กรณี ...
ก็แสดงว่า รายงานที่ "ถูกต้อง" ก็คือ ท่านอุมัรฺได้สั่งให้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ นำประชาชน "นมาซตะรอเวี๊ยะห์" 11 ร็อกอะฮ์ และมีการกระทำกันอย่างนี้ตลอดสมัยของท่าน ...
ส่วนที่เศาะหาบะฮ์บางท่าน (ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ ? ดังข้อมูลที่จะถึงต่อไป) มาทำเพิ่มเป็น 20 ร็อกอะฮ์ ก็เป็นการกระทำเพิ่มในสมัยหลังจากท่านอุมัรฺแล้ว (ดังข้อมูลที่จะถึงต่อไปอีกเช่นกัน) ...
และนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ที่ท่านอุมัรฺสั่งให้ทำนี้ ท่านจะเอามาจากไหนถ้าไม่ได้รับมาจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ?...
ส่วนกรณีคำถามของท่านอบีย์สะละมะฮ์ ที่ถามท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ถึงการนมาซยามค่ำคืนในเดือนรอมะฎอนของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม .. (แล้วท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ก็ตอบว่า ท่านศาสดาไม่เคยทำนมาซกลางคืน - ไม่ว่าในเดือนรอมะฎอนหรือมิใช่เดือนรอมะฎอน - เกินกว่า 11 ร็อกอะฮ์) .. ก็เป็นการถามเรื่องนมาซ "ในภาพรวมทั้งหมด" ตอนกลางคืนเดือนรอมะฎอนของท่านศาสดา, มิใช่เป็นการถามเฉพาะเจาะจงเรื่องนมาซใด ...
แล้วเราเอาหลักฐานจากไหนมาอธิบายว่า คำถามนั้นและคำตอบนั้น "เฉพาะเจาะจง" เรื่องจำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซวิตรี่ ??? ..
ท่านไม่เข้าใจจริงๆหรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจว่า การเรียกนมาซยามค่ำคืนเดือนรอมะฎอนว่า "นมาซตะรอเวี๊ยะห์" นี้ เป็นศัพท์ที่เพิ่งมาเรียกกันยุคหลังๆ ?? ....
ส่วนในสมัยท่านศาสดา จะรู้จักนมาซยามค่ำคืนในเดือนรอมะฎอน (ที่คนยุคหลังเรียกนมาซตะรอเวี๊ยะห์) กันในนาม "กิยามุรอมะฎอน" หรือ "ศ่อลาตุรอมะฎอน" ดังที่ท่านอบีย์สะละมะฮ์ ถามท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. นั่นแหละ ...
สรุปแล้ว ท่านจะปฏิเสธความจริงต่อไปไม่ได้อีกแล้วว่า นมาซ 11 รอกอะฮ์ที่ท่านอุมัรฺสั่งท่านอุบัยย์และท่านตะมีมนำประชาชนนมาซกันก็คือ นมาซตะรอเวี๊ยะห์ !!!...
และจำนวน 11 ร้อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์นี้ ท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ก็รับเอามาจากการกระทำหรือ "ซุนนะฮ์" ของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังรายงานของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ...
และตามข้อเท็จจริงในปัจจุบันนี้ .. ผู้นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์นี้ก็ไม่มีผู้ใด "ผูกขาด" หรือหุก่มว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์เกินกว่า 11 ร็อกอะฮ์ ทำไม่ได้ ...
ตรงกันข้าม พวกเขายอมรับว่า นมาซ 20 ร็อกอะฮ์ก็เป็นนมาซตะรอเวี๊ยะห์ ...
แต่ที่เลือกนมาซตะรอเวี๊ยะห์กัน 11 ร็อกอะฮ์เพราะถือว่า มันเป็นแบบอย่างมาจากท่านศาสดา ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ....
ส่วนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์หรือมากกว่านั้น แม้จะใช้ได้ แต่ก็เป็นแบบอย่างมาจากเศาะหาบะฮ์ท่านใดก็ไม่รู้ .. ดังนัยยะจากคำกล่าวของท่านอิหม่ามมาลิก บินอนัส ที่จะถึงต่อไป ..
จะให้เชื่อว่า แบบอย่างของเศาะหาบะฮ์ (ต่อให้เป็นท่านอุมัรฺเองก็เถอะ) ดีกว่าแบบอย่างของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กระนั้นหรือ ??? ...
แล้วเราจะนำเอาหะดีษของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า .. "และทางนำที่ "ดีเลิศ" ที่สุด ก็คือทางนำของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" .. ไปวางไว้ตรงไหน ?
และ .. ขอถามจริงๆเถิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจากนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในประเทศไทยในปัจจุบัน เพราะใครหุก่มใครกันแน่ ?? ...
ผู้นมาซ 11 ร็อกอะฮ์ หุก่มผู้นมาซ 20 ร็อกอะฮ์ว่า ไม่ใช่นมาซตะรอเวี๊ยะห์ ???
หรือผู้นมาซ 20 ร็อกอะฮ์ หุก่มผู้นมาซ 11 ร็อกอะฮ์ว่า ไม่ใช่นมาซตะรอเวี๊ยะห์ ???
ผมจะรอคำตอบแบบลูกผู้ชายจากท่าน ...


นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เกิดขึ้นสมัยท่านอุมัรฺจริงหรือ? (ตอนที่ 2)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ดังได้อธิบายผ่านมาแล้วว่า รายงาน "คำสั่ง" ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ที่สั่งให้ท่านอุบัยย์ อิบนุกะอฺบ์และท่านตะมีมอัด-ดารีย์นำประชาชนนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เป็นรายงานที่เฎาะอีฟ ...
ที่ถูกต้องคือท่านอุมัรฺ "สั่ง" บุคคลทั้งสองให้นำนมาซเพียง 11 ร็อกอะฮ์ ...
ส่วนรายงาน "การกระทำ" ของประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺที่ยังขัดแย้งกันว่า พวกเขานมาซตะรอเวี๊ยะห์กัน 11 ร็อกอะฮ์หรือ 20 ร็อกอะฮ์ ? .. ซึ่งนักวิชาการได้หาทางออกในเรื่องนี้เป็น 2 แนวทาง คือ "เน้นน้ำหนัก" หรือ "รวมหะดีษ" ดังที่อธิบายผ่านมาแล้วเช่นเดียวกัน จึงไม่ขออธิบายซ้ำอีก ...
ณ ที่นี้ ผมจะนำแนวทางการ "รวมหะดีษ" ของท่านอัล-บัยฮะกีย์มาวิเคราะห์ "ความเป็นไปได้" และขออนุญาตนำคำกล่าวของท่านอัล-บัยฮะกีย์มากล่าวซ้ำอีกครั้งดังนี้ ..
ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้กล่าวในหนังสือ "อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์" เล่มที่ 2 หน้า 496 มีข้อความว่า ...
