อารัมภบทของอาจารย์ปราโมทย์

พี่น้องที่เคารพครับ .. ขอเรียนว่า ส่วนใหญ่ของปัญหาที่ถูกถามมาเป็นปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาคิลาฟียะฮ์ เพราะฉะนั้น ในการตอบปัญหาดังกล่าว หากปัญหาใดไม่สำคัญมากนัก ผมก็จะตอบแบบสรุปตามทัศนะที่มีน้ำหนักด้านหลักฐานมากที่สุดสำหรับผมโดยไม่ได้นำมุมมองด้านตรงข้ามมาด้วย แต่หากปัญหาใดจำเป็นต้องมีการชี้แจง ผมก็จะนำหลักฐาน(และการวิเคราะห์)รายละเอียดทั้งสองด้าน ประกอบในคำตอบด้วย และขอเรียนว่า

(1). คำตอบของผมแทบทั้งหมดไม่ใช่เป็นการอธิบายหะดีษหรืออัล-กุรฺอานเอาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่จะมีที่มาจากอิหม่ามทั้ง 4 ท่านที่โลกอิสลามยอมรับและนักวิชาการระดับโลกท่านอื่นๆด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งผมมิได้อ้างนามพวกท่านในการตอบก็เพื่อประหยัดเวลาในการเขียนเท่านั้น

(2). คำตอบของผมในปัญหาใด ไม่ถือว่าเป็น "ข้อชี้ขาด" ความขัดแย้งในปัญหานั้น แต่เป็นการตอบตามการมองหลักฐานว่ามีน้ำหนักที่สุดในมุมมองของผม ซึ่งมุมมองของผมอาจจะผิดพลาดก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องนี้ ...

อ.ปราโมทย์ (มะหมูด) ศรีอุทัย


ติดต่ออาจารย์ปราโมทย์โดยตรงได้ที่

1. 1/22 หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ม. 5 ต. นาเคียน อ. เมือง จ. นคร ศรีธรรมราช รหัส 80000

2. เบอร์โทรศัพท์ 086-6859660

3. Facebook

4. เว็บไซต์

5.อีเมล
pramote.sriutai2559@gmail.com

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

การเผยแพร่ศาสนา ด้วยการสร้างภาพยนตร์


ผมว่า พวกเราน่าจะหลงประเด็นที่ผมวิจารณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วละครับ เพราะที่ผมวิจารณ์ไป มันไม่เกี่ยวกันเลยว่า หนังเรื่องนี้เช็ครีฎอหรือใครเป็นผู้สร้าง, เนื้อหาของหนังดีไม่ดีหรือหะล้าลไม่หะล้าล, หนังเรื่องนี้สร้างได้หรือไม่ได้ (เพราะข้อสุดท้ายมันเลยเวลาวิจารณ์มาแล้ว เพราะหนังออกฉายแล้ว) แต่ที่ผมพูดก็คือ "วิธีการเผยแพร่ศาสนาด้วยวิธีสร้างหนัง ผมไม่เห็นด้วย" บทสรุปอยู่ตรงนี้ครับ
สำหรับผลเสียของเรื่องนี้ นอกเหนือไปจากการวิจารณ์ที่ปรากฏออกมามากมายแล้ว ผมเกรงว่าการเผยแพร่ศาสนาด้วยการสร้างภาพยนตร์ จะเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดๆให้กับวัยรุ่นมุสลิมมากยิ่งขึ้นในอนาคตข้างหน้า เพราะเท่ากับเป็นการชี้นำวัยรุ่นให้คลั่งไคล้ดารา เป็นต้น ซึ่งลัทธิการคลั่งดารานี้ มันผิดทั้งนั้นแหละครับ ไม่ว่าดารามุสลิมหรือดารากาเฟรฺ แล้วคอยดูต่อไปเถิดครับ การสร้างภาพยนตร์โดยอ้างว่าเพื่อเผยแพร่ศาสนาจะพัฒนาต่อไปจนสิ่งไม่ถูกต้องหรือสิ่งต้องห้ามในศาสนาจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาผสมผสานจนกลายเป็นเรื่องถูกต้องและเป็นเรื่องธรรมดาในที่สุด ...
สมมุติถ้าการพนันเป็นสิ่งหะล้าล ผมก็อยากจะขอท้าพนันเลยว่า หนังเรื่องนี้ภาค 2 จะต้องออกมาแน่นอน แล้วเมื่อถึงวันนั้น พวกเราก็จะได้เห็นกันเองครับว่า การสร้างหนังแนวนี้ เป็นไปเพื่อต้องการเผยแพร่ศาสนาดังที่อ้าง หรือเพื่อหวังผลกำไรโดยไม่เคยคำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อศาสนากันแน่ ???? ...

อาจารย์ปราโมทย์ ศรีอุทัย



ซุนนะฮ์ตัรฺกียะฮ์ มีหลักฐานหรือไม่ในบทบัญญัติ (ตอนที่ 1)



โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

นักวิชาการอุศู้ลุลฟิกฮ์ ได้จำแนก "ซุนนะฮ์" หรือแบบอย่างของท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม - ในทางปฏิบัติ - ออกเป็น 2 ลักษณะคือ ซุนนะฮ์ ฟิอฺลียะฮ์ (سُنَّةٌ فِعْلِيَّةٌ) กับซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ (سُنَّةٌ تَرْكِيَّةٌ) ...
ซุนนะฮ์ทั้งสองลักษณะนี้ จัดเข้าอยู่ภายใต้ความหมายของคำว่า أَفْعَالِهِ (การกระทำต่างๆของท่าน) อันเป็นหนึ่งจากคำนิยามของคำว่าซุนนะฮ์ .. ดังจะได้อธิบายต่อไป ...
คำว่า ซุนนะฮ์ ฟิอฺลียะฮ์ แปลว่า "แบบอย่างที่ต้องกระทำตาม" - โดยทั่วไป - หมายถึงแบบอย่างในด้านการ "ปฏิบัติ" ตามสิ่งที่ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กระทำไว้ ...
ส่วนมากของคำว่า "ซุนนะฮ์" ที่เข้าใจและกล่าวถึงกัน ก็คือซุนนะฮ์ประเภทนี้ ...
ส่วนคำว่า "ซุนนะฮ์ตัรฺกียะฮ์" (ซึ่งคนจำนวนมากไม่เข้าใจหรือบางคนไม่เคยได้ยินก็มี) แปลว่า "แบบอย่างในการละทิ้งตาม" .. หมายถึงการ "เจตนา" ไม่กระทำสิ่งใดของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งมุสลิมจะต้องละทิ้งจากการกระทำสิ่งนั้นด้วย .. เพื่อปฏิบัติตามการ "ละทิ้ง" ของท่าน ...
คำว่า "ละทิ้ง" บ่งบอกความหมายว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ "เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วแก่ตัวท่านหรือในสมัยของท่าน", แต่ท่าน "เจตนา" โดยตรงที่จะละทิ้งหรือไม่กระทำมัน ...
การละทิ้งหรือไม่กระทำสิ่งนั้น - เหมือนที่ท่านศาสดาไม่กระทำ - จึงถือว่า เป็นซุนนะฮ์ ! และการกระทำสิ่งนั้นภายหลัง นักวิชาการถือว่าเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามหรือบิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์ ! ..
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่ว่า "บิดอะฮ์ต้องห้าม" หมายถึงการกระทำสิ่งใดที่ท่านศาสดาไม่เคยกระทำในทุกๆกรณี ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นๆจะเคยเกิดขึ้นแก่ท่านหรือไม่ก็ตาม .. จึงเป็นความเข้าใจผิดของคนทั่วไป แม้กระทั่งนักวิชาการเอง ...
นักวิชาการอุศู้ลฯ ได้ยอมรับเรื่องซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ ว่า เป็นหลักการหนึ่งของอิสลาม เหมือนซุนนะฮ์ ฟิอฺลียะฮ์ เช่นเดียวกัน ...
ท่านอิหม่ามอัช-เชาว์กานีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 1255) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อิรฺชาด อัล-ฟุหูล” อันเป็นหนังสืออธิบายเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของนิติศาสตร์อิสลาม ( اُصُوْلُ الْفِقْهِ ) หน้า 42 ว่า ....
تَرْكُهُ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِلشَّـْئِ كَفِاعلِهِ لَـهُ فِى التَّأَسِّىْ بِهِ فِيْهِ، قَالَ ابْنُ السَّمْعَانِ : إذَا تَرَكَ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ شَيْأً وَجَبَ عَلَيْنَا مُتَابَعَتُهُ فِيْهِ ......
“การละทิ้งสิ่งใดของท่านรอซู้ลฯ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็เหมือนกับการกระทำของท่านต่อสิ่งนั้น ในแง่ที่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตาม, .. ท่านอิบนุ อัซ-ซัมอาน ได้กล่าวว่า : เมื่อท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ละทิ้งสิ่งใด “วาญิบ” ต่อพวกเรา จะต้องปฏิบัติตามท่านใน (การละทิ้ง) สิ่งนั้นด้วย .....”
ท่านเช็คอะลีย์ มะห์ฟูศ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-อิบดาอฺ ฟีย์มะฎอรฺร์ อัล-อิบติดาอฺ” หน้า 34 - 35 ว่า
وَأَمَّا مَا تَرَكَهُ الرَّسُوْلُ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَاعْلَمْ أَنَّ سُنَّةَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَمَا تَكُوْنُ بِالْفِعْلِ تَكُوْنُ بِالتَّرْكِ، فَكَمَا كَلَّفَنَا اللَّـهُ تَعَالَى بِإتِّبَاعِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي فِعْلِهِ الَّذِيْ يَتَقَرَّبُ بِهِ إذَا لَمْ يَكُنْ مِنْ بَابِ الْخُصُوْصِيَّاتِ كَذَلِكَ طَالَبَنَا بِإتِّبَاعِهِ فِيْ تَرْكِهِ، فَيَكُوْنُ التَّرْكُ سُنَّةً، وَكَمَا لاَ نَتَقَرَّبُ إلَى اللَّـهِ تَعَالَى بِتَرْكِ مَافَعَلَ لاَ نَتَقَرَّبُ إلَيْهِ بِفِعْلِ مَاتَرَكَ، فَلاَ فَرْقَ بَيْنَ الْفَاعِلِ لِمَا تَرَكَ وَالتَّارِكِ لِمَا فَعَلَ ...
“อนึ่ง สิ่งใดที่ท่านรอซู้ลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้(เจตนา)ละทิ้ง ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริง ซุนนะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม นั้น มีทั้งที่ต้องปฏิบัติตาม และต้องละทิ้งตาม, ... การที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงกำหนดให้พวกเรา ปฏิบัติตามท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ในการกระทำสิ่งที่ท่านปฏิบัติเพื่อความใกล้ชิดต่อพระองค์อัลลอฮ์ อันมิใช่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของท่านฉันใด พระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงต้องการให้เราปฏิบัติตามท่านศาสดาในการละทิ้ง (ไม่กระทำ ) ของท่านฉันนั้น, .. ดังนั้น การละทิ้ง (สิ่งใดที่ท่านศาสดาเจตนาไม่ปฏิบัติ) จึงเป็นซุนนะฮ์ด้วย, .. เสมือนอย่างการที่เราไม่สามารถใกล้ชิดพระองค์อัลลอฮ์ด้วยการ "ละทิ้งสิ่งที่ท่านศาสดาปฏิบัติ" ฉันใด ในทำนองเดียวกัน เราก็ไม่สามารถทำตัวให้ใกล้ชิดพระองค์อัลลอฮ์ ด้วยการ "ปฏิบัติสิ่งที่ท่านศาสดาได้ละทิ้ง" ฉันนั้น, ดังนั้น จึงไม่มีข้อแตกต่างอันใดในระหว่างผู้ปฏิบัติในสิ่งที่ท่านศาสดาละทิ้ง กับผู้ละทิ้งในสิ่งที่ท่านศาสดาปฏิบัติ ..........”
ท่านเช็ค อะลีย์ มะห์ฟูศ ยังได้กล่าวในหนังสือเล่มเดียวกัน หน้า 38 อีกว่า ...
فَإنَّ تَرْكَهُ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سُنَّةٌ كَمَا أَنَّ فِعْلَهُ سُنَّةٌ، فَإذَا اسْتَحْبَبْنَافِعْلَ مَاتَرَكَ كَانَ نَظِيْرَاسْتِحْبَابِنَا تَرْكَ مَا فَعَلَ وَلاَ فَرْقَ .......
“แน่นอน, การละทิ้ง (ไม่กระทำ ) ของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม คือซุนนะฮ์, เหมือนอย่างการกระทำของท่าน ก็คือซุนนะฮ์ ! ... เมื่อเราถือว่า "การกระทำในสิ่งที่ท่านนบีย์ละทิ้ง" เป็นเรื่องที่ชอบ ก็อุปมาเหมือนอย่างเราถือว่า "การละทิ้งสิ่งที่ท่านนบีย์กระทำ" ก็เป็นเรื่องที่ชอบเช่นเดียวกัน ... ไม่มีข้อแตกต่างกันเลย .......”
(โปรดอ่านทบทวน แล้วใช้สติปัญญาของท่านไตร่ตรองข้อความข้างต้นนี้ให้ถี่ถ้วน แล้วท่านก็คงไม่ปฏิเสธความจริงของคำกล่าวข้างต้นนี้)
แต่ในยุคหลังๆมานี้ มีนักวิชาการบางท่าน - ที่ดิ้นรนหาความชอบธรรมของตนในการ "กระทำ" สิ่งที่ท่านศาสดา "เจตนาละทิ้ง" - ได้พยายามคัดค้านเรื่องซุนนะฮ์ตัรฺกียะฮ์ว่าไม่มีหลักฐานและไม่ใช่เป็นหลักการในอิสลาม โดยอ้างคำนิยามของคำว่า "ซุนนะฮ์" ที่นักวิชาการได้กำหนดเอาไว้ ...
ตัวอย่างเช่นคำนิยามคำว่า "ซุนนะฮ์" ของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ในหนังสือ "ฟัตหุ้ลบารีย์" เล่มที่ 13 หน้า 245 กิตาบอัล-เอี๊ยะอฺติศอม ที่กล่าวว่า ...
َالسُّنَّةُ مَا جَاءَ عَنِ النَّبِىِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ أَقْوَالِهِ، وَأَفْعَالِهِ، وَتَقْرِيْرِهِ وَمَا هَمَّ بِفِعْلِهِ
"-ซุนนะฮ์ ก็คือ สิ่งที่มาจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อันได้แก่ أَقْوَالِهِ (คำพูดต่างๆของท่าน), أَفْعَالِهِ (การกระทำต่างๆของท่าน), تَقْرِيْرِهِ (การยอมรับของท่าน), และ مَا هَمَّ بِفِعْلِهِ (สิ่งที่ท่านแสดงความตั้งใจว่าจะกระทำมัน)" ...
หมายเหตุ ตัวอย่างของซุนนะฮ์ข้อสุดท้ายนี้ ได้แก่การถือศีลอดวันที่ 9 เดือนมุหัรฺรอมควบคู่กับการถือศีลอดวันที่ 10 เพราะท่านศาสดาเคยกล่าวว่า สมมุติถ้าฉันมีชีวิตยืนยาวต่อไปถึงปีหน้า ฉันก็จะถือศีลอดวันที่ 9 (เดือนมุหัรฺรอม) ด้วย แต่ท่านก็สิ้นชีวิตก่อนที่จะได้ปฏิบัติตามที่ได้ตั้งใจไว้ ซึ่งบรรดานักวิชาการต่างก็ยอมรับว่า การถือศีลอดวันที่ 9 เดือนมุหัรฺรอมตามความตั้งใจของท่าน ถือเป็นซุนนะฮ์เช่นเดียวกัน ...
ข้ออ้างของผู้ที่คัดค้านเรื่องซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ก็คือ ในคำนิยามของ "ซุนนะฮ์" ข้างต้นนี้หรือในคำนิยามของนักวิชาการท่านใดก็ตาม จะกล่าวถึงเฉพาะ "การกระทำต่างๆ" ของท่านเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึง "การละทิ้ง" ของท่านเอาไว้ด้วยเลย ...
การละทิ้งสิ่งใดของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงไม่ใช่ซุนนะฮ์ที่จะต้องปฏิบัติตาม ...
แต่ผมขอยืนยันว่า เรื่องซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ เป็นสิ่งที่มี "หลักฐาน" แน่นอน, เป็นบทบัญญัติของอิสลามแน่นอน .. ดังที่นักวิชาการอุศู้ลุลฟิกฮ์ได้กำหนดเอาไว้ ..
เหตุผลดังการอ้างของผู้คัดค้านข้างต้นนั้น ฟังไม่ขึ้น และไม่สามารถจะหักล้างข้อเท็จจริงของหลักฐานที่ยืนยันว่า มีซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์จริงๆได้ ...
เพราะคำว่า أَفْعَالِهِ หรือ "การกระทำต่างๆ" ในคำนิยามข้างต้น หมายถึง ทุกๆอริยาบถของท่านที่ "ตรงกันข้าม" กับคำว่า أَقْوَالِهِ หรือ "คำพูดต่างๆ" ของท่าน ..
ไม่ว่าการกระทำนั้นๆ จะเป็นไปในด้านบวก คือกระทำ, หรือเป็นไปในด้านลบ คือละทิ้ง เมื่อมิใช่เป็นคำพูด จึงถือว่าเป็น أَفْعَالِهِ .. คือ "การกระทำ" ของท่านทั้งสิ้น ....
หลักฐานชัดเจนเรื่อง "ซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์" ดังปรากฏในหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ก็คือ การรายงานเรื่องการทำหัจญ์ของท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. โดยท่านซาลิม บุตรชายของท่าน ว่า ...
"ฉันเห็นท่าน (อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.)ได้ขว้างญัมเราะฮ์ใกล้ (หมายถึงญัมเราะฮ์แรกที่อยู่ใกล้กับมัยญิดอัล-ค็อยฟ์ที่ตำบลมินาสุด) ด้วยก้อนกรวดเขื่อง 7 ก้อน, โดยท่านกล่าวตักบีรฺพร้อมกับทุกก้อนที่ขว้าง จากนั้นท่านก็เดินไปข้างหน้าจนถึงตำแหน่งที่ราบแล้วท่านก็ยืนหันหน้าไปทางกิบลัตเป็นเวลานาน โดยยกมือทั้งสองข้างขึ้นขอดุอา, จากนั้นท่านก็ขว้างญัมเราะฮ์กลาง (ญัมเราะฮ์ที่สอง) เสร็จแล้วก็เดินเลี่ยงออกทางซ้าย .. ยืนหันหน้าไปทางกิบลัตเป็นเวลานานและยกมือทั้งสองข้างขึ้นขอดุอา, ต่อมาท่านก็ขว้างญัมเราะฮ์สุดท้าย (ญัมเราะฮ์ อะกอบะฮ์) จากทางด้านที่ลุ่มต่ำ และมิได้ยืน (ขอดุอา) ณ ที่นั้น เสร็จแล้วท่าน(อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.)ก็เดินทางกลับ แล้วกล่าวว่า
"อย่างนี้แหละ ฉันเห็นท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกระทำ" ...
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 1751, 1752 และรายงานจากท่านอัซ-ซุฮ์รีย์ ในหะดีษที่ 1753 ด้วยข้อความที่คล้ายคลึงกัน) ...
ข้อความของหะดีษข้างต้นนี้ เป็นรายงานการกระทำของเศาะหาบะฮ์ คือท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. จึงมีลักษณะเป็นหะดีษเมากูฟ .. คือ คำพูดของเศาะหาบะฮ์ ซึ่งปกติ จะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงโดยตรงไม่ได้ ...
แต่คำพูดของท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ. ตอนท้ายที่ว่า "อย่างนี้แหละ ฉันเห็นท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกระทำ" .. แสดงว่า เนื้อหาของหะดีษบทนี้ทั้งหมด เป็นหะดีษมัรฺฟูอฺ .. คือ เป็นการกระทำของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงนำมาอ้างเป็นหลักฐานได้ ...
เนื้อหาของหะดีษบทนี้ คือหลักฐานยืนยันว่า ซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมในทางปฏิบัติ จะมี 2 ลักษณะ .. ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้น คือ ...
1. ซุนนะฮ์ ฟิอฺลียะฮ์ ได้แก่ "การยืนขอดุอา" หลังจากการขว้างญัมเราะฮ์แรกและญัมเราะฮ์ที่สองแล้ว เพราะท่านนบีย์กระทำสิ่งนี้ ...
2. ซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ ได้แก่ "การละทิ้ง, ไม่ขอดุอา" หลังจากการขว้างญัมเราะฮ์ที่สามแล้ว เพราะท่านนบีย์ละทิ้งและไม่กระทำสิ่งนี้ ...
ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้อธิบายหะดีษบทนี้ในหนังสือ "ฟัตหุ้ลบารีย์" เล่มที่ 3 หน้า 584 ว่า ...
وَفِى الْحَدِيْثِ مَشْرُوْعِيَّةُ التَّكْبِيْرِ عِنْدَ رَمْىِ كُلِّ حَصَاةٍ، .......................... وَتَرْكِ الدُّعَاءِ وَالْقِيَامِ عِنْدَ جَمْرَةِ الْعَقَبَةِ
"และในหะดีษบทนี้ (เป็นหลักฐานว่า) มีบทบัญญัติให้กล่าวตักบีรฺ (คือกล่าวอัลลอฮุ อักบัรฺ)ในการขว้างก้อนกรวดทุกก้อน, ................................................ และ(มีบทบัญญัติ)ให้ "ละทิ้ง" การขอดุอาและการยืนตอน(เสร็จจากขว้าง)ญัมเราะฮ์สุดท้าย" ....
ส่วนท่านอิหม่ามอัน-นะวะวีย์ ก็กล่าวอธิบายคล้ายคลึงกันว่า ...
وَيُسْتَحَبُّ أَنْ يَقِفَ عَقِبَ رَمْىِ اْلأَوَّلِ عِنْدَهَا مُسْتَقْبِلَ الْقِبْلَةِ زَمَانًا طَوِيْلاً يَدْعُوْ وَيَذْكُرُ اللهَ، وَيَقِفَ كَذَلِكَ عِنْدَ الثَّانِيَةِ، وَلاَ يَقِفَ عِنْدَ الثَّالِثَةِ ......
"และชอบที่จะให้มีการหยุดยืนถัดจากการขว้างญัมเราะฮ์แรกแล้ว ณ ที่นั้น โดยให้หันไปทางกิบลัตให้นาน (เพื่อ)ขอดุอาและซิกรุ้ลลอฮ์, และ(ชอบ)ให้หยุดยืน(ขอดุอา)หลังจากขว้างญัมเราะฮ์ที่สองในลักษณะเดียวกัน, แต่(ไม่ชอบ)ให้หยุดยืน (เพื่อขอดุอา) หลังจากขว้างญัมเราะฮ์ที่สามแล้ว " ...
ผมขอถามว่า มีนักวิชาการคนใดบ้างไหมที่กล่าวว่า ซุนนะฮ์หรือชอบให้หยุดยืนขอดุอาหลังจากการขว้างญัมเราะฮ์ที่สามแล้ว ? ...
คำตอบก็คือ ไม่มี ! .. เพราะนักวิชาการทุกท่านรู้ดีว่า ซุนนะฮ์ของท่านนบีย์ก็คือ ละทิ้งการขอดุอาหลังจากขว้างญัมเราะฮ์ที่สาม ...
เพราะฉะนั้น เมื่อหลักฐานมีชัดเจนออกอย่างนี้ และนักวิชาการก็อธิบายชัดเจนออกอย่างนี้แล้ว เรายังจะกล้าพูดอีกหรือว่า ซุนนะฮ์ตัรฺกียะฮ์เป็นสิ่งไม่มีหลักฐาน และไม่ใช่เป็นบทบัญญัติในอิสลาม ??? ...

