อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

มุสลีมะฮ์เปิดร้านเสริมสวย


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม
อัสลามมุอาลัยกุ้มค่ะ
อยากถามว่า ผู้หญิงมุสลิมที่ต้องการเป็นช่างแต่งหน้า ผิดหรือไม่ค่ะ

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม .. มุสลิมะฮ์เป็นช่างแต่งผม แต่งหน้า เสริมสวยสตรีด้วยกันตามรูปแบบปกติ ในร้านเสริมสวยของสตรีโดยเฉพาะ ไม่ผิดหลักการศาสนาหรอกครับ แต่อย่าเป็นช่างเสริมประเภทดัดฟัน, โกนคิ้ว, เสริมคิ้ว ฯลฯ เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องต้องห้ามครับ

ถาม
รบกวนอิกนิดนะค่ะ อาจารย์ ถ้ามีการโกนคิ้ว หรือเขียนคิ้วนี้ เพื่อแต่งหน้า เปนสิ่งต้องห้ามมั้ยค่ะ

ตอบ
ลำพังเขียนคิ้วคงไม่เป็นไร แต่อย่าโกนคิ้วครับ เพราะเป็นสิ่งต้องห้าม ...

ถาม
แล้วถ้าเราแต่งให้กับผู้หญิงที่ไม่ใช่มุสลิม เราสามารถทำได้มั้ยค่ะ
การโกนคิ้วอะค่ะ

ตอบ
ทำไม่ได้ครับ เขาเองอาจจะไม่เป็นไร แต่เราคนที่โกนคิ้วให้เขาซิครับจะมีบาปเสียเอง ...




นิกะฮ์ขณะตั้งครรภ์ได้หรือไม่?


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม
อัสสาลามมูอาลัยกุมคะ
คืออยากถามว่า.คนที่ท้องก่อนแต่งจะแต่งงานตอนที่กำลังท้องได้หรือไม่ได้ค่ะหรือว่าจะต้องรอให้คลอดก่อนค่ะถึงจะแต่งงานได้ค่ะ

ตอบ
ที่ถูกต้องในทัศนะของผมก็คือ ถ้าผู้หญิงคนนั้น (และคู่นิกาห์ของนางหากเป็นผู้ชายที่ทำซินากับนาง) ได้ทำการเตาบะฮ์ทั้งคู่อย่างถูกต้องตามบทบัญญัติ, ถูกต้องตามรุก่นและเงื่อนไขการเตาบะฮ์ ก็สามารถนิกาห์กันได้โดยไม่จำเป็นจะต้องรอให้นางคลอดบุตรก่อนแต่ประการใด แต่ถ้าผู้ชายที่จะนิกาห์กับนางเป็นผู้ชายอื่น มิใช่คู่ซินาของนาง ก็ให้นางเป็นฝ่ายเตาบะฮ์ฝ่ายเดียวแล้วจึงนิกาห์กันได้ แต่เขาจะร่วมประเวณีกับนางไม่ได้จยกว่านางจะคลอดบุตรเสียก่อนครับ วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

ถาม
คือหนูงงคะว่าจะเชื่ออันไหนเพราะคนแถวบ้านหนูเขาบอกว่าแต่งงานไม่ได้ต้องรอคลอดก่อนถ้าอีมามทำการแต่งงานให้กับทั้งสองคนอีมามก็จะบาบด้วย
แต่หนูฟังอุสตาดอัสหาบอกว่าอีมามสาฟีอีนแต่งได้ไม่ต้องรอคลอดแต่มัคโระที่จะร่วมประเวนีนะคะหนูงงค่ะว่าจะเชื่ออันไหนดี

ตอบ
ที่คุณเล่ามาคือคนแถวบ้านบอก และอุสตาสบอกว่าอิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า .. แต่ผมตอบคุณตามหลักฐานที่ผมตรวจสอบมาแล้วและเห็นว่าเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักที่สุดคือคำตอบข้างต้นครับ ความจริงเรื่องนี้ผมได้นำการวิเคราะห์หลักฐานอย่างละเอียดลงในเฟสไปแล้ว คุณลองค้นหาดูจากเพจของผมที่ศิษย์ของผมทำให้เถิดครับ



วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

กลุ่มอิควาน


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม
อัสลามุอาลัยกุม อาจารย์
คำถามนี้ถามขึ้นจากเจตนาที่บริสุทธิ์ในศาสนาเเละต้องการเเสวงหาข้อมูลวิชาการจากอาจารย์ครับ
กลุ่มอิควานที่กำลังเกิดขึ้นในต่างประเทศเเละบ้านเราเป็นกลุ่มหลงผิดหรือไหม
ถ้าหากเปนกลุ่มผิดจริง เปนความผิดหรือไม่สำหรับนักวิชาการบางท่านที่จะนิ่งเฉยต่อความหลงผิดดังกล่าว เพราะผมเห็นว่านักวิชาการส่วนใหญ่ในบ้านเรา(เเม่เเต่มัสยิดบ้านผม)จะนิ่งเฉยเเล้วยอมรับในเรื่องดังกล่าว
ช่วยชี้เเจงให้ละเอียดด้วยครับ

ตอบ
ะอลัยกุมุสสลาม .. ขออภัยที่ตอบช้าไปนิดเพราะงานเยอะครับ .. สำหรับเรื่องของอิควานที่คุณถามมา ถือเป็นประเด็นร้อนในสังคมมุสลิมยุคปัจจุบัน ซึ่งก็มีนักวิชาการจำนวนมากออกมาพูดชี้แจงทั้งฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุน ผมเองไม่ได้ศึกษา "ลงลึก" อะไรมากมายนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ผมก็มีความเห็นเป็นส่วนตัวของผมเท่านั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณถามมาคงมิใช่ถามหลักฐานหรือให้ผมวิเคราะห์หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องอิควานมิใช่หรือครับ แต่คงเป็นการถาม "มุมมองส่วนตัว" ของผมมากกว่า ผมอาจจะตอบก็ได้ แต่ขอยืนยันว่า มุมมองส่วนตัวของผมมิใช่ข้อชี้ขาดในเรื่องนี้หรือเรื่องใดๆทั้งสิ้น เพราะมันอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ถ้าคุณต้องการทราบมุมมองของผมในเรื่องนี้จริงๆก็ขอคำยืนยันอีกครั้งครับ ...

หะดีษเกี่ยวกับการกล่าวอุศ็อลลี


ชี้แจงข้อเขียนคุณ Ahmadrashidi Alhabashi Alashari 

โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ผมไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆต่อข้อเขียนของบุคคลนี้มาก่อน แม้จะไม่เห็นด้วยกับแทบทุกเรื่องที่เขาเขียนก็ตาม เพราะตามปกติจะมีผู้อื่นเขียนชี้แจงอยู่แล้ว ...
สำหรับในกรณีเรื่องการอ่านอุศ็อลลีย์ก่อนกล่าวตักบีรอตุ้ลเอี๊ยะห์รอม ที่ผมเขียนชี้แจงคุณ Ahmadrashidi Alhabashi Alashari มา ก็ใช่ว่าจะมีเจตนาหักล้างข้อเขียนของเขา,
แต่ต้องการชี้แจงสิ่งที่เขาและอาจารย์ของเขา - อ.รอฟิก ชมเผ่า - อ้างมาอย่างผิดๆ และยังไม่มีผู้ใดชี้แจงความจริงให้เขาได้รับทราบ ...
จากข้อเขียนของคุณ Ahmadrashidi Alhabashi Alashari ที่ว่า ...
" หลักฐานดังกล่าวที่ท่านอาจารย์ (รอฟิก) กล่าวไปว่า