وَيُمْكِنُ الْجَمْعُ بَيْنَ الرِّوَايَتَيْنِ، فَإِنَّهُمْ كَاُنْوا يَقُوْمُوْنَ بِإِحْدَى عَشْرَةَ، ثُمَّ كَانُوْا يَقُوْمُوْنَ بِعِشْرِيْنَ وَيُوْتِرُوْنَ بِثَلاَثٍ وَاللهُ أَعْلَمُ
"เป็นไปได้ในการรวมสองรายงาน(ที่ขัดแย้งกัน)นี้ว่า พวกเขา (ประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ) เคยยืนนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)กัน 11 ร็อกอะฮ์ก่อน, หลังจากนั้น พวกเขาก็ยืนนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)กัน 20 ร็อกอะฮ์และนมาซวิเตรฺอีก 3 ร็อกอะฮ์ วัลลอฮุ อะอฺลัม" ...
วิเคราะห์
คำกล่าวของท่านอัล-บัยฮะกีย์ข้างต้น นอกจากจะเป็นการยืนยันว่า นมาซ 11 ร็อกอะฮ์ คือนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่เคยปฏิบัติกันในสมัยท่านอุมัรฺแล้ว การรวมหะดีษยังสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ตามหลักวิชาการหะดีษ คือ หากหะดีษบทใดซึ่งมีรายงานมาหลายกระแสมีเนื้อหาขัดแย้งกันเอง ก็ให้หาทางออกด้วยการ "รวมหะดีษ" ก่อน หากรวมกันไม่ได้จึงค่อยใช้วิธีการ "การเน้นน้ำหนัก" ...
แต่การ "รวมหะดีษ" ในกรณีนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้ ...
1. การรวมหะดีษของท่านอัล-บัยฮะกีย์ในกรณีนี้ แม้ว่าจะเป็นไปได้ในแง่วิชาการ - แต่ในด้านข้อเท็จจริง - ถือว่ายังไม่ชัดเจนหรือยังไม่เคลียร์ ...
เหตุผลที่ผมกล่าวว่า "ไม่ชัดเจน" มีดังต่อไปนี้ ...
1. ท่านอัส-สะยูฎีย์ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟี ศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะฮ์” (เล่มที่ 1 หน้า 542 จากหนังสือ “อัล- หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์”) ว่า ...
وَقَالَ الْجُوْرِىُّ _ مِنْ أَصْحَابِنَا _ عَنْ مَالِكٍ أَنَّهُ قَالَ : اَلَّذِىْ جَمَعَ عَلَيْهِ النَّاسَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ أَحَبُّ إِلَىَّ، وَهِىَ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً! وَهِىَ صَلاَةُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، قِيْلَ لَهُ : إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً مَعَ الْوِتْرِ؟ قَالَ : نَعَمْ، وَثَلاَثَ عَشْرَةَ قَرِيْبٌ، قَالَ : وَلاَ أَدْرِىْ مِنْ أَيْنَ أُحْدِثَ هَذَاالرُّكُوْعُ الْكَثِيْرُ؟ ...
ท่านอัล-ญูรีย์ซึ่งเป็นนักวิชาการมัษฮับของเราท่านหนึ่ง(คือมัษฮับชาฟิอีย์) กล่าวรายงานมาจากท่านอิหม่ามมาลิกว่า ..
“สิ่งซึ่งท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ให้ประชาชนกระทำร่วมกันเป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุด นั่นคือ 11 ร็อกอะฮ์! และนั่นก็เป็นนมาซของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, มีบางคนกล่าวถามท่านว่า .. 11 ร็อกอะฮ์พร้อมกับวิตรี่ด้วยใช่ไหม? .. ท่านตอบว่า ใช่, และ 13 ร็อกอะฮ์ก็ใกล้เคียงกัน, (ท่านอิหม่ามมาลิกกล่าวต่อไปว่า) .. “ฉันไม่รู้เลยว่า จำนวนร็อกอะฮ์อันมากมายเหล่านี้ มันถูกริเริ่มมาจากไหน?” ...
ขนาดท่านอิหม่ามมาลิก (เกิดปี ฮ.ศ. 93 สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 179) ซึ่งถือว่าเป็นคนในยุคแรกๆยังไม่ทราบเลยว่า จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่ทำกัน 23 ร็อกอะฮ์บ้าง, 39 ร็อกอะฮ์บ้างนั้นใครคือผู้ริเริ่มขึ้นมา และริเริ่มขึ้นมาสมัยไหน ...
แล้วพวกเราในยุคหลังๆนี้จะไป "ฟันธง" ได้อย่างไรว่า เป็นการกระทำโดยคำสั่งของท่านอุมัรฺ ?? หรือในสมัยของของท่านอุมัรฺ ?? ...
2. เพราะความเข้าใจที่ว่านมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์เกิดขึ้นในสมัยท่านอุมัรฺ ขัดแย้งกับรายงานอื่นๆที่กล่าวว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์นั้น เกิดขึ้นหลังจากสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.แล้ว !!! ...
ท่านอัซ-ซุบกีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ชัรฺหุ มินฮาจญ์” ว่า ...
وَرَأَيْتُ فِىْ كِتَابِ سَعِيْدِ بْنِ مَنْصُوْرٍ آثَارًا فِىْ صَلاَةِ عِشْرِيْنَ رَكْعَةً، وَسِتٍّ وَثَلاَثِيْنَ رَكْعَةً، لَكِنَّهَا بَعْدَ زَمَانِ عُمَرَ بْنِ الخْطَاَّب ِ...
“ฉันได้เห็นร่องรอย(คือรายงาน)ต่างๆมากมาย ในตำราของท่านสะอีด บินมันศูรฺ เรื่อง(การนมาซตะรอเวี๊ยะห์) 20 ร็อกอะฮ์ และ 36 ร็อกอะฮ์, แต่ทว่า ร่องรอยเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ เกิดขึ้น "หลัง" จากยุคของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.แล้ว” ...
(จากหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟีศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะห์” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ เล่มที่ 1 หน้า 543) ...
3. ท่านอิบนุอบีย์อัด-ดุนยา ได้บันทึกไว้เช่นกันในหนังสือ “ฟะฎออิลุ รอมะฎอน” จากท่านฮุชัยม์ บินบะชีรฺ .. โดยสืบสายรายงานถึงท่านอะฏออ์ บินอบีย์รอบาห์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 114), .. และท่านยูนุส บินอุบัยด์ บินดีนารฺ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 139) ว่า ท่านทั้งสองเคยเห็นเศาะหาบะฮ์ (และตาบิอีน) นมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) กันในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์ ..
ท่านอะฏออ์ บินอบีย์รอบาห์เป็นตาบิอีนรุ่นกลางๆ, ส่วนท่านยูนุส บินอุบัยด์เป็นตาบิอีนรุ่นเยาว์ ซึ่งทั้ง 2 ท่านเกิดหลังจากการสิ้นชีวิตของท่านอุมัรฺแล้ว ...
(ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. สิ้นชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 23) ...