(ยังมีต่อ)

ซุนนะฮ์ตัรฺกียะฮ์ มีหลักฐานหรือไม่ในบทบัญญัติ (ตอนจบ)


โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

กรอบของซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ในอิสลาม
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ มิได้หมายถึงการละทิ้งทุกสิ่งที่ท่านนบีย์ไม่ทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเคยมีสาเหตุเกิดขึ้นแก่ท่านนบีย์หรือไม่ก็ตาม ...
แต่จะหมายถึงสิ่งที่ท่านเจตนาละทิ้งหรือไม่ทำ ทั้งๆที่มีสาเหตุเกิดขึ้นแก่ท่านแล้ว ...
เพราะตามข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่ไม่เคยมีสาเหตุหรือไม่เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับท่าน ท่านจะไปละทิ้งมันได้อย่างไร ? ...
ดังนั้น นักวิชาการอุศู้ลุลฟิกฮ์ จึงได้วิเคราะห์ และกำหนดกรอบของสิ่งที่จะเรียกว่าเป็น "ซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์" เอาไว้อย่างรัดกุม ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ ดังนี้ ...
ซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ หมายถึงสิ่งใดก็ตามที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม "เจตนาไม่กระทำ" .. ทั้งๆที่ ...
(1). มีสาเหตุหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นแล้วแก่ตัวท่าน หรือในสมัยของท่าน ...
(จากตัวอย่างข้างต้น สาเหตุหรือเหตุการณ์ของการขอดุอาในกรณีนี้ก็คือ การขว้างญัมเราะฮ์ในพิธีกรรมหัจญ์) ...
(2). สิ่งนั้น เป็นสิ่งดีที่ควรกระทำ ...
(จากตัวอย่างข้างต้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การขอดุอาเป็นสิ่งดีที่ควรกระทำ) ...
(3). ไม่มีอุปสรรคใดๆขัดขวางท่านจากการกระทำสิ่งนั้น ...
(จากตัวอย่างข้างต้น ไม่มีอุปสรรคใดเลยที่จะขัดขวางท่านนบีย์จากการขอดุอาหลังจากขว้างญัมเราะฮ์ที่สาม)
...
แต่ท่านนบีย์ก็มิได้หยุดยืนขอดุอาหลังจากขว้างญัมเราะฮ์ที่สาม ทั้งๆที่ท่านก็ได้หยุดยืนขอดุอาในสองญัมเราะฮ์ก่อนหน้านั้นมาแล้ว ...
ดังนั้น ซุนนะฮ์ในเรื่องนี้สำหรับทุกคนที่เดินทางไปทำหัจญ์ก็คือ การไม่ขอดุอาหลังจากขว้างญัมเราะฮ์ที่สาม เพื่อปฏิบัติตามแบบอย่างของท่าน ซึ่งเรียกกันว่า เป็นซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ ...
และการหยุดยืนขอดุอาในกรณีนี้ นักวิชาการถือว่า เป็นบิดอะฮ์ ...
ก็มีหลายๆตัวอย่างเกี่ยวกับซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ ที่พอจะนำมาเปรียบเทียบได้กับเรื่องนี้ หากมีลักษณะตรงกัน, มีเงื่อนไขครบ 3 ประการตรงกัน ...
ผมขอนำเสนอตัวอย่างสัก 2 ตัวอย่างที่นักวิชาการกล่าวว่าเป็นซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ เพราะตรงกับเงื่อนไขข้างต้นทั้ง 3 ประการ คือ ...
ก. การอ่านอัล-กุรฺอานเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ผู้ตาย .. ไม่ว่าอ่านที่บ้านหรือที่กุบูรฺ ...
สิ่งนี้เป็นซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ คือ ไม่ควรกระทำ เพราะ ...
1. สาเหตุแห่งการอ่านอัล-กุรฺอานในกรณีนี้ - ได้แก่การตาย - มิใช่จะเพิ่งเกิดมีในยุคของเราเท่านั้น แต่เกิดขึ้นแล้วมากมายในสมัยของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
2. การอ่านอัล-กุรฺอานเพื่อส่งบุญให้แก่ผู้ตาย โดยเฉพาะเมื่อผู้ตายเหล่านั้นเป็นเศาะหาบะฮ์ของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นสิ่งดีที่ควรปฏิบัติ ...
3. ไม่มีอุปสรรคใดๆเลยที่จะขัดขวางท่านจากการอ่านอัล-กุรฺอานเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่พวกเขา ...
แต่ไม่เคยปรากฏ - แม้แต่ครั้งเดียว - ว่า ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จะเคยอ่านอัล-กุรฺอานเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่เศาะหาบะฮ์ของท่านที่ตายคนใดเลย ไม่ว่าอ่านที่บ้านหรือที่กุบูรฺ ...
โดยนัยนี้ นักวิชาการอุศู้ลฯจึงถือว่า การไม่อ่านอัล-กุรฺอานให้แก่คนตาย เป็นซุนนะฮ์ (ที่เรียกกันว่า ซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์), และการอ่านอัล-กุรฺอานแก่ผู้ตาย เป็นบิดอะฮ์ ...
ท่านเช็คอะลีย์ มะห์ฟูศ ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ "อัล-อิบดาอฺฯ ของท่าน หน้า 44 ว่า
وَمِنْ هَذَااْلأَصْلِ الْعَظِيْمِ تَعْلَمُ أَنَّ أَكْثَرَ أَفْعَالِ النَّاسِ الْيَوْمَ مِنَ الْبِدَعِ الْمَذْمُوْمَةِ كَقِرَاءَةِ الْقُرْآنِ عَلَى الْقُبُوْرِ رَحْمَـةً بِالْمَيِّتِ، تَرَكَهُ النَّبِّيُ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَرَكَهُ الصَّحَابَةُ مَعَ قِيَامِ الْمُقْتَضِيْ لِلْفِعْلِ وَهُوَالشَّفَقَةُ بِالْمَيِّتِ، وَعَدَمِ الْمَانِعِ مِنْهُ، فَعَلَى هَذَااْلأَصْلِ الْمَذْكُوْرِ يَكُوْنُ تَرْكُهُ هُوَالسُّـنَّةُ وَفِعْلُهُ بِدْعَـةً مَذْمُوْمَةً، __
وَكَيْفَ يُعْقَلُ أَنْ يَتْرُكَ الرَّسُوْلُ شَيْأً نَافِعًا يَعُوْدُ عَلَى أُمَّـتِهِ بِالرَّحْمَةِ ؟ ..... فَهَلْ يُعْقَلُ أَنْ يَكُوْنَ هَذَا بَابًا مِنْ أَبْوَابِ الرَّحْمَةِ وَيَتْرُكُهُ الرَّسُوْلُ طُوْلَ حَيَاتِـهِ وَلاَ يَقْرَأُ عَلَى مَيِّتٍ مَرَّةً وَاحِدَةً ؟ ........
“และจากกฎเกณฑ์อันสำคัญยิ่ง (ของวิชาอุศูลฯ) ข้อนี้ ทำให้ท่านรู้ว่า ภาคปฏิบัติของประชาชนส่วนมากในปัจจุบันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของบิดอะฮ์ที่ควรตำหนิ ... อย่างเช่น การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่หลุมฝังศพ (กุบูรฺ) เพื่อแสดงความเมตตารักใคร่ผู้ตาย, (สิ่งนี้) ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน ได้ละทิ้งมัน ทั้งๆที่มีประเด็นส่งเสริมให้กระทำ นั่นคือ ความห่วงใยที่มีต่อผู้ตาย, และก็ไม่มีอุปสรรคใดๆที่จะขัดขวางพวกท่านจากกระทำมัน ... ดังนั้น ตามกฎเกณฑ์ดังกล่าว ถือว่า การละทิ้ง (คือไม่กระทำ) สิ่งนี้ คือซุนนะฮ์, และการกระทำมัน จึงเป็นบิดอะฮ์ที่ควรตำหนิ .....
มันจะกินกับปัญญาได้อย่างไรว่า ท่านรอซู้ลฯ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จะละทิ้งสิ่งหนึ่งซึ่งอำนวยคุณประโยชน์ในด้านเมตตาธรรมที่กลับคืนไปหาอุมมะฮ์ของท่านเอง ? ...... มันกินกับปัญญาหรือว่า สิ่งนี้ (การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ) เป็นประตูหนึ่งจากบรรดาประตูแห่งความเมตตา แล้วท่านรอซู้ลฯ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กลับละทิ้งมันตลอดชีวิตของท่าน, โดยไม่เคยไปอ่านอัล-กุรฺอ่านให้กับผู้ตายคนใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ? ...........”
หมายเหตุ ผมขออธิบายเพิ่มเติมว่า ในกรณีเรื่องการอ่านอัล-กุรอานให้แก่ผู้ตายนี้ - ในส่วนตัวผม - จะขอพูดในประเด็นที่ว่า "มิใช่เป็นซุนนะฮ์ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" เท่านั้น ! .. แต่มิได้พูดถึงประเด็นที่ว่า การอุทิศผลบุญอัล-กุรฺอาน จะ "ถึง" หรือ "ไม่ถึง" ผู้ตาย เพราะเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า เรื่องผลบุญเป็นเรื่องของพระองค์อัลลอฮ์เพียงผู้เดียว ใครๆจะไปก้าวก่ายหรือทึกทักเอาเองเรื่องผลบุญว่าทำอย่างนั้นได้บุญ, ทำอย่างนี้ได้บุญ ฯลฯ ในสิ่งที่พระองค์มิได้สัญญาไว้ไม่ได้ .. แต่ผมมิใช่อัลลอฮ์ จึงไม่ทราบว่าอุทิศผลบุญถึงหรือไม่ถึง .. และจะไม่ขอก้าวก่ายอำนาจของพระองค์ในเรื่องนี้เด็ดขาดครับ ...
ข. พิธีกรรมเมาลิด หรือเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม
หมายเหตุ สิ่งที่ผมจะนำมากล่าวเปรียบเทียบกับเงื่อนไขของซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ในกรณีเรื่องเมาลิดนี้ ก็เฉพาะประเด็น "พิธีกรรม" ของงานเมาลิดที่ถูกจัดขึ้นเท่านั้นว่า มันตรงกับเงื่อนไขของซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ .. คือ ไม่มีแบบอย่างให้แสดงความรักต่อท่านนบีย์ หรือต่อวันเกิดของท่านนบีย์ด้วยวิธีการหรือพิธีกรรมอย่างนี้ ..
แต่ผมมิได้พูดถึงประเด็น "ความรู้สึก" ของผู้จัดงานเมาลิดที่อ้างว่า ต้องการยกย่องเทิดทูนท่านนบีย์หรือยกย่องเทิดทูนวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ..
เพราะเกี่ยวกับเรื่อง "ความรู้สึก" นี้ ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ก็ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังแล้วในหนังสือ “อิกติฎออุศ ศิรอฏิล มุสตะกีมฯ” เล่มที่ 2 หน้า 123 – 124 ของท่านดังนี้ .....
( وَكَذَلِكَ مَايُحْدِثُـهُ بَعْضُ النَّاسِ، إمَّا مُضَاهَاةً لِلنَّصَارَى فِيْ مِيْلاَدِ عِيْسَى عَلَيْهِ السَّلاَمُ، وَإمَّا مَحَبَّةً لِلنَّبِيِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَعْظِيْمًا، وَاللَّـهُ قَدْ يُثِيْبُهُمْ عَلَى هَذِهِ الْمَحَبَّةِ وَاْلإجْتِهَادِ، لاَ عَلَى الْبِدْعَـةِ مِنِ اتِّخَـاذِ مَوْلِدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عِيْدًا، مَعَ اخْتِلاَفِ النَّاسِ فِيْ مَوْلِدِهِ، فَإنَّ هَذَا لَمْ يَفْعَلْـهُ السَّلَفُ، مَعَ قِيَامِ الْمُقْتَضِيْ لَـهُ وَعَدَمِ الْمَانِعِ مِنْهُ، لَوْكَانَ خَيْرًا مَحْضًا أَوْرَاجِحًا لَكَانَ السَّلَفُ رَضِيَ اللَّـهُ عَنْهُمْ أَحَقَّ بِـهِ مِنَّا، فَإنَّـهُمْ كَانُوْا أَشَدَّ مَحَبَّةً لِرَسُوْلِ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَعْظِيْمًا لَـهُ مِنَّا، وَهُمْ عَلَى الْخَيْرِ أَحْرَصَ وَإنَّمَا كَمَالُ مَحَبَّتِـهِ وَتَعْظِيْمِهِ فِيْ مُتَابَعَتِهِ وَطَاعَتِهِ وَاتِّبَاعِ أَمْرِهِ، وَإحْيَاءِ سُنَّتِهِ بَاطِنًاوَظَاهِرًا، وَنَشْرِمَابُعِثَ بِـهِ، وَالْجِهَادِعَلَى ذَلِكَ بِالْقَلْبِ وَالْيَدِ واللِّسَانِ، فَإنَّ هَـذِهِ طَرِيْقَةُ السَّابِقِيْنَ اْلاَوَّلِيْنَ، مِنَ الْمُهَاجِرِيْنَ وَاْلاَنْصَارِ، وَالَّذِيْنَ اتَّبَعُوْهُـمْ بِإحْسَانٍ .....)
“และเฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่กล่าวมานี้ ก็คือ สิ่งซึ่งประชาชนบางคนได้ริเริ่มขึ้นมาใหม่ ..ในมุมมองหนึ่ง ก็เป็นการเลียนแบบชาวคริสต์ในการจัดงานฉลองวันเกิดของท่านนบีย์อีซา อะลัยฮิสสลาม (วันคริสต์มาส), แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็เป็นการแสดงความรักและเทิดทูนต่อท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ซึ่ง "บางที พระองค์อัลลอฮ์ อาจจะให้ผลบุญต่อพวกเขาเพราะความรักและความทุ่มเทนี้บ้างก็ได้" ... แต่มิใช่ (พระองค์จะให้ผลบุญ) เพราะการทำบิดอะฮ์ ด้วยการยึดถือเอาวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นวันรื่นเริง, ทั้งๆที่พระชาชนก็ยังขัดแย้งกันอยู่เกี่ยวกับวันเกิดของท่าน, ทั้งนี้ เพราะการกระทำดังกล่าวนี้ บรรดาบรรพชนยุคแรกไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อนทั้งๆที่มีประเด็นส่งเสริม และไม่มีอุปสรรคอันใดเลย, สมมุติว่า หากการกระทำสิ่งนี้ เป็นเรื่องดีล้วนๆหรือมีน้ำหนักแห่งความดีอยู่บ้าง แน่นอนบรรพชนเหล่านั้น เหมาะสมที่สุดที่จะทำมันยิ่งกว่าพวกเรา,.. ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขารักและเทิดทูนท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยิ่งกว่าพวกเรา, ทั้งยังเป็นผู้ที่กระหายในเรื่องการทำสิ่งดีมากที่สุดด้วย ...
ความสมบูรณ์เพียบพร้อมในเรื่องความรักและการเทิดทูนท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมนั้นมิใช่อื่นใด หากอยู่ที่การปฏิบัติตามท่าน, เชื่อฟังท่าน, กระทำตามคำสั่งของท่าน, ฟื้นฟูซุนนะฮ์ของท่าน ทั้งที่ลับและที่แจ้ง, เผยแผ่สารของท่าน, เสียสละเพื่อสิ่งเหล่านี้ทั้งใจ กาย และวาจา, เพราะสิ่งเหล่านี้ คือแนวทางของบรรดาบรรพชนยุคแรกๆ อันได้แก่ชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศ็อรฺ, และบรรดาผู้ซึ่งปฏิบัติตามพวกท่านเหล่านั้นด้วยคุณธรรมความดี ......”
นักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่มองว่า "พิธีกรรม" งานเมาลิด (ขอย้ำอีกครั้งว่า พิธีกรรมงานเมาลิด) ที่มีการจัดขึ้นในปัจจุบัน ถือเป็นซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ คือไม่ควรกระทำ .. ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ ...
1. เพราะการจัดงานเมาลิดหรืองานฉลองวันเกิดท่านศาสดา เป็นการเลียนแบบการจัดงานวันคริสต์มาสของชาวคริสต์ซึ่งจัดขึ้นเพื่อฉลองวันเกิดของท่านนบีย์อีซา (พระเยซู) ....
2. เหตุผลของการจัดงานเมาลิด - คือเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบีย์ ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม - ก็เป็นเหตุผลที่มีมาแล้วตั้งแต่สมัยท่านนบีย์ยังมีชีวิตอยู่ ...
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านนบีย์เองและเศาะหฟาบะฮ์ของท่าน ย่อมรู้วันเกิดของท่านนบีย์ดียิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ...
3. การฉลองวันเกิดให้แก่ท่านนบีย์ด้วยการการเลี้ยงอาหาร, การอ่านอัล-กุรฺอาน, การอ่านประวัติของท่านนบีย์ ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่ดีและควรกระทำ ...
4. ไม่มีอุปสรรคใดเลยที่จะขัดขวางท่าน (หรือเศาะหาบะฮ์ของท่าน) จากการจัดงานฉลองวันเกิดให้แก่ท่านด้วย "วิธีการ" หรือ "พิธีกรรม" อย่างนี้ ..
.
แต่ไม่เคยปรากฏแม้แต่ครั้งเดียวว่า ท่านนบีย์ก็ดี, เศาะหาบะฮ์ของท่านก็ดี (หรือแม้กระทั่งนักวิชาการผู้ทรงคุณธรรมในยุคสลัฟ คือยุค 300 ปีแรกก็ดี) จะมีผู้ใดเคยจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านนบีย์ด้วย "วิธีการ" อย่างที่พวกเราทำกันอยู่นี้ ...
ตรงกันข้าม พวกท่านเหล่านั้น "เฉลิมฉลองวันเกิด" ให้แก่ท่านนบีย์ ด้วยการปฏิบัติอย่างง่ายๆตามแบบอย่างที่ท่านนบีย์ทำตัวอย่างไว้ .. คือ "การถือศีลอด" ในวันที่ตรงกับเกิดของท่าน
โดยนัยนี้ นักวิชาการเหล่านี้จึงถือว่า รูปแบบพิธีกรรมเมาลิดที่ถูกจัดขึ้นในปัจจุบัน เป็นซุนนะฮ์ ตัรฺกียะฮ์ .. คือไม่ควรกระทำ เพราะในพิธีกรรมดังกล่าวย่อมจะมีผสมผสานสิ่งต้องห้ามตามหลักการศาสนาอยู่มากมายเช่นเดียวกัน ...
ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ นักวิชาการฟิกฮ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด และเป็นเจ้าของหนังสือ “ตุ๊ห์ฟะตุ้ล มุ๊ห์ตาจญ์” อันลือลั่น ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-ฟะตาวีย์” ของท่านว่า
اَلْمَوَالِدُ وَاْلأَذْكَارُ مَتَى تُفْعَلُ عِنْدَنَا أَكْثَرُهَا مُشْتَمِلٌ عَلَى خَيْرٍ كَصَدَقَةٍ وَذِكْرٍ وَصَلاَةٍ وَسَلاَمِ عَلَى رَسُوْلِ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَمَدْحِهِ، وَعَلَى شّرٍَ، بَلْ شُرُوْرٍ وَلَوْلَمْ يَكُنْ فِيْهَا إِلاَّ رُؤْيَةُ النِّسَاءِ لِلرِّجَالِ اْلأَجَانِبِ لَكَفَى ....
“การจัดงานฉลองวันเกิดและงานที่ระลึกต่างๆ เท่าที่จัดกันส่วนใหญ่ มักจะประกอบขึ้นจากสิ่งที่ดีๆ อาทิเช่น การเศาะดะเกาะฮ์, การซิกรุ้ลลอฮ์, การเศาะละวาต การให้สล่ามและการสรรเสริญท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, แต่ขณะเดียวกัน งานดังกล่าวยังประกอบขึ้นจากสิ่งต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างอยู่เสมอเช่นกัน, มาตรว่า จะไม่มีสิ่งต้องห้ามอื่นใดในงานดังกล่าวนั้นนอกจากการเปิดโอกาสให้สตรีได้มองดูผู้ชายอื่น (ที่มิใช่มะห์รอมของตน) ก็ถือว่าเป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว (ที่จะ “ห้าม” จากการจัดงานนั้นๆ)” ...
(จากหนังสือ “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎ็อรฺ อัล-อิบติดาอฺ” ของท่านเช็คอะลีย์ มะห์ฟูศ หน้า 264) ...
สรุปแล้ว ขอยืนยันว่า ผมไม่ได้คัดค้านการที่ผู้ใดจะแสดงออกถึงการรักท่านนบีย์หรือต้องการยกย่องวันเกิดท่านนบีย์ แต่ผมขอสนับสนุนแนวคิดที่ว่า หากเรารักท่านนบีย์จริงหรือต้องการยกย่องวันเกิดท่านนบีย์จริง ก็ควรเปลี่ยนวิธีการแสดงความรักหรือวิธีการเฉลิมฉลองวันเกิดท่านนบีย์เสียใหม่ ด้วยการปฏิบัติตาม "ซุนนะฮ์จริงๆ" ของท่าน คือ รณรงค์ให้มุสลิม ถือศีลอดในวันที่ตรงกับวันเกิดของท่าน ก็น่าจะได้รับผลบุญแน่นอนชัดเจนกว่า ..
รักนบีย์ด้วยการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ ย่อมดีกว่ารักนบีย์ด้วยการปฏิบัติสิ่งที่นักวิชาการจำนวนมากกล่าวว่า เป็นบิดอะฮ์ .. มิใช่หรือครับ ??? ..
วาทกรรมของไทยกล่าวว่า .. เราเป็นคนเก่งได้โดยไม่ต้องพึ่งยาเสพติด ...
วาทกรรมของเราก็คือ เรารักท่านนบีย์ได้โดยไม่ต้องทำเมาลิด ...
เก๋ซะไม่มี ...
และผมก็เห็นด้วยกับคำพูดของ่ท่านเช็คอะลีย์ มะห์ฟูศที่กล่าวว่า ...
"เมื่อเราถือว่า "การกระทำในสิ่งที่ท่านนบีย์ละทิ้ง" เป็นเรื่องที่ชอบ ก็อุปมาเหมือนอย่างเราถือว่า "การละทิ้งในสิ่งที่ท่านนบีย์กระทำ" ก็เป็นเรื่องที่ชอบเช่นเดียวกัน ไม่มีข้อแตกต่างกันเลย" ...
เพราะ .. ถ้าท่านยึดถือทัศนะที่ว่า สิ่งที่ท่านนบีย์ "เจตนาละทิ้ง" เป็นแบบอย่างไว้ เป็นเรื่องชอบให้เรากระทำ หรือเราสามารถกระทำได้ไม่มีปัญหา .. และ/หรืออาจจะมีผลบุญด้วยในการกระทำสิ่งนั้น แล้วมีผู้โต้แย้งท่านโดยอาศัยตรรกะเดียวกันว่า ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ท่านนบีย์ "เจตนากระทำ" เป็นแบบอย่างไว้ ก็เป็นเรื่องชอบให้เราละทิ้ง ไม่มีปัญหาอะไร .. และ/หรืออาจจะมีผลบุญด้วยเช่นเดียวกันในการละทิ้งสิ่งที่ท่านนบีย์ทำนั้น ...
ท่านจะตอบเขาอย่างไร ??? ...

อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย ...

16/3/59


วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

สุญูดซะฮ์วี (ตอนที่ 1)



โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

เรื่องสุญูดซะฮ์วี เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาด้านวิชาการที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับภาคปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ไขข้อบกพร่องในนมาซ เพราะฉะนั้น ผู้อ่านจึงไม่ต้องรีบร้อนอ่าน แต่ให้อ่านช้าๆ และใคร่ครวญไปด้วยนะครับ ...
สุญูดซะฮ์วี คืออะไร ?
สุญูด แปลว่า การกราบ ...
ซะฮ์วี แปลว่า การลืม ...
ดังนั้น สุญูดซะฮ์วี ก็คือการสุญูดหรือการกราบ (ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.) สอง ครั้ง เพื่อชดเชยความบกพร่องจากการลืมบางสิ่งบางอย่างในการนมาซ ...
ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเอง ก็เคยมีการหลงลืมบางสิ่งบางอย่างในขณะนมาซ แล้วท่านก็ได้สาธิตวิธีชดเชยการหลงลืมดังกล่าวนั้นด้วยการสุญูด 2 ครั้ง .. ซึ่งบางครั้งท่านจะสุญูดก่อนให้สล่าม และบางครั้งท่านจะสุญูดหลังจากให้สล่ามแล้ว ..
เราเรียกการสุญูดดังกล่าวนั้นว่า สุญูดซะฮ์วี ...
การสุญูดซะฮ์วีตามหลักฐาน จะเกิดมีขึ้นจาก 1 ใน 3 สาเหตุ คือ
1. จากการ “เพิ่มเติม” บางสิ่งบางอย่างในการนมาซ เช่น เพิ่มการยืน, การนั่ง, การรุกั๊วะอฺ, การสุญูด เป็นต้น โดยไม่เจตนา ...
2. จากการ “ตัดทอน” รุก่นบางรุก่น, สิ่งวาญิบบางอย่าง, หรือบางร็อกอะฮ์ของการนมาซออกไป โดยไม่เจตนา ...
3. จาก “ความสงสัย” หรือไม่แน่ใจในจำนวนร็อกอะฮ์ที่กำลังกระทำอยู่ว่า เป็นร็อกอะฮ์ที่เท่าไรกันแน่ ...
ซึ่งสาเหตุใดจาก 1 ใน 3 สาเหตุข้างต้น ผู้นมาซจะต้องสุญูด 2 ครั้ง เพื่อชดเชยความบกพร่องนั้น หากมันเกิดขึ้นโดยไม่เจตนา ...
แต่ถ้าผู้ใดกระทำสิ่งใดจาก 3 ประการข้างต้นในขณะนมาซโดยเจตนา ถือว่าการนมาซนั้นของเขา เป็นโมฆะ ...
ส่วนกรณีที่ว่า การสุญูดซะฮ์วี ให้ปฏิบัติในช่วงใด ? .. ก่อนการให้สล่ามหรือหลังการให้สล่าม ? ...
คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ท่านศาสดาจะมีการปฏิบัติทั้ง 2 อย่าง คือท่านจะสุญูดทั้งก่อนให้สล่ามและหลังให้สล่าม ...
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ความบกพร่องกรณีใดที่ตามซุนนะฮ์ จะต้องสุญูดซะฮ์วีก่อนให้สล่าม, และความบกพร่องกรณีใดที่จะต้องสุญูดซะฮ์วีหลังให้สล่าม ...
เรื่องนี้ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ...
1). การสุญูดซะฮ์วีก่อนให้สล่าม
ปกติแล้ว การสุญูดซะฮ์วีของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะวัลลัม จะมีขึ้นหลังการให้สล่ามเป็นส่วนใหญ่ ...
จำไว้ว่า ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จะสุญูดซะฮ์วีก่อนการให้สล่าม ก็เพียงใน 2 กรณีเท่านั้นคือ ...
1. กรณีการละทิ้งตะชะฮ์ฮุด (ตะหี้ยะฮ์) ครั้งแรก
2. กรณีการสงสัยจำนวนร็อกอะฮ์
กรณีที่ 1 การละทิ้งตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก
ผู้นมาซคนใดที่ลุกขึ้นยืนตรงเรียบร้อยแล้ว จากการสุญูดครั้งที่สองของร็อกอะฮ์ที่สอง โดยลืมการอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก เขาก็ไม่ต้องนั่งลงเพื่ออ่านตะชะฮ์ฮุดนั้นอีก แม้จะมีผู้ทักท้วงก็ตาม โดยให้เขากระทำการนมาซต่อไปจนจบร็อกอะฮ์ที่สาม (หากเป็นนมาซมัคริบ) หรือจบร็อกอะฮ์ที่สี่ (หากเป็นการนมาซอัศรี่หรือนมาซอิชาอ์) ...
หลังจากนั้น เมื่อเขาอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ก็ให้เขากล่าวตักบีรฺในขณะกำลังนั่งอยู่ แล้วสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง เสร็จแล้วจึงให้สล่าม ...
หลักฐาน
ท่านอับดุลลอฮ์ บิน บุหัยนะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ...
صَلَّى رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلاَةً مِنَ الصَّلَوَاتِ، فَقَامَ مِنِ اثْنَتَيْنِ فَسُبِّحَ بِهِ فَمَضَى (فَلَمْ يَجْلِسْ، وَقَامَ النَّاسُ مَعَهُ) حَتَّى فَرَغَ مِنْ صَلاَتِهِ، وَلَمْ يَبْقَ إلاَّ التَّسْلِيْمُ (كَبَّرَ) فَسَجَدَ سَجْدَتَيْنِ وَهُوَ جَالِسٌ قَبْلَ أَنْ يُسَلِّمَ ..
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำนมาซครั้งหนึ่ง แล้วท่านก็ยืนตรงขึ้นจากร็อกอะฮ์ที่สอง มีบางคนได้กล่าวตัสเบี๊ยะห์ขึ้น แต่ท่านก็ยังคงนมาซต่อไป (โดยมิได้นั่งลงอ่านตะชะฮ์ฮุดอีก, ประชาชนจึงยืนขึ้นนมาซพร้อมกับท่าน) จนกระทั่งเมื่อท่านสำเร็จจากการนมาซนั้นโดยเหลือการให้สล่ามเพียงอย่างเดียว (ท่านก็กล่าวตักบีรฺ) แล้วก้มลงสุญูดสองครั้งในขณะกำลังนั่งอยู่ จากนั้นท่านจึงให้สล่าม”
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 1224, ท่านมุสลิม หะดีษที่ 85/570, ท่านอิบนุ คุซัยมะฮ์ หะดีษที่ 1030 และผู้บันทึกท่านอื่นๆ ...
สำนวนในที่นี้ เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุคุซัยมะฮ์, และข้อความในวงเล็บเป็นสำนวนของท่านบุคอรีย์) ...
หมายเหตุ
แต่ถ้าเขาลุกขึ้นยืนแล้ว เพื่อจะทำร็อกอะฮ์ที่สามโดยลืมอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก แต่ยังไม่ทันยืนตรง ก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้อ่านตะชะฮ์ฮุด ในกรณีนี้ให้เขารีบนั่งลงเพื่ออ่านตะชะฮ์ฮุดที่ลืมนั้น และทำนมาซต่อไปจนเสร็จสิ้นโดยไม่ต้องสุญูดซะฮ์วีแต่ประการใด ดังจะได้กล่าวต่อไปในเรื่อง “การสงสัยและการหลงลืมที่ไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี”
กรณีที่ 2 การสงสัยจำนวนร็อกอะฮ์
คำว่า “สงสัย” หมายถึงความความไม่มั่นใจในจำนวนร็อกอะฮ์ที่กำลังกระทำอยู่ว่าจะเป็นร็อกอะฮ์ที่เท่าใดกันแน่, หรือสงสัยว่าได้ทันร็อกอะฮ์พร้อมอิหม่ามหรือไม่ ? .. โดยไม่อาจจะให้น้ำหนักกับด้านใดด้านหนึ่งของร็อกอะฮ์ที่สงสัยนั้น ...
ตัวอย่างที่ 1 ชายคนหนึ่งนมาซประเภท 4 ร็อกอะฮ์ แล้วนึกไม่ออกว่า ร็อกอะฮ์ที่กำลังกระทำอยู่นี้ เป็นร็อกอะฮ์ที่ 3 หรือร็อกอะฮ์ที่ 4 ? ...
กรณีนี้ก็ให้เขายึดถือเอาจำนวนร็อกอะฮ์ที่น้อยกว่าเป็นเกณฑ์ .. ดังในตัวอย่างข้างต้นนี้ ก็ให้เขาถือว่าเขากำลังทำร็อกอะฮ์ที่ 3 อยู่ ...
ดังนั้น เขาจึงจำเป็นจะต้องทำนมาซเพิ่มอีก 1 ร็อกอะฮ์ และเมื่อเสร็จจากการอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้ายแล้ว ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่าม ...
หลักฐาน
ท่านอบูสะอีด อัล-คุดรีย์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ..
قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِذَاشَكَّ أَحَدُكُمْ فِىْ صَلاَتِهِ فَلَمْ يَدْرِكَمْ صَلَّى ؟ ثَلاَثاً أَمْ أَرْبَعًا ؟ فَلْيَطْرَحِ الشَّكَّ وَلْيَبْنِ عَلَى مَا اسْتَيْقَنَ ! ثُمَّ اسْجُدْ سَجْدَتَيْنِ قَبْلَ أَن يُّسَلِّمَ
ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า : “เมื่อพวกท่านคนใดเกิดสงสัยในการนมาซของเขา โดยเขานึกไม่ออกว่าได้นมาซไปเท่าไรแล้ว .. สามหรือสี่ร็อกอะฮ์กันแน่ ? ดังนั้น เขาก็จะต้องโยนส่วนที่สงสัย (คือ สงสัยว่าจะเป็นร็อกอะฮ์ที่สี่) ทิ้งไป และให้ยึดเอาสิ่งที่เขาแน่ใจ (คือ ร็อกอะฮ์ที่สาม)ไว้ หลังจากนั้น ก็ให้เขาสุญูด 2 ครั้ง ก่อนการให้สล่าม ........”
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 88/571)
ตัวอย่างที่ 2 ชายคนหนึ่งมาทันนมาซที่มัสญิดขณะที่อิหม่ามกำลังก้มรุกั๊วะอฺอยู่ เขาจึงรีบตักบีเราะตุ้ลเอี๊ยะห์รอมแล้วก้มลงรุกั๊วะอฺ เพื่อจะได้ทันร็อกอะฮ์นั้นพร้อมอิหม่าม แต่แล้ว เขาก็เกิดสงสัยว่าตนเองก้มรุกั๊วะอฺทัน ก่อนที่อิหม่ามจะเงยขึ้นมาจากรุกั๊วะอฺหรือเปล่า ? ...
ในกรณีนี้ ถือว่าเขาไม่ทันได้ร็อกอะฮ์ที่สงสัยนั้น ดังนั้น จึงให้เขานับร็อกอะฮ์แรกของเขาหลังจากที่ได้ยืนขึ้นมาพร้อมกับอิหม่ามในร็อกอะฮ์ถัดไป ...
เมื่ออิหม่ามให้สล่ามแล้ว ก็ให้เขาทำนมาซของเขาต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์ และจะต้องสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้งก่อนการให้สล่าม ...
รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีอธิบายอีกครั้งในเรื่อง “มะอ์มูมมัสบูก” ครับ ..
(2). การสุญูดซะฮ์วีหลังให้สล่าม
การสุญูดซะฮ์วีหลังการให้สล่าม มีอยู่หลายกรณีด้วยกันดังค่อไปนี้ ...
กรณีที่ 1 การเพิ่มเติมบางอย่างในการนมาซ
คำว่า “เพิ่มเติมบางอย่าง” ในที่นี้ หมายถึงการเพิ่มเติมสิ่งวาญิบของการนมาซ เช่น เพิ่มการอ่านตะชะฮ์ฮุด, หรือการเพิ่มเติมบางรุก่นของการนมาซ เช่นเพิ่มการยืน การนั่ง, การรุกั๊วะอฺ, การสุญูด เป็นต้น .. หรือการเพิ่มร็อกอะฮ์ของการนมาซโดยไม่ตั้งใจ แต่เป็นเพราะความพลั้งเผลอหรือหลงลืม ...
ตัวอย่าง
ชายผู้หนึ่งนมาซซุฮ์รี่ 5 ร็อกอะฮ์ แต่เขาเกิดนึกขึ้นมาได้ หลังจากให้สล่ามไปแล้ว ว่า ตนนมาซเกินไปหนึ่งร็อกอะฮ์ ในกรณีนี้ เขามีวิธีแก้ไขเพียงประการเดียวคือ ให้สุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง จากนั้นก็ให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง ...
หลักฐาน
ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ...
أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى الظُّهْرَخَمْسًا، فَقِيْلَ لَهُ : أَزِيْدَ فِى الصَّلاَةِ ؟ فَقَالَ : وَمَاذَاكَ ؟ قَالَ : صَلَّيْتَ خَمْسًا، فَسَجَدَ سَجْدَتَيْنِ بَعْدَ مَا سَلَّمَ (ثُمَّ سَلَّمَ)
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้นมาซซุฮ์รี่ 5 ร็อกอะฮ์, แล้วมีผู้กล่าวแก่ท่านว่า .. “มีการเพิ่มในนมาซหรือ ?” ท่านศาสดาจึงกล่าวถามว่า .. “ทำไมหรือ ?” เขาตอบว่า .. “ก็ท่านนมาซ 5 ร็อกอะฮ์” .. ดังนั้น ท่านศาสดาจึงสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้งหลังจากที่ได้ให้สล่ามแล้ว (หลังจากนั้น ท่านก็ให้สล่ามอีกครั้ง)”
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 1226, และท่านมุสลิม หะดีษที่ 89/572, และผู้บันทึกท่านอื่นๆ .. สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านบุคอรีย์ ส่วนข้อความในวงเล็บตอนท้าย เป็นข้อความจากการบันทึกของท่านมุสลิม) ...
หมายเหตุ
ตัวอย่างที่คล้ายคลึงกับกรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ ได้แก่ ...
1. ชายผู้หนึ่งนมาซซุฮ์รี่ได้ 3 ร็อกอะฮ์ เมื่อลุกขึ้นมาจากสุญูดของร็อกอะฮ์ที่ 3 เขาก็นั่งลงอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้าย เพราะเข้าใจว่าตนนมาซครบ 4 ร็อกอะฮ์แล้ว ในกรณีนี้ หากเขานึกได้ก่อนอ่านตะชะฮ์ฮุดจบ ก็ให้เขารีบลุกขึ้นทำร็อกอะฮ์ที่ 4 ในทันที แล้วให้ทำนมาซต่อไปจนจบการให้สล่าม ...
และเมื่อให้สล่ามแล้ว ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง
สาเหตุที่เขาต้องสุญูดซะฮ์วีในกรณีข้างต้นนี้ เพราะเขาได้เพิ่มรุก่นนมาซ – คือการอ่านตะชะฮ์ฮุด, และการนั่งอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้าย – ในที่ซึ่งมิใช่เป็นตำแหน่งของมัน ดังตัวอย่างที่ได้อธิบายไปนั้น ...
แต่หากเขานั่งอ่านตะชะฮ์ฮุดหลังจากร็อกอะฮ์ที่ 3 จนกระทั่งจบและเสร็จสิ้นการนมาซโดยการให้สล่ามไปแล้ว จึงเกิดนึกขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น --- เช่นประมาณ 2-3 นาที --- ว่า ตนนมาซขาดไปหนึ่งร็อกอะฮ์ กรณีนี้ ก็ให้เขาลุกขึ้นทำนมาซในร็อกอะฮ์ที่ขาดไปนั้นให้ครบ, และหลังจากอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้ายและให้สล่ามแล้ว ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้งแล้วจึงให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง, .. ดังกำลังจะกล่าวถึงต่อไปในเรื่อง “การให้สล่ามก่อนนมาซครบร็อกอะฮ์ของมัน” หน้าที่ 9 ตัวอย่างที่ 2 ...
แต่ถ้าหากเขาเกิดนึกขึ้นมาได้ภายหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควรแล้วว่า ตนนมาซซุฮ์รี่ไปแค่ 3 ร็อกอะฮ์, ยังขาดอีก 1 ร็อกอะฮ์ .. ในกรณีนี้ ก็ให้เขานมาซซุฮ์รี่ใหม่ เพราะถือว่าการนมาซครั้งก่อนไม่ถูกต้อง ...
2. ชายผู้หนึ่ง นมาซซุฮ์รี่ 5 ร็อกอะฮ์เพราะลืม .. ขณะที่เขากำลังนั่งอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้ายในร็อกอะฮ์ที่ห้าอยู่นั้น เกิดนึกขึ้นมาได้ว่า นี่มิใช่ร็อกอะฮ์ที่สี่ แต่เป็นเป็นร็อกอะฮ์ที่ห้า ในกรณีอย่างนี้ก็ให้เขาอ่านตะชะฮ์ฮุดต่อไปจนจบแล้วให้สล่าม หลังจากนั้น ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่ามใหม่อีกครั้งหนึ่ง ...
3. แต่ถ้าเขาเกิดนึกได้ขณะกำลังอยู่ในอิริยาบถใดๆที่อื่นจากการอ่านตะชะฮ์ฮุดในร็อกอะฮ์ที่ 5 เช่นนึกได้ขณะกำลังรุกั๊วะอฺในร็อกอะฮ์ที่ห้าว่า ตนกำลังทำนมาซในร็อกอะฮ์ส่วนเกินอยู่ ...
ในกรณีนี้ ก็ให้เขารีบนั่งลงโดยเร็ว แล้วอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งสุดท้ายและให้สล่ามตามปกติ หลังจากนั้น ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง ...