ข้าพเจ้าจะเอาหะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ หะดีษเกี่ยวกับการกล่าวอุศ็อลลี เป็นหะดีษที่ศอเฮี๊ยะห์ ครูของข้าพเจ้าได้บอกให้ข้าพเจ้าได้รู้ ในศอเฮี๊ยะห์ฮฺบุคอรีย์ และมุสลิม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปรากฏว่ามีจริงๆ พอไปเปิดศอเฮี๊ยะห์บุคคอรีย์และมุสลิม...จริงๆอย่างครูว่า
ดังกล่าวข้างต้นนี้ ท่านอาจารย์รอฟิก ได้ทำการตรวจสอบจากข้อมูลเกี่ยวกับหะดีษบทนี้จากหนังสือตัครีจของท่านอิหม่ามบุคคอรีย์และมุสลิมในตอนที่ท่านศึกษาอยู่ที่นครมักกะห์ ประทศซาอุดิอาราเบีย
ท่านอาจารย์รอฟิก ชมเผ่า ท่านได้ศึกษากับท่านมุหัดดิษบาบอเซ็ง สุราษฏร์ (ร.ฮ.) ในเรื่องภาควิชาหะดีษ ท่านถามบาบอเซ็งว่า
: หะดีษบทนี้ เอามาเป็นหลักฐานได้หรือไม่ ?
ท่านบาบอเซ็ง ตอบว่า : เอามาใช้เป็นหลักฐานได้
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ก่อนอื่นผมขอเรียนว่า ...
ผมไม่เคยสนใจหนังสือตัครีจบุคอรีย์และมุสลิมอะไรที่เขาอ้างมาว่าจะมีจริงหรือไม่, และไม่เคยสนใจหะดีษที่บาบอเซ็ง สุราษฎร์ (ขออัลลอฮ์โปรดเมตตาต่อท่านด้วย) อ้างว่าเป็นหะดีษที่ถูกต้อง (ทั้งๆที่นักวิชาการหะดีษจริงๆยืนยันว่าเป็นหะดีษเก๊) ..
แต่ผมอยากชี้แจงกับคุณ Ahmadrashidi Alhabashi Alashari และ อ.รอฟิกว่า ...
(1) คำกล่าวของ อ.รอฟิกที่ว่า "ครูของข้าพเจ้าได้บอกให้ข้าพเจ้าได้รู้ ในศอเฮี๊ยะห์ฮฺบุคอรีย์ และมุสลิม" .. และคำกล่าวต่อมาที่ว่า "ปรากฏว่ามีจริงๆ พอไปเปิดศอเฮี๊ยะห์บุคคอรีย์และมุสลิม...จริงๆอย่างครูว่า" ...
ผมขอชี้แจงดังนี้ ..
คำว่า "ศอเฮี๊ยะห์บุคคอรีย์และมุสลิม" เป็นอิศฏิลาห์หรือศัพท์เท็คนิคด้านวิชาการที่รับรู้กันสำหรับนักวิชาการหะดีษว่า หมายถึง "หะดีษต่างๆที่มีบันทึกในตำรา "ศอเฮี๊ยะห์" ของทั้งสองท่านโดยเฉพาะ" !!! .. ไม่ได้หมายถึงตำราเล่มอื่นใดที่ท่านทั้งสองหรือผู้ใดเขียนอีก ...
เมื่อ อ.รอฟิกกล่าวว่า .. "ในศอเฮี๊ยะห์บุคคอรีย์และมุสลิม" และยังกล่าวย้ำว่า .. "พอไปเปิดศอเฮี๊ยะห์บุคคอรีย์และมุสลิม" ..... ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่า หะดีษเรื่องอ่านอุศ็อลลีย์ก่อนการตักบีรอตุ้ลเอี๊ยะห์รอม เป็นหะดีษศอเฮี๊ยะห์ที่มีบันทึกอยู่ในตำราศอเฮี๊ยะห์ของท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิมจริงๆ ...