ดังนั้น ที่ทั้งสองท่านอ้างว่า เคยเห็น "เศาะหาบะฮ์" และตาบิอีน(บางกลุ่ม)ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ (ถ้ารายงานนี้ถูกต้อง) ก็ต้องเป็นเหตุการณ์หลังจากยุคของท่านคอลีฟะฮ์อุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. อย่างแน่นอน ...
จากข้อมูลทั้ง 3 ประการข้างต้นนี้ จึงทำให้ไม่สามารถฟันธงได้ว่า นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เกิดขึ้นในสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
แต่ .. ไม่ว่าการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮจะเกิดขึ้นในสมัยท่านอุมัรฺ หรือสมัยหลังจากท่านอุมัรฺ และไม่ว่าใครจะเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมาก็ตาม ...
สิ่งที่นักวิชาการมีความเห็นสอดคล้องกัน และสามารถฟันธงได้ก็คือ นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เกิดขึ้นโดย "เศาะหาบะฮ์" ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...
และผู้ริเริ่มมันขึ้นมา อาจเป็นท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ ร.ฎ.(ดังรายงานจากท่านอับดุลอะซีซ บินรุฟัยอฺ) และเป็นการกระทำหลังจากท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. สิ้นชีวิตไปไม่นาน จึงเป็นเหตุการณ์คาบเกี่ยวกับสมัยท่านอุมัรฺ ก็เป็นได้ ...
จึงเป็นการไม่สมควรที่ผู้ใดจะไปกล่าวหาว่า การนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ เป็นบิดอะฮ์ เพราะเท่ากับเป็นการกล่าวหาเศาะหาบะฮ์ว่าทำบิดอะฮ์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและเท่ากับเป็นการไม่ให้เกียรติเศาะหาบะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ...


ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ ทำละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์จริงหรือ ? (ตอนที่ 1)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย ...

ประเด็นที่สอง การกระทำของประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.
(ก) หลักฐานประชนในสมัยท่านอุมัรฺ ทำนมาซตะรอเวี๊ยะห์ 11 ร็อกอะฮ์ ...
1. ท่านสะอีด บินมันศูรฺ ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” โดยรายงานจากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ว่า ...
كُنَّا نَقُوْمُ فِىْ زَمَنِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ بِإِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً
“พวกเราทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) กันในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. 11 ร็อกอะฮ์” ...
(จากหนังสือ “ตุ๊ห์ฟะตุ้ล อะห์วะซีย์” เล่มที่ 3 หน้า 530) ...
ท่านอัส-สะยูฏีย์ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟีศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะห์” ซึ่งรวมชุดอยู่ในหนังสือ “อัล-หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์” เล่มที่ 1 หน้า 542 เพื่อท้วงติงท่านอัล-บัยฮะกีย์และท่านอื่นๆที่อ้างรายงานจากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ด้วยสายรายงานที่ถูกต้องว่า พวกท่านได้นมาซตะรอเวี๊ยะห์ในสมัยท่านอุมุรฺ 20 ร็อกอะฮ์ โดยท่านอัส-สะยูฏีย์ ได้กล่าวท้วงติงว่า ...
وَلَكِنْ فِى الْمُوَطَّأِ وَفِىْ مُصَنَّفِ سَعِيْدِ بْنِ مَنْصُوْرٍ بِسَنَدٍ فِىْ غَايَةِ الصِّحَّةِ عَنْ السَّائِبِ بْنِ يَزِيْدَ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً ...
“แต่ .. มีปรากฏในหนังสืออัล-มุวัฎเฎาะอ์(ของท่านอิหม่ามมาลิก) และหนังสืออัล-มุศ็อนนัฟของท่านสะอีด บินมันศูรฺ “ด้วยสายรายงานที่ถูกต้องสุดๆ” (จากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ) จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด(ที่กล่าว)ว่า (พวกเราทำตะรอเวี๊ยะห์กันในสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ) 11 ร็อกอะฮ์” ...
คำว่า "ด้วยสายรายงานที่ถูกต้องสุดๆ" ของท่านอัส-สยูฏีย์ ท่านหมายถึงสายรายงานของหะดีษบทข้างต้นนี้ ..
รายงานนี้จึงถือว่า เป็นรายงานที่เศาะเหี๊ยะฮ์ (ถูกต้อง) ที่สุดที่รายงานมาเกี่ยวกับการละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ของประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ...
(ข) หลักฐานประชนในสมัยท่านอุมัรฺ นมาซตะรอเวี๊ยะห์ 20 ร็อกอะฮ์ ...
1. ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้บันทึกรายงานไปจนถึงท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ว่า ...
كَانُوْا يَقُوْمُوْنَ عَلَى عَهْدِ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ فِىْ شَهْرِ رَمَضَانَ بِعِشْرِيْنَ رَكْعَةً
“ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) ในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์”
(บันทึกโดย ท่านอัลบัยฮะกีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์” เล่มที่ 2 หน้า 496 และท่านอิบนุลญุอฺดิ ในหนังสือ “อัล-มุสนัด” เล่มที่ 1 หน้า 413) ...
สายรายงานนี้เป็นสายรายงานที่ถูกต้อง ดังคำกล่าวของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ในหนังสืออัล-มัจญมุอฺ เล่มที่ 4 หน้า 32 - 33) ...
และรายงานนี้ ถือเป็น “หลัก” สำคัญที่สุดของผู้ที่มีทัศนะว่า จำนวนร็อกอะฮ์ของนมาซตะรอเวี๊ยะห์ที่ประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ ร.ฎ.ปฏิบัติกัน คือ 20 ร็อกอะฮ์ ...
ทว่า ประเด็นสำคัญ อยู่ที่ "ความขัดแย้ง" ในการรายงานระหว่างท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ กับท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ โดยท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์อ้างว่า ท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. กล่าวว่า ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) ในเดือนรอมะฎอน 20 ร็อกอะฮ์ ...
แต่ท่านมุหัมมัด บินยุซูฟ (จากหะดีษบทก่อนหน้านี้) อ้างว่า ท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. กล่าวว่า ประชาชนในสมัยของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ทำนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์) ในเดือนรอมะฎอน 11 ร็อกอะฮ์ ...
ทางออกของความขัดแย้งในกรณีนี้ - ตามหลักวิชาการ - จะมี 2 แนวทางคือ ...
ก. เน้นน้ำหนัก (اَلتَّرْجِيْحُ) ...
ข. รวมหะดีษ (اَلْجَمْعُ) ...
การเน้นน้ำหนักก็คือ การพิจารณาดูความน่าเชื่อถือของผู้รายงานที่ขัดแย้งกันนั้นว่า รายงานของใครจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า ก็ให้ยึดถือรายงานของท่านนั้นและปัดรายงานที่ขัดแย้งทิ้งไป ...
ถ้าจะยึดถือตามแนวทางนี้ ก็ปรากฏว่า ท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ ผู้รายงาน 11 ร็อกอะฮ์ มีคุณสมบัติน่าเชื่อถือกว่าท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ผู้รายงาน 20 ร็อกอะฮ์ ...