สุญูดซะฮ์วี (ตอนที่ 2)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

หมายเหตุ เรื่องสุญูดซะฮ์วี เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาด้านวิชาการที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับภาคปฏิบัติสำคัญในการแก้ไขข้อบกพร่องในนมาซ เพราะฉะนั้น ผู้อ่านจึงไม่ต้องรีบร้อนอ่าน แต่ให้อ่านช้าๆ และใคร่ครวญไปด้วยนะครับ ...
กรณีที่ 2 การให้สล่ามก่อนนมาซครบร็อกอะฮ์ของมัน
กรณีนี้ หมายถึงผู้นมาซเกิดหลงลืมขณะนมาซ และได้ให้สล่ามก่อนที่การนมาซจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และครบจำนวนร็อกอะฮ์ที่แท้จริงของมัน ...
ตัวอย่างที่ 1
ชายผู้หนึ่งนมาซซุฮ์รี่ เมื่อนั่งอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรกในร็อกอะฮ์ที่สองเสร็จแล้ว ก็ให้สล่ามเลย โดยเข้าใจว่าตนนมาซครบ 4 ร็อกอะฮ์แล้ว ...
ในกรณีนี้ หากเขานึกได้หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ก็ให้เขานมาซซุฮ์รี่ใหม่ เพราะถือว่า นมาซที่เขาทำไปก่อนหน้านี้ เป็นโมฆะ ...
แต่ถ้าเขานึกได้ภายในเวลาอันสั้น – เช่นประมาณ 2-3 นาที – ว่า ตนนมาซขาดไป 2 ร็อกอะฮ์ ก็ให้เขารีบทำสองร็อกอะฮ์ที่ขาดไปนั้น .. และเมื่อให้สล่ามแล้ว ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง ...
หลักฐาน
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ...
صَلَّى لَنَارَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلاَةَ الْعَصْرِ، فَسَلَّمَ فِىْ رَكْعَتَيْنِ، فَقَامَ ذُوالْيَدَيِنِ فَقَالَ : أَقُصِرَتِ الصَّلاَةُ يَارَسُوْلَ اللهِ ! أَمْ نَسِيْتَ ؟ فَقَالَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : "كُلُّ ذَلِكَ لَمْ يَكُنْ" فَقَالَ : قَدْكَانَ بَعْضُ ذَلِكَ يَارَسُوْلَ اللهِ! فَأَقْبَلَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَى النَّاسِ فَقَالَ : أَصَدَقَ ذُوالْيَدَيْنِ ؟ فَقَالُوْا : نَعَمْ ! يَارَسُوْلَ اللهِ ! فَأَتَمَّ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَابَقِىَ مِنَ الصَّلاَة،ِ ثُمَّ سَجَدَ سَجْدَتَيْنِ وَهُوَ جَالِسٌ بَعْدَ التَّسْلِيْمِ (ثُمَّ سَلَّمَ) ...
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำพวกเรานมาซอัศรี่, แล้วท่านก็ให้สล่ามในร็อกอะฮ์ที่สอง ท่านซุลยะดัยน์ (เป็นฉายาของเศาะหาบะฮ์ท่านหนึ่ง) จึงลุกขึ้นยืนถามว่า .. “นมาซถูกย่อหรือ โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ! หรือว่าท่านลืม ?” ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จึงตอบว่า .. “ทุกอย่างที่ว่ามาน่ะ ไม่มีเกิดขึ้นสักอย่างเดียวหรอก” ท่านซุลยะดัยน์จึงกล่าวแย้งว่า .. “มีบางอย่างจากที่ว่ามานั้น เกิดขึ้นจริงๆ โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ !” ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จึงหันมาถามประชาชนว่า .. “ที่ซุลยะดัยน์ว่ามาเป็นความจริงหรือ ?” พวกเขาจึงตอบว่า .. “เป็นความจริงขอรับ โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ !” ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้ทำนมาซที่ขาดไปนั้นจนเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้น ท่านจึงสุญูด 2 ครั้งขณะที่ยังนั่งอยู่หลังจากการให้สล่าม .. (แล้วท่านก็ให้สลามอีกครั้ง)”...
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 1228, ท่านมุสลิม หะดีษที่ 99/573 และผู้บันทึกท่านอื่นๆ, สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านมุสลิม, และข้อความในวงเล็บตอนท้าย เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านมุสลิม จากการรายงานของท่านอิมรอน บิน อัล-หุศ็อยน์ ร.ฎ.) ...
ตัวอย่างที่ 2
ชายผู้หนึ่งนมาซอัศรี่ เมื่อได้ 3 ร็อกอะฮ์ เขาก็นั่งอ่านตะชะฮ์ฮุดแล้วให้สล่าม เพราะเข้าใจว่าตนนมาซครบ 4 ร็อกอะฮ์แล้ว ในกรณีนี้ หากเขานึกได้หลังจากเวลาล่วงเลยไปเนิ่นนานแล้ว ก็ให้เขานมาซอัศรี่ใหม่ .. ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วในหน้าที่ 7 ...
แต่ถ้าเขานึกได้ในระยะเวลาอันสั้น ก็ให้เขารีบทำร็อกอะฮ์ที่ขาดไปนั้นให้เสร็จสมบูรณ์, .. และหลังจากให้สล่ามแล้ว ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง ...
หลักฐาน
ท่านอิมรอน บิน อัล-หุศ็อยน์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ...
سَلَّمَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِىْ ثَلاَثِ رَكَعَاتٍ مِنَ الْعَصْرِ، ثُمَّ قَامَ فَدَخَلَ الْحُجْرَةَ، فَقَامَ رَجُلٌ بَسِيْطُ الْيَدَيْنِ، فَقَالَ : أَقُصِرَتِ الصَّلاَةُ ؟ يَا رَسُوْلَ اللهِ ! فَخَرَجَ مُغْضِبًا، فَصَلَّى الرَّكْعَةَ الَّتِىْ كَانَ تَرَكَ، ثُمَّ سَلَّمَ، ثُمَّ سَجَدَ سَجْدَتَىِ السَّهْوِ، ثُمَّ سَلَّمَ
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ให้สล่ามในร็อกอะฮ์ที่ 3 ของนมาซอัศรี่ แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้อง, ชายผู้หนึ่งซึ่งมีมือทั้งสองข้างยาวจึงลุกขึ้นถามว่า .. “การนมาซถูกย่อหรือ โอ้ ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ?” .. ท่านจึงเดินกลับออกมาในลักษณะมีอารมณ์หงุดหงิด, แล้วท่านก็ทำนมาซในร็อกอะฮ์ที่ได้ละทิ้งไปนั้น หลังจาก
นั้นท่านก็ให้สล่าม, แล้วก็สุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่ามอีกครั้ง” ...
(บันทึกโดย ท่านมุสลิม, หะดีษที่ 102/574)
หมายเหตุ (โปรดอ่านช้าๆ)
ในกรณีที่อิหม่ามให้สล่ามก่อนนมาซเสร็จสิ้นสมบูรณ์ (อย่างเช่น ให้สล่ามในร็อกอะฮ์ที่สองของนมาซซุฮ์รี่) ดังตัวอย่างข้างต้นนั้น .. โดยในการนมาซนั้นมีมะอ์มูมมัสบูกอยู่ด้วย .. (มะอ์มูมมัสบูก คือมะอ์มูมซึ่งมานมาซไม่ทันอ่านฟาติหะฮ์ในร็อกอะฮ์แรก) .. ซึ่งหลังจากอิหม่ามให้สล่ามแล้ว ตามปกติเขาก็ต้องลุกขึ้นยืนทำนมาซในร็อกอะฮ์ที่เขามาไม่ทันและขาดไปนั้น ...
แต่สมมุติว่า .. ในขณะที่เขากำลังทำนมาซในร็อกอะฮ์ที่ขาดอยู่นั้น แล้วอิหม่ามเกิดนึกได้ว่า ตนยังนมาซซุฮ์รี่ไม่ครบ 4 ร็อกอะฮ์ จึงรีบลุกขึ้นทำร็อกอะฮ์ที่ได้ขาดไปนั้นต่อ ...
มะอ์มูมมัสบูกผู้นั้นจะต้องทำอย่างไรในกรณีดังกล่าวนี้ ? ...
เรื่องนี้ ท่านเช็คศอและฮ์ บิน อัล-อุษัยมีน ได้ให้ทัศนะว่า มะอ์มูมผุ้นั้นมีทางเลือก 2 ทางด้วยกันคือ ...
1. ให้เขาทำนมาซส่วนตัวต่อไปตามลำพังจนนมาซเสร็จสมบูรณ์ แล้วค่อยสุญูดซะฮ์วีทีหลัง หรือ ...
2. ให้เขากลับมานมาซตามอิหม่ามต่อไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออิหม่ามให้สล่ามแล้ว ก็ให้เขาลุกขึ้นทำนมาซของเขาต่อไปจนครบ หลังจากนั้น จึงค่อยสุญูดซะฮ์วี หลังจากให้สล่ามแล้ว ...
ข้อหลังนี้ ถือว่า เป็นการกระทำที่ดีที่สุดและรอบคอบที่สุดสำหรับเขาในกรณีนี้ ตามทัศนะของท่านเช็คศอและฮ์ บิน อัล-อุษัยมีน .. วัลลอฮุ อะอฺลัม ...
กรณีที่ 3. การละทิ้งบางรุก่นของการนมาซ
ผู้นมาซคนใดที่ละทิ้งรุก่นใดรุก่นหนึ่งของการนมาซเพราะลืม แล้วเกิดนึกขึ้นมาได้ในขณะที่กำลังทำรุก่นเดียวกันในร็อกอะฮ์ถัดไป ก็ให้ถือว่าเขากำลังทำรุก่นนั้นที่เขาได้ลืมไปของร็อกอะฮ์ก่อนหน้านี้ และการกระทำอิริยาบถต่างๆของนมาซในช่วงที่ทำไปหลังจากการลืมรุก่น ถือว่าศูนย์เปล่า ...
ตัวอย่าง
ชายผู้หนึ่งลืมสุญูดครั้งที่สองของร็อกอะฮ์แรก แล้วไปนึกได้ตอนกำลังสุญูดครั้งที่สองของร็อกอะฮ์ที่สองหรือร็อกอะฮ์ที่สาม ในกรณีนี้ให้ถือว่า การสุญูดตอนนี้เป็นสุญูดครั้งที่สองของร็อกอะฮ์แรกของเขา และสิ่งใดที่เขาทำไปหลังจากการลืมสุญูดในร็อกอะฮ์แรกจนกว่าจะนึกได้ ถือว่าศูนย์เปล่า ..
.
ในกรณีดังตัวอย่างข้างต้นนี้ ถือว่า เขาทำนมาซได้เป็นร็อกอะฮ์แรก ...
หลังจากนั้น ก็ให้เขาลุกขึ้นทำร็อกอะฮ์ที่สองและร็อกอะฮ์ถัดๆไปจนเสร็จ แล้วจึงให้สล่าม ถัดจากนั้น ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้งแล้วจึงให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง ...
แต่ถ้าเขานึกได้ก่อนถึงรุก่นที่ลืมในร็อกอะฮ์ถัดไป ก็ให้เขารีบกลับไปทำรุก่นที่ลืมนั้นในทันที และให้ถือว่านั่นเป็นการนมาซในร็อกอะฮ์ที่ลืมนั้น หลังจากนั้นก็ให้เขานมาซต่อไปจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเมื่อให้สล่ามแล้ว ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่ามอีกทีหนึ่ง ...
ตัวอย่าง
ชายผู้หนึ่งลืมการรุกั๊วะในร็อกอะฮ์ที่หนึ่ง แล้วไปนึกได้ขณะกำลังยืนอ่านฟาติหะฮ์ในร็อกอะฮ์ที่สองหรือร็อกอะฮ์ที่สาม ...
ในกรณีนี้ ให้เขารีบก้มลงรุกั๊วะอฺในทันทีที่นึกได้ โดยถือว่าการรุกั๊วะอฺครั้งนี้ คือการรุกั๊วะอฺในร็อกอะฮ์ที่หนึ่งของเขา จากนั้นก็ให้เขาทำนมาซต่อไปตามปกติจนเสร็จจากการให้สล่าม แล้วก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วจึงให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง ...
กรณีที่ 4. การสงสัยจำนวนร็อกอะฮ์, แต่ค่อนข้างมั่นใจในร็อกอะฮ์ใดร็อกอะฮ์หนึ่ง
ประเด็นนี้ หมายถึงผู้นมาซเกิดสงสัยในร็อกอะฮ์ที่กำลังกระทำอยู่ว่า เป็นร็อกอะฮ์ที่เท่าใดกันแน่ ? .. ร็อกอะฮ์ที่สองหรือร็อกอะฮ์ที่สาม เป็นต้น ...
แต่ขณะเดียวกัน ในการสงสัยดังกล่าวนั้น เขาก็ได้ให้น้ำหนักและค่อนข้างมั่นใจว่า น่าจะเป็นร็อกอะฮ์ใดร็อกอะฮ์หนึ่งของสองร็อกอะฮ์ที่สงสัยนั้น เช่นมั่นใจว่าน่าจะเป็นร็อกอะฮ์ที่สอง หรือน่าจะเป็นร็อกอะฮ์ที่สาม .. อย่างใดอย่างหนึ่ง ...
ในกรณีนี้ ก็ให้เขายึดถือเอาร็อกอะฮ์ที่เขาค่อนข้างมั่นใจนั้นเป็นหลัก ต่อจากนั้น ก็ให้เขาทำนมาซต่อไปตามปกติจนเสร็จสิ้นจากการให้สล่าม จึงสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง ...
ตัวอย่าง
ชายผู้หนึ่งนมาซอิชาอ์ แล้วเกิดสงสัยว่าร็อกอะฮ์ที่กำลังกระทำอยู่นี้ ไม่รู้เป็นร็อกอะฮ์ที่สามหรือร็อกอะฮ์ที่สี่ แต่หลังจากลังเลและทบทวนอยู่ชั่วครู่ เขาก็มั่นใจว่าน่าจะเป็นร็อกอะฮ์ที่สี่ ...
ในกรณีอย่างนี้ ก็ให้เขายึดเอาสิ่งที่เขามั่นใจนั้นเป็นหลัก .. นั่นคือให้ถือว่าเขากำลังทำร็อกอะฮ์ที่สี่อยู่ (ตามตัวอย่างข้างต้น) .. ดังนั้น หลังจากที่เขาได้นมาซต่อไปจนให้สล่ามแล้ว ก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง ...
หลักฐาน
ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด ร.ฎ. ได้รายงานมาจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมว่า ...
إِذَا شَكَّ أَحَدُكُمْ فِىْ صَلاَتِهِ فَلْيَتَحَرَّالصَّوَابَ، فَلْيُتِمَّ عَلَيْهِ، ثُمَّ لْيُسَلِّمْ، ثُمَّ لْيَسْجُدْ سَجْدَتَيْنِ
“เมื่อคนใดจากพวกท่านเกิดสงสัยในการนมาซของเขา ก็ให้เขาจงใคร่ครวญค้นหาความถูกต้อง (คือ ที่มั่นใจว่าจะถูกต้อง), แล้วจาก (ร็อกอะฮ์) ที่มั่นใจว่าถูกต้องนั้น ก็ให้เขานมาซต่อไปจนครบแล้วจึงให้สล่าม หลังจากนั้นก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง” ...
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 401, ท่านมุสลิม หะดีษที่ 89/572 และผู้บันทึกท่านอื่นๆ) ...
สรุป
การสุญูดซะฮ์วีเพื่อชดเชยความบกพร่องของการนมาซตามที่มีรายงานมาจากซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม มีทั้งการปฏิบัติก่อนให้สล่าม และการปฏิบัติหลังจากให้สล่ามแล้ว ...
การสุญูดซะฮ์วี ก่อนให้สล่าม จะมีใน 2 กรณีคือ ...
(1). การละทิ้งการอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก
(2). การสงสัยจำนวนร็อกอะฮ์ของการนมาซ โดยไม่มีความมั่นใจในร็อกอะฮ์ใดร็อกอะฮ์หนึ่งจากสองร็อกอะฮ์ที่สงสัยนั้น ...
ส่วนการสุญูดซะฮ์วี หลังการให้สล่าม จะมีใน 4 กรณี คือ ...
(1). การเพิ่มเติมบางรุก่นหรือบางวาญิบของการนมาซ
(2). การให้สล่ามก่อนนมาซครบร็อกอะฮ์ที่แท้จริงของมัน
(3). การละทิ้งบางรุก่นของการนมาซ
(4). การสงสัยจำนวนร็อกอะฮ์ของการนมาซ แต่ค่อนข้างมั่นใจในร็อกอะฮ์ใดร็อกอะฮ์หนึ่งจากสองร็อกอะฮ์ที่สงสัยนั้น ..


สุญูดซะฮ์วี (ตอนที่ 3)


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

การสงสัยและการหลงลืมที่ไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี
มี “ความสงสัย” และ “การหลงลืม” บางอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่ส่งผลเสียใดๆต่อการนมาซ และไม่จำเป็นจะต้องสุญูดซะฮ์วีชดเชยจากความสงสัยหรือการหลงลืมนั้น
กรณีดังกล่าวได้แก่ ...
1. สิ่งที่ไม่น่าจะเรียกว่า สงสัย แต่ควรจะเรียกว่าเป็นความ “วอกแวก” มากกว่า อย่างเช่น บุคคลบางคนกำลังนมาซอยู่ดีๆ จู่ๆก็เกิดวอกแวกในจิตใจเกี่ยวกับจำนวนร็อกอะฮ์ ทั้งๆที่จำได้แม่นยำว่า กำลังทำร็อกอะฮ์ที่เท่าไรอยู่ เป็นต้น ...
2. บุคคลที่เกิดความสงสัย “เป็นประจำ” ในขณะทำอิบาดะฮ์หรือทำนมาซ ชนิดที่ว่า ทุกครั้งที่ทำนมาซจะต้องหาเรื่องสงสัยอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาจนกลายเป็นปกตินิสัย ...
3. ผู้ที่สงสัยหลังจากนมาซเสร็จสิ้นไปแล้วว่า ตนเองน่าจะบกพร่องบางสิ่งบางอย่างในการนมาซ เช่นสงสัยว่าอาจจะละทิ้งหรืออาจจะเพิ่มบางรุก่นของนมาซที่เสร็จสิ้นไปแล้ว เป็นต้น ...
ความสงสัยดังกล่าวนี้ จะไม่ส่งผลเสียใดๆต่อการนมาซของเขาที่ผ่านไป ยกเว้นถ้าเขาเกิดนึกขึ้นได้มาว่า ตนเองบกพร่องจริงๆในสิ่งที่เป็นความสงสัยนั้น ...
ในกรณีนี้ หากเขานึกได้ในระยะเวลาอันสั้น ก็ให้เขากลับไปทำสิ่งเป็นความบกพร่องนั้น แล้วทำนมาซต่อไปจนจบการให้สล่าม หลังจากนั้นก็ให้เขาสุญูดซะฮ์วี แล้วให้สล่ามอีกครั้งหนึ่ง ...
แต่ถ้าเขาสงสัยแล้วนึกได้ถึงความบกพร่องอันนั้นหลังจากเวลาผ่านไปนานแล้ว ก็ให้เขาทำนมาซนั้นใหม่ โดยไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี ...
4. ผู้ที่ลืมการอ่านซิกรุ้ลลอฮ์ที่เป็นสุนัตของการนมาซ เช่น ลืมอ่านดุอาอิฟติตาห์,
ลืมอ่านตัสเบี๊ยะห์ในรุกั๊วะอฺหรือในสุญูด เป็นต้น ...
5. ผู้ที่อ่านดังในนมาซที่ต้องอ่านค่อย, หรืออ่านค่อยในนมาซที่ต้องอ่านดังเพราะลืม ...
6. ผู้ที่ลืมอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรกและยืนขึ้นเพื่อทำร็อกอะฮ์ที่ 3, แต่ยังไม่ทันยืนตรง ก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเองยังไม่ได้อ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก ...
เมื่อนึกได้ ก็ให้เขารีบนั่งลงเพื่ออ่านตะชะฮ์ฮุดที่ลืมในทันที แล้วให้ทำนมาซต่อไปตามปกติโดยไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี ตอนหลังแต่ประการใด ...
ท่านอัล-มุฆีเราะฮ์ บิน ชุอฺบะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า ... ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ...
إِذَاقَامَ اْلإمَامُ فِى الرَّكْعَتَيْنِ، فَإِنَ ذَكَرَ قَبْلَ أَن يَّسْتَوِيَ قَائِمًا فَلْيَجْلِسْ، (وَلاَ سَهْوَ عَلَيْهِ) فَإِنِ اسْتَوَي قَائِمًا فَلاَ يَجْلِسْ، وَيَسْجُدُ سَجْدَتَىِ السَّهْوِ ...
“เมื่ออิหม่ามได้ยืนขึ้นในร็อกอะฮ์ที่สอง แล้วหากเขานึกได้ก่อนที่จะยืนตรง ก็ให้เขานั่งลง (โดยไม่ต้องสุญูดซะฮ์วี) .. แต่หากเขายืนตรงแล้ว ก็อย่าให้เขานั่งลง แต่ให้เขาสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง (ก่อนการให้สล่าม .. ดังที่ผ่านมาแล้วในหน้าที่ 3)” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 1036, ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษที่ 1208, ท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ เล่มที่ 1 หน้า 378, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 2 หน้า 343, และท่านอะห์มัด เล่มที่ 4 หน้า 253, 253-254 .. สำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอบูดาวูด และข้อความในวงเล็บ เป็นข้อความจากการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุ มะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 1 หน้า 440) ...
สายรายงานของหะดีษข้างต้นนี้ เฎาะอีฟ, เพราะผู้รายงานท่านหนึ่งคือท่านญาบิรฺ อัล-ญุอฺฟีย์ เป็นผุ้รายงานที่เฎาะอีฟมาก ...
แต่หะดีษบทนี้ ยังมีผู้ที่รายงานมาสอดคล้องกันกับท่านญาบิรฺอีก 2 ท่าน คือ ท่านก็อยซ์ บิน รอเบี๊ยะอฺ และท่านอิบรอฮีม บิน อัฏ-ฏุฮ์มาน .. ดังการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุ มะอานีย์ อัล-อาษารฺ” เล่มที่ 1 หน้าที่ 440 ...
ท่านก็อยซ์ บิน รอเบี๊ยะอฺ เฎาะอีฟเพียงเล็กน้อย, แต่ท่านอิบรอฮีม บินอัฏ-ฏุฮ์มาน เป็นผุ้ที่เชื่อถือได้ (ثِقَةٌ) ...
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว สถานภาพของหะดีษบทนี้ อย่างน้อยจึงเป็นหะดีษหะซันหรืออาจจะเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ ดังการวิเคราะห์ของท่านอัล-อัลบานีย์ในหนังสือ “อัศ-เศาะหี้หะฮ์” หะดีษที่ 321 ...
ด้วยเหตุนี้ ข้อเขียนของท่านเช็คศอและห์ บิน อุษัยมีน ในหนังสือ “สุญูดซะฮ์วี” ของท่านเกี่ยวกับประเด็นนี้ที่ว่า ----
“หากว่าเขา (ผู้นมาซ) นึกได้ -- (ว่าตนเองลืมอ่านตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก) -- หลังจากลุกขึ้นยืน (จากร็อกอะฮ์ที่สอง) ไปแล้ว แต่ยังไม่ทันยืนตรง ก็ให้เขากลับไปนั่งลงอ่านตะชะฮ์ฮุด หลังจากนั้นก็ให้เขาทำนมาซต่อไปจนเสร็จแล้วให้สล่าม จากนั้น จึงสุญูดซะฮ์วี 2 ครั้ง แล้วให้สล่ามอีกทีหนึ่ง” ..
----- จึงน่าจะผิดพลาดและไม่ถูกต้อง เพราะทัศนะดังกล่าวนี้ ไปขัดแย้งกับข้อความของหะดีษบทนี้ที่ว่า (وَلاَسَهْوَعَلَيْهِ) (เขาไม่จำเป็นต้องสุญูดซะฮ์วี) .. ดังปรากฏในวงเล็บอันเป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ ที่ผมคัดลอกมาให้ดูนั้น ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

แก้ไขความเข้าใจผิดจากความหมายหะดีษบางบท


โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย ..