เป็นการยืนยันตั้ง 2 ครั้งด้วยกัน ...
เพราะฉะนั้น อ.รอฟิกหรือศิษย์ของท่าน จึงไม่มีสิทธิ์ไปอ้างหรือแก้ตัวว่า หะดีษที่อ้างมานั้นมีบันทึกอยู่ในตำราอื่นๆของท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิม หรือของบุคคลอื่นใดอีกทั้งสิ้น ..
ที่ถูกต้อง ทั้ง อ.รอฟิกและศิษย์ของท่านจะต้องบอกให้ได้ว่า หะดีษเรื่องอ่านอุศ็อลลีย์นี้ มีบันทึกอยู่ในบทใด, บาบอะไร ??? .. ของตำราศอเฮี๊ยะห์ทั้งสองเล่ม ตามที่กล่าวอ้างมานั้น ....
หากระบุให้ไม่ได้ ก็เท่ากับ อ.รอฟิกกล่าวเท็จให้แก่ท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม จริงดังที่ถูกกล่าวหา ...
ไม่ใช่ถูกใส่ร้ายอย่างที่คุณ Ahmadrashidi Alhabashi Alashari พยายามแก้ตัวแทนให้ ...
ทางที่ดี หาก อ.รอฟิกเป็นลูกผู้ชายชาติโต๊ะครูจริง อ. รอฟิกควรจะยอมรับความจริงเถอะครับว่า ท่านผิดพลาดหรือพลั้งเผลอในการอ้างอิง
ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่เคยผิดพลาดหรือพลั้งเผลอหรอกครับ ...
คนผิดพลาดที่กล้ารับความจริงในความผิดพลาดของตนคือ "ผู้มีเกียรติที่ควรยกย่อง" ...
ส่วนคนผิดพลาดที่ยังดื้อรั้นหรือดันทุรังในความผิดพลาดต่อไป คือคนไร้เกียรติ .. มิใช่หรือครับ ...
(2). ที่เขียนมานี้ ผมไม่ได้เขียนในแง่ที่ว่า อ่านอุศ็อลลีย์ก่อนตักบีรอตุ้ลเอี๊ยะห์รอม เป็นบิดอะฮ์หรือไม่ ???
แต่เมื่อมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยกล่าวว่า อ่านอุศ็อลลีย์ก่อนตักบีรอตุ้ลเอี๊ยะห์รอม เป็นบิดอะฮ์ต้องห้าม หากจะรับฟังไว้บ้างก็ไม่เสียหายหรอกครับ ...
อย่ามองว่า เรื่องอ่านอุศ็อลลีย์เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ไร้สาระเกินไปที่ผมหรือใครจะเอามาพูดให้เสียเวลา ...
ขอถามว่า ไม้ขีดไฟหนึ่งก้าน ราคาถึงหนึ่งสตางค์ไหม??? ...
ท่านก็คงยอมรับความจริงว่า ไม่ถึง ...
แต่เชื่อหรือไม่ .. ไม้ขีดไฟที่คุณมองว่าจิ๊บจ๊อยหนึ่งก้าน ราคาไม่ถึงหนึ่งสตางค์นี่แหละ สามารถเผาตึกราคาพันล้าน หรือแม้กระทั่งเมืองทั้งเมือง ให้วอดเป็นเถ้าถ่านได้ ...
เฉลียวใจบ้างไหมครับ ???