เพราะท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ เป็นหลาน (ลูกน้องสาว) ของท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. การรายงานของท่านจากน้าชายของท่านจึงย่อมมีน้ำหนักมากกว่ารายงานของผู้อื่น ...
นอกจากนั้น ท่านอิบนุหะญัรฺ อัลอัสเกาะลานีย์ ก็ได้ให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือแก่ท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ มากกว่าท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ โดยท่านอิบนุหะญัรฺได้สรุปคุณสมบัติของท่านมุหัมมัด บินยูซุฟไว้ในหนังสือ "ตักรีบุต ตะฮ์ซีบ เล่มที่ 2 หน้า 221 ว่า ...
ثِقَةٌ، ثَبْتٌ
คือ เชื่อถือได้, แน่นอนมาก ...
ขณะเดียวกัน ท่านอิบนุหะญัรฺ ได้สรุปคุณสมบัติของท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ ไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน หน้า 367 มีข้อความสั้นๆเพียงว่า ...
ثِقَةٌ
คือ เชื่อถือได้ ..
โดยนัยนี้ - ตามหลักวิชาการ - รายงาน 11 ร็อกอะฮ์ของท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ จึงมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือกว่ารายงาน 20 ร็อกอะฮ์ของท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ ...
ดังนั้น ข้อความจากการรายงาน 20 ร็อกอะฮ์ของท่านยะซีด บินคุศ็อยฟะฮ์ จึงถือว่าเป็นข้อความที่ผิดเพี้ยน (شَاذٌّ) ซึ่งถือเป็นรายงานที่เฎาะอีฟ และรายงาน 11 ร็อกอะฮ์ของท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ จึงเป็นรายงานที่ถูกต้อง (مَحْفُوْظٌ) ...
นักวิชาการหะดีษที่ยึดถือแนวทางการเน้นน้ำหนักดังกล่าว - เท่าที่ผมอ่านเจอ - ได้แก่ท่านมุบาร็อกปูรีย์ ในหนังสือ ตุห์ฟะตุ้ลอะห์วะซีย์ และท่านเช็คมุหัมมัด นาศิรุดดีน อัล-อัลบานีย์ในหนังสือ เศาะลาตุตตะรอเวี๊ยะห์ ...
แต่นักวิชาการบางท่าน อาทิเช่นท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้ยึดถือแนวทางการ "รวมหะดีษ" อันเป็นแนวทางที่มีควรปฏิบัติก่อนแนวทางอื่นตามหลักวิชาการหะดีษซึ่งผมก็เห็นด้วย ...
( แต่แนวทางนี้, ในกรณีนี้, ยังมีปัญหาบางประการที่จะต้องพิจารณา ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปตอนท้าย อินชาอัลลอฮ์) ..
โดยท่านอัล-บัยฮะกีย์ ได้กล่าวในหนังสือ "อัส-สุนัน อัล-กุบรออ์" เล่มที่ 2 หน้า 496 มีข้อความว่า ...
وَيُمْكِنُ الْجَمْعُ بَيْنَ الرِّوَايَتَيْنِ، فَإِنَّهُمْ كَاُنْوا يَقُوْمُوْنَ بِإِحْدَى عَشْرَةَ، ثُمَّ كَانُوْا يَقُوْمُوْنَ بِعِشْرِيْنَ وَيُوْتِرُوْنَ بِثَلاَثٍ وَاللهُ أَعْلَمُ
"เป็นไปได้ในการรวมสองรายงาน(ที่ขัดแย้งกัน)นี้ว่า พวกเขา (ประชาชนในสมัยท่านอุมัรฺ) เคยยืนนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)กัน 11 ร็อกอะฮ์ก่อน, หลังจากนั้น พวกเขาก็ยืนนมาซ(ตะรอเวี๊ยะห์)กัน 20 ร็อกอะฮ์และนมาซวิเตรฺอีก 3 ร็อกอะฮ์ วัลลอฮุ อะอฺลัม" ...
นักวิชาการบางท่านในประเทศไทย ได้นำข้อมูลการรวมหะดีษของท่านอัล-บัยฮะกีย์ข้างต้นมาสนับสนุนและยอมรับว่าเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ลืมเฉลียวใจว่า การยอมรับความถูกต้องการรวมหะดีษของท่านอัล-บัยฮะกีย์ในกรณีนี้ กลับสร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง ตลอดจนผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในตัวท่านชนิดกลืนไม่เข้า - คายไม่ออกตลอดไปจนกว่าจะ "กล้า" ยอมรับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือ ...
1. การเห็นด้วยและยอมรับความถูกต้องในการรวมหะดีษของท่านอัล-บัยฮะกีย์ ก็เท่ากับการยอมรับว่า "นมาซ 11 ร็อกอะฮ์คือนมาซตะรอเวี๊ยะห์จริง" .. เคยมีการปฏิบัติกันจริงในช่วงแรกๆของสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็น 20 ร็อกอะฮ์ภายหลัง ..
2. เมื่อยอมรับว่า การนมาซ 11 ร็อกอะฮ์เป็นนมาซตะรอเวี๊ยะห์ ท่านจะว่าอย่างไรในข้อเขียนของท่านและการบรรยายของท่าน ตลอดจนข้อเขียนของสานุศิษย์ของท่านในเฟสที่กล่าว "คัดค้านหัวชนฝา" ตลอดมาว่า ..
การนมาซ 11 ร็อกอะฮ์ ไม่ใช่นมาซตะรอเวี๊ยะห์ ! ....
ท่านจะอธิบายอย่างไรในการขัดขาตัวเองในครั้งนี้ ...
3. และเมื่อยอมรับว่า นมาซ 11 ร็อกอะฮ์เป็นนมาซตะรอเวี๊ยะห์ซึ่งเคยมีการปฏิบัติกันในสมัยท่านอุมัรฺ ก็ขอถามว่า จำนวน 11 ร็อกอะฮ์ของตะรอเวี๊ยะห์ดังกล่าวนี้ ท่านอุมัรฺเอามาจากไหน ถ้าไม่ใช่รับมาจากการกระทำของท่านนบีย์ ?..
สอดคล้องกับรายงานของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ.ที่ว่า ท่านนบีย์ไม่เคยนมาซยามค่ำคืนเกิน 11 ร็อกอะฮ์ ไม่ว่าในเดือนรอมะฎอน (ที่ปัจจุบันเรียกกันว่านมาซตะรอเวี๊ยะฮ์)หรือนอกเดือนรอมะฎอน (ที่ปัจจุบันเรียกกันว่า กิยามุลลัยล์) ใช่หรือไม่ !!!...


วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

จุฬาราชมนตรี เป็นผู้นำทางศาสนาอิสลามในประเทศไทยหรือ ?



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถ้าท่านจะให้ผมตอบคำถามนี้ในลักษณะแบบกำปั้นทุบดิน ผมก็ต้องตอบว่า ...