มีหะดีษอยู่บทหนึ่งที่ผมได้ยินนักวิชาการหลายท่านแปลออกมาเป็นภาษาไทย แต่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นการให้ความหมายไม่ถูกต้อง แถมบางท่านยังมีการเพิ่มเติมข้อความของหะดีษด้วย
นั่นคือหะดีษที่ว่า ...

إِنَّ اللهَ إحْتَجَزَ التَّوْبَةَ عَنْ صَاحِبِ كُلِّ بِدْعَةِ ...

(บันทึกโดย ท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-เอาซัฏ” หะดีษที่ 4360, ท่านอบูอัช-ชัยค์ในหนังสือ “ตารีค อัศบะฮาน” หน้า 259, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ “ชุอะบุลอีมาน” เล่มที่ 2 หน้า 380 และท่านผู้บันทึกอีกบางท่าน โดยสืบสายรายงานไปจนถึงท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ.) ...
สายรายงานของหะดีษบทนี้ ถูกต้อง, ตรงตามเงื่อนไขของท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม ยกเว้นผู้รายงานท่านหนึ่งคือ ท่านฮารูน บินมูซา อัล-ฟะรอวีย์ ที่มิได้อยู่ตามเงื่อนไขของทั้งสองท่านนั้น ...
ท่านอัล-ฮัยษะมีย์ได้นำหะดีษบทนี้ลงบันทึกในหนังสือ “มัจญมะอฺ อัซ-สะวาอิด” ของท่าน เล่มที่ 10 หน้า 308 แล้วกล่าวว่า ...

رَوَاهُ الطَّبْرَانِىُّ فِى اْلأَوْسَطِ، وَرِجَالُهُ رِجَالُ الصَّحِيْحِ غَيْرَ هَارُوْنَ بْنِ مُوْسَى الْفَرَاوِىِّ وَهُوَ ثِقَةٌ

“รายงานโดยท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-เอาซัฏ” ผู้รายงานของมันเป็นผู้รายงานของหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ (หมายถึงท่านบุคอรีย์และมุสลิม) ยกเว้นท่านฮารูน บินมูซา อัล-ฟะรอวีย์ ซึ่งท่านผู้นี้ เชื่อถือได้” ...
ส่วนท่านอัล-มุนซิรีย์ ได้บันทึกหะดีษบทนี้ลงในหนังสือ “อัต-ตัรฺฮีบฯ” ของท่าน (เล่มที่ 1 หน้า 45) แล้วกล่าววิจารณ์ว่า ...
رَوَاهُ الطَّبْرَانِىُّ، وَإسْنَادُهُ حَسَنٌ
“รายงานโดยท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์, สายรายงานของมัน สวยงาม (หะซัน)” ...
สรุปแล้ว สถานภาพของหะดีษบทนี้จึงเป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์หรือหะดีษหะซันเป็นอย่างน้อย ...
ข้อความที่แท้จริงของหะดีษบทนี้จากทุกกระแส มีอยู่แค่นี้ ...
แต่มีบางคน ได้เพิ่มเติมข้อความต่อท้ายหะดีษนี้อีกว่า ...
حَتىَّ يَدَعَ بِدْعَتَهُ
แล้วมีการให้คำแปล - ทั้งหมด - ว่า ...
“แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะไม่ทรงรับเตาบะฮ์ของผู้ที่ทำบิดอะฮ์ทุกอย่าง จนกว่าเขาจะละทิ้งบิดอะฮ์ของเขาเสียก่อน” ...
การให้ความหมายดังกล่าวข้างต้นนี้ ไม่น่าจะถูกต้อง ...
เป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.จะไม่ทรงรับเตาบะฮ์จากบ่าวของพระองค์ หากเขาปฏิบัติครบเงื่อนไขการเตาบะฮ์ ? ...
อย่าว่าแต่คนทำบิดอะฮ์เลย ต่อให้คนทำชิริก ซึ่งถือว่าเป็นบาปใหญ่ที่สุดยิ่งกว่าบาปทุกชนิด พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ยังทรงรับเตาบะฮ์ของเขา หากเขาปฏิบัติได้ถูกต้องตามเงื่อนไข ...
หลักฐานเกี่ยวกับการรับเตาบะฮ์ของพระองค์อัลลอฮ์จากบ่าวของพระองค์ มีมากมายในอัล-กุรฺอานและในอัล-หะดีษ ซึ่งผมไม่จำเป็นจะต้องนำเสนอ ณ ที่นี้ ...
แม้กระทั่งซูเราฮ์ที่ 9 ของอัล-กุรฺอาน ยังมีชื่อว่า “ซูเราะฮ์ อัต-เตาบะฮ์ ...
แล้วอะไรเล่า คือความหมายที่ถูกต้องของหะดีษข้างต้น ? ...
ความหมายที่ถูกต้องของของหะดีษข้างต้นก็คือ ...
“แท้จริง พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงปิดกั้นการเตาบะฮ์จาก (หัวใจ) คนทำทุกอย่างที่เป็นบิดอะฮ์” ...
หมายความว่า คนที่ทำบิดอะฮ์นั้น พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงปิดกั้นหัวใจของเขาไม่ให้นึกเตาบะฮ์ ...
หรืออีกนัยหนึ่ง เขาจะไม่มีวันที่จะคิดเตาบะฮ์ !!...
ทั้งนี้ ก็เพราะเขายังหลงเข้าใจว่า สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง, มิใช่เป็นบิดอะฮ์ และมิใช่เป็นความผิด ...
ใครบ้างที่เมื่อยังมีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วจะคิดเตาบะฮ์จากการกระทำนั้นของตน ?? ...
เมื่อเขายังหลงงมงายอยู่ในความเข้าใจผิดเช่นนี้ พระองค์อัลลอฮ์ก็จะทรงปิดกั้นจิตใจของคนที่ทำบิดอะฮ์มิให้มีความคิดที่จะเตาบะฮ์อยู่เช่นนั้นตลอดไป จนกว่าเขาจะ “ตาสว่าง” และยอมรับความจริงว่า สิ่งที่ตนเองกระทำอยู่ เป็นบิดอะฮ์และเป็นสิ่งต้องห้ามทางศาสนา ...
เมื่อนั้น พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ก็จะทรงเปิดสิ่งปิดกั้นออก ...
และเมื่อนั้น เขาก็จะ “นึกเตาบะฮ์” จากความผิดพลาด และจากการกระทำบิดอะฮ์ของตนที่ผ่านมาในอดีตทั้งหมด ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ....





วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

การซื้อขายเงินผ่อนในปัจจุบัน


โดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

การซื้อขายเงินเชื่อหรือเงินผ่อนตามระบบที่นิยมปฏิบัติกัน - ทั้งในอดีตและปัจจุบัน - หมายถึง การที่พ่อค้า ได้ตั้งราคาสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งในการซื้อขายแต่ละครั้งไว้ 2 ราคา คือราคาเงินสดและราคาเงินผ่อน โดยให้ลูกค้าเป็นผู้เลือกเอาว่า จะซื้อราคาเงินสดซึ่งถูกกว่า หรือจะซื้อด้วยราคาเงินผ่อนซึ่งแพงกว่า, และอยู่ที่การตกลงกันว่า จะผ่อนชำระกันอย่างไร หรือเดือนละเท่าไร เป็นต้น ....
การซื้อขายเงินผ่อนในลักษณะนี้ตามหลักฐานที่ถูกต้องถือว่า หากลูกค้าเลือกซื้อเงินสด ก็เป็นที่อนุมัติ, แต่หากเลือกซื้อด้วยเงินผ่อนที่มีมูลค่ามากกว่า, ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนระยะสั้นหรือระยะยาว ก็เป็นที่ต้องห้าม, เพราะเงินผ่อนส่วนที่เกินจากเงินสดนั้น ถือว่าเป็น “ดอกเบี้ย” ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามตามระบอบอิสลาม ....
แต่จะอย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบมา ปรากฏว่า การซื้อขายเงินผ่อนในลักษณะนี้ ก็ยังมีการปฏิบัติกันอยู่ในกลุ่มเงินทุนต่างๆของมุสลิม จึงทำให้เกิดปัญหาและข้อคลางแคลงใจสำหรับพี่น้องมุสลิมทั่วๆไปว่า เรื่องนี้ มีหลักฐานห้ามหรือไม่ ? หากมี .. หลักฐานเหล่านั้นเป็นหลักฐานที่ถูกต้องหรือไม่ ? และมีความหมายตรงประเด็นกับที่มีการปฏิบัติกันอยู่หรือไม่ ? ....
เพื่อความกระจ่างสำหรับพี่น้องมุสลิมที่หวั่นเกรงความผิดจากเรื่องระบบดอกเบี้ยที่เกิดจากการซื้อขายเงินผ่อนดังกล่าว ผมจึงขออธิบายรายละเอียดและหลักฐานจากหะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังต่อไปนี้ .....
หะดีษบทที่ 1
ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. กล่าวว่า ...
إِنَّ رَسُوْلَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنْ بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ ....
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามจากการขายสองครั้ง ในการขายครั้งเดียว” ....
(บันทึกโดย ท่านอัน-นซาอีย์ หะดีษที่ 4646, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 1231, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 2 หน้า 432, 475, 503, ท่านอิบนุล ญารูด หะดีษที่ 286, ท่านอิบนุหิบบานในหนังสือ “อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์” หะดีษที่ 1109, ท่านอัล-บัฆวีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุ อัส-ซุนนะฮ์” เล่มที่ 4 หน้า 305, และท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 5 หน้า 343) ...
หะดีษบทนี้ เป็นหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ ดังคำกล่าวของท่านอัล-อัลบานีย์ในหนังสือ “เศาะเหี๊ยะฮ์ อัต-ติรฺมีซีย์” เล่มที่ 2 หน้า 8 ...
คำว่า بَاعَ بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ (ขายสองครั้งในการขายครั้งเดียว) หมายความว่าอย่างไร ?
บรรดานักวิชาการจำนวนมาก ได้อธิบายความหมายและตัวอย่างของหะดีษที่ว่า “ท่านรอซุ้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามจากการขาย 2 ครั้ง ในการขายครั้งเดียวกัน” ... ออกเป็น 2-3 ลักษณะด้วยกัน .. อาทิเช่น การที่ผู้ขายกล่าวว่า .. “ผมขายบ้านของผมหลังนี้แก่คุณด้วยจำนวนเงินเท่านั้นๆ (สมมุติว่า 20 ดีนารฺ) .. โดยคุณจะต้องขายทาสคนนั้นของคุณให้ผม ด้วยจำนวนเงินเท่านั้นๆ”, ..
นี่คือตัวอย่างความหมายหนึ่งของคำว่า بَاعَ بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ จากคำกล่าวของท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ .. ดังการอ้างอิงของท่านอัต-ติรฺมีซีย์ ในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน เป็นต้น ...
แต่, เท่าที่ผมตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว ปรากฏว่า แม้จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง 2-3 ทัศนะในความหมายของหะดีษข้างต้น แต่ความหมายและตัวอย่างที่นักวิชาการแทบทุกท่านนำเสนอมาสอดคล้องกันในเรื่องนี้ ได้แก่ความหมายที่ว่า การที่พ่อค้า เสนอขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเสนอทั้งราคาเงินสด, และเงินเชื่อหรือเงินผ่อนในคราวเดียวกัน อันเป็นรูปแบบการซื้อขายเงินผ่อนที่มีการปฏิบัติกันแพร่หลายในปัจจุบัน ...
จะอย่างไรก็ตาม, .. ไม่ว่านักวิชาการท่านใด, จะให้ความหมายและตัวอย่างของคำว่า .. ขายสองครั้งในการขายครั้งเดียว .. ในลักษณะใด, .. ข้อเท็จจริงที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ทุกความหมายและทุกตัวอย่าง มีผลลัพธ์เท่าเทียมกัน .. นั่นคือ เป็นเรื่อง ต้องห้าม ตามนัยของหะดีษบทนี้ทั้งสิ้น ......
ต่อไปนี้คือข้อมูลจากคำกล่าวที่สอดคล้องกันของนักวิชาการเกี่ยวกับความหมายหะดีษที่ว่า “ขาย 2 ครั้งในการขายครั้งเดียว” มีดังต่อไปนี้ ...
1. ท่านอัน-นซาอีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 303) ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน, เริ่มต้นบาบที่ 73 กิตาบอัล-บุยูอฺ หรือบทว่าด้วยเรื่องการค้าขายว่า
وَهُوَأَنْ يَقُوْلَ : أَبِيْعُكَ هَذِهِ السِّلْعَةَ بِمِائَةِ دِرْهَمٍ نَقْدًا، وَبِمِائَتَيْ دِرْهَمٍ نَسِيْئَةً ...
ได้แก่การกล่าวว่า : ฉันขายสินค้านี้แก่ท่านด้วยราคา 100 ดิรฺฮัมถ้าเป็นเงินสด, และราคา 200 ดิรฺฮัม ถ้าเป็นเงินเชื่อ (คือติดค้างหรือเงินผ่อน) ...
2. ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 297) ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน, บาบที่ 18 บทว่าด้วยเรื่องการค้าขายว่า ....
وَقَدْ فَسَّرَ بَعْضُ أَهْلِ الْعِلْمِ، قَالُوْا : بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ أَنْ يَقُوْلَ : أَبِِيْعُكَ هَذَاالثَّوْبَ بِنَقْدٍ بِعَشَرَةٍ، وَبِنَسِيْئَةٍ بِعِشْرِيْنَ .....
นักวิชาการบางท่านได้อธิบายความหมายของหะดีษ “(ข้อห้ามจาก) การขายสองครั้งในการขายครั้งเดียว” ว่า : ได้แก่การกล่าวว่า .. ฉันขายผ้าผืนนี้แก่ท่านด้วยเงินสด 10 (ดีนารฺ), และด้วยเงินเชื่อ 20 (ดีนารฺ) ...
3. ท่านอับดุลวะฮ์ฮาบ บิน อะฏออ์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 206) ได้กล่าวอธิบายว่า ...
يَعْنِىْ يَقَوْلُ : هُوَلَكَ بِنَقْدٍ بِعَشَرَةٍ، وَبِنَسِيْئَةٍ بِعِشْرِيْنَ ....
คือการกล่าวว่า : มัน (สินค้า)จะเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านด้วยราคาเงินสด 10 (ดีนารฺ) และด้วยราคาเงินเชื่อ 20 (ดีนารฺ) ....
(อัล-บัยฮะกีย์, เล่มที่ 5 หน้า 343) ....
4..ท่านมุหัมมัด บิน ซีรีน (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 110) มีรายงานมาว่า ..
كَانَ يَكْرَهُ أَنْ يَقُوْلَ : أَبِيْعُكَ بِعَشَرَةِ دَنَانِيْرَ نَقْدًا، أَوْبِخَمْسَةَ عَشَرَ إلَى أََجَلٍ
ท่านรังเกียจที่ผู้ขายจะกล่าวว่า :ฉันขาย(สิ่งนี้)แก่ท่านด้วยเงินสด 10 ดีนารฺ, หรือหากยืดเวลาก็ 15 ดีนารฺ ...
(อับดุรฺ ร็อซซากใน “อัล-มุศ็อนนัฟ” หะดีษที่ 14630) ...
5. ท่านอิบนุ หิบบาน (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 354) ได้กล่าวในหนังสือ “อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์” ของท่าน เล่มที่ 7 หน้า 225 ว่า .....
ذِكْرُالزَّجْرِعَنْ بَيْعِ الشَّىْءِ بِمِائَةِ دِيْنَارٍ نَسِيْئَةً، وَبِتِسْعِيْنَ دِيْنَارًا نَقْدًا ...
“กล่าวเรื่องการปราม .. จากการขายสิ่งใด 100 ดีนารฺ ด้วยราคาเงินเชื่อ, แต่จะขายเพียง 90 ดีนารฺ หากเป็นเงินสด” ...
6. ท่านอิบนุล อะษีรฺ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 606) ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ “อัน-นิฮายะฮ์ฯ” เล่มที่ 1 หน้า 173 ว่า ...
وَفِيْهِ " نَهَى عَنْ بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ " هُوَ أَنْ يَقُوْلَ : بِعْتُكَ هَذَاالثَّوْبَ نَقْدًا بِعَشَرَةٍ، وَنَسِيْئَةً بِخَمْسَةَعَشَرَ ....
และมีปรากฏในหะดีษว่า .. “ท่านรอซู้ลฯ ได้ห้ามจากการขายสองครั้งในการขายครั้งเดียว” ก็คือ การที่ผู้ขายกล่าวว่า : ฉันขายผ้าผืนนี้แก่ท่านด้วยเงินสด 10 (ดีนารฺ) และด้วยเงินเชื่อ 15 ( ดีนารฺ) ...
7. ท่านอัล-บัฆวีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 516) ได้อธิบายหะดีษบทนี้ในหนังสือ “ชัรฺหุส ซุนนะฮ์” เล่มที่ 3 หน้า 305 ว่า
....
وَفَسَّرُواالْبَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ عَلَى وَجْهَيْنِ، أَحَدُهُمَا أَنْ يَقُوْلَ : بِعْتُكَ هَذَاالثَّوْبَ بِعَشَرَةٍ نَقْدًا، أَوْبِعِشْرِيْنَ نَسِيْئَةً إلَى شَهْرٍ...
และบรรดานักวิชาการได้อธิบายความหมาย .. “การขายสองครั้ง ในการขายครั้งเดียว” เป็น 2 แนวทางด้วยกัน, แนวทางแรก ได้แก่การกล่าวว่า : ฉันขายผ้าผืนนี้แก่ท่านในราคา 10 (ดีนารฺ ) ด้วยเงินสด, หรือ 20 (ดีนารฺ) โดยยืดเวลาให้1 เดือน ....
ส่วนแนวทางที่สอง ได้แก่การกล่าวว่า : ฉันขายทาสชายคนนี้ของฉันแก่ท่านด้วยเงิน 20 ดีนารฺ โดยท่านจะต้องขายทาสหญิงคนนั้นของท่านให้ฉัน ...
8. ท่านซิมาก บิน หัรฺบ์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 123) ได้กล่าวอธิบายว่า ....
اَلرَّجُلُ يَبِيْعُ الْبَيْعَ فَيَقُوْلُ : هُوَ بِنَسَاءٍ بِكَذَاوَكَذَا، وَهُوَ بِنَقْدٍ بِكَذَا وَكَذَا
(หมายถึง)ใครสักคนหนึ่งจะขายสินค้าอย่างหนึ่ง แล้วกล่าวว่า : ถ้าเป็นเงินเชื่อ จะต้องราคาเท่านั้นๆ, และถ้าเป็นเงินสด ก็ราคาเท่านั้นๆ (คือ ราคาเงินเชื่อและเงินสดจะไม่เท่ากัน) ...
(ท่านอะห์มัดใน “อัล-มุสนัด” เล่มที่ 1 หน้า 398) ....
9. ท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 388) ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ “มะอาลิม อัส-สุนัน” เล่มที่ 3 หน้า 105 ว่า หนึ่งจาก 2 ความหมายหะดีษข้างต้นก็คือ การที่ผู้ขายกล่าวว่า ....
بِعْتُكَ هَذَاالثَّوْبَ نَقْدًا بِعَشَرَةٍ، وَنَسِيْئَةً بِخَمْسَةَ عَشَرَ .....
“ฉันขายผ้าผืนนี้แก่ท่านด้วยราคาเงินสด 10 ดีนารฺ, และด้วยราคาเงินเชื่อ 15 ดีนารฺ” ...
สรุปแล้ว ความหมายของหะดีษข้างต้นที่กล่าวว่า .. “การขายสองครั้ง ในการขายครั้งเดียว” หมายถึง “การขายสองราคาในการขายครั้งเดียว คือราคาเงินสดราคาหนึ่ง และราคาเงินเชื่อหรือเงินผ่อนอีกราคาหนึ่ง” .. แม้นักวิชาการบางท่านจะอธิบายความหมายหะดีษนี้ออกเป็น 2 หรือ 3 ความหมาย แต่ทุกท่าน .. จะต้องระบุความหมายดังกล่าวนี้ เป็น “ความหมายหลัก”จากบรรดาความหมายเหล่านั้นด้วยเสมอ ...
และความหมายข้อนี้ ก็ตรงกันกับระบบการซื้อขายเงินผ่อนที่แพร่หลายในยุคปัจจุบันทุกอย่าง ...
ทัศนะของนักวิชาการต่อการซื้อขายด้วยวิธีให้ลูกค้าเลือกระหว่างราคาเงินสดและเงินผ่อน
นักวิชาการมีทัศนะขัดแย้งกันในเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น 3 ทัศนะด้วยกัน คือ ..
ทัศนะที่ 1 ถือว่า อนุญาตทั้งหมด, .... หมายความว่า หากผู้ซื้อตกลงใจเลือกราคาใดราคาหนึ่ง .. ไม่ว่าราคาเงินสดหรือราคาเงินผ่อน .. ก่อนที่จะแยกจากกันกับผู้ขาย ถือว่า การซื้อขายตามราคาที่ตกลงกันนั้น ถูกต้อง ....
นี่คือทัศนะของนักวิชาการส่วนมาก ดังการอ้างอิงของท่านอัต-ติรฺมีซีย์, ท่านอัล-บัฆวีย์ และนักวิชาการท่านอื่นๆ ....
ทัศนะที่ 2 ถือว่า ต้องห้ามทั้งหมด, ... หมายความว่า การซื้อขายในลักษณะดังกล่าว เป็นเรื่องต้องห้ามและเป็นโมฆะ, .. ไม่ว่าผู้ซื้อจะเลือกซื้อด้วยราคาเงินสดหรือราคาเงินผ่อนก็ตาม เพราะเป็นการซื้อขายที่ถูกห้าม ดังหะดีษข้างต้น ....
นี่คือ ทัศนะของท่านอิบนุ หัสม์ ในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 9 หน้า 15-16
ทัศนะที่ 3 ถือว่า อนุญาตในกรณีเงินสดและต้องห้ามในกรณีเงินผ่อน, หมายความว่า หากลูกค้าตกลงใจเลือกซื้อราคาเงินสด การซื้อขายนั้น ถูกต้อง, .. แต่ถ้าหากลูกค้าตกลงใจซื้อราคาเงินผ่อน การซื้อขายนั้นเป็นโมฆะและเป็นที่ต้องห้าม, เพราะราคาเงินผ่อนในลักษณะนี้ คือดอกเบี้ย .. ดังข้อความที่ชัดเจนของหะดีษอีกบทหนึ่ง ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ....
นี่คือ ทัศนะของท่านฏอวูส(สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 106), ท่านอัล-เอาซาอีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 157), และท่านซุฟยาน อัษ-เษารีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 161) ...
(โปรดดูข้อมูลทัศนะทั้ง 3 ท่านนั้นจากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺ ร็อซซาก หะดีษที่ 14631, หนังสือ “มะอาลิม อัส-สุนัน” ของท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์ เล่มที่ 3 หน้า 104, และหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺ ร็อซซาก หะดีษที่ 14632 ตามลำดับ) ...
ข้อมูล-หลักฐานของทัศนะที่ 1
1. ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน ในการอธิบายหะดีษข้างต้น (อันเป็นหะดีษที่ 1231) ว่า ...
قَالُوْا : بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ أَنْ يَقُوْلَ : أَبِيْعُكَ هَذَاالثَّوْبَ بِنَقْدٍ بِعَشَرَةٍ، وَبِنَسِيْئَةٍ بِعِشْرِيْنَ، وَلاَ يُفَارِقُـهُ عَلَى بَيْعَتَيْنِ، فَإذَا فَارَقَـهُ عَلَى أَحَدِهِمَا فَلاَ بَأْسَ إذَاكَانَتِ الْعُقْدَةُ عَلَى أَحَدٍ مِنْهُمَا ...
พวกเขา (นักวิชาการ) กล่าวว่า : (ข้อห้ามจาก)หะดีษที่ว่า .. “การขายสองครั้งในการขายครั้งเดียว” ก็คือการกล่าวว่า : ฉันขายผ้าผืนนี้แก่ท่านด้วยราคาเงินสด 10 ดีนารฺ และด้วยเงินเชื่อ 20 ดีนารฺ ... และผู้ซื้อก็ยังไม่ได้แยกจากผู้ขายโดยยังคงราคาทั้งสองนั้นไว้ (คือ ยังไม่ตกลงซื้อ) ... แต่เมื่อผู้ซื้อจะแยกจากผู้ขายด้วยการตกลงใจในราคาใดราคาหนึ่ง ก็ไม่มีปัญหา (คือ การซื้อขายนั้นถือว่าถูกต้อง) .. ในเมื่อได้มีการตกลง(ซื้อขาย) กันด้วยราคาใดราคาหนึ่งจากสองราคานั้น ....
2. ท่านอัช-เชากานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “นัยลุ้ล เอาฏอรฺ” เล่มที่ 5 หน้า 250 ว่า
وَالْعِلَّةُ فِىْ تَحْرِيْمِ بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ عَدَمُ اسْتِقْرَارِالثَّمَنِ فِىْ صُوْرَةِ بَيْعِ الشَّىْءِ الْوَاحِدِ بِثَمَنَيْنِ
“และเหตุผลที่ห้ามขายสองครั้ง (คือสองราคา) ในการขายครั้งเดียว ก็เพราะความไม่นิ่ง (ไม่ชัดเจน) ของราคา ในรูปแบบของการขายสินค้าอย่างเดียวด้วยสองราคานั้น” ...
3. ท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “มะอาลิม อัส-สุนัน” เล่มที่ 3 หน้า 105 ว่า ...
أَنْ يَقُوْلَ : بِعْتُكَ هَذَاالثَّوْبَ نَقْدًا بِعَشَرَةٍ، وَنَسِيْئَةً بِخَمْسَةَعَشَرَ فَهَذَا لاَيَجُوْزُ ِلأَنَّـهُ لاَ يُدْرَى أَيُّهُمَاالثَّمَنُ الَّذِىْ يَخْتَارُهُ مِنْهُمَا فَيَقَعَ بِـهِ الْعَقْدُ، وَإذَا جُهِلَ الثَّمَنُ بَطَلَ الْبَيْعُ ...
“การกล่าวว่า .. ฉันขายผ้าผืนนี้แก่ท่านด้วยราคาเงินสด 10 ดีนารฺ, และด้วยราคาเงินเชื่อ 20 ดีนารฺ, .. การเสนอขายลักษณะนี้ ไม่เป็นที่อนุมัติ เพราะไม่รู้ว่าราคาไหนจากสองราคานั้นที่เขาจะเลือกและตกลงซื้อ, และเมื่อไม่รู้ราคาการซื้อขายก็เป็นโมฆะ” ... และท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์ ยังได้กล่าวในหน้าที่ 106 จากหนังสือเล่มนั้นอีกว่า ....
فَأَمَّاإذَا بَاتَّـهُ عَلَى أَحَدِاْلأَمْرَيْنِ فِىْ مَجْلِسِ الْعَقْدِ فَهُوَ صَحِيْحٌ ...
“อนึ่ง เมื่อเขา(ผู้ซื้อ) ตกลงซื้อราคาใดราคาหนึ่งจากสองราคานั้นในสถานที่ตกลงซื้อขายกัน ก็ถือว่า การซื้อขายนั้น ถูกต้อง .....”
จากตัวอย่างของข้อมูลที่นำเสนอมานั้น ทำให้พอจะสรุปแนวทางของทัศนะที่ 1 ได้ดังนี้ ....
1. รูปแบบการขาย .. ที่ผู้ขาย “เสนอขาย” สินค้า 2 ราคาในคราวเดียวกัน .. คือราคาเงินสดและราคาเงินเชื่อหรือเงินผ่อนที่ไม่เท่ากัน, .. (ดังรูปแบบที่มีการปฏิบัติกันในปัจจุบัน) ถือว่าการเสนอขายในรูปแบบนี้ - ตามปกติ – ไม่เป็นที่อนุมัติ ดังคำกล่าวของท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์ที่เพิ่งผ่านมา ...
แต่,.. ถ้ามีผู้เสนอขายในลักษณะดังกล่าว และผู้ซื้อ ตกลงซื้อสินค้านั้นด้วยราคาใดราคาหนึ่งจากสองราคาภายในสถานที่ซื้อขายแห่งนั้น ถือว่า “การซื้อขาย” นั้น ถูกต้อง ....
2 เหตุผล ที่การเสนอขายในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องต้องห้าม ก็เพราะความไม่ชัดเจนหรือไม่รู้ (مَجْهُوْلٌ) ราคาที่แท้จริงของสินค้านั้น ...
ข้อโต้แย้ง.
เหตุผล ของทัศนะที่ 1 ดังข้างต้น เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่า นอกจากจะเป็นเพียง “ทัศนะ” ที่ไม่มีหลักฐานบทใดมายืนยันแล้ว ยัง “ขัดแย้ง” กับหะดีษบทที่ผมจะนำเสนอในลำดับต่อไปทั้ง 2 ประการคือ .. .
ประการแรก ทัศนะนี้กล่าวว่า การที่ผู้ซื้อ ตกลงซื้อด้วยราคาใดราคาหนึ่ง .. คือไม่ว่าจะเลือกซื้อราคาเงินสดหรือราคาเงินเชื่อ(เงินผ่อน) ถือว่า เป็นที่อนุญาต .. ขณะที่ตัวบทของหะดีษบทที่จะถึงต่อไป กล่าวอย่างชัดเจนว่า ในกรณีนี้ อนุญาตให้ผู้ซื้อ ตกลงซื้อด้วยราคาเงินสดซึ่งเป็นราคาต่ำสุดได้เพียงอย่างเดียว, แต่ไม่อนุญาตให้เลือกซื้อด้วยราคาเงินเชื่อหรือเงินผ่อนซึ่งสูงกว่า ...
ประการที่สอง ทัศนะนี้อ้างว่า เหตุผลที่ห้ามเสนอขายสินค้าในลักษณะทั้งเงินสดและเงินผ่อนในคราวเดียวกัน เพราะถือว่า การเสนอขายสองราคาทำให้ไม่รู้ ราคาที่แท้จริงของสินค้า ... ขณะที่ตัวบทหะดีษบทนั้น ได้ระบุเหตุผลที่ห้ามซื้อด้วยราคาเงินผ่อนว่า เพราะมันเป็นดอกเบี้ย ....
ดังนั้น ในทัศนะส่วนตัวของผมเห็นว่า ทัศนะที่ 1 นี้เป็นทัศนะที่ห่างไกลจากหลักฐานและความถูกต้องมากที่สุด แม้จะเป็นทัศนะที่มีนักวิชาการหลายท่านสนับสนุนก็ตาม ...
ข้อมูล-หลักฐานของทัศนะที่ 2.
ท่านอิบนุหัสม์ ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 9 หน้า 15-16 ซึ่งสรุปได้ว่า การเสนอขายสินค้าด้วย 2 ราคา คือทั้งราคาเงินสดและราคาเงินผ่อนในคราวเดียวกัน เป็นเรื่องต้องห้าม, .. และการซื้อขายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะตกลงซื้อด้วยราคาเงินสดหรือเงินเชื่อ การซื้อขายนั้น เป็นโมฆะทั้งสิ้น ... เพราะคำกล่าวในหะดีษข้างต้นที่ว่า .. “ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามจากการ (เสนอ) ขายสองครั้ง (สองราคา) ในการขายครั้งเดียว” .. ถือได้ว่า โดยรูปการหรือ( ظَاهِرٌ ) ของประโยคแล้ว การห้ามนั้น ครอบคลุมการเสนอขายสองราคาตั้งแต่ต้นแล้ว โดยไม่จำเป็นว่า การซื้อขายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้น ในภายหลังก็ตาม ...
ทัศนะของท่านอิบนุหัสม์ดังกล่าว ถ้าจะพิจารณาในแง่ของหลักฐานข้างต้น ก็ดูจะใกล้เคียงกับความถูกต้องมากกว่าทัศนะที่ 1 .. แต่ขณะเดียวกัน ทัศนะนี้ที่ห้ามซื้อขายหมดทั้ง 2 ราคา ก็ยังมีจุดขัดแย้งกับหะดีษที่อนุญาตให้เลือกเอาราคาต่ำสุด – คือราคาเงินสด -- ในการซื้อขายได้ .. ดังเป็นหลักฐานของทัศนะที่ 3 ที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ ...
ข้อมูล-หลักฐานของทัศนะที่ 3.
1. หลักฐานจากหะดีษ ... ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้รายงานมาจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมว่า ...
مَنْ بَاعَ بَيْعَتَيْنِ فِىْ بَيْعَةٍ فَلَـهُ أَوْكَسُهُمَا أَوِالرِّبَا
“ผู้ใดที่(เสนอ)ขายสินค้า 2 ครั้ง (คือ 2 ราคา) ในการขายครั้งเดียว ก็ให้เขาเลือกเอาระหว่างราคาต่ำสุดจากสองราคานั้น (คือราคาเงินสด) .. หรือจะเลือกเอาดอกเบี้ย (คือราคาเงินเชื่อหรือเงินผ่อน)” ...
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 3461, ท่านอิบนุ อบีชัยบะฮ์ เล่มที่ 5 หน้า 55, ท่านอัล-หากิม เล่มที่ 2 หน้า 52, ท่านอิบนุหิบบานในหนังสือ “อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์” หะดีษที่ 1110, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 5 หน้า 343, และท่านอิบนุหัสม์ ในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 9 หน้า 16) .....
หะดีษบทนี้ เป็นหะดีษหะซัน (หะดีษที่สวยงาม) ดังคำกล่าวของท่านอัล-อัลบานีย์ในหนังสือ “เศาะเหี๊ยะฮ์ อบีดาวูด” เล่มที่ 2 หน้า 662 ...
2. หลักฐานจากคำพูดเศาะหาบะฮ์ .. ท่านอิบนุ มัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ...
صَفْقَتَانِ فَىْ صَفْقَةٍ رِبًا، أَنْ يَقُوْلَ الرَّجُلُ : إنْ كَانَ بِنَقْدٍ فَبِكَذَا، وَإنْ كَانَ بِنَسِيْئَةٍ فَبِكَذَا
“ข้อตกลง 2 ครั้ง ในการตกลงเพียงครั้งเดียว มีดอกเบี้ย, (ได้แก่)การที่บุคคลหนึ่ง(ผู้ขาย)กล่าวว่า .. หากเป็นเงินสด ก็จะราคาเท่านี้ แต่ถ้าเป็นเงินเชื่อ ก็จะราคาเท่านี้” .....
(จากหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอิบนุ อบีย์ชัยบะฮ์ เล่มที่ 5 หน้า 54 , หนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” ของท่านอับดุรฺ ร็อซซาก เล่มที่ 8 หน้า 138-139, หนังสือ “อัศ-เศาะเหี๊ยะฮ์” ของท่านอิบนุหิบบาน หะดีษที่ 136, 1111)
สายรายงานของหะดีษนี้ ถูกต้อง ..
คำว่า “ข้อตกลง 2 ครั้ง ในการตกลงครั้งเดียว” .. ท่านอิบนุลอะษีรฺ ได้อธิบายในหนังสือ “อัน-นิฮายะฮ์ฯ” เล่มที่ 3 หน้า 38 ว่า มีความหมายเหมือนกันกับข้อความของหะดีษที่ว่า .. การขาย 2 ครั้ง ในการขายครั้งเดียว .. จากหะดีษทั้ง 2 บทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ......
3. หลักฐานจากคำพูดตาบิอีน ท่านฎอวูส (เป็นตาบิอีนระดับอาวุโส, สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 106) ได้กล่าวว่า ...