เมื่อผู้ละหมาดลืมอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม
อัสลามุอาลัยกุม อาจารย์ อยากทราบว่าในร็อกอัติที่ 2 สุยูดเสร็จถ้าเราเผลอลืมยันพื้นจะลุกขึ้นต่อร็อกอัติที่ 3 (ยังไม่ทันยืนตรง) แต่จำได้เลยลงมานั่งอ่านตะชัฮฮุดแรก ถามว่า ความพกพร่องแค่นี้ ต้องสุยูดซะห์วีไหมครับ ยะซากัลลอฮ

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม .. ผู้ที่ลืมอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรกและยืนขึ้นเพื่อทำร็อกอะฮ์ที่ 3, แต่ยังไม่ทันยืนตรง ก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเองยังไม่ได้อ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก ...
เมื่อนึกได้ ก็ให้เขารีบนั่งลงเพื่ออ่านตะชะฮ์ฮุดที่ลืมในทันที แล้วให้ทำนมาซต่อไปตามปกติโดยไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี ตอนหลังแต่ประการใด ...
ท่านอัล-มุฆีเราะฮ์ บิน ชุอฺบะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ... ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ...
إِذَاقَامَ اْلإمَامُ فِى الرَّكْعَتَيْنِ، فَإِنَ ذَكَرَ قَبْلَ أَن يَّسْتَوِيَ قَائِمًا فَلْيَجْلِسْ، (وَلاَ سَهْوَ عَلَيْهِ) فَإِنِ اسْتَوَي قَائِمًا فَلاَ يَجْلِسْ، وَيَسْجُدُ سَجْدَتَىِ السَّهْوِ ...
“เมื่ออิหม่ามได้ยืนขึ้นในร็อกอะฮ์ที่สอง แล้วหากเขานึกได้ก่อนที่จะยืนตรง ก็ให้เขานั่งลง (โดยไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี) .. แต่หากเขายืนตรงแล้ว ก็อย่าให้เขานั่งลง แต่ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง (ก่อนการให้สล่าม )” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 1036, ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 1208, ท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ เล่มที่ 1 หน้า 378, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 2 หน้า 343, และท่านอะห์มัด เล่มที่ 4 หน้า 253, 253-254 .. สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอบูดาวูด และข้อความในวงเล็บตัวหนา เป็นข้อความจากการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุ มะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 1 หน้า 440) ...
สายรายงานของหะดีษข้างต้นนี้ เฎาะอีฟ, เพราะผู้รายงานท่านหนึ่งคือท่านญาบิรฺ อัล-ญุอฺฟีย์ เป็นผุ้รายงานที่เฎาะอีฟมาก ...
แต่หะดีษบทนี้ ยังมีผู้ที่รายงานมาสอดคล้องกันกับท่านญาบิรฺอีก 2 ท่าน คือ ท่านก็อยซ์ บิน รอเบี๊ยะอฺ และท่านอิบรอฮีม บิน อัฏ-ฏุฮ์มาน .. ดังการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุ มะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 1 หน้าที่ 440 ...
ท่านก็อยซ์ บิน รอเบี๊ยะอฺ เฎาะอีฟเพียงเล็กน้อย, แต่ท่านอิบรอฮีม บินอัฏ-ฏุฮ์มาน เป็นผุ้ที่เชื่อถือได้ (ثِقَةٌ) ...
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว สถานภาพของหะดีษบทนี้ อย่างน้อยจึงเป็นหะดีษหะซันหรืออาจจะเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ ดังการวิเคราะห์ของท่านอัล-อัลบานีย์ในหนังสือ “อัศ-เศาะหี้หะฮ์” หะดีษที่ 321 ...
ด้วยเหตุนี้ ข้อเขียนของท่านเช็คศอและห์ บิน อุษัยมีน ในหนังสือ “สุญูดซะฮ์วี” ของท่านเกี่ยวกับประเด็นนี้ที่ว่า ----
“หากว่าเขา (ผู้นมาซ) นึกได้ -- (ว่าตนเองลืมอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก) -- หลังจากลุกขึ้นยืน (จากร็อกอะฮ์ที่สอง) ไปแล้ว แต่ยังไม่ทันยืนตรง ก็ให้เขากลับไปนั่งลงอ่านตะชะฮ์ฮุด หลังจากนั้นก็ให้เขาทำนมาซต่อไปจนเสร็จแล้วให้สล่าม จากนั้น จึงสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วให้สล่ามอีกทีหนึ่ง” ..
----- จึงน่าจะผิดพลาดและไม่ถูกต้อง เพราะทัศนะดังกล่าวนี้ ไปขัดแย้งกับข้อความของหะดีษบทนี้ที่ว่า (وَلاَسَهْوَعَلَيْهِ) (เขาไม่จำเป็นต้องสุญูดซะฮ์วี) .. ดังปรากฏในวงเล็บอันเป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ ที่ผมคัดลอกมาให้ดูนั้น ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

ถาม
ถ้าละหมาดอีชา ในรอกาอัตที่ 4 แต่ลืมตะฮียัต ลุกขึ้นไปยืนตรง ละหมาดรอกาอัตที่5 แบบนั้น เมื่ออิหม่ามรู้ตัว จะลงนั่งตะฮิยัตหรือละหมาดรอกาอัตที่ 5ต่อไป แล้วค่อย สูยูดซะวี ครับ

ตอบ
ถ้าอิหม่ามรู้ตัวว่า กำลังทำร็อกอะฮ์ที่ห้าอยู่ ก็ให้รีบนั่งลงอ่านตะชะฮ์ฮุดทันที แล้วค่อยสุญูดซะฮ์วีหลังจากให้สล่ามแล้ว แต่ถ้ารู้ตัวแล้วและยังขืนดันทุรังทำร็อกอะฮ์ที่ห้าต่อไป ละหมาดของเขาก็เป็นโมฆะครับ ...


วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

หลักฐานห้ามจากการละหมาดในผ้าผืนเดียว


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม

อัสลามูอาลัยกุม ...... อาจารย์คับผมมีเรือง อยากรบกวนขอความรุ้หน่อยคับ จาก ฮาดิษ ข้่างต้น ของบุคอรีและมุสลิม ที่ห้ามถึงการละหมาด โดยไม่มีผ้าปกปิดไหล (ดั่งภาพ) ........แต่เอาเราะมันแค่สะดือกับหัวเข่าไม่ไช่หรือคับ ฉะนั้น จึงอยากคำชี้แจงหนอ่ยคับว่ามันขัดหรือไม่ขัดยังไงคับ.............ปล.กระผม บ่อยครั้งที่ใส่เสือ้กล้ามละหมาดคับ..?