1. ถ้าไม่ให้ท่านจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำทางศาสนาแล้ว จะให้ท่านเป็นผู้นำทางไหนล่ะครับ ? ...
2. การที่่บุคคลใดไม่ยอมรับจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำมุสลิมในประเทศไทย ก็เป็นเรื่องของ่เขา ...
แต่ผมมั่นใจว่า มุสลิมในประเทศไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยอมรับท่านจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำครับ ! ...
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเคยกล่าวว่า ...
عَلَيْكُمْ بِالْجَمَاعَةِ، وَإِيَّاكُمْ وَالْفِرْقَةَ، فَإِنَّ الشَّيْطَانَ مَعَ الْوَاحِدِ .........
“จำเป็นสำหรับพวกท่านจะต้องยึดถือ(ประชาชน)ส่วนใหญ่ไว้ และพวกท่านพึงระวังการปลีกตัว(ออกจากส่วนใหญ่) เพราะแท้จริง ชัยฏอนนั้นมันจะอยู่กับผู้ที่โดดเดี่ยว .............”
(บันทึกโดย ท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 26, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 2268, และท่านอื่นๆด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนของท่านอัต-ติรฺมีซีย์)
แต่ถ้าจะให้ผมตอบปัญหานี้ตามหลักฐาน, หลักการและเหตุผล ผมก็ขอย้อนถามท่านก่อนว่า ...
ทำไมท่านจึงคิดว่า จุฬาราชมนตรีไม่ใช่ผู้นำมุสลิมในประเทศไทย ?? ...
ผมเชื่อว่า คำตอบของท่านคงจะอยู่ในประเด็นใดประเด็นหนึ่งของ 4 ประเด็นต่อไปนี้ คือ ...
1. เพราะที่มาของตำแหน่งจุฬาฯ ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ, แต่ถูกต้องตามกฎหมายกาเฟรฺเท่านั้น (ขออภัยที่ใช้คำว่า “กฎหมายกาเฟรฺ” แทนคำว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้ตรงต่อความเป็นจริงตามคำพูดของผู้กล่าวหา)
2. เพราะที่มาของตำแหน่งจุฬาฯ ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ, และไม่ถูกต้องตามกฎหมายกาเฟรฺ ...
3. เพราะที่มาของตำแหน่งจุฬาฯ ถูกต้องตามบทบัญญัติ, แต่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายกาเฟรฺ ...
4. เพราะที่มาของตำแหน่งจุฬาฯ ถูกต้องตามบทบัญญัติด้วย, และถูกต้องตามกฎหมายกาเฟรฺด้วย ...
ผมมั่นใจว่า คำตอบของท่าน คงเป็นข้อที่ 1 .. นั่นคือ เพราะที่มาของตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ, แต่ถูกต้องตามกฎหมายกาเฟรฺเท่านั้น จึงยอมรับไม่ได้ ...
หากคำตอบของท่านเป็นอย่างนี้ ผมก็อยากจะให้ท่านช่วยอธิบายว่า ข้ออ้างของท่านที่ว่า “ที่มาของตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ” นั้น ไม่ถูกต้องตรงไหน ? อย่างไร ? ...
ในทัศนะผม เห็นว่า ที่มาของตำแหน่งจุฬาราชมนตรีนั้น ถูกต้องทั้งบทบัญญัติ, และถูกต้องตามกฎหมายกาเฟรฺด้วย ...
เหตุผลของผมเป็นอย่างนี้ครับ ...
ก่อนอื่น ท่านต้องไม่ปฏิเสธความจริงว่า พื้นฐานเรื่องของผู้นำไม่ใช่เป็นเรื่องอิบาดะฮ์ซึ่งมีหลักการตายตัว แต่เป็นเรื่องของการปกครองซึ่งยืดหยุ่นได้, เปลี่ยนแปลงได้
เพราะฉะนั้นวิธีการได้มาซึ่งผู้นำก็ดี, ปัจจัยแวดล้อมเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้นำก็ดี จึงย่อมมีการยืดหยุ่นหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคตามสมัยและการปกครองของแต่ละ ประเทศ ไม่มีวันคงที่ตลอดกาลเหมือนอิบาดะฮ์ ...
แต่จุดสำคัญก็คือ .. ผู้นำของมุสลิม จะต้องมาจากการคัดเลือกและการยอมรับของมุสลิมส่วนใหญ่ (หรือทั้งหมด) ...
ในระบอบอิสลามของเราเอง วิธีการได้มาซึ่งผู้นำก็ใช่ว่าจะคงที่หรือมีแค่วิธีการเดียวเมื่อไร ...
เพราะหลังจากการสิ้นชีวิตของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การเป็นผู้นำ (คอลีฟะฮ์)ของท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. เกิดจากการนำร่องให้สัตยาบันของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. ก่อนเป็นคนแรก ต่อจากนั้น ประชาชนทั้งหมดก็ให้สัตยาบันถัดมาตามลำดับ ซึ่งวิธีการนี้ ได้มีการปฏิบัติสืบต่อมาในการเป็นผู้นำของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. เช่นเดียวกัน ...
ตอนที่ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. จะสิ้นชีวิต วิธีการได้มาของตำแหน่งผู้นำก็มีการเปลี่ยนแปลง โดยท่านอุมัรฺได้แต่งตั้งคณะบุคคลขึ้น 6 ท่าน (เรียกว่า อะฮ์ลุชชูรออ์) เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่ผู้นำหลังจากท่าน ...
อะฮ์ลุชชูรออฺประกอบขึ้นจากท่านอุษมาน, ท่านอะลีย์, ท่านฏอลหะฮ์, ท่านอัซ-ซุบัยร์, ท่านอับดุรฺเราะห์มาน, และท่านซะอัด ...
ผลการคัดเลือก ผู้นำตกเป็นของท่านอุษมาน บินอัฟฟาน ร.ฎ. ต่อมาประชาชนจึงมีการให้สัตยาบันกันภายหลัง ...
หลังจากนั้น ตำแหน่งผู้นำในหลายประเทศของอิสลามก็มีการเปลี่ยนมาเป็นระบบกษัตริย์ โดยมีการสืบทอดตำแหน่งต่อๆกันมา และบางประเทศของอิสลามก็เปลี่ยนผู้นำเป็นระบอบประธานาธิบดี อันมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ...
สรุปแล้วจะเห็นได้ว่า วิธีการได้มาซึ่งตำแหน่งผู้นำของอิสลาม มีการเปลี่ยนแปลงได้ “หลายรูปแบบ” ตามยุคสมัย ..
แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม - อื่นจากระบอบกษัตริย์ที่มีการสืบทอดตำแหน่งแล้ว ...
สุดท้าย ก็ “ผ่านการคัดเลือกมาจากประชาชน” ทั้งสิ้น ...
ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในยุคปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน .. คือ ต้องเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมาจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุก จังหวัด, กรรมการอิสลามประจำจังหวัดก็มาจากการคัดเลือกของกรรมการอิสลามประจำมัสยิด และกรรมการอิสลามประจำมัสยิดก็มาจากการคัดเลือกของสัปปุรุษในแต่ละท้องที่ ตามลำดับ ...
ทุกขั้นตอน เป็นสิทธิ์ของมุสลิมเราที่จะจัดการกันเอง ...
การคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีของคณะกรรมการอิสลามประจำ จังหวัด รัฐบาลก็ไม่เข้ามาก้าวก่ายหรือชี้นำ แต่จะปล่อยให้มีการคัดเลือกกันอย่างอิสระตามดุลยพินิจของคณะกรรมการอิสลาม ประจำจังหวัดทุกจังหวัดเหล่านั้น ...
ต่อเมื่อการคัดเลือกของพวกเรา - คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัดที่เป็นมุสลิมล้วนๆ - เสร็จเรียบร้อยแล้ว การทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงเกิดขึ้นภายหลัง ...
สรุปแล้ว คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดที่ทำหน้าที่คัดเลือกผู้ใดเข้ามารับตำแหน่ง จุฬาราชมนตรี ก็คล้ายๆกับอะฮ์ลุชชูรออฺในสมัยของท่านอุมุรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. นั่นเอง ...
ไม่ใช่กาเฟรฺคนใดทั้งสิ้น ...
เพราะฉะนั้น ผมขอถามว่า .. ตรงไหนหรือครับที่จะกล่าวได้ว่า ที่มาของตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ ? ...
การมอง “ด้านเดียว” เพียงว่า ตำแหน่งจุฬาราชมนตรี เกิดจากการ “แต่งตั้ง” ตามกฎหมายกาเฟรฺ โดยไม่พิจารณาดูที่มาก่อนถึงการลงพระปรมาภิไธย ผมจึงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและเป็นความอคติกันมากกว่า ...
ในความเห็นส่วนตัวของผม (ไม่ใช่จะมองท่านในแง่ร้าย หากไม่พอใจก็ขออภัย) .. ผู้ที่ไม่ยอมรับตำแหน่งจุฬาราชมนตรีโดยอ้างเหตุผลว่า ตำแหน่งนี้มีที่มาจากกฎหมายกาเฟรฺ ...
ข้อเท็จจริงก็คือ ...
กฎหมายกาเฟรฺนั้น ท่านจะยอมรับมันถ้าท่าน “ได้”
แต่ท่านจะไม่ยอมรับมันถ้าท่าน “เสีย” ...
ถ้าท่านปฏิเสธคำกล่าวนี้ของผม และยังยืนยันทัศนะเดิมของท่านว่า “ทุกอย่างต้องถูกตามหลักการอิสลามเท่านั้นถึงจะยอมรับ” ...
ผมก็จะขอเรียนถามท่าน - ด้วยความเคารพ - ว่า
1. ขอโทษนะครับที่ต้องสมมุติว่า ถ้าจุฬาราชมนตรีท่านก่อนๆมีทัศนะคติในการถือบวชออกบวชตามซาอุฯ หรือตามประเทศใดก็ได้ในโลกเหมือนทัศนะของท่าน ...
คำพูดที่ว่า “จุฬาราชมนตรีไม่ใช่ผู้นำทางศาสนาของประเทศไทย” จะหลุดออกมาจากปากของท่านไหมครับ ??? ...
ขอให้ท่านตอบคำถามข้อนี้ออกมาจากใจจริง ตามประสาลูกผู้ชายชาติซุนนะฮ์นะครับ ...
2. สมมุติอีกนะครับว่า ถ้าท่านโจรกรรมรถยนตร์ของผู้อื่นแล้วถูกจับได้ แน่ใจไหมครับว่า ท่านจะยืนกรานไม่ยอมรับโทษ “จำคุก” ของกฎหมายกาเฟรฺ แต่จะเรียกร้องให้นำบทบัญญัติศาสนาเรื่องการลักขโมย – คือตัดมือ – มาใช้กับท่าน ?? ....
3. สมมุติอีกทีนะครับ .. สมมุติว่า ถ้าลูกชายหรือลูกสาวของท่านไปซินากับผู้อื่นที่มิใช่ผู้เยาว์ ด้วยการสมยอมของอีกฝ่ายหนึ่ง ...
แน่ใจไหมครับว่าท่านจะยังปากแข็ง .. ไม่ยอมรับกฎหมายกาเฟรฺในประเทศนี้ที่ไม่เอาเรื่องเอาราวกับฝ่ายใดเลย ...
แต่ท่านจะเรียกร้องให้นำกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้ให้ลงโทษบุตรของท่านตามบท บัญญัติการลงโทษผู้ทำซินา คือ โบย 100 ครั้ง หรือขว้างจนตาย ?? ...
4. ท่านจะยอมรับไหมครับว่า ในการเลือกตั้งจุฬาราชมนตรีครั้งที่ผ่านมา มีบุคคล 2 คนที่มีทัศนะตรงกันกับท่านในเรื่องการถือบวชออกบวชตามการเห็นเดือนต่าง ประเทศสมัครรับเลือกตั้งด้วย แล้วมีนักวิชาการบางคนเชียร์และสนับสนุนสุดลิ่มทิ่มประตู ...
ขอถามว่า ท่านจะเชียร์เขาไปทำไมครับในเมื่อการเลือกตั้งตำแหน่งจุฬาราชมนตรี มาจากกฎหมายกาเฟรฺ ? .. และสมมุติถ้าทั้ง 2 ท่านนั้นรับเลือกตั้งมาได้แล้วก็ปราศจากอำนาจและความหมายใดๆ ในเมื่อจุฬาราชมนตรีไม่ใช่เป็นผู้นำมุสลิมอย่างที่พวกท่านกล่าว ??? ...
5. ท่านจะยอมรับไหมครับว่า คณะกรรมการอิสลามทุกตำแหน่งและทุกระดับชั้นในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นอิหม่าม, คอเต็บ, บิลาล, กรรมการมัสยิด, กรรมการจังหวัด รวมทั้งกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยด้วย ..
ทุกตำแหน่งที่กล่าวมานี้ ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาตามกฎหมายอิสลามตามที่ท่านต้องการ! .. แต่ล้วนถูกแต่งตั้งมาจาก “กฎหมายกาเฟรฺ” ทั้งสิ้น ...
แล้วทำไมท่านจึงยอมรับตำแหน่งพวกเขาเหล่านี้ได้ทุกตำแหน่ง ? .. ยกเว้นเฉพาะตำแหน่งจุฬาราชมนตรีตำแหน่งเดียวที่ท่านไม่ยอมรับ ?? ...
เผลอๆ ตัวท่านเอง – ขณะนี้ – อาจเป็นอิหม่าม, อาจเป็นกรรมการอิสลามตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งตาม “กฎหมายกาเฟรฺ” อยู่ก็ได้ ...
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านยึดมั่นแน่นแฟ้นในหลักการข้างต้นจริง ท่านก็ต้องปฏิเสธ อย่ายอมรับตำแหน่งเหล่านี้ของท่านด้วยสิครับ ...
ฯลฯ.
ขอย้ำอีกครั้งว่า เรื่องของผู้นำเป็นเรื่องการปกครองที่มีการยืดหยุ่นได้ มิใช่เรื่องอิบาดะฮ์ที่จะยืดหยุ่นมิได้นอกจากจำเป็นจริงๆ ..
ผมจึงอยากจะขอแนะนำพวกเรา - มุสลิมทุกคน - ว่า อย่าสุดโต่งเกินไปนัก แต่ให้ทำใจยอมรับสภาพความจริงที่ว่า ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้ใดที่มุสลิม “ส่วนใหญ่” คัดเลือกเขามาเป็นผู้นำ – แม้จะไม่ถูกวิธีการร้อยเปอร์เซ็นต์ – เราก็ต้องยอมรับ ...
ตัวอย่างชี้ชัดในเรื่องนี้ก็คือ เรื่องการเลือกผู้ทำหน้าที่อิหม่ามนำนมาซ ...
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สั่งให้พิจารณาผู้ที่เชี่ยวชาญอัล-กุรฺอานมากที่สุดเป็นอันดับแรก เพื่อทำหน้าที่อิหม่าม ...
หากผู้ที่เชี่ยวชาญอัล-กุรฺอานมีเสมอกัน ก็ให้เลือกผู้ที่เชี่ยวชาญซุนนะฮ์กว่าเป็นอิหม่าม ตามลำดับ ...
นี่คือ วิธีเลือกอิหม่ามตามคำสั่งท่านศาสดา, ซึ่งถือว่า เป็นวิธีเลือกอิหม่ามตามระบอบอิสลามมิใช่หรือครับ ...
แต่ .. โทษที สมมุติถ้าเราจะเอาตามวิธีการนี้จริงๆมาใช้ในการเลือกอิหม่าม ขอถามว่า จะเหลืออิหม่ามที่ถูกต้องตามคำสั่งและเงื่อนไขข้อนี้ของท่านนบีย์กี่คนใน ประเทศไทย ?? ..
ทว่า ความจริงอันเป็นที่ยอมรับกันก็คือ .. เมื่อประชาชนส่วนใหญ่(หรือทั้งหมด)ของมุเก่มยอมรับเขาเป็นอิหม่าม เราก็ต้องอนุโลมให้เขาเป็นอิหม่าม แม้ที่มาของเขาจะไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขของท่านนบีย์จริงๆก็ตาม ...
ท่านจะยอมรับความจริงเรื่องนี้ไหมครับ ?? ....
เพราะฉะนั้น หากท่าน “ปฏิเสธ” ที่จะปฏิบัติตามผู้นำที่ท่านไม่ถูกใจ ก็จงปฏิเสธคำสั่งที่ท่านเห็นว่า “ขัดต่อบทบัญญัติ” สำหรับท่านเถิดครับ ...
อาทิเช่น ท่านจุฬาราชมนตรีสั่งให้ท่านไปร่วมในงานเมาลิดกลางที่ท่านจัดขึ้น, สั่งให้ท่านยกเสาเอกในการสร้างบ้านหรือสร้างมัสยิด, ท่านสั่งให้ท่านร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทหารที่เสียชีวิต ฯลฯ ...
อย่างนี้ ท่านปฏิเสธไปก็ได้ครับ และผมก็ไม่คัดค้านท่านด้วย ...
แต่จงอย่าปฏิเสธ .. หรืออีกนัยหนึ่งให้ปฏิบัติตามในคำสั่งที่ “ถูกต้อง” ของผู้นำ อาทิเช่น ท่านสั่งให้ดูเดือนเสี้ยวเพื่อกำหนดวันถือศีลอดและออกอีดในประเทศของเราเอง เป็นต้น เพราะมันเป็นคำสั่งที่ถูกต้องตาม “ซุนนะฮ์” ที่ท่านใฝ่หามิใช่หรือครับ ...
บางคนกล่าวว่า ในตอนคัดเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่จุฬาราชมนตรี ทำกันไม่
โปร่งใส เพราะมีการจ่ายเงินกันบ้าง, มีการล็อบบี้กันบ้าง จึงยอมรับไม่ได้ ...
ผมก็ขอบอกว่า ถ้าท่านจะเอาสิ่งนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการยอมรับ “ผู้นำ” ของท่าน ท่านก็ไม่มีวันยอมรับผู้นำคนไหนในโลกนี้ได้เลย แม้กระทั่งในรัฐอิสลามเอง ...
แน่ใจหรือครับว่า ทุกๆประธานาธิบดีในรัฐอิสลาม - ทุกคน - ได้ตำแหน่งมาอย่างโปร่งใส ไม่มีการล็อบบี้, ไม่มีการจ่ายเงิน ??? ...
แม้กระทั่งในการเลือกผู้นำที่อะฮ์ลิชชูรออฺปฏิบัติกันในสมัยท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. เองก็เถอะ ...
แน่ใจไหมครับว่าไม่มีการกระทำสิ่งที่เรียกกันว่า ล็อบบี้ ?? ...
ความจริง มุสลิมเราในประเทศไทยทุกคน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า กฎหมายประเทศไทยให้เสรีภาพในการปฏิบัติตามความเชื่อของทุกๆศาสนายิ่งกว่า ประเทศอื่นใดในโลก ไม่เชื่อท่านลองไปเป็นโรฮิงญาดูแล้วจะรู้ ...
เพราะฉะนั้น ขอเถอะครับ อย่าทำตนเป็นคนประเภทได้คืบแล้วจะเอาศอก เพราะข้ออ้างที่ว่า “ทุกอย่างต้องถูกตามหลักการอิสลามเท่านั้นถึงจะยอมรับ” ก็เหมือนท่านต้องการจะปกครองแบบ “รัฐอิสระ” ในประเทศที่ท่านอาศัยอยู่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าท่านจะอยู่ในประเทศนี้หรือประเทศไหนในโลก แม้กระทั่งในรัฐของอิสลามเอง ...
สำหรับข้ออ้างที่ว่า สาเหตุที่ไม่ยอมรับและไม่ปฏิบัติตามจุฬาราชมนตรี ก็เพราะผู้เป็นจุฬาราชมนตรีทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีการกระทำบางอย่างเป็นชิริก หรือทำผิดหลักการศาสนา เช่นมีรถประจำตำแหน่งที่ซื้อมาด้วยเงินจากกองสลากกินแบ่ง เป็นต้น จึงรับไม่ได้ ...
ผมไม่ทราบว่า ข้อหาเหล่านั้นจะเป็นจริงหรือไม่ ? ..
แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง ท่านจะกล้าปฏิเสธคำสั่งของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมหรือครับ ? ...
คำสั่งของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า ...
((وَإِذَارَأَيْتُمْ مِنْ وُلاَتِكُمْ شَيْأً تَكْرَهُوْنَهُ فَاكْرَهُوْا عَمَلَهُ! وَلاَ تَنْزِعُوْا يَدًا مِنْ طَاعَةٍ))
“เมื่อพวกท่านเห็นสิ่งใดที่พวกท่านรังเกียจจากบรรดาผู้นำของพวกท่าน ก็จงรังเกียจเฉพาะพฤติการณ์ของเขา แต่อย่าแยกตัวออกจากการปฏิบัติตาม (ในสิ่งถูกต้อง) เป็นอันขาด” ...
(บันทึกโดย ท่านมุสลิม หะดีษที่ 65/1588 โดยรายงานมาจากท่านเอาฟ์ บินมาลิก ร.ฎ.) ...
ท่านจะเอาหะดีษบทนี้ไปวางไว้ตรงไหนครับ ? ....
รายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องผู้นำเลว, ผู้นำชั่ว ให้ท่านติดตามอ่านจากตอนต่อไปเรื่อง “จำเป็นหรือไม่ที่ผู้นำจะต้องเป็น “มะอฺศูม” (ผู้ไร้บาป) ?” อินชาอัลลอฮ์ครับ ...
หมายเหตุ
คุณ Talubanee ได้กรุณาส่งข้อมูลมาให้ผมรับทราบว่า พี่น้องที่ยึดทัศนะที่ว่าเอาเดือนทั่วโลกให้ข้อมูลมาว่า ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ในยุคสลัฟ จะมีการตั้งป้อมปราการบนภูเขาสูงในแต่ละเมือง และรอรับฟังข่าวสารจากการดูเดือนของเมืองต่างๆ หากเมืองไหนเห็นเดือน ก็จะจุดไฟบนป้อมปราการภูเขาสูง เพื่อส่งสัญญาณบอกต่อๆกันในเมืองต่างถิ่น ...
ผมขอเรียนชี้แจงว่า หากข้อมูลนี้เป็นเรื่องจริงก็มีที่น่าสังเกตอย่างนี้ ...
1. คำว่า “มีการตั้งป้อมปราการบนภูเขาสูงในแต่ละเมือง” ตามรูปการณ์ก็น่าจะเป็นการส่งข่าวการเห็นเดือนเสี้ยวของทางในเมืองสู่ ประชาชนชาวเมืองเดียวกันที่อาศัยอยู่รอบนอกมากกว่า ไม่ใช่เป็นการส่งข่าวไปยังต่างเมือง ...
เพราะตามข้อเท็จจริง แต่ละเมืองย่อมมีระยะทางห่างไกลกันมาก อาจมีภูเขา, มีต้นไม้สูงกั้นอยู่ระหว่างแต่ละเมือง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นแสงไฟเพียงริบหรี่จากการส่งข่าวด้วยวิธีนี้ในยุค โบราณซึ่งปราศจากไฟสปอร์ตไลท์แรงสูงเช่นปัจจุบัน ...
2. การส่งข่าวการเห็นเดือนระหว่างเมืองต่อเมืองด้วยการใช้สัญญาณไฟ ขัดแย้งกับเงื่อนไขที่นักวิชาการญุมฮูรฺ(นักวิชาการส่วนใหญ่ของ 4 มัษฮับ) กำหนดว่า ข่าวการเห็นเดือนที่เชื่อถือได้ จะต้องกระทำโดยบุคคลที่มีคุณธรรมจากเมืองที่เห็นเดือน ไปแจ้งข่าวการเห็นเดือนนั้นต่อผู้นำของเมืองที่ไม่เห็นเดือนเท่านั้น ...
ท่านเช็คมะห์มูด มุหัมมัดค็อฏฏอบ อัซ-ซุบกีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-มันฮัลฯ” อันเป็นหนังสืออธิบายหะดีษของท่านอบูดาวูด เล่มที่ 10 หน้า 51 ว่า ..
وَقَالَ أَهْلُ هَذَااْلَمَذْهَبِ : إِنَّمَا يَلْزَمُ الصِّيَامُ مَنْ لَمْ يَرَوْا بِرُؤْيَةِ غَيْرِهِمْ إِذَاثَبَتَ عِنْدَهُمْ رُؤْيَةُ أُؤلَئِكَ بِطَرِيْقٍ شَرْعِىٍّ مُوْجِبٍ بِشَهَادَتِهِمْ، كَأَن يَّشْهَدَ اثْنَانِ فَأَكْثَرَ أَنَّ قَاضِىَ بَلَدِكَذَا شَهِدَ عِنْدَهُ اِثْنَانِ بِرُؤْيَةِ اْلِهلاَلِ فِىْ لَيْلَةِكَذَا وَقَضَى بِشَهَادَتِهِمَا فَلِهَذَاالْقَاضِىْ أَن يَّحْكُمَ بِشَهَادَتِهِمَا
“ผู้ที่ยึดถือตามทัศนะนี้ (คือ ทัศนะที่ว่าเมื่อมีการเห็นเดือนที่เมืองหรือประเทศใด ก็จำเป็นสำหรับเมืองหรือประเทศอื่นจะต้องปฏิบัติตามการเห็นเดือนนั้น) กล่าวว่า การจำเป็นต้องถือศีลอดสำหรับผู้ที่ไม่เห็นเดือน ด้วยการปฏิบัติตามการเห็นเดือนของผู้อื่น จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อการเห็น (เดือนเสี้ยวของเมืองอื่น)นั้น เป็นที่แน่ชัดสำหรับพวกเขาตามแนวทางของบทบัญญัติ ด้วยการเป็นพยานของพวกเขาเองเท่านั้น, อย่างเช่น มีบุคคล 2 คนหรือมากกว่าสองคน ไปเป็นพยานยืนยัน (ต่อผู้นำของประเทศที่ไม่มีการเห็นเดือน) ว่า แท้จริง มีบุคคล 2 คน ได้ไปเป็นพยานยืนยันต่อผู้นำของประเทศนั้นๆว่า เขาทั้งสองได้เห็นเดือนเสี้ยวในคืนนั้นๆ ..และผู้นำของประเทศนั้นก็ยอมรับการเป็นพยานของบุคคลทั้งสองนั้นแล้ว ในกรณีนี้ ก็อนุญาตให้ผู้นำของเมืองนี้ ตัดสินยอมรับการเป็นพยานของเขาทั้งสอง” .. (ด้วยการประกาศให้ชาวเมืองของตนถือศีลอดหรือออกอีดตามการเห็นเดือนในประเทศ อื่นดังกล่าวได้) ...
เงื่อนไขและคำกล่าวของท่านเช็คมะห์มูด มุหัมมัด ซุบกีย์ ข้างต้นนี้ สอดคล้องตรงกันกับคำกล่าวของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ในหนังสือ “ฟัตหุ้ลบารีย์” เล่มที่ 4 หน้า 123 โดยอ้างมาจากคำพูดของท่านอัล-กุรฺฏุบีย์ ...