إذَا قَالَ : هُوَ َبِكَذَا وَكَذَا إلَى كَذَا وَكَذَا، وَبِكَذَا وَكَذَا إلَى كَذَا وَكَذَا، فَوَقَعَ الْمَبِيْعُ عَلَى هَذَا فَهُوَ بِأَقَلِّ الثَّمَنَيْنِ إلَى أَبْعَدِ اْلأَجَلَيْنِ ...
เมื่อผู้ขายพูดว่า .. “สินค้านี้ หาก(ท่านซื้อ) ด้วยราคานี้ (สมมุติว่า 20 บาท) ก็จะยืดเวลาได้ถึงเวลานั้นๆ (เช่น 1 เดือน) แต่ถ้าหากด้วยราคานี้ (สมมุติว่า 40 บาท) ก็จะยืดเวลาได้ถึงเวลานั้นๆ (เช่น 2 เดือน) แล้วมีการตกลงซื้อขายกันตามนี้ (ในกรณีนี้)ก็อนุญาตให้(ผู้ซื้อ) ซื้อสินค้านั้นได้ด้วยราคาต่ำสุดจากสองราคานั้น (คือ 20 บาท) .. โดยให้ยืดเวลาจ่ายเงินได้ตามเวลาที่นานที่สุด (คือ 2 เดือน)” ....
(บันทึกโดยท่านอับดุรฺร็อซซากในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” หะดีษที่ 14631 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง) ...
เมื่อเราพิจารณาจากข้อมูลทั้งหมดที่ได้นำเสนอมานี้ ก็จะเห็นได้ว่า ทัศนะที่ 3 นี้ น่าจะถือได้ว่า เป็นทัศนะที่ถูกต้องที่สุด, และสอดคล้องกับหลักฐานจากอัล- หะดีษ มากที่สุดยิ่งกว่า 2 ทัศนะแรกที่ผ่านมา ...
นั่นก็คือ การเสนอขายสินค้าทั้งราคาเงินสดและราคาเงินผ่อนในคราวเดียวกัน, ด้วยราคาที่แตกต่างกัน .. ดังที่มีการปฏิบัติกันแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นเรื่องไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนา, ซึ่งถ้าหากมีการเสนอขายดังกล่าวจริง ผู้ซื้อก็มีสิทธิเลือกซื้อได้เฉพาะราคาเงินสดซึ่งเป็นราคาต่ำสุดเท่านั้น ส่วนราคาเงินผ่อนซึ่งเป็นราคาสูงกว่า ตามหลักการถือว่า เป็นดอกเบี้ยที่เป็นเรื่องต้องห้ามของอิสลาม ...
ดังนั้น ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ผมขอมอบให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่านแต่ละท่านว่า ควรจะปฏิบัติอย่างไรในการประกอบธุรกิจการค้าของท่านในคราวต่อไป และหวังว่าความเข้าใจศาสนาและอะกีดะฮ์ที่ถูกต้อง จะช่วยให้ท่านตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ ...
สรุป
จากข้อห้ามของหะดีษข้างต้นทั้ง 2 บทก็ดี, จากคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด ร.ฎ.ก็ดี, ตลอดจนข้อมูลที่ได้นำเสนอและชี้แจงไปแล้วทั้งหมดก็ดี ทำให้พอจะสรุปได้ว่า “ประเด็นห้าม” ในเรื่องการซื้อขายเงินผ่อนนั้น ประกอบขึ้นจากเงื่อนไข 2 ประการ ดังต่อไปนี้ .....
1. เป็นการเสนอขายสินค้า -- ไม่ว่าชิ้นเดียวหรือหลายชิ้น .. ต่อผู้ซื้อคนเดียวหรือหลายคน -- ในคราวเดียวกัน ...
2. ราคาที่เสนอขายนั้น มี 2 ราคาให้ผู้ซื้อเลือก ซึ่งเป็นราคาที่เหลื่อมล้ำกัน .. คือราคาเงินสดซึ่งจะย่อมเยากว่า และราคาเงินเชื่อหรือเงินผ่อนซึ่งจะแพงกว่า ...
แล้วผู้ซื้อก็เลือกซื้อด้วยราคาเงินผ่อนแทนที่จะเลือกซื้อราคาเงินสด ซึ่งจะทำให้การซื้อขายนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามไป ดังกล่าวมาแล้ว ...
แต่, ถ้าหากการซื้อขายเงินสดหรือเงินผ่อนที่ขาดเงื่อนไขประการหนึ่งประการใดจากเงื่อนไข 2 ประการที่กล่าวมาแล้ว ถือว่าการซื้อขายนั้นใช้ได้ และไม่ถือว่าเป็นดอกเบี้ย ...
ตัวอย่างเช่น
1. แม่ค้าขายปลาตลาดนัด ช่วงเช้าบอกขายปลาตัวหนึ่งกิโลกรัมละ 50 บาทก็ยังขายไม่ได้, พอตอนสายผู้คนชักน้อยลง ก็บอกขายปลาตัวเดิม กิโลกรัมละ 35 บาท, ราคาที่เสนอขายทั้ง 2 ครั้งนี้ แม้จะเป็นปลาตัวเดียวกัน และราคาแตกต่างกัน แต่ก็ไม่เรียกราคาที่เสนอขายสูงกว่าในช่วงเช้าว่า เป็นดอกเบี้ย ... เพราะเป็นการเสนอขายคนละครั้ง, ไม่ใช่เสนอขายในคราวเดียวกันดังข้อห้ามในหะดีษ ...
2. ในกรณีที่คล้ายคลึงกันนี้ ผู้ขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างหนึ่งได้ขายทีวีเครื่องหนึ่งแก่ลูกค้าคนหนึ่งในราคา 10,000 บาท, แต่อีก 1 ชั่วโมงต่อมา ได้ขายทีวี ยี่ห้อและรุ่นเดียวกันอีกเครื่องหนึ่งแก่ลูกค้าอีกคน (ที่คงจะไม่สันทัดในการต่อรองราคา) ด้วยราคา 11,000 บาท, อย่างนี้ ก็ไม่เรียกการขายครั้งหลังด้วยราคาที่สูงกว่าว่า เป็นดอกเบี้ย, เพราะเป็นการขายคนละครั้ง เหมือนในกรณีแรก ...
3. พ่อค้าขายผ้าปลีกและส่ง, ขายผ้าให้ลูกค้าที่ซื้อปลีกผืนละ 200 บาท แต่ขายส่งให้ลูกค้าประจำที่ซื้อจำนวนมาก ราคาเฉลี่ยผืนละ 160 บาท, ราคาส่วนขายปลีกที่มากกว่าราคาขายส่งดังกล่าว ไม่เรียกว่า เป็นดอกเบี้ย เพราะเป็นการขายคนละครั้งดังตัวอย่างข้างต้นเช่นเดียวกัน ....
4. แม่ค้าขายเครื่องทองรูปพรรณเสนอขายต่อลูกค้าว่า สร้อยคอเส้นนี้ ไม่ว่าคุณจะซื้อเงินสดหรือเงินผ่อน จะขายเพียงราคาเดียว คือ 9,000 บาท, แล้วลูกค้าก็เลือกซื้อด้วยเงินผ่อน อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นดอกเบี้ย เพราะการเสนอขายมี “ราคาเดียว” ซึ่งไม่มีส่วนต่างของราคา ที่เรียกว่าเป็นดอกเบี้ยตามหลักการศาสนา ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม
เพิ่มเติม
หลังจากที่ผมได้เขียนเรื่อง “การซึ้อขายเงินผ่อน” จบลง และได้ถ่ายเอกสารต้นฉบับจากคอมพิวเตอร์ แจกจ่ายให้กับองค์กรมัสญิดและโรงเรียนบางแห่ง, ตลอดจนนักศึกษาและผู้สนใจบางท่านไปบ้างแล้ว ก็มีท่านผู้อ่านบางท่านโทรศัพท์ถามมาว่า การที่มีกองทุนในลักษณะสหกรณ์ของมุสลิมบางท้องที่ อำนวยความสะดวกแก่พี่น้องมุสลิมที่มีทุนรอนน้อย ด้วยการไปซื้อสิ่งของที่เขาต้องการมาจากร้านค้าในตัวเมืองด้วยเงินสด แล้วมาให้ผู้ที่ต้องการสิ่งนั้น ซื้อผ่อนจากกองทุนฯ .. โดยมีเงื่อนไขว่า สมมุติถ้าผ่อน 1 ปี ก็กำหนดราคาไว้เท่านี้, .. แต่ถ้าผ่อน 1 ปี 6 เดือน ก็จะกำหนดราคามากขึ้นตามสัดส่วน .. การกำหนดราคาในลักษณะนี้ .. โดยเฉพาะราคาผ่อน 1 ปี 6 เดือน .. จะถือเป็นดอกเบี้ยหรือไม่ ? ...
เท่าที่ผมพิจารณาข้อมูลจากคำอธิบายของนักวิชาการ เกี่ยวกับความหมายของหะดีษที่ว่า .. “ผู้ใด ขายสองครั้ง (สองราคา) ในการขายครั้งเดียว .....” อันเป็นเรื่องต้องห้าม --- ไม่ว่าจะอธิบายความหมายของคำว่า “ขายสองครั้ง” ในลักษณะใดก็ตาม, ดังที่ผมได้ชี้แจงรายละเอียดไปแล้วในหนังสือนั้น --- ปรากฏว่า ลักษณะของเงื่อนไขการขายเงินผ่อนดังที่ถามมานั้น ก็จัดอยู่ในหลักเกณฑ์ของ .. การขายสองครั้งหรือ 2 ราคา ในการขายครั้งเดียว .. ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามเช่นเดียวกัน ....
ข้อมูลดังกล่าว มีดังต่อไปนี้ .....
(1). ท่านฏอวูส (เป็นตาบิอีน, สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 106) ได้กล่าวว่า ...
إِذَاقَالَ : هُوَ بِكَذَاوَكَذَا إِلَى كَذَاوَكَذَا، وَبِكَذَاوَكَذَا إِلَى كَذَاوَكَذَا، فَوَقَعَ الْمَبِيْعُ عَلَى هَذَا فَهُوَ بِأَقَلِّ الثَّمَنَيْنِ إِلَى أَبْعَدِ اْلأَجَلَيْنِ ....
เมื่อผู้ขายพูดว่า .. “สินค้านี้ หาก(ท่านซื้อ)ด้วยราคานี้ (สมมุติว่า 20 บาท) ก็จะยืดเวลาได้ถึงเวลานั้นๆ (เช่น 1 เดือน) .. แต่ถ้าหากเป็นราคานี้ (สมมุติว่า 40 บาท) ก็จะยืดเวลาได้ถึงเวลานั้นๆ (เช่น 2 เดือน) แล้วมีการตกลงซื้อขายกันตามเงื่อนไขนี้ ก็อนุญาตให้(ผู้ซื้อ) ซื้อสินค้านั้นได้ด้วยราคาต่ำสุดจากสองราคานั้น (คือ 20 บาท) .. โดยให้ยืดเวลาจ่ายเงินได้ตามเวลาที่นานที่สุด (คือ 2 เดือน) ....
(บันทึกโดย ท่านอับดุรฺ ร็อซซาก ในหนังสือ อัล-มุศ็อนนัฟ” หะดีษที่ 14631)
จะเห็นได้ว่า คำพูดของท่านฏอวูสดังกล่าว ตรงกับคำถามข้างต้นทุกประการ ... คือ ผู้ขาย เสนอขายด้วยราคาเงินผ่อนเป็น 2 ระยะ, .. คือผ่อนระยะสั้น ซึ่งราคาสินค้าจะย่อมเยาลง, และ ผ่อนระยะยาว ซึ่งราคาสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นตามอัตราส่วนที่ผู้ขายกำหนดไว้ ซึ่งมุมมองของท่านฏอวูส ก็สอดคล้องกับตัวบทของหะดีษที่ว่า อนุญาตให้ผู้ซื้อ เลือกซื้อในราคาต่ำสุดดังที่ได้อธิบายมาแล้วในตัวอย่างของราคาเงินสดและเงินผ่อน,
แต่ในกรณีนี้ที่ทั้งสองราคาเป็นเงินผ่อนทั้งหมด ท่านก็มีมุมมองเพิ่มเติมว่า นอกจากจะเลือกซื้อในราคาต่ำสุดแล้ว ก็อนุญาตให้ผู้ซื้อผ่อนชำระในเวลาที่นานที่สุดจาก 2 เวลาที่ถูกกำหนดให้ผ่อนนั้นได้อีกต่างหาก ...
(2). ท่านอิหม่าม อิบนุ กุตัยบะฮ์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 276) ได้กล่าวในหนังสือ “เฆาะรีบุล หะดีษ” เล่มที่ 1 หน้า 18 ว่า ....
وَمِنَ الْبُيُوْعِ الْمَنْهِىِّ عَنْهَا ...... شَرْطَانِ فِىْ بَيْعٍ، وَهُوَ أَنْ يَشْتَرِىَ الرَّجُلُ السِّلْعَةَ إِلَى شَهْرَيْنِ بِدِيْنَارَيْنِ، وَإِلَى ثَلاَثَةِ أَشْهُرٍ بِثَلاَثَةِ دَنَانِيْرَ، وَهُوَ بِمَعْنَى بَيْعَتَيْنِ قِىْ بَيْعَةٍ ...
“และรูปแบบหนึ่งจากการซื้อขายที่ต้องห้ามก็คือ .. การกำหนดเงื่อนไข 2 อย่างในการขายครั้งหนึ่งๆ .. นั่นคือ การที่บุคคลหนึ่ง ซื้อสินค้าอย่างหนึ่ง (โดยกำหนดจ่าย) เป็นเวลา 2 เดือนด้วยราคา 2 ดีนารฺ, และ(กำหนดจ่าย) เป็นเวลา 3 เดือน ด้วยราคา 3 ดีนารฺ, .. ลักษณะอย่างนี้ จัดอยู่ในความหมายของ .. “การขายสองครั้งในการขายครั้งเดียว” .. (อันเป็นเรื่องต้องห้ามตามนัยของหะดีษ) ....
จะเห็นได้ว่า คำพูดของท่านอิหม่ามอิบนุ กุตัยบะฮ์ดังกล่าว กับคำพูดของท่านฏอวูสข้างต้น ตรงกัน, และมีความหมายชัดเจนว่า การซื้อขายในลักษณะการเสนอราคาเงินผ่อน ... ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ... ให้ลูกค้าเลือกเอาตามความสมัครใจในการเสนอขายแต่ละครั้ง ถือเป็นเรื่องต้องห้าม, ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับการเสนอราคาเงินสดและเงินผ่อนให้ลูกค้าเลือกในการเสนอขายแต่ละครั้ง ก็เป็นเรื่องต้องห้าม ... ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วนั่นเอง ...
และนี่ คือบทสรุปคำตอบของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ....
ก็ขอย้ำอีกครั้งว่า ถือเป็นความดำริชอบและเป็นสิทธิส่วนบุคคลของผู้อ่านแต่ละท่านที่จะ ”เลือกปฏิบัติ” และ “ใช้ความรอบคอบ” เพื่อความปลอดภัยในธุรกิจการค้าของท่าน โดยไม่มีใครสามารถบังคับท่านได้, ....
หากมั่นใจว่า ระบบการค้าขาย ด้วยการเสนอราคาที่แตกต่างกันให้ผู้ซื้อเลือกเอาในการซื้อขายแต่ละครั้ง --- ไม่ว่าจะด้วยราคาเงินสดกับเงินผ่อน, หรือเงินผ่อนระยะสั้นกับระยะยาวดังที่เคยกระทำอยู่ --- เป็นเรื่องถูกต้อง ท่านก็มีสิทธิที่จะทำการซื้อขายในลักษณะนั้นต่อไปได้ ...
แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็ต้อง “พร้อม” --- โดยไม่มีสิทธิแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นว่า ไม่เคยรับทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน --- ที่จะรับผิดชอบในการกระทำของท่านต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ถ้าหากว่า ธุรกิจที่ท่านกระทำไปในลักษณะนั้น เป็นเรื่อง “ต้องห้าม” ตามข้อมูลอันชัดเจนของหะดีษ ดังที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว .....

วัลลอฮุ อะอฺลัม