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม .. หะดีษข้างต้นบันทึกโดยท่านบุคอรีย์ ท่านมุสลิม, ท่านอัน-นซาอีย์, ท่านอัด-ดาริมีย์และท่านอะห์มัด มีหลายสำนวนด้วยกัน ที่คุณคัดมาข้างต้น เป็นสำนวนของท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม มีลักษณะเป็นคำบอกเล่า แต่มีความหมายเป็นคำห้าม ดังหลักฐานจากรายงานของท่านอิหม่ามชาฟิอีย์จากท่านอิหม่ามมาลิกด้วยสำนวนที่ว่า لاَ يُِّصَل (คนใดจากพวกท่านย่าอละหมาดใน .....) บันทึกโดยท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ "ฆอรออิบุมาลิก" และอีกสำนวนหนึ่งที่ท่านอับดุลวะฮ์ฮาบ บินอะฏออ์ได้รายงานจากท่านอิหม่ามมาลิก มีข้อความว่า لا يصلين (คนใดจากพวกท่านอย่าละหมาดเป็นอันขาดใน .......) อันถือเป็นการห้ามเน้นๆ และอีกสำนวนหนึ่งที่ท่านอัษ-เษารีย์ได้รายงานจากท่านอบูอัซ-ซินาด มีข้อความชัดเจนว่า نهى رسول الله (ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ห้ามจาก ......) สรุปแล้ว หะดีษข้างต้นจึงเป็นหลักฐานห้ามจากการละหมาดในผ้าผืนเดียวโดยไม่มีส่วนใดของมันปกปิดไหล่ทั้งสองด้วย แต่การห้ามดังกล่าวนี้ ยังขัดแย้งกันในประเด็นที่ว่าเป็นการห้ามขาด(หะรอม) หรือห้ามในแง่ว่าเป็นสิ่งไม่สมควรกระทำ(มักรูฮ์) .. ท่านอิหม่ามนะวะวีย์กล่าวอธิบายในหนังสือชัรฺหุมุสลิมว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ (หะนะฟีย์, มาลิกีย์ และชาฟิอีย์) ถือว่าเป็นการห้ามแบบมักรูฮ์, แต่ท่านอิหม่ามอะห์มัดถือว่า เป็นการห้ามขาด(หะรอม) ถ้าสามารถปกปิดได้ ซึ่งในมุมมองส่วนตัวผม เห็นว่า เมื่อเป็นการ "ห้าม" แบบ "เน้นๆ" จากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่ควรสนใจว่าห้ามขาดหรือห้ามไม่ขาด แต่ที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ควรฝ่าฝืนครับ วัลลอฮุอะอฺลัม ......

ส่วนที่คุณสงสัยว่า ก็เอาเราะฮ์ของผุ้ชายมีแค่สะดือกับเข่ามิใช่หรือ ? หะดีษบทนี้ (ตามทัศนะของท่านอิหม่ามอะห์มัดที่มองว่า วะยิบต้องปกปิดไหล่ด้วย) แสดงว่า เอาเราะฮ์ของผุ้ชายในละหมาดและนอกละหมาดจะไม่เหมือนกัน คือถ้านอกละหมาด วายิบปกปิดระหว่างสะดือกับเข่า แต่ถ้าในละหมาด วายิบต้องปกปิดจนถึงไหล่ด้วย วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

หอยทากเป็นนะยิสหรือไม่


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม

อัสสลามมูอาอัยกุมค่ะ
อาจารย์ค่ะ หนูอยากทราบว่าการที่เราเอาเมือกหอยทากมาบำรุงใบหน้า มันเป็นนาจิสไหมค่ะ
หนูเคยเจอหนังสือเล่มหนึ่งบอกไว้

ตอบ
วะอลัยกุมุสสลาม ..
ผมไม่เคยเจอหลักฐานเลยครับว่าหอยทากเป็นนะยิส และที่นักวิชาการมีทัศนะว่าห้ามรับประทานหอยทากก็มิใช่เพราะมันเป็นนะยิส เแต่ที่ห้ามรับประทานก็เพราะมองว่ามันเป็นสัตว์ทีน่ารังเกียจต่างหาก
โดยนัยนี้ - ตามทัศนะของผม - สิ่งที่คุณถามมา (หากคุณมีหลักฐานชัดเจนว่ามันบำรุงผิวหน้าได้จริง มิใช่เพียงแค่เชื่อตามเขาว่ามา) - ก็ไม่น่าจะมีข้อห้ามนะครับ แม้ว่า มันอาจจะไม่น่าปฏิบัติเท่าไรก็ตาม ..
วัลลอฮุ อะอฺลัมครับ